11

ตอนที่ 11


            เจ้าหน้าที่ตำรวจนิวยอร์กใช้เวลาไม่นานก็มาถึงอะพาร์ตเมนต์ของแมคเคนซี่ และเริ่มกั้นเขตค้นหาวัตถุพยานหลักฐาน เวลาผ่านไปนานสองนานแต่กลับไม่พบอะไรเลย ไม่มีรอยนิ้วมือผู้ต้องสงสัยภายในห้อง มีเพียงรอยรองเท้าผู้ชายที่ระเบียงเท่านั้น จึงเก็บหลักฐานรอยรองเท้าที่ได้มารวมทั้งตรวจกล้องวงจรปิดที่อยู่ใกล้เคียง แต่ก็พบว่าเสียทุกกล้อง ภาพมืดสนิทจนไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานได้

            เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจนิวยอร์กออกไปแล้ว แมคเคนซี่ได้แต่ครุ่นคิดว่าทั้งหมดนี่เป็นฝีมือใครกันแน่ ในเมื่อเธอไม่เคยมีศัตรูเลย เธอใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเสมอมา จนกระทั่งเจอกับเดฟ...

            เธอไม่อยากโทษเขาเพราะไม่มีหลักฐาน ไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นฝีมือเขา แต่ทุกอย่างก็บ่งชี้ไปที่ตัวเดฟทั้งนั้น ชีวิตเธอไม่เคยเป็นปกติอีกเลยตั้งแต่เจอเขา เขาอาจจะแสร้งทำดีให้เธอตายใจก็ได้ เพียงเพื่อจะได้บุกรุกห้องเธอง่ายๆ โดยไม่เจอร่องรอยอะไรเลยอย่างนั้นใช่ไหม

            เดฟทำได้ เธอเชื่อว่าเขาทำได้แน่นอน...

            หญิงสาวนึกไปถึงวันแรกๆ ที่เขาเริ่มตามเธอ ฝีเท้าเงียบกริบ แนบเนียนจนเธอไม่รู้เลยว่าเขาเริ่มตามเธอมาตั้งแต่เมื่อไร ไหนจะท่าทางเถื่อนๆ นั่นอีก ถ้าไม่ใช่เขาแล้วจะเป็นใคร

            เสียงเคาะประตูหลายต่อหลายครั้งทำให้หญิงสาวสะดุ้ง ดวงตากลมโตมองไปที่ประตูอย่างหวาดระแวง ไม่รู้ว่าเป็นใครกันแน่ เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินไปที่ประตูแต่โดยดี แมคเคนซี่ลังเลอยู่นาน ทำให้เสียงเคาะประตูยิ่งดังถี่ขึ้นเรื่อยๆ จนต้องยอมเปิดประตูให้ แล้วก็พบว่าไม่ใช่ใครเลย แต่เป็นคนที่เธอกำลังสงสัยอยู่พอดี

            “แม็กกี้” เดฟยืนนิ่งอยู่หน้าประตู สีหน้าของเขาราบเรียบ แต่ดวงตาเต็มไปด้วยความห่วงใย แต่เธอไม่คิดจะเชื่อเขาอีกต่อไปแล้ว

            “มีอะไรหรือเปล่าคะ” แมคเคนซี่ถามเสียงเรียบ ในเมื่อเขาจะเล่นบทเป็นคนดี เธอก็จะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เช่นกัน ดูว่าเขาจะทำอย่างไรต่อไป

            “ผมเห็นเอ็นวายพีดี”

            “ค่ะ”

            “มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

            คำถามนั้นทำให้แมคเคนซี่มองเขาด้วยสายตาจับผิด มีแววสนใจอย่างเห็นได้ชัดอยู่ในดวงตาคมคู่นั้น ทำเอาหญิงสาวลอบยิ้มแล้วเย้ยหยันอยู่ในใจ คนอะไรช่างเสแสร้งเก่งเหลือเกิน

            “ฉันเพิ่งสังเกตว่าโดนค้นห้องค่ะ”

            “มีอะไรหายหรือเปล่า”

            แมคเคนซี่ส่ายหน้า คิดในใจว่าเขารู้อยู่แล้วจะถามเธออีกทำไม

            “กลัวหรือเปล่า ถ้ากลัวไปนอนที่ห้องผมได้”

            หญิงสาวนิ่วหน้าทันที เขาคิดอย่างไรที่จะให้เธอไปนอนด้วย ต่อให้เป็นสถานการณ์ปกติ เธอก็ไม่คิดจะไปอยู่แล้ว นับประสาอะไรกับตอนที่เกิดเรื่องอย่างเช่นตอนนี้

            “คุณเป็นอะไรหรือเปล่าแม็กกี้” เดฟก้าวเข้ามาในห้อง แต่แมคเคนซี่ห้ามไว้เสียก่อน

            “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ คุณกลับไปพักเถอะ ฉันก็จะพักแล้วเหมือนกัน”

            “แม็กกี้” เขาเรียกชื่อเธอแล้วถอนหายใจ

            “ไม่มีอะไรหรอกค่ะเดฟ” หญิงสาวต้องรีบบอกปัดก่อนที่เขาจะหาเรื่องเข้ามาอีก เธอปิดประตูทันที ไม่ว่าเดฟจะเข้ามาหาเธอเพราะจุดประสงค์ใดก็ตาม แต่ระหว่างเขากับเธอจะไม่เหมือนเดิมอีก เพราะเธอไม่คิดจะไว้ใจเขาอีกแล้ว

            แมคเคนซี่นอนกระสับกระส่าย ไม่สามารถข่มตาหลับได้อีกเลยตลอดทั้งคืน พยายามหลับตาลงคราวใดก็อดระแวงไม่ได้ว่าจะมีใครลอบเข้ามาในห้องอีกหรือไม่ คนพวกนั้นต้องการอะไรจากนักศึกษาธรรมดาๆ อย่างเธอ แล้วถ้าพวกมันกลับเข้ามาอีกและเจอเธออยู่ตามลำพังเล่า...เธอจะทำอย่างไรดี

            หญิงสาวลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วแล้วมองไปที่หน้าต่าง เสียงดังกุกกักทำให้เธอเริ่มหวาดระแวง เธอลุกจากเตียงแล้วเก็บข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นรวมทั้งหนังสือสำหรับอ่านสอบทันที

            ถ้าอยู่ที่นี่ต่อไปเธอคงอ่านหนังสือไม่ได้แน่ ทุกวินาทีที่อยู่ในห้องคงเต็มไปด้วยความหวาดระแวงว่าคนร้ายจะเข้ามาอีกเมื่อไร ตราบใดที่ยังจับคนร้ายไม่ได้ เธอก็ไม่มีวันอยู่อย่างสบายใจเช่นกัน

            แมคเคนซี่เก็บของแล้วนั่งนิ่งๆ อยู่ในห้อง อยากออกจากห้องไปตั้งแต่ตอนนี้แต่ก็ทำไม่ได้ การออกจากห้องตอนดึกๆ มีแต่จะยิ่งอันตรายกว่าอยู่ในห้องเสียอีก เปรียบดังออกไปฆ่าตัวตายก็ไม่ปาน และเธอไม่สิ้นคิดพอที่จะทำแบบนั้น

            หญิงสาวคิดแล้วเดินไปชงช็อกโกแลตอุ่นๆ มานั่งดื่มพลางครุ่นคิดว่า คนพวกนั้นเป็นใครและต้องการอะไรกันแน่ แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ตก จึงตัดสินใจเดินออกไปที่ระเบียงแล้วแอบมองดูว่ามีใครต้องสงสัยมาวนเวียนอยู่ใกล้ๆ กับอะพาร์ตเมนต์ของเธอหรือไม่

            ตอนนี้ดึกแล้ว ไม่ควรมีใครอยู่แถวนี้ แต่กลับปรากฏร่างสูงใหญ่ของผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนระเบียงห้องของเขา

            “แม็กกี้”

            เสียงเรียกของเดฟทำให้หญิงสาวขมวดคิ้ว หัวใจที่เต้นเป็นปกติมาตลอดเต้นเร็วแรงขึ้นอีกครั้งด้วยความตกใจ แต่ก็ชั่วครู่เท่านั้น เพียงไม่นานความหวาดระแวงก็เข้ามาเกาะกุมทุกพื้นที่ในหัวใจ

            เขามานั่งทำอะไรอยู่บนระเบียงตอนดึกๆ ดื่นๆ เช่นนี้

            แม้จะเพิ่งสังเกตเห็นว่าเขาสูบบุหรี่อยู่ แต่นั่นก็ไม่ได้ลดความระแวงลงได้เลย แมคเคนซี่นิ่วหน้า เมื่อเห็นดวงตาคมกริบแม้ในความมืดของเขา

            “ยังไม่นอนหรือ หรือว่าไฟดับอีก” เขาถามยิ้มๆ แต่นั่นไม่ทำให้หญิงสาวรู้สึกดีขึ้นเลย

            แมคเคนซี่ยืนนิ่ง ไม่ตอบ ไม่ยิ้ม ไม่แม้แต่จะสบตาเขาตรงๆ

            “คุณดูแย่มากนะแม็กกี้ ผมไปหาคุณได้ไหม” เดฟถามด้วยน้ำเสียงอ่อนลงและเจือไปด้วยความห่วงใย

            หญิงสาวส่ายหน้า เธอไม่แน่ใจนักว่าควรจะเชื่อในสิ่งที่เห็นหรือไม่ เธอยังเชื่อใจเดฟได้อยู่หรือไม่

            “แม็กกี้...” ใบหน้าดุดันของชายหนุ่มฉายแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด ถ้าเธอยังยืนอยู่ตรงนี้อีกแม้แต่เสี้ยววินาที เชื่อได้เลยว่าเดฟจะต้องพยายามเข้ามาหาเธอแน่นอน

            แมคเคนซี่เข้าห้องแล้วดับไฟแสร้งทำเป็นนอนทันที ทั้งที่ความจริงเธอนอนไม่หลับ ไม่อาจข่มตาให้หลับได้เลยสักนิด สมองคิดถึงแต่เหตุการณ์ก่อนหน้า

            เดฟดีกับเธอมาก เขาดูจริงใจและพยายามทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือเธอ ใกล้ชิดเธอ แมคเคนซี่จำตอนที่เขาพาไปเที่ยวได้ ปกติแล้วเธอไม่สนใจมหานครแสนโรแมนติกอย่างนิวยอร์กเลยสักนิด เธอก็แค่อยู่ไปวันๆ เรียน ไปนั่งเล่นที่เซ็นทรัลปาร์คบ้าง แล้วก็กลับมาที่อะพาร์ตเมนต์ เธอไม่ชอบให้ใครแตะตัว ไม่ว่าจะผู้ชายคนไหนก็ตาม แต่วันนั้นเขาจับมือเธอเดิน เธอควรจะรังเกียจเขา แต่น่าแปลกที่เธอกลับรู้สึกว่าอุ้งมือของเขาอบอุ่นมาก และเธอก็รู้สึกดีมากๆ อีกด้วย

            แต่ใครเลยจะรู้ว่าจิตใจที่แท้จริงของเดฟเป็นอย่างไร เขาอาจจะทำทุกอย่างไปเพียงเพราะต้องการหลอกให้เธอตายใจก็ได้ เขาอาจจะแค่เข้ามาใกล้ชิดเธอเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ

            แต่เขาต้องการอะไรจากเธอ...

            ภายใต้รอยยิ้มนั้นแฝงไปด้วยสิ่งใด ภายในความอบอุ่นนั้นมีอะไรซุกซ่อนไว้กันแน่ ภายใต้การดูแลเอาใจใส่นั้น เขาต้องการอะไรจากเธอเป็นสิ่งตอบแทน

            แมคเคนซี่ไม่อยากมองคนในแง่ร้าย แต่เธอก็อดไม่ได้จริงๆ แม้จะอายุเพียงยี่สิบปี แต่เธอก็เติบโตมากับการทรยศหักหลังของคนที่ใกล้ชิดที่สุดของครอบครัว แล้วอย่างนี้เธอจะไว้ใจใครได้

            เธอได้แต่คิดวนเวียนซ้ำๆ อยู่อย่างนั้นทั้งคืน จนกระทั่งรุ่งสาง แมคเคนซี่จึงเก็บของที่จำเป็นแล้วออกจากอะพาร์ตเมนต์

            นับตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องจนถึงวันนี้ก็สี่วันแล้วที่แมคเคนซี่มาพักอยู่กับเรนนี่ เพราะกลัวว่าที่อะพาร์ตเมนต์ของตัวเองจะไม่ปลอดภัย แม้จะมีเรื่องให้กังวลใจอยู่บ้าง แต่อย่างน้อยการมาอยู่กับเรนนี่ก็ทำให้เธอสงบขึ้น มีเวลาอ่านหนังสือและไม่ต้องกลัวว่าจะถูกงัดห้องกลางดึกหรือไม่

            “ฉันไม่เคยคิดว่าการสอบจะนรกเท่านี้เลยจริงๆ” เรนนี่บ่นขณะถอดแว่นสายตาออกแล้วนวดดั้งจมูกเบาๆ สลับกับคลึงขมับ ท่าทางเครียดจัด

            แมคเคนซี่ยิ้มบางๆ เมื่อเห็นท่าทางเครียดจัดของเพื่อน เธอรู้ว่าเรนนี่เคร่งครัดเรื่องการเรียนมากเพราะเป็นนักเรียนทุน จึงชินเสียแล้วกับท่าทางเหมือนพร้อมจะฆ่าตัวตายได้ทุกเมื่อของเพื่อนสาว

            “เอาน่า เดี๋ยวก็จบแล้ว”

            “เธอจะไปฉลองกับเอ็มหรือเปล่าแม็กกี้” เพื่อนสาวชาวจีนเท้าคางถามอย่างคิดหนัก ได้รับคำชวนจากเอมิลี่มาตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเข้ามาเรียน จนจะครบปีอยู่แล้วแต่ก็ไม่เคยตอบรับคำชวนสักครั้ง

            “คงเลี่ยงไม่ได้แล้วละ ก็เราไปบอกเอ็มเองว่าคราวหน้าจะไปด้วย”

            “ฉันละอิจฉายายเอ็มจริงๆ ขี้เกียจเรียนแต่ก็ยังเรียนเก่ง”

            แมคเคนซี่พยักหน้า ข้อนี้เธอก็เห็นด้วยกับเรนนี่ เพราะตั้งแต่รู้จักกันมา เอมิลี่มีอะไรขัดกันตลอด ดูก๋ากั่นเป็นอเมริกันเกิร์ลผู้มาดมั่น ชอบบริหารเสน่ห์และเปลี่ยนคู่ควงเป็นว่าเล่น ดูไม่ค่อยสนใจเรียน แต่เป็นคนหัวดีมากคนหนึ่ง และผลการเรียนก็ไม่ขี้เหร่เลย

            “ไปบ้างก็ดีนะเรนนี่ ไม่แน่เธออาจจะเจอเคล็ดลับเรียนเก่งของเอ็มก็ได้นะ”

            “จริงด้วย” เรนนี่หันไปมองกองหนังสือของตัวเองแล้วก็ซบหน้าลงไปอย่างเหนื่อยอ่อน แค่มองยังเหนื่อยแล้ว นับประสาอะไรกับต้องอ่านให้หมดทั้งกอง

            “ออกไปข้างนอกหน่อยไหม เธอจะได้สดชื่นขึ้นบ้าง” แมคเคนซี่เสนอเพราะเห็นเพื่อนยังไม่คลายกังวลเลย ต่อให้จะรับปากยอมไปปาร์ตี้กับเอมิลี่หลังสอบเสร็จแล้วก็เถอะ

            “ขออีกหน่อยนะแม็กกี้ แล้วเราไปหาอะไรกินกัน ชวนเอมิลี่ด้วยไหม”

            “ฉันจัดการเอง เธออ่านไปเถอะเรนนี่” สาวลูกครึ่งไทยยิ้มหวานแล้วเดินแยกออกมาโทรศัพท์หาเอมิลี่ ชวนออกไปพักผ่อนข้างนอกด้วยกัน แต่เอมิลี่ปฏิเสธเพราะต้องการไปเดตกับหวานใจคนใหม่แทน

            แมคเคนซี่กับเรนนี่ออกจากห้องพักในตอนบ่ายแล้วขึ้นรถไฟใต้ดินมาลงที่เซ็นทรัลปาร์ค แวะซื้อวอฟเฟิลที่รถขายอาหารข้างทางแล้วจึงเดินไปยังสตรอว์เบอร์รี ฟิลด์ หรืออนุสรณ์ของจอห์น เลนนอน อดีตสมาชิกวงเดอะบีเทิลส์ที่ถูกฆาตกรรมระหว่างเดินกลับที่พักที่อยู่ตรงข้ามกับสวนสาธารณะเมื่อหลายสิบปีก่อน และเรนนี่ก็ชอบที่ตรงนี้มากเพราะเจ้าตัวเป็นแฟนเพลงของเดอะบีเทิลส์

            “ฉันชอบจัง” เรนนี่นั่งลง ลงมือจัดการวอฟเฟิลในมือไปพลางฮัมเพลง “Strawberry Fields Forever” ไปพลาง ด้วยท่าทางผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัดจนแมคเคนซี่หัวเราะเบาๆ

            “หัวเราะอะไรแม็กกี้” สาวชาวจีนหันมาค้อนไม่จริงจังนัก

            “ขำเธอนั่นแหละ สบายใจหรือบ้ากันแน่”

            “เขาเรียกว่าอารมณ์ดี”

            “ออกมาข้างนอกบ้างจะได้ไม่ต้องอุดอู้กดดันอยู่แต่ในห้อง เครียดเปล่าๆ” แมคเคนซี่บอกยิ้มๆ ทั้งหมดนี้มาจากประสบการณ์ตรงของเธอเอง ถ้าเธอมัวแต่อยู่ในห้องตอนที่ถูกบุกรุก ป่านนี้เธออาจจะเครียดจนเป็นบ้าไปแล้วก็ได้

            “แล้วไม่มีตำรวจโทร. หาเธอเลยหรือแม็กกี้”

            แมคเคนซี่ส่ายหน้า คดีเงียบไปเลย เจ้าหน้าที่มาเชิญเธอไปให้ปากคำเพิ่มเติมกับพวกเอฟบีไอเพราะดูแล้วเป็นการก่ออาชญากรรมอย่างหนึ่ง จึงถ่ายโอนไปให้หน่วยต่อต้านอาชญากรรมในนิวยอร์กของพวกเอฟบีไอ แต่ก็เหมือนเดิม ผ่านไปหลายวันแล้วไม่มีอะไรคืบหน้า ในเมื่อไม่เจอหลักฐานใดๆ ไม่มีภาพจากกล้องวงจรปิด ให้คลำทางในความมืดก็ยากที่จะหาทางออกได้ เธอเข้าใจเจ้าหน้าที่ทุกคนดี และไม่คิดจะเร่งรัดอะไรทั้งนั้น

            แต่เหนือสิ่งอื่นใด แมคเคนซี่อยากกลับไปใช้ชีวิตตามปกติมากที่สุด ชีวิตปกติที่ไม่มีเดฟเข้ามาคุกคามนำพาเรื่องร้ายๆ เข้ามาไม่หยุดหย่อน อยากกลับไปมีชีวิตเรียบๆ ที่แม้ไม่มีสีสันใดๆ เลยก็ปลอดภัยดี

            “เอาน่า...อย่าคิดมาก สอบเสร็จแล้วเราไปตะลุยปาร์ตี้แรกกัน” เรนนี่ยิ้มจนตาหยี และนั่นก็ทำให้แมคเคนซี่ยิ้มได้ เธอจับมือเพื่อนไว้แล้วพยักหน้าเบาๆ

            “ตกลงจ้ะ”

            “ฉันไปหาอะไรกินต่อนะ” สาวชาวจีนยิ้มแหย

            แมคเคนซี่หัวเราะเพราะรู้จักนิสัยเพื่อนดี เรนนี่ชอบกินมาก แต่เวลาเครียดมักจะไม่แตะอะไรเลย พอได้ออกมาผ่อนคลายก็เลยกินเต็มที่ ยิ่งเจอร้านวอฟเฟิลรสชาติถูกใจแบบนี้ คงอยากกลับไปยืนดูวิธีการทำแล้วแอบไปทำกินที่ห้องแน่นอน

            “ได้สิ” เธอพยักหน้าแล้วมองเรนนี่ที่แทบจะวิ่งไปทันที รอจนเรนนี่วิ่งไปไกลลับตาแล้ว รอยยิ้มเมื่อครู่จึงค่อยๆ จางหายไปพร้อมๆ กับสายลมอ่อนๆ ที่พัดผ่านมา

            นับตั้งแต่วันที่แมคเคนซี่ไม่อยู่ที่ห้อง เดฟเฝ้าสังเกตเป็นระยะๆ ว่าเธอจะกลับเข้าห้องเมื่อไร แต่เธอก็ยังไม่กลับมาเลย ครั้งหนึ่งเขาเคยไปดักพบเธอที่มหาวิทยาลัย แต่ก็ไม่เจอ ราวกับแมคเคนซี่ต้องการหลบหน้าเขา

            คิดแล้วก็ได้แต่นึกโมโหผู้หญิงตัวเล็กแต่แสนเย็นชาอย่างแมคเคนซี่เหลือเกิน ตั้งใจหลบหน้าหลบตาเขาทั้งที่กำลังมีอันตราย เธอไม่รู้เลยหรืออย่างไรว่าตอนนี้มีคนจ้องจะเล่นงานเธอจากมุมมืด ซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้...เดฟเองก็ไม่รู้เช่นกัน คนพวกนั้นอาจจะเป็นศัตรูของบรูซ หรืออาจจะเป็นศัตรูของพวกกัสซาโนก็ได้

            เดฟดับบุหรี่แล้วกลับเข้ามาในห้อง เขาพยายามต่อสายหาพวกกัสซาโนที่อยู่ๆ ก็หายไปเสียหลายวัน แต่ก็เหมือนเดิม ดิเอโกไม่รับสายเขา ไม่รู้ว่าติดธุระด่วนอะไรหนักหนาถึงไม่อาจรับสายได้เสียที รอแล้วรอเล่าก็ไม่มีใครรับ เดฟสบถอย่างหัวเสีย โยนโทรศัพท์ลงบนโซฟาแล้วเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้า สวมแจ็กเกตหนังสีดำตัวเก่งแล้วเดินมาเก็บโทรศัพท์ จากนั้นจึงออกจากห้องไป

            “อ้าว...”

เสียงอุทานด้วยความตกใจของผู้ชายคนหนึ่งทำให้เดฟต้องหันกลับไปมอง โคลิน คอนโนลลี่ เจ้าหน้าที่เอฟบีไอวัยกลางคนที่เคยพบกันมาแล้วนั่นเอง

            “โคลิน” เดฟจับมือกับเจ้าหน้าที่หนุ่มใหญ่ “ไม่คิดว่าจะเจอคุณที่นี่”

            “ก็เรื่องงัดอะพาร์ตเมนต์ไง ไม่คืบหน้าเลย ผมเลยได้เข้ามาตรวจสอบด้วย” โคลินขมวดคิ้วนิดๆ ด้วยความสงสัยแล้วถามออกมา “ไม่คิดว่าจะเจอคุณที่นี่นะเดฟ”

            “มาเฝ้าบ้านให้เจ้านายน่ะ”

            “เลิกทำงานให้แบล็ควอเตอร์แล้วหรือ”

            “ก็ไม่เชิงครับ” ทหารรับจ้างหนุ่มยักไหล่ ปกติงานของเขาก็เป็นความลับอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องขยายความใดๆ ทั้งสิ้น

            “ยังไม่ได้ไปดื่มด้วยกันเลย” โคลินบอกแล้วก้มมองนาฬิกาที่ข้อมือ “คืนนี้เป็นไง ว่างหรือเปล่า”

            “ได้สิครับ ไม่มีปัญหา”

            “ผมมีเรื่องจะปรึกษาคุณเยอะแยะเชียวละ” โคลินขยิบตาแล้วเดินไปสมทบกับเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ที่กำลังจะออกจากอะพาร์ตเมนต์ แล้วหันมากำชับเขา “แล้วเจอกันเดฟ”

            “ครับ” เดฟพยักหน้ารับ แต่ก็ยังสงสัยว่าโคลินจะคุยอะไรกับเขากันแน่

            เมื่อออกจากอะพาร์ตเมนต์แล้ว เดฟจึงตรงไปยังที่พักของเรนนี่ เพราะคิดว่าแมคเคนซี่ต้องมาหลบอยู่ที่นี่แน่นอน ใกล้สอบแล้วแมคเคนซี่คงหมกตัวอยู่กับเพื่อนสาวที่เคร่งครัดเรื่องเรียนเหมือนกันแน่แท้ เดฟนั่งสูบบุหรี่อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟใต้ดินที่อยู่ใกล้กับอะพาร์ตเมนต์ของเรนนี่ที่สุด แล้วก็จริงดังคาด รออยู่เพียงครู่เดียวเท่านั้นเขาก็เห็นสองสาวเดินมาที่สถานีรถไฟใต้ดินด้วยท่าทีผ่อนคลาย เรนนี่ชวนคุยไปเรื่อย และที่สำคัญคือเขาได้เห็นรอยยิ้มของแมคเคนซี่แล้ว

            ก็ดีกว่าให้เธอเครียดอยู่ตามลำพัง เดฟคิด ดับบุหรี่และลอบสะกดรอยตามทั้งสองไปห่างๆ จนกระทั่งทั้งสองไปลงสถานีเซ็นทรัลปาร์ค เขาแปลกใจนิดๆ ที่เห็นสองสาวไปซื้อขนมแล้วไปนั่งกินตรงอนุสรณ์ของจอห์น เลนนอน ไม่คิดมาก่อนว่าสองสาวจะฟังเพลงของเดอะบีเทิลส์ด้วย

            เดฟรอจนกระทั่งเรนนี่เดินออกไป ทิ้งให้แมคเคนซี่นั่งหน้าเครียดอยู่ตามลำพังบนเก้าอี้หน้าอนุสรณ์สตรอว์เบอร์รีฟิลด์นานสองนาน เขาจึงเดินเข้าไปหาแล้วนั่งลงข้างๆ แมคเคนซี่

            “คุณ!” หญิงสาวมีท่าทางตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นเขา แต่เพียงไม่นาน ความตกใจเมื่อครู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นความเยือกเย็นตามแบบของเธออย่างที่เดฟเห็นจนชินตา

            “ไม่ตกใจเลยหรือ”

            “ไม่หรอกค่ะ” เธอยิ้ม

เดฟสาบานกับตัวเองว่าเธอยิ้มให้เขาจริงๆ แต่เป็นรอยยิ้มที่ทั้งเยือกเย็นและเจือไปด้วยความเย้ยหยัน ทหารรับจ้างหนุ่มขมวดคิ้วด้วยความสงสัยว่าทำไมเธอถึงเป็นแบบนี้ ก่อนหน้านี้เธอก็ไม่มีทีท่ารังเกียจเขาแล้ว แต่ทำไมอยู่ๆ จึงกลับไปมีท่าทีแบบเดิมอีก คงไม่ได้หมายความว่าเธอคิดว่าเรื่องทั้งหมดนั่นเป็นเพราะฝีมือเขาหรอกนะ

            เดฟมองหญิงสาวร่างบางที่นั่งผินหน้าไปอีกทางราวกับเขาไม่มีตัวตนอยู่ตรงนี้ ยิ่งเพิ่มความไม่พอใจให้เขาขึ้นไปอีก

            “มีเรื่องอะไรหรือเปล่าแม็กกี้” เขาพยายามถามอย่างใจเย็น ทั้งที่ปกติแล้วตัวเองเป็นคนใจร้อนยิ่งกว่าอะไร แต่กับแมคเคนซี่ ร้อนไปก็เท่านั้น เพราะอีกฝ่ายเยือกเย็นยิ่งกว่าเจ้าหญิงน้ำแข็งเสียอีก

            ทว่าคนถูกถามไม่ตอบ เธอยังคงนั่งสงบเสงี่ยมเรียบร้อย และไม่มีวี่แววจะหันมาสนใจเขาเลยสักนิด จนทหารรับจ้างหนุ่มแทบทนไม่ไหว เขาอยากจะกระชากร่างบางมาใกล้ๆ แล้วจับเขย่าให้ตัวคลอน ถามให้รู้เรื่องกันไปเลย แต่ก็ทำไม่ได้เพราะที่นี่เป็นที่สาธารณะ

            “หันมาหาผมเดี๋ยวนี้แม็กกี้” เดฟสั่งเสียงเรียบ เขาไม่อยากเผด็จการกับเธอเลยสักนิด แต่ถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไปก็ไม่มีวันคุยกันรู้เรื่อง และเขาจะไม่รอให้เกิดเรื่องก่อนแน่นอน

            แต่แมคเคนซี่ยังดื้อเงียบแบบเสมอต้นเสมอปลาย เธอยังนิ่งและค่อยๆ ขยับออกไปอย่างช้าๆ  จนเดฟไม่ทนอีกต่อไปแล้ว เขากระชากแขนเล็กแล้วดึงร่างบางเข้ามาชิดตัวเขาพร้อมถามเสียงเครียด ดวงตาคมดุเป็นประกายวาววับตามด้วยความรู้สึกกรุ่นๆ ที่อัดแน่นอยู่ในใจ

            “เป็นอะไร ทำไมไม่พูดกับผมตรงๆ”

            “ฉันไม่เป็นไร และไม่มีอะไรจะพูด”

            เดฟหรี่ตามองสาวตรงหน้าอย่างมาดร้าย พอจะรู้รางๆ ว่าเธอคิดอะไรอยู่ แต่เขาอยากให้เธอพูดออกมาตรงๆ จะได้สะสางกันไปเลย

            หนุ่มสาวจ้องตากันอยู่อย่างนั้น ดวงตากลมโตของแมคเคนซี่ไม่มีแววหวาดกลัวเขาอย่างเมื่อก่อนอีกแล้ว มีแต่ความหวาดระแวงไม่ไว้ใจมากกว่า และนั่นทำให้เดฟโมโหยิ่งกว่าตอนที่เธอเอาแต่กลัวเขาเสียอีก

            “แม็กกี้...”

            “คุณไปเถอะ เลิกยุ่งกับฉันซะ ถ้าคุณต้องทำงานให้เจ้านายคุณแค่นั้นจริงๆ คุณก็ทำงานของคุณไป เราต่างคนต่างอยู่”

            “ไม่มีทาง” เดฟสวนกลับทันควัน จะให้เขาเลิกยุ่งกับเธอน่ะหรือ...ไม่มีทางเสียหรอก

            หนึ่งคนยังดื้อดึง แต่อีกคนก็ต้องการเอาชนะ เดฟรู้ว่าแมคเคนซี่คิดอย่างไรกับเขา และความคิดนั้นก็มีความจริงอยู่บ้างบางส่วน แต่เขาก็ยังบอกเรื่องทั้งหมดแก่เธอไม่ได้...ยังไม่ใช่ตอนนี้

            “คุณต้องการอะไรจากฉันกันแน่” นักศึกษาสาวเชิดหน้าขึ้นถาม ดวงตากลมโตวาววับอย่างเอาเรื่อง ไม่มีสาวน้อยขี้กลัวอีกต่อไปแล้ว ก็เหมือนกับคนที่เมื่อเดินไปเจอทางตันย่อมพร้อมจะหันหลังสู้ทุกเมื่อ

            “ผมไม่ต้องการอะไรจากคุณ”

            “ฉันไม่เชื่อ” ใบหน้าสวยหวานแต่เยือกเย็นส่ายไปมา “ตั้งแต่เจอคุณ ชีวิตของฉันก็ไม่เคยสงบสุขอีกเลย มันไม่เคยเป็นปกติอีกเลยตั้งแต่คุณก้าวเข้ามาในชีวิตของฉัน”

            “ไม่ใช่เพราะผม”

            “ใช่สิ...ถ้าไม่ใช่เพราะคุณแล้วจะเป็นเพราะใคร ฉันถึงต้องวุ่นวายแบบนี้ เพราะฉันเหรอ!” หญิงสาวย้อนถาม สีหน้าของเธอฉายแววสับสนแกมตัดพ้อ

            เดฟนิ่งไปเล็กน้อยเพราะพูดไม่ออก อยากบอก...แต่ก็ยังบอกไม่ได้ ตราบใดที่ยังติดต่อพวกกัสซาโนไม่ได้ เขาก็บอกอะไรเธอไม่ได้ทั้งนั้น

            “ตั้งแต่ที่คุณเดินเข้ามา ชีวิตฉันเปลี่ยนไปหมด ฉันไม่เคยได้กลับไปมีชีวิตสงบสุขอีกเลย ฉันเกือบจะรู้สึกดีกับคุณแล้วแท้ๆ แต่ห้องฉันก็ถูกงัด ถ้าไม่ใช่เพราะคุณแล้วจะเพราะใคร”

            “คุณเข้าใจผิดนะแม็กกี้” มือหนาดึงแขนเล็กไว้แล้วกระชากให้เธอนั่งลงข้างๆ เขาเหมือนเดิม แต่แมคเคนซี่ดื้อมาก พอเขาดึงให้เธอมานั่งข้างๆ เขา เธอก็ลุกขึ้นอีกครั้งทั้งยังพยายามแกะมือของเขาออก จนเดฟทนไม่ไหว เขากระชากร่างบางให้ลงมานั่งซ้อนตักด้วยกิริยาไม่นุ่มนวลนัก และนั่นก็ทำให้ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตกใจ

            “เดฟ!” นักศึกษาสาวอุทานเสียงใสแล้วพยายามลุกขึ้นอีกครั้ง

เดฟกอดเอวเล็กแน่นแล้วกดให้เธอนั่งอยู่บนตัก ไม่สนใจสายตาที่เต็มไปด้วยความสนใจของคนที่ผ่านไปผ่านมา เพื่อมาเยือนอนุสรณ์ของจอห์น เลนนอน

            “ปล่อยฉัน” สาวร่างเล็กบางยังดิ้นขลุกขลัก รู้สึกร้อนไปทั้งหน้า สองแก้มเริ่มซับสีระเรื่อ เธอมองซ้ายทีขวาทีเพราะอายสายตาคนรอบๆ ที่มองมาด้วยความสนใจ

            เดฟรู้ดีว่าหญิงสาวที่นั่งซ้อนตักตัวเองอยู่ตอนนี้กำลังทั้งโกรธทั้งอายเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่คิดจะปล่อย จากที่เคยโมโหคนดื้อที่เอาแต่หนี ตอนนี้เดฟเริ่มอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อยแล้วเวลาที่เห็นคนเดินผ่านไปผ่านมาลอบยิ้ม คงคิดว่าเขากับแมคเคนซี่เป็นคู่รักกันกระมัง

            “ไม่ปล่อย” ทหารรับจ้างหนุ่มยิ้มเจ้าเล่ห์ ไม่สนใจแววตาดุๆ ของหญิงสาวเลยแม้แต่น้อย

            “คนมองหมดแล้ว”

            “ก็ช่างเขาปะไร”

            “คุณไม่อาย แต่ฉันอายนะ!” แมคเคนซี่ดุ

            “ให้ตายเถอะทูนหัว นี่คุณดุแล้วหรือ”

            “อย่าเรียกฉันอย่างนั้นนะ!” สองแก้มของแมคเคนซี่แดงระเรื่อ เธอพยายามดิ้นรน แต่สองแขนกำยำก็รัดไว้แน่น ยิ่งทำให้เธออับอายกว่าเดิมมากขึ้นไปอีก

            “ปล่อยได้แล้วเดฟ”

            “ผมจะปล่อยก็ต่อเมื่อคุณยอมคุยกับผมดีๆ”

            “ฉันไม่มีอะไรจะคุยด้วย” แมคเคนซี่เชิดหน้าคอแข็ง ท่าทางหยิ่งๆ ของเธอทำให้เดฟแทบอดใจไม่ไหว อยากจะดึงเธอเข้ามาจูบใจแทบขาด แต่ทำไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเธอคงตกใจแล้วเตลิดไปมากกว่านี้

            ปกติแล้วเดฟจะไม่เอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องงาน แต่แมคเคนซี่เป็นข้อยกเว้น เขารู้จักเธอเพราะงานตามหาทนายบรูซ แม้จะได้รับคำสั่งให้ดูแลเธอต่อ แต่ทุกอย่างยังกำกวมและไม่มีอะไรกระจ่างชัดสักอย่าง ไม่ว่าแมคเคนซี่จะรู้หรือไม่รู้เรื่องระหว่างบรูซกับกัสซาโน แต่เดฟก็ตั้งใจแล้วว่าจะพิสูจน์ข้อเท็จจริงนี้เอง จะไม่เชื่อใครทั้งนั้น

            ดังนั้นก็ถือว่าแมคเคนซี่ไม่ใช่งานของเขา...

            ทหารรับจ้างหนุ่มยิ้มเจ้าเล่ห์ โทสะน้อยนิดของแมคเคนซี่คือเสน่ห์ที่ทำให้เดฟยิ่งอยากค้นหาว่าเวลาเจ้าหญิงน้ำแข็งโมโหจนฟิวส์ขาดจะเป็นอย่างไร เธอจะทำอย่างไรกับเขา ทุบตี ด่าทอ หรือทำนิ่งอย่างที่เคยมา

            แต่ตอนนี้เขาอยากจูบเธอมากกว่า

            การดิ้นรนและเรี่ยวแรงอันน้อยนิดของหญิงสาว ไม่ได้ทำให้ผู้ชายร่างใหญ่อย่างเขาเจ็บปวดระคายผิวตรงไหนเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม เขากลับยิ่งหัวเราะชอบใจกับการพยายามเอาตัวรอดของเธอ และคราวนี้แมคเคนซี่คงรู้ทันแล้ว จึงนิ่งขึงไปทันทีเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของเขา

            “ไม่ดิ้นต่อล่ะ” เดฟยักคิ้วยั่วเมื่อเห็นสองแก้มแดงๆ กับแววตาดุๆ ของแมคเคนซี่

            “ไม่แล้ว ดิ้นก็เหนื่อยเปล่า”

            “ทีนี้จะคุยกันได้หรือยัง”

            นักศึกษาสาวเม้มปากนิดๆ ท่าทางครุ่นคิดอย่างหนัก แล้วย้อนถามเสียงเครียด “คุณต้องการอะไรกันแน่”

            “ผมไม่ได้ต้องการอะไรจากคุณ”

            “แล้วทำไมไม่เลิกยุ่งกับฉันเสียที” แมคเคนซี่มองค้อน คิ้วสวยเหนือดวงตากลมโตขมวดมุ่นจนแทบจะผูกกันเป็นปม และนั่นทำให้เดฟหัวเราะลั่น

            “เบาหน่อยสิ คุณไม่อาย แต่ฉันอายนะ” สาวเจ้าดุซ้ำ และทำให้เดฟยิ่งหัวเราะเสียงดังกว่าเดิม

            “ถามจริงๆ เถอะนะทูนหัว...”

            “บอกว่าอย่าเรียกฉันอย่างนี้” หญิงสาวแหวใส่ทันควัน ไม่รอให้เขาพูดจบด้วยซ้ำ

            “เอาละๆ แม็กกี้” เดฟต้องยอมแพ้ในที่สุด “ผมไม่ได้ต้องการอะไรจากคุณทั้งนั้น แต่...”

            “แล้วทำไมไม่เลิกยุ่งกับฉันเสียทีล่ะ”

            “คุณดูไม่ออกหรือว่าผมคิดยังไง” เขาย้อนถามเสียงเข้ม ไม่ใช่แค่ถามเธอเท่านั้น แต่เขากำลังถามตัวเองอยู่เช่นกัน การเข้ามาตีสนิทกับแมคเคนซี่มันก็แค่แผนการเพื่อจะสืบเรื่องระหว่างบรูซกับกัสซาโนเท่านั้น แต่ทำไปทำมาเขากลับเริ่มอยากรู้จักเธอจริงๆ เสียเอง อยากรู้ว่าแมคเคนซี่ซ่อนอะไรไว้ภายใต้ความเย็นชา อยากรู้ว่าระหว่างความเย็นชากับความดื้อแบบเด็กสาวทั่วไปที่เธอเผลอหลุดมาให้เป็นครั้งคราว แท้จริงแล้วเธอเป็นคนอย่างไรกันแน่ อยากรู้ว่าทำไมเด็กสาวที่ยังอยู่ในวัยสดใสอย่างเธอถึงดูนิ่งงันและเก็บตัวนัก ทำไมเด็กสาวที่ควรจะได้ออกเดตกับชายหนุ่มรุ่นเดียวกันกลับดูสนิทสนมกับชายแก่คราวพ่อ จนถูกลือไปทั่วว่าเธอเป็นเมียเก็บ

            เดฟอยากรู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับแมคเคนซี่ นานวันความอยากรู้ก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความสนใจในตัวเธออย่างช้าๆ อย่างที่เดฟเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าเริ่มรู้สึกแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร กว่าจะรู้ตัวอีกทีเขาก็ไม่อาจละสายตาจากเธอได้อีกแล้ว และจะให้เขาทนได้อย่างไรเมื่อถูกแมคเคนซี่ปฏิบัติราวกับไม่มีตัวตน

            ทหารรับจ้างหนุ่มจ้องมองเข้าไปในดวงตากลมโตสีน้ำตาลเป็นประกายเจิดจ้าคู่นั้นแน่วแน่ สื่อสารผ่านทางสายตาให้หญิงสาวที่นั่งซ้อนตักรู้ว่าเขาคิดอย่างไรกับเธอ แต่แมคเคนซี่หลบตาเขาทันที เธอพยายามลุกขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้เขายอมปล่อยในที่สุด

            “ผมรู้ว่าคุณคิดว่าเรื่องที่คุณถูกงัดห้องเป็นฝีมือผม หรือไม่ผมก็มีส่วนเกี่ยวข้อง...ถูกไหม” ในเมื่อเธอไม่พูด เดฟก็ต้องเป็นฝ่ายออกปากเสียเอง ไม่อย่างนั้นคงคุยกันไม่รู้เรื่องแน่นอน

            แมคเคนซี่เม้มปาก เธอพยักหน้าเบาๆ แทนคำตอบ

            “ไม่ใช่ฝีมือผม”

            “แต่...”

            “และไม่เกี่ยวข้องกับผม” ปลายนิ้วกร้านแตะคางมนให้หันกลับมาสบตา

            “ฉันจะเชื่อคุณได้ยังไง” เจ้าของเสียงใสบอกด้วยความสับสน เธอมองเห็นความจริงจังในดวงตาคมกริบคู่นี้ก็จริง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ...มันก็บอกอยู่แล้วว่าต่อจากนี้ไปจะไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีก และแมคเคนซี่ไม่ต้องการมันเลยสักนิด

            “คุณเชื่อใจผมได้”

            “ฉัน...”

            “เชื่อเถอะแม็กกี้ ถ้าผมคิดร้ายกับคุณจริงๆ ผมก็ทำไปนานแล้ว ตัวคุณแค่นี้ไม่รอดมือผมหรอก”

            แมคเคนซี่ยังมีสีหน้าสับสน เธอส่ายหน้าไปมา ท่าทางยังคิดไม่ตก จนเดฟได้แต่ถอนหายใจ ในเมื่อแมคเคนซี่กำลังสับสน เขาก็จะให้เวลาเธอก่อน

            “คิดดูก่อนก็ได้แม็กกี้” ทหารรับจ้างหนุ่มบอกพร้อมจับมือเธอไว้ แต่แมคเคนซี่ค่อยๆ ดึงมือออกอย่างนุ่มนวล เธอยังไม่พูดอะไรเหมือนเคย จนเดฟต้องถามถึงเรื่องที่เคยถามเธอไว้ แต่จนตอนนี้ก็ยังไม่ได้คำตอบ

            “แล้วเรื่องเดตที่โมมาล่ะแม็กกี้”

            “แล้วฉันจะคิดดูใหม่ค่ะ” เธอตอบสั้นๆ อย่างขอไปที

เดฟดูออก แต่ก็เหนื่อยที่จะทะเลาะกับเธอแล้ว แมคเคนซี่ยังไม่ไว้ใจเขา และเขาก็ไม่ควรเร่งรัด เพราะมีแต่จะยิ่งทะเลาะกันมากขึ้นเท่านั้น

            “ผมจะรอ”

            “คุณไปเถอะค่ะ เดี๋ยวเรนนี่คงจะมา”

            “ดูแลตัวเองด้วยแม็กกี้”

            หญิงสาวพยักหน้า

            เดฟได้แต่ถอนหายใจ แต่ก็ยอมลุกขึ้นแล้วเดินออกไป ทั้งที่ใจอยากอยู่กับเธอต่อ แต่ก็อย่างว่า...แค่นี้ก็ยังทะเลาะกันจนพูดกันไม่รู้เรื่องแล้ว ซื้อเวลาต่อไปก็ใช่ว่าจะดี เว้นจังหวะเวลาให้เธอบ้าง ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ให้แมคเคนซี่เชื่อเองว่าเขาไม่ได้คิดร้ายกับเธอ เมื่อนั้นทุกอย่างก็จะดีเอง

            “ทำไมหน้าซีดอย่างนั้นล่ะแม็กกี้” คำถามของเรนนี่ทำให้แมคเคนซี่ได้สติ หลังจากเอาแต่คิดถึงสิ่งที่เดฟพูดเมื่อครู่ก่อนที่เขาจะแยกออกไป ยอมรับว่าตัวเองกำลังสับสนและคิดไม่ตกว่าอะไรคือเรื่องจริงกันแน่ จึงไม่ได้สังเกตว่าเรนนี่กลับมาตั้งแต่เมื่อไร

            แมคเคนซี่ยิ้มน้อยๆ ส่ายหน้าแทนคำตอบ แล้วเปลี่ยนไปถามเรื่องอื่นเพราะไม่อยากถูกซักไซ้

            “ทำไมไปนานจังเลยล่ะเรนนี่” หญิงสาวยิ้มกลบเกลื่อน ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่อยากให้เพื่อนสงสัยแล้วจะพลอยคิดหนักไปด้วย ไว้ให้สอบเสร็จแล้วค่อยว่ากันอีกที

            “คนเยอะน่ะ ฉันรอตั้งนานกว่าจะได้กิน”

            “แล้วไหนล่ะวอฟเฟิลน่ะ” ดวงตากลมโตมองหาขนมที่เพื่อนบอกว่าจะไปซื้อ แต่ก็ไม่เห็นมีอะไรเลย

            “จัดการหมดไปแล้ว พอดีกินไปยืนดูเขาทำไปด้วย เพลินดี”

            “มิน่าล่ะหายไปนานเลย”

            “ไปเดินเล่นต่อไหม ฉันอยากเดินย่อยพอดี”

            “ไปสิ” แมคเคนซี่คว้ากระเป๋าสะพายและหนังสืออ่านเล่นมากอดไว้ แล้วลุกขึ้นเดินตามเรนนี่ไปช้าๆ ท่าทางยังเลื่อนลอยจนเพื่อนต้องถามซ้ำเพื่อความแน่ใจ

            “เธอไม่ได้เป็นอะไรแน่นะแม็กกี้”

            “ไม่ๆ ฉันสบายดี”

            “เดินอย่างกับซอมบี แน่ใจนะว่าไม่มีอะไร เธอรู้ใช่ไหมแม็กกี้ว่าบอกฉันได้ทุกเรื่อง” สาวชาวจีนพูดด้วยสีหน้าดุๆ “เธอน่ะมีอะไรไม่ค่อยบอกใคร อย่าเก็บไว้คนเดียวสิ”

            “รู้แล้ว” เจอบทดุของเพื่อนสาวหน้าหมวยเข้าไป แมคเคนซี่ก็ยิ้มออก เธอหัวเราะเบาๆ สลัดเรื่องยุ่งๆ ไว้ข้างหลังแล้วเดินต่อไป

            ใช่แล้ว...ชีวิตต้องเดินต่อไป ไม่ว่าวันนี้จะมีอุปสรรคอะไรผ่านเข้ามาบ้าง แต่สุดท้ายแล้วก็จะผ่านพ้นไปได้ในที่สุด

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น