หญิงสาวรีบโทร. แจ้งเก้าหนึ่งหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นฝีมือคนร้ายจริง หรือจะเป็นเพราะเธอคิดไปเองก็ตาม แต่เธอไม่อาจทนอยู่เฉยๆ ได้อีกแล้ว
ดึกแล้ว...
แมคเคนซี่แวะซื้อขนมเค้กและขนมปังจากร้านดัง รวมทั้งน้ำผลไม้ ซีเรียล และนมสดกลับมาตุนไว้ เพราะใกล้สอบแล้วเธอมักจะหมกตัวอยู่ในห้องไม่ออกไปไหน เรียกว่าจำศีลอยู่ในถ้ำก็ไม่ผิดนัก ช่วงเวลาสำคัญอย่างนี้เธอต้องการสมาธิเป็นอย่างยิ่ง จึงเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมราวกับจะมีสงครามกลางเมืองก็ไม่ปาน
หญิงสาวร่างบางหอบข้าวของมาเต็มสองแขน เดินออกจากสถานีรถไฟใต้ดินแล้วเดินต่อมาอีกสามบล็อกก็ถึงที่พัก คืนนี้กลับเสียดึกเพราะมัวแต่หมกตัวอยู่ในร้านหนังสือ และตัดสินใจกลับไปที่ห้องสมุดเพื่อหาหนังสือนิยายไว้อ่านเล่นคลายเครียดอย่างที่เรนนี่แนะนำ และยังต้องไปซื้อเสบียงมาตุนไว้อีก แต่เพราะเธอชินกับย่านนี้เสียแล้วจึงไม่รู้สึกกลัว และที่สำคัญ...เธอไม่รู้สึกว่าถูกสะกดรอยตามเหมือนเมื่อสองสามวันก่อนอีกแล้ว
แม้จะแปลกใจไม่น้อย แต่ก็รู้สึกดีมากกว่าที่ไม่ต้องหวาดระแวงอีกต่อไปแล้ว ไม่อย่างนั้นเธอคงได้ไปหาจิตแพทย์จริงๆ แน่นอน
หญิงสาวไขกุญแจห้องแล้วเปิดประตูเข้าไป กดเปิดไฟตรงสวิตช์ที่เคยมืออยู่ทุกวัน แต่น่าแปลกที่ไฟไม่ติด
“เฮ้!” แมคเคนซี่ลองปิดแล้วเปิดใหม่หวังว่าไฟจะติด แต่ก็น่าแปลกที่...มันไม่ติดเหมือนเคย
“ซวยแล้ว” หญิงสาววางของลงในห้อง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แต่ก็แบตหมดอีก
“คราวนี้ยิ่งกว่าซวยแน่” นักศึกษาสาวถอนหายใจ หันรีหันขวางอยู่นาน พอดีกับที่เดฟเดินขึ้นมา เขาเลิกคิ้วมองเธอก่อนจะคลี่ยิ้มน้อยๆ แล้วถามด้วยเสียงนุ่มทุ้มเหมือนเคย
“มีอะไรหรือเปล่าครับแม็กกี้”
แมคเคนซี่พยายามบอกตัวเองว่าเดฟก็แค่ถามไปตามมารยาท ไม่มีจุดประสงค์ใดๆ แอบแฝงไปมากกว่านั้น แต่ไม่รู้ทำไม แค่มองดวงตาแพรวพราวของเขาแล้วเธอกลับใจสั่น หวนนึกไปถึงความทรงจำบนตึกเอ็มไพร์สเตตแล้วก็หน้าแดงทันที
“ว่าไงครับแม็กกี้ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า” เขาถามสำทับ จนแมคเคนซี่ต้องพยักหน้าตอบ
“คือคิดว่าไฟมันเสียค่ะ พรุ่งนี้คงต้องติดต่อช่างแล้วละ”
“มาที่ห้องผมก่อนไหมครับ”
คนถูกชวนตัวเกร็งขึ้นมาทันที เธอมองเข้าไปในดวงตาคู่คมเข้มของเขาแน่วแน่ แต่ก็ไม่เห็นท่าทีคุกคามแต่อย่างไร กระนั้นก็ยังไม่กล้าเข้าไปอยู่กับเดฟในที่รโหฐานอยู่ดี
“ผมแค่ชวนเข้ามานั่งเล่นก่อน หรือจะติดต่อหาเพื่อนคุณก็ได้” ชายหนุ่มก้มลงมองโทรศัพท์ที่อยู่ในมือแมคเคนซี่ “ผมเดาว่าแบตหมดด้วยใช่หรือเปล่า”
“ก็...ใช่ค่ะ”
“มาเถอะ ผมไม่ทำอะไรจริงๆ” เดฟยกมือขึ้นทั้งสองข้าง แสดงความบริสุทธิ์ใจเต็มที่ แต่แมคเคนซี่ก็ไม่ไว้ใจเขาอยู่ดี ในเมื่อประโยคสุดท้ายก่อนจะแยกกันเมื่อคราวก่อน เขาบอกว่าจะจูบเธอ!
“ฉันขอแค่ขอยืมโทรศัพท์ได้ไหมคะ”
“นี่ดึกแล้วแม็กกี้ ไปห้องผมก่อนเถอะ หรือจะให้ผมซ่อมไฟห้องคุณให้ก็ได้”
“คุณทำได้หรือคะ”
“ยิ่งกว่าซ่อมไฟผมก็ทำได้”
“จริงหรือคะ” หญิงสาวถามเสียงใส ดวงตาเปล่งประกายเต็มไปด้วยความหวังที่อย่างน้อยก็ไม่ต้องระเห็จไปห้องเพื่อน ไม่ต้องไปอยู่ตามลำพังสองต่อสองกับเขาในห้องนอนของเขา
“ผมทำได้ แต่ห้องคุณมีเครื่องมือช่างหรือเปล่า”
“มีค่ะ พ่อเตรียมไว้ให้”
“ถ้าอย่างนั้นรอผมเดี๋ยวเดียวละกัน ผมเอาของไปเก็บและหาไฟฉายก่อน”
“ขอบคุณค่ะเดฟ” ทีแรกเธอก็ว่าจะไปกับเขาด้วย เพราะอย่างน้อยเขาก็อุตส่าห์เสนอตัวช่วย แต่พอคิดดีๆ แล้วคงไม่เหมาะเท่าไรที่จะเข้าไปอยู่กันตามลำพังในห้องของเขา แม้ว่าจะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ก็เถอะ
เพียงไม่นานเดฟก็กลับมาพร้อมกับไฟฉายและกล่องอุปกรณ์ช่างในมือ
“ฉันช่วยถือนะคะ” เขาจะช่วย เธอก็เกรงใจมากแล้ว ช่วยอะไรได้ก็อยากจะช่วย แต่เดฟหัวเราะเบาๆ แล้วส่ายหน้าปฏิเสธ
“อย่าเลยแม็กกี้ มันหนัก คุณถือไม่ไหวหรอก เปิดประตูห้องให้ผมดีกว่า”
“ค่ะ” หญิงสาวรับคำอย่างว่าง่าย
เธอเปิดประตูให้เดฟ แล้วเดินไปหากล่องอุปกรณ์ช่างที่พ่อทิ้งไว้ให้แต่เธอก็ใช้ไม่เป็น และหาบันไดมาไว้ให้เขาด้วย
“แบกมาเองเลยหรือ” เดฟถามเสียงกลั้วหัวเราะ แม้ว่าห้องจะยังมืดอยู่ ทว่าแสงไฟจากข้างทางที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้องก็ทำให้แมคเคนซี่มองเห็นรอยยิ้มและดวงตาวาววับของเขา
“อยากช่วยนี่คะ”
“ถ้าอย่างนั้นช่วยถือไฟฉายให้ผมนะ” เดฟยัดไฟฉายใส่มือเธอแล้วเดินไปตรงจุดควบคุมไฟ แมคเคนซี่จึงต้องเดินตามไปคอยส่องไฟให้เขา
“ซ่อมได้ไหมคะ”
“สบายมาก” เดฟตอบสั้นๆ แล้วเขาก็ทำอะไรกุกกักอยู่ที่แผงควบคุมไฟเป็นนานสองนาน จากนั้นจึงย้ายไปที่หลอดไฟ โดยมีแมคเคนซี่คอยถือไฟฉายส่องตามเขาตลอดเวลา
“ทำไมคืนนี้คุณกลับดึกล่ะแม็กกี้” ชายหนุ่มหน้าดุถาม เขาเป็นฝ่ายชวนเธอคุยก่อนอีกแล้ว เหมือนอย่างทุกครั้งที่ได้คุยกัน
“ฉันไปห้องสมุดมาน่ะค่ะ ไปซื้อของกินไว้ตุนอีก ก็เลยดึกเลย”
“ตุนไว้ทำไม” เดฟถามทั้งที่ไม่ได้มองหน้าแมคเคนซี่เลย ชายหนุ่มทำงานของตัวเองไปอย่างขะมักเขม้น ปากก็ชวนคุยไปเรื่อย
“ก็ฉันจะสอบแล้ว ปกติเวลาสอบฉันจะไม่ออกไปไหนเลย อยากมีสมาธิอ่านหนังสือ”
“ไปอ่านที่เซ็นทรัลปาร์คไหมล่ะ”
“ในสวนสาธารณะน่ะหรือคะ” แมคเคนซี่ขมวดคิ้วแล้วก้มหน้าลง เพราะแหงนคอมองเขาทำงานจนเมื่อยแล้ว แต่ก็ยังถือไฟฉายส่องให้เขาอยู่เหมือนเดิม
“ใช่ บรรยากาศดีออก ไม่ต้องอุดอู้อยู่ในนี้ด้วย”
“ไม่ไหวหรอกค่ะ คนเยอะจะตายไป ฉันไม่มีสมาธิอ่านหนังสือเลย”
“ลองดูก็ไม่เสียหายนี่” เดฟหัวเราะเบาๆ เขายังขยับอะไรดังกุกกักตลอดเวลา แมคเคนซี่จึงเงยหน้าขึ้นไปมองใหม่ แต่ก็ไม่รู้อยู่ดีว่าเขากำลังทำอะไร
“ไม่อ้ะ ฉันไม่ไปหรอก”
“เดี๋ยวผมไปด้วย” เขาพูดกลั้วหัวเราะ
แมคเคนซี่รู้สึกได้ถึงความเจ้าเล่ห์ในน้ำเสียงของเขา จนเผลอตวัดตามองค้อนแม้กระทั่งในความมืด แม้จะรู้ว่าเขาไม่มีวันเห็นก็เถอะ แต่เธอหมั่นไส้เสียงหัวเราะของเขาจริงๆ
“แล้วจะเสร็จหรือยังคะ”
“ยังเลย ถ้าคุณเมื่อยก็นั่งก่อนสิแม็กกี้ ไม่ต้องชวนผมคุยก็ได้”
“ไม่ดีกว่าค่ะ แค่นี้ก็รบกวนคุณมากแล้ว แทนที่กลับมาแล้วจะได้พักผ่อน”
“จะไม่ถามจริงๆ หรือว่าผมไปไหนมาบ้าง” เขาถามเสียงเรียบ ชวนคุยไปเรื่อยเพื่อไม่ให้ห้องเงียบเกินไป
“แล้วไปไหนล่ะคะ” ในเมื่อเขาเสนอ แมคเคนซี่ก็เลยต้องถามสนองเขาสักหน่อย
“ออกไปดูบาสเกตบอลมา รอบชิงน่ะ”
“มันควรจะเลิกนานแล้วนี่คะ” น่าจะเลิกตั้งแต่บ่าย แต่เขากลับเสียดึกเชียว
“ไปสะพานบรุกลินมาด้วย คราวหน้าจะพาคุณไปเดต” เขาพูดทีเล่นทีจริง ดูขี้เล่นเหมือนเคย แต่แค่นั้นก็มากพอที่จะทำให้แมคเคนซี่ใจสั่นแล้ว
“ฉันยังไม่ตกลงจะไปด้วยเสียหน่อย” เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วถามต่อ “ยังไม่เสร็จอีกหรือคะ”
“ยังเลย”
ไม่รู้ทำไมแมคเคนซี่จึงรู้สึกว่าน้ำเสียงของเขาแปลกๆ เหมือนกำลังกลั้นหัวเราะ เจ้าเล่ห์ ไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย ไม่รู้ว่าแอบทำอะไรแผลงๆ อยู่หรือเปล่า
“ทำไมนานจังเลยล่ะคะ”
“ไม่รู้สิ ผมกำลังพยายามซ่อมให้อยู่” เดฟบอกแล้วเปลี่ยนเรื่องคุยหน้าตาเฉย “สอบเสร็จเมื่อไหร่หรือแม็กกี้”
“วันเดียวค่ะ แค่อาจารย์นัดสอบย่อย เป็นการทดสอบเฉยๆ แต่นิดเดียวฉันก็พลาดไม่ได้หรอก...ว่าแต่มีอะไรหรือคะ”
“ผมรอคำตอบเรื่องเดตที่โมมาไง”
“ขอคิดดูก่อนนะคะ” แมคเคนซี่บอกปัด ไม่ใช่เพราะกลัวเขา แต่เธอกลัวใจตัวเองจะอ่อนไหวไปมากกว่านี้ต่างหาก ยิ่งนานวันยิ่งรู้จักกันมากเท่าไร เธอก็ยิ่งพบว่าหัวใจของตัวเองเปราะบางลงเรื่อยๆ เสียแล้ว
“คุณคิดมานานเป็นสัปดาห์แล้วแม็กกี้”
“ก็...”
“กลัวผมหรือ” เขาถามด้วยน้ำเสียงกรุ้มกริ่มพิกล จนแมคเคนซี่ต้องแหงนหน้าขึ้นมองเขา เป็นจังหวะเดียวกับที่เดฟก้มหน้าลงมาพอดี แสงไฟจากไฟฉายส่องกระทบเสี้ยวหน้าคมคาย ทำให้แมคเคนซี่เห็นรอยยิ้มที่มุมปากของเขา
แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เธอกลัวได้อย่างไรล่ะ...
คนถูกถามเอาแต่นิ่งเงียบแล้วหลุบตา ไม่สบตาเขาอีกต่อไป แต่ก็ลืมตัวลดมือที่ถือไฟฉายส่องไฟให้เขาไปด้วย จนเดฟหัวเราะเสียงดัง
“อายก็ได้ ผมไม่ว่า แต่ส่องไฟให้ก่อนได้ไหมแม็กกี้ เดี๋ยวซ่อมไม่เสร็จกันพอดี”
แมคเคนซี่จึงต้องแหงนหน้ากลับขึ้นไปแล้วช่วยส่องไฟฉายให้เขาอีกครั้ง
“ทำไมชอบแกล้งฉัน”
“ผมไม่ได้แกล้งเสียหน่อย”
“แต่คุณชอบพูดให้ฉันอาย”
“นั่นก็เพราะผมชอบเวลาที่คุณรู้สึกเขินอายเพราะผมไงแม็กกี้ มันทำให้คุณน่ารักน่ามองกว่าเวลาทำหน้าบึ้งๆ เหมือนคนอมทุกข์เป็นไหนๆ...รู้ตัวบ้างไหม” เดฟพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยราวกับชวนคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ เขาจะรู้บ้างไหมว่าคำพูดของเขาส่งผลอย่างไรต่อหัวใจคนฟัง
แมคเคนซี่รู้สึกเหมือนว่าสองแก้มร้อนผ่าวและใกล้จะระเบิดตัวตายไปเพราะคำพูดของเดฟ หัวใจเต้นแรง ทั้งหวั่นไหวและประหม่าปะปนกันไปหมด ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีคนพูดอย่างนี้กับเธอ แต่เพราะไม่เคยมีใครทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงจนไม่เป็นตัวของตัวเองได้อย่างเดฟต่างหาก
อันตรายเหลือเกิน...
นักศึกษาสาวบอกกับตัวเองว่าอย่าหลงคารมเขา อย่าหวั่นไหวไปกับสายตาทอประกายวาววับของเขา อย่าหวั่นไหวกับรอยยิ้มและน้ำเสียงอบอุ่นเป็นบางครั้งบางคราวของเขา เตือนใจตัวเองเข้าไว้ว่าเมื่อก่อนเขาเข้ามาหาเธออย่างไร เขาคุกคามเธอแค่ไหน เขาทำให้เธอหวาดกลัวเพียงไร
แต่แล้วเพราะกำบังพวกนั้นเปราะบางเหลือเกิน ไม่เพียงพอต่อความอบอุ่นเป็นกันเองที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตามวันเวลาที่ได้รู้จักกัน แมคเคนซี่ยอมรับว่าเธอกำลังหลอมละลายเพราะรอยยิ้มของเขา ที่ไม่ต่างจากคลื่นลมที่กัดเซาะกำแพงหัวใจจนพังทลายลงไม่มีเหลืออีกแล้ว
“เสร็จแล้ว”
เสียงเข้มของเขาทำให้แมคเคนซี่ได้สติ เธอยังนั่งอยู่ที่เดิมก็จริง แต่ก็ส่องไฟให้เขาตลอดเวลา “เป็นยังไงบ้างคะ”
“รอเดี๋ยวนะแม็กกี้” เดฟบอก เขาทำอะไรสักอย่างกับแผงควบคุมไฟเสียงดังกุกกัก เพียงชั่วพริบตาไฟก็ติด สว่างโร่ไปทั้งห้อง
“ขอบคุณมากค่ะเดฟ” เธอบอกเขายิ้มๆ แล้วถอนหายใจโล่งอกที่อย่างน้อยก็ไม่ต้องระเห็จไปไหน และยังได้นอนอยู่ในห้องตัวเอง ไม่ต้องเสียเงินตามช่างไฟด้วย
“สบายมากครับ”
“แล้วมันเป็นอะไรหรือคะ”
“สวิตช์เสียกับหลอดมันหลวมมั้งครับ” เดฟยักไหล่ พูดไปเรื่อยแล้วตัดบทดื้อๆ “ช่างเถอะ ตอนนี้ก็ใช้ได้แล้ว สบายใจได้แล้วครับแม็กกี้”
หญิงสาวหรี่ตาลงด้วยความสงสัย ทั้งน้ำเสียงเจ้าเล่ห์และไหนจะท่าทางแปลกๆ ของเขานี่ก็อีก ทำให้เธออดคิดไม่ได้ว่าบางทีไฟห้องเธอก็อาจจะไม่ได้เสียหรอก แต่เขาทำอะไรกับมันมากกว่า
“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะแม็กกี้ ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะ” ชายหนุ่มยกมือขึ้นทั้งสองข้างแสดงความบริสุทธิ์ใจ เธอเกือบจะเชื่อแล้วถ้าไม่สังเกตเห็นประกายตาวาววับในดวงตาคู่คมของเขา
นี่ก็อีก...ดูอย่างไรเดฟก็ไม่ใช่คนน่าไว้ใจเลยสักนิด เขามันเจ้าเล่ห์หาตัวจับยากคนหนึ่งเลยละ
“ช่างเถอะค่ะ” แมคเคนซี่ตัดบท เขาจะเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาซิกแซกไปไม่ตรงทางอย่างไรก็เรื่องของเขา แต่อย่างน้อยเขาก็ช่วยทำให้ไฟในห้องเธอติดอีกครั้ง แค่นั้นก็พอแล้ว
“ยังไงก็ต้องขอบคุณมากนะคะเดฟ ไม่ได้คุณฉันคงแย่”
“แล้วนั่นซื้ออะไรมาเยอะแยะเลยล่ะแม็กกี้”
“ก็บอกว่าขนมกับหนังสือ” เธอบ่นอุบอิบ เดินเอาขนมสารพัดอย่างไปแช่ในตู้ โดยมีเดฟช่วยถือของเดินตามเข้าไป
“ผมยังไม่ได้กินมื้อเย็นเลย” อยู่ๆ เขาก็พูดขึ้นมาลอยๆ ทำเสียงอ่อยๆ อย่างที่แมคเคนซี่เริ่มคิดในใจว่าเขาจะมาไม้ไหนอีก
“ฉันมีแต่ขนมเสียด้วยสิ”
“ผมเห็นในตู้เย็นคุณมีเนื้อแช่แข็งติดอยู่นิดหน่อยนะ”
หญิงสาวเริ่มถอนหายใจกับความเจ้าเล่ห์ของเขา แต่ก็อดไม่ได้ที่จะทำของกินให้เขา เพราะอย่างน้อยเขาก็ช่วยเหลือเธอให้รอดพ้นคืนอันตรายไปได้
“นั่งรอก่อนนะคะ ฉันทำอะไรให้กินเอง”
“ขอบคุณครับแม็กกี้” เดฟยิ้มพอใจอย่างไม่ปิดบัง ทั้งยังฉวยโอกาสก้มลงจูบหน้าผากเธออีก
แมคเคนซี่ตัวแข็งไปเลย เป็นครั้งที่เท่าไรของวันก็ไม่รู้ ที่เขาทำให้เธอทั้งตกใจทั้งตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูก ครั้งนี้ก็เช่นกัน แม้เขาจะผละไปช่วยเธอยกของอย่างอื่นเข้ามาในครัวแล้ว แต่รอยสัมผัสอุ่นๆ ยังตราตรึงและค่อยๆ ซึมลึกลงกลางใจอย่างช้าๆ
ห้องที่เคยเงียบเชียบราวกับไม่มีคนอยู่กลับเต็มไปด้วยเสียงเครื่องครัวกระทบกัน เสียงดุของหญิงสาวที่ฟังแล้วไม่น่ากลัวเลยสักนิดสลับกับเสียงโต้เถียงของชายหนุ่ม ที่คอยตามแกล้งให้ยุ่งตลอดเวลา จนหญิงสาวทนไม่ไหวต้องออกปากไล่ให้เขาไปรอข้างนอก
“ออกไปเลยเดฟ คุณไม่มีประโยชน์เลยรู้ตัวไหม” แมคเคนซี่บอกอย่างหมดความอดทน หลังจากถูกเขาดึงแก้มดึงผม แกล้งเธอตลอดเวลาที่กำลังหมักเนื้อเตรียมทำเนื้ออบให้เขา
“ก็ผมเห็นคุณทำหน้านิ่วคิ้วขมวดตลอดเวลาเลยน่ะสิแม็กกี้ มีอะไรให้เครียดนักหนา”
“ก็เพราะคุณนั่นแหละ” คนเสียงหวานดุเข้าให้ แต่ไม่ระคายผิวเดฟเลยแม้แต่น้อย เพราะเขาเอาแต่หัวเราะแล้วพยายามแย่งมีดในมือเธอ
“มาผมช่วย”
“เดฟ!” พูดไม่ฟังหนักเข้าเธอเลยดุเข้าให้
ชายหนุ่มมีท่าทีแปลกใจนิดๆ เขาจ้องมองเธอด้วยสายตาไม่เชื่อถือก่อนจะหัวเราะเสียงดัง
“ขำอะไร”
“นี่คุณดุแล้วหรือแม็กกี้”
“ใช่ คุณกำลังทำให้ฉันหมดความอดทนนะคะ”
“ไม่น่ากลัวเลย แต่น่า...”
“เงียบแล้วออกไปเลยนะ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องกิน” พูดพลางจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยแววตาเฉียบขาด นานๆ คนเย็นชายิ่งกว่าน้ำแข็งอย่างเธอจะโกรธจริงๆ จังๆ สักครั้ง
สุดท้ายเดฟก็ต้องยอม เขายกมือทั้งสองข้างขึ้น ยอมจำนนแล้วเดินถอยหลังออกจากห้องครัวไปแต่โดยดี
พอเขาไปแล้วห้องครัวเล็กๆ ของเธอก็กลับมาสงบสุขอีกครั้ง แมคเคนซี่ถอนหายใจโล่งอก นำเนื้อที่หมักได้ที่แล้วใส่เตาอบ แล้วหันไปหั่นผักสดทำสลัดให้เขาต่อ ดึกป่านนี้กินแต่เนื้ออย่างเดียวคงท้องผูกตายกันพอดี เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยพร้อมสรรพแล้ว เธอจึงยกออกไปให้เดฟที่นั่งรออยู่ข้างนอก
“เรียบร้อยค่ะเดฟ” หญิงสาววางจานเนื้ออบกับสลัดผักชามใหญ่ลงแล้วเงยหน้าขึ้นมองหน้าเขา แต่แล้วดวงตากลมโตของแมคเคนซี่ก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ ที่เห็นเดฟกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอ่านหนังสือนิยายรักที่เธอยืมมาจากห้องสมุด
“เดฟ!” แมคเคนซี่รีบเข้าไปแย่งหนังสือคืนจากมือเขา แต่เดฟไวกว่า เขาลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วแล้วชูมือข้างนั้นขึ้น ไม่ยอมคืนหนังสือให้ แค่นั้นแมคเคนซี่ก็ทำอะไรเขาไม่ได้แล้ว
“หยุดเลยแม็กกี้ ผมกำลังอ่านเพลินๆ นะ”
“คุณนั่นแหละหยุดเลย เอาคืนมาเดี๋ยวนี้” ถ้าเป็นคนอื่นเธอคงไม่กล้าจะเข้าไปประชิดตัวแล้วยื้อแย่งหนังสือคืนมาแน่นอน แต่กับเดฟไม่ใช่ เธอทนไม่ได้เวลาเขาทำหน้าตาล้อเลียนใส่ เขาจะต้องหัวเราะเยาะแน่ๆ ถ้ารู้ว่าเธอยืมนิยายโรมานซ์สุดวาบหวิวมาอ่านตามคำแนะนำของเพื่อน
“ผมกำลังอ่านเพลินๆ เลยนะแม็กกี้”
“ถ้าไม่คืนฉันจะโกรธคุณแล้วนะ” หญิงสาวเท้าสะเอว หน้าตาบึ้งตึงอย่างที่บอกว่าคราวนี้เอาจริง จนสุดท้ายเดฟก็ยอมคืนให้จนได้ แต่พอเธอดึงหนังสือคืนจากมือเขา เขากลับไม่ยอมปล่อย
“พระเอกนี่โรคจิตได้ใจเหมือนกันนะ” เขากระซิบด้วยน้ำเสียงกรุ้มกริ่ม ทำเอาแมคเคนซี่แก้มแดงจัด ทั้งโกรธทั้งอายปะปนกัน
“ไม่ต้องพูดเลย แล้วจะกินไหมคะ ถ้าไม่กินฉันจะได้ทิ้ง”
“กินครับๆ” เดฟรีบส่งหนังสือคืนให้เธอก่อนที่จะอดมื้อเย็นไปจริงๆ
แมคเคนซี่รีบเอาหนังสือไปซ่อนในห้องนอนแล้วถอนหายใจโล่งอก เกือบไปแล้ว ถ้าเขาอ่านจนจบเล่มจริงๆ เขาจะคิดว่าเธอเป็นคนอย่างไร มิถูกล้อเลียน ถูกเขาแกล้งไม่หยุดหย่อนหรอกหรือ
ต้องใช้ความกล้ามากเพียงไรถึงจะไปเผชิญกับตาคมๆ แบบไม่รู้สึกรู้สาอะไรได้ แมคเคนซี่หายใจเข้าลึกๆ รวบรวมกำลังใจอยู่นานสองนานกว่าจะออกไปจากห้องนอน และก็พบว่าเดฟจัดการอาหารจนเรียบไม่มีเหลือ รวมทั้งล้างจานให้อีกด้วย
“ขอบคุณมากเลยครับแม็กกี้” เขายิ้ม...แบบมีเลศนัยเหมือนเดิม แต่แมคเคนซี่ก็พยายามมองข้ามไปเสีย ไม่อย่างนั้นคงใจสั่นมากกว่าเดิม
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณที่คุณช่วยซ่อมไฟให้ฉันด้วย”
“ผมชงชาไว้ให้ด้วยครับ” เดฟบอกด้วยน้ำเสียงกรุ้มกริ่ม
แมคเคนซี่ตวัดสายตามองค้อนชายหนุ่มจอมเจ้าเล่ห์ ที่พอได้คืบก็จะเอาศอก ให้ทำอาหารให้ไม่พอ ยังจะหาข้ออ้างอยู่ในห้องเธอต่ออีก
“เพิ่งสี่ทุ่มเอง”
“ดื่มชาตอนนี้หรือคะ”
“ผมกินได้ตลอดเวลานั่นแหละ จะอาหารหรือจะเครื่องดื่ม เสียดายที่ห้องคุณไม่มีเหล้า”
“พอเลย ให้ฉันอยู่แบบสงบๆ บ้างเถอะค่ะ”
“ผมวุ่นวายหรือ” เขาถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจเสียเต็มประดา แต่แมคเคนซี่มองออกว่าเขาไม่ได้ตกใจจริงๆ หรอก ดูจากสายตานั่นปะไร
“ยังไม่รู้ตัวอีกหรือคะ”
“โธ่แม็กกี้ ผมก็แค่อยากตอบแทน”
“ถ้าอยากตอบแทนจริงๆ ก็ช่วยให้ฉันได้อยู่อย่างสงบสุขเสียทีเถอะค่ะ” แมคเคนซี่ถอนหายใจ ระอากับสารพัดลูกเล่นของเขา ยอมรับว่าทุกอย่างสั่นคลอนหัวใจของเธอเป็นอย่างมาก ถ้ายังยืนเถียงกันอยู่ตรงนี้ เธอคงจะใจอ่อนให้เขาในไม่ช้า
“ก็ได้” ชายหนุ่มทำหน้าเศร้า “ถ้าอย่างนั้นผมกลับห้องก่อนแล้วกัน ฝันดีครับแม็กกี้” เดฟยิ้มแล้วเดินนำไปที่ประตู
แมคเคนซี่เดินไปส่งเขาอย่างระแวดระวัง ดวงตากลมโตมองทุกอิริยาบถของเดฟ กลัวเขาจะฉวยโอกาสทำอะไรให้เธอใจสั่นอีกหรือไม่ เหมือนอย่างคราวก่อนที่เขาเดินมาส่งถึงหน้าประตูและจูบหน้าผากเธอ
ร่องรอยสัมผัสนั้นยังตราตรึงอยู่จนถึงตอนนี้ และเธอไม่อยากฟุ้งซ่านจนเรียนไม่รู้เรื่องเพราะเขาอีกแล้ว
“ราตรีสวัสดิ์ค่ะเดฟ”
“เดี๋ยวครับแม็กกี้” พอจะปิดประตู เขาก็รั้งเธอไว้จนแมคเคนซี่สะดุ้ง ถอยหลังหนีทันที บอกตัวเองให้ระวังไว้ว่าเขาจะทำอะไรอีก
“มีอะไรหรือคะ”
“ผมยังรอคำตอบเรื่องเดตที่โมมา ก่อนคุณสอบเป็นไง คิดว่าไปผ่อนคลายกัน”
“ฉัน...”
“ไม่เอาแล้วแม็กกี้ ผมให้คุณคิดนานแล้ว ผมอยากฟังคำตอบมากกว่า”
“ถ้าฉันตอบว่าไม่ล่ะคะ” นักศึกษาสาวกอดอกลองหยั่งเชิง ดูว่าเขาจะหลอกล่อเธออย่างไรอีก
“ผมคงทำอะไรไม่ได้หรอกครับ ก็แค่...” เดฟเว้นจังหวะเล็กน้อย ทำหน้าเศร้า แล้วพูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ “ผมคงจะเสียใจมาก เพราะนั่นเท่ากับว่าคุณรังเกียจผมมากเลยใช่ไหมครับแม็กกี้ ความดีที่ผ่านมาทั้งหมดของผมคงไม่มากพอ คุณเลยไม่อยากเป็นเพื่อนกับผม”
แมคเคนซี่ถอนหายใจ ยอมรับว่าเขาเล่นมุกนี้เธอก็ไปต่อไม่เป็นเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าเขาทำดีไม่พอ แต่เพราะเธอกลัวเสน่ห์ที่ล้นเหลือของเขาต่างหาก
“แล้วคำตอบล่ะครับ”
“ฉันไม่สนใจค่ะ” เจ้าของเสียงหวานตอบหนักแน่นจริงจัง
“ครับ ผมเข้าใจ” เดฟถอนหายใจแล้วเดินคอตกกลับไป
แมคเคนซี่ปิดประตูแล้วอมยิ้มขบขันอยู่คนเดียว เธอบอกว่าไม่สนใจ แต่ไม่ได้บอกเขาเสียหน่อยว่าจะไม่ไป ยอมรับว่ากลัว แต่เธอก็จะลองเปิดใจให้เขาดูบ้าง อย่างน้อยแค่เป็นเพื่อนกันก็คงไม่เป็นไร
หญิงสาวล็อกประตูแล้วเดินเข้าไปในห้องนอน มองหากองหนังสือที่จัดไว้สำหรับอ่านเตรียมสอบ พลันก็เหลือบไปเห็นความผิดปกติบางอย่าง
ชั้นหนังสืออ่านเล่นเล็กๆ ของเธอไม่เหมือนเดิม แมคเคนซี่รู้ดี เธอเป็นคนเจ้าระเบียบมาก พูดง่ายๆ ว่าแม้แต่เรียงหนังสือเข้าที่ยังเป็นระเบียบ ไม่เอียงไม่โย้ไปโย้มาเหมือนถูกจับยัดไว้ลวกๆ แบบนี้
ใครเข้ามาในห้องเธอ...
แค่คิดหญิงสาวก็ใจหายวาบ แมคเคนซี่ไม่คิดว่าเธอคิดไปเอง ไม่คิดว่าเธอเผอเรอถึงขนาดทำหนังสือสุดรักสุดหวงยับย่นเป็นรอยพับอย่างนี้แน่นอน ต่อให้เพิ่งตื่นนอนเธอก็จะปฏิบัติกับหนังสือตัวเองไม่ต่างจากแม่ปฏิบัติกับลูก ให้ตาย อย่างไรก็ไม่ใช่ฝีมือเธอ
แล้วมันฝีมือใคร...
นักศึกษาสาวออกจากห้องนอนตรงไปที่ประตูทันที เพื่อหาว่ามีร่องรอยการงัดแงะหรือไม่ แต่ก็ไม่เลย ไม่มีร่องรอยถูกงัดแงะ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น แต่เธอไม่หยุดแค่นั้น เดินไปที่หน้าต่างและริมระเบียง เพราะเธอเคยทำกระถางต้นไม้ตกแตกจนเศษดินกระจายเกลื่อน และก็ยังไม่ได้เก็บกวาดเลยด้วย คิดว่าจะต้องมีร่องรอยอะไรบ้าง แล้วก็เจอจริงๆ
รอยรองเท้าของใครอยู่บนพื้นระเบียง…
หญิงสาวหน้าซีดเผือด เธอรีบกลับเข้ามาในห้องพร้อมๆ กับความหวาดกลัวที่เข้ามาเกาะกุมหัวใจ ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ไม่เคยมีปัญหาเลย ไม่มีการงัดแงะขโมยของ และห้องเธอก็ไม่มีอะไรหายเลยด้วย นอกจากถูกรื้อค้นเท่านั้น
มีคนสะกดรอยตาม ถูกงัดห้อง และจะตามมาด้วยอะไรต่อ เอาชีวิตเธอ...อย่างนั้นหรือ
ความคิดเห็น |
---|