12

ตอนที่ 12


            หลังจากแยกกับแมคเคนซี่แล้ว เดฟก็พยายามติดต่อกับดิเอโกอีกหลายครั้ง แต่ติดต่อไม่ได้ เขาจึงได้แต่ถอนหายใจแล้วกลับไปที่อะพาร์ตเมนต์ สิ่งแรกที่เห็นคือข้อความจากโคลินแปะอยู่ที่หน้าห้อง เขาจึงโทร. ไปตามเบอร์โทรศัพท์ที่โคลินทิ้งไว้ให้ และเดินทางมายังร้าน Q2 Thai ร้านอาหารไทยที่ตั้งอยู่บนถนนเก้าในย่านมิดทาวน์ เมื่อมาถึงก็พบว่าโคลินจองโต๊ะและสั่งอาหารไว้แล้ว

            “ขอโทษที่ช้า” เดฟจับมือกับโคลินแล้วนั่งลงตรงข้ามเจ้าหน้าที่พิเศษหนุ่มใหญ่ ซึ่งตอนนี้ไม่ได้สวมสูทผูกไทเรียบร้อยเหมือนตอนทำงานแล้ว เขาปลดไทออกแล้วพับแบนเสื้อขึ้นมาถึงข้อศอกด้วยอิริยาบถสบายๆ

            “ไม่เป็นไรเลยเดฟ ผมก็ลืมขอวิธีติดต่อคุณ แต่กลับนัดไว้หน้าตาเฉย”

            “ท่าทางคุณยุ่งมากนะโคลิน” เดฟเปรยแล้วหันไปสั่งเครื่องดื่มกับบริกร

            “ก็มากพอดู โดยเฉพาะคดีที่งัดอะพาร์ตเมนต์ในย่านอัปเปอร์อีสต์ไซด์”

            “ทำเหมือนไม่เคยเกิดไปได้” ทหารรับจ้างหนุ่มยกเบียร์สัญชาติไทยขึ้นจิบ แล้วขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะรสชาติไม่คุ้น แต่ก็พอใช้ได้ในระดับหนึ่ง

            “มันก็ใช่...แต่อะพาร์ตเมนต์ในย่านอัปเปอร์อีสต์ไซด์เคยมีระบบการป้องกันที่แน่นหนากว่านี้ แต่พอเกิดเรื่องกลับไม่มีกล้องวงจรปิดตรงไหนใช้ได้เลย มันแปลกๆ ไปหน่อย” โคลินบอกเครียดๆ ตอนนี้บริกรทยอยนำอาหารขึ้นชื่อมาเสิร์ฟแล้ว ทั้งต้มยำกุ้ง ทะเลผัดผงกะหรี่ และแกงฉู่ฉี่ปลา

            “คดีคืบหน้าบ้างไหมครับ” เดฟเลิกคิ้วด้วยความสนใจ ทำเอาโคลินหัวเราะ

            “ห่วงแทนเจ้านายหรือไง”

            “ประมาณนั้นครับ” ทหารรับจ้างหนุ่มหัวเราะหึๆ

            “เริ่มกินกันดีกว่า เดี๋ยวเย็นแล้วจะไม่อร่อย ผมได้ยินมานานแล้วว่าอาหารไทยอร่อยมาก แต่ไม่เคยกินสักที”

            “ลองต้มยำกุ้งสิ ผมชอบมาก” เดฟแนะนำเมนูเด็ดที่ตัวเองเคยกินมาก่อน

            “คุณเคยกินอาหารไทยด้วยหรือ”

            “เคยครับ ผมมีเพื่อนเป็นลูกครึ่งไทย เธอเคยพาผมมากินเมื่อหลายปีก่อน” เดฟหมายถึงแพทย์หญิงจิรัชญา แพทย์ประจำกองทัพที่เขาเคยทำงานด้วยเมื่อนานมาแล้ว

            “ใช้ได้ๆ” โคลินพึมพำแล้วพยักหน้าหงึกๆ ท่าทางเริ่มติดใจอาหารไทยรสชาติจัดจ้านถึงใจเสียแล้ว

            “แล้วเรื่องคดีล่ะครับ พอจะระบุได้ไหมว่าฝีมือใคร” เดฟหยั่งเชิงเพราะตัวเองก็อยากรู้เช่นกัน ในเมื่อติดต่อกับพวกกัสซาโนไม่ได้ ก็ต้องลองถามจากพวกเอฟบีไอนี่ละ เชื่อว่าจะต้องมีข้อมูลเด็ดๆ แน่นอน

            “ไม่คืบหน้าเท่าไหร่หรอก” โคลินส่ายหน้า สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที

            “ทำไมหรือครับ”

            “มีแค่รอยรองเท้าผู้ชาย โอเค...เราได้ขนาดรองเท้าและยี่ห้อรองเท้ามาก็จริง แต่มันไม่มีหลักฐานอื่นเลย ไม่มีรอยนิ้วมือแฝง ไม่มีอะไรทั้งนั้น ไม่มีภาพจากกล้องวงจรปิด แทบจับมือใครดมไม่ได้เลย แต่...”

            เดฟเลิกคิ้ว รอคอยว่าโคลินจะว่ายังไงต่อ

            “มันก็มีข้อสงสัยอยู่เหมือนกัน” เจ้าหน้าที่อาวุโสกว่าถอนหายใจ สีหน้าลังเล ไม่รู้ว่าควรจะบอกดีหรือไม่

            “ถ้าลำบากใจก็ไม่เป็นไรครับ”

            “ไม่ๆ ผมไว้ใจคุณนะเดฟ และอีกอย่างคุณก็อาศัยอยู่ที่นั่น”

            “ครับ” ทหารรับจ้างหนุ่มซ่อนความกระหายใคร่รู้ไว้อย่างมิดชิด รอให้ปลากินเบ็ดแล้วค่อยถามก็ยังไม่สาย

            “ที่นั่นคือที่พักเก่าของ บรูซ เกรย์สัน ทนายที่หายตัวไปแล้วพบเป็นศพไง ผมเคยบอกคุณ...จำได้ใช่ไหมเดฟ”

            ชายหนุ่มพยักหน้าช้าๆ เขาจำได้ดี แต่ต้องแสร้งทำเป็นเค้นความทรงจำนิดหน่อยเพื่อไม่ให้ดูน่าสงสัยจนเกินไป

            “มันน่าสงสัยตรงที่...ห้องที่ถูกงัดคือห้องของหญิงสาวคนหนึ่งที่เคยมีข่าวลือลับๆ ว่าเธอเป็นเมียเก็บของบรูซ”

            “คุณอยากถามอะไรผมหรือเปล่าครับ”

            โคลินหัวเราะชอบใจแล้วพยักหน้าแรงๆ

            “ใช่เลยเดฟ ผมอยากเจอคุณ เพราะจะถามเรื่องนี้กับคุณนี่แหละว่าคุณเคยเห็นเธอบ้างไหม”

            “ผู้หญิงตัวเล็กๆ สูงสักห้าฟุตสาม ผมสีน้ำตาลใช่ไหมครับ”

            “ใช่” โคลินยิ้มออกทันที

            “ผมเคยเห็นเธอเวลาเธอเดินไปเรียน ก็แค่นักศึกษานี่ครับ ไม่น่ามีอะไร” เดฟบอกพลางตักอาหารกินต่อราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่ ทั้งที่ในใจเต็มไปด้วยความสงสัยว่าทำไมจู่ๆ โคลินถึงมาสนใจแมคเคนซี่ หรือว่าโคลินจะรู้อะไร

            “นั่นสิ เธอเคยมาให้ปากคำ ก็ดูธรรมดามากๆ ผมเลยอดสงสัยไม่ได้ว่าเธอมีศัตรูที่ไหนหรือเปล่า บอกตรงๆ ว่าผมกลัวเธอจะไม่ปลอดภัย”

            “ทำไมหรือครับ”

            “ผมเคยบอกใช่ไหมว่าลูกน้องผมตายตอนรับหน้าที่สืบหาตัวทนายบรูซ”

            “ครับ”

            “คดีสุดท้ายที่บรูซทำค้างอยู่คือคดีของพวกกัสซาโน มาเฟียข้ามชาติที่ตั้งรกรากอยู่ในบรองซ์ไงล่ะ”

            “คุณได้บอกเธอหรือยังครับ”

            โคลินส่ายหน้าเบาๆ “ยังไม่มีหลักฐานน่ะสิว่าเป็นฝีมือของกัสซาโนจริงๆ หรือเปล่า”

            “เป็นไปได้ไหมครับว่าจะมีพวกอื่นอีก”

            “หมายความว่ายังไง” โคลินมีท่าทีสนใจขึ้นมาทันที

            “ก็...มันแค่สันนิษฐานของผมน่ะครับ บางทีอาจจะเป็นศัตรูคนอื่นๆ ของบรูซ”

            “นั่นแสดงว่าคุณยังไม่รู้จักบรูซดีน่ะสิเดฟ” โคลินถอนหายใจ สีหน้าสลดลงทันที “เขาเป็นคนดีมากนะเดฟ เป็นเพื่อนเก่าคนหนึ่งของผม ทุกคดีใหญ่ๆ ในแมนฮัตตันอยู่ในมือบรูซ เขาว่าความด้วยความยุติธรรมที่สุด เป็นพ่อพระมาโปรดเลยละ”

            “นั่นไงครับ เพราะเขาเป็นคนดีมากก็เลยมีคนไม่ชอบเขา”

            “ก็จริง” เจ้าหน้าที่หนุ่มใหญ่พยักหน้าเห็นด้วย “ขอบใจมากเดฟ คิดไม่ผิดจริงๆ ที่มาปรึกษาคุณ ออกจากแบล็ควอเตอร์เมื่อไหร่บอกนะ มาทดสอบที่เอฟบีไออะคาเดมีได้เลย”

            “ไม่ละโคลิน” เดฟหัวเราะหึๆ เขาเบื่อกฎเกณฑ์ของพวกเจ้าหน้าที่พิเศษพวกนี้มาก ไม่อย่างนั้นคงไม่ลาออกจากกองทัพมาทำงานนอกแบบนี้หรอก

            “เสียดายความสามารถคุณนะเดฟ แต่ถ้าคุณชอบแบบนี้ผมก็ดีใจด้วย แต่ขอมาปรึกษาบ้างแล้วกัน”

            “คุณเก่งกว่าผมอีกโคลิน”

            “แต่เรื่องงานแบบนี้...คุณเก่งกว่าผมเยอะ ยอมรับเถอะเดฟ”

            ทหารรับจ้างหนุ่มหัวเราะลงคอแล้วพยักหน้า “เอาอย่างนั้นก็ได้ ถ้าผมเก่งกว่า งั้นมื้อนี้ผมเลี้ยงแล้วกัน”

            “อย่าเลย ผมเป็นคนมาขอความช่วยเหลือ ผมจัดการเอง”

            “เอาอย่างนั้นหรือโคลิน”

            “แน่นอน” เจ้าหน้าที่เอฟบีไอหนุ่มใหญ่พยักหน้า

            “งั้นก็ขอบคุณมากครับ”

            สิ่งแรกที่เดฟทำหลังจากกลับมาถึงห้องพักคือพยายามติดต่อกับดิเอโกและพวกกัสซาโน มีคำถามร้อยแปดคำถามที่เขาต้องการคำตอบจากคนที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘นายจ้าง’ โดยตรง แต่ก็เหมือนเดิม เขาติดต่อไม่ได้ ไม่ว่าจะเพียรต่อสายหาดิเอโกอย่างไรก็ไม่มีการตอบรับจากอีกฝ่าย จนเขาเริ่มสงสัยเสียแล้วว่าความจริงคืออะไรกันแน่ ทำไมอยู่ๆ พวกนี้ถึงหายไปราวกับไม่มีตัวตน ไม่สนใจงานที่ว่าจ้างเขาไว้เลยหรือ ไหนจะเงินค่าจ้างมหาศาลอีก ไม่เสียดายเลยหรือไง

ชายร่างสูงใหญ่เดินวนไปวนมาอยู่ในห้อง โยนโทรศัพท์ลงบนโซฟาอย่างหัวเสียแล้วออกไปสูบบุหรี่ที่ระเบียง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังห้องพักของแมคเคนซี่ที่ตอนนี้ยังเงียบงันเพราะเจ้าของไม่อยู่

            เดฟคิดถึงวันแรกๆ ที่เข้ามาอยู่ที่นี่แล้วได้แต่เฝ้ามองหญิงสาวจากที่ไกลๆ วันที่ได้เห็นอีกมุมของแมคเคนซี่ยามที่เธอเพนต์กระถางต้นไม้เล็กๆ ของเธอแรงๆ อารมณ์ที่หลากหลายของแมคเคนซี่ทำให้เดฟอยากรู้จักเธอยิ่งขึ้น อันตรายที่เกิดขึ้นรอบตัวเธอกระตุ้นสัญชาตญาณของเขาให้ปกป้องเธอไว้ ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไรก็ตาม เดฟสัญญากับตัวเองว่าจะดูแลเธอให้ดีที่สุด ไม่ใช่เพราะงาน ไม่ใช่เพราะความผิดถูกแต่อย่างใด แต่ทั้งหมดเป็นไปตามความต้องการจากหัวใจของเขาเท่านั้นจริงๆ

            การสอบเสร็จสิ้นลงในที่สุด

            ปัง!

            เสียงปิดล็อกเกอร์ดังสนั่นจากข้างตัวทำให้แมคเคนซี่สะดุ้งและได้สติในที่สุด เมื่อหันไปก็เห็นเอมิลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ มองเธอและเรนนี่สลับกันไปมา แล้วส่งเสียงหัวเราะแบบแม่มดในการ์ตูน ทำเอาทั้งแมคเคนซี่และเรนนี่ได้แต่มองหน้ากัน แล้วส่ายหน้าไปมาอย่างระอาในความเจ้าเล่ห์ของเพื่อนสาว สีหน้าแววตาแบบนี้ไม่พ้นเรื่องทวงสัญญาไปงานปาร์ตี้สุดสัปดาห์นี้แน่นอน และคงบ่ายเบี่ยงไม่ได้อีกแล้ว

            “ปาร์ตี้ ปาร์ตี้ ปาร์ตี้!” เอมิลี่กระตุ้นเพื่อนทั้งสองด้วยการท่องวนซ้ำๆ พลางตบมือเป็นจังหวะจนทุกคนในคลาสหันมามองด้วยความสนใจ

            “เจอกันนะเอ็ม” สาวสวยผมบลอนด์คนหนึ่งตบบ่าเอมิลี่เบาๆ

            แมคเคนซี่ลอบมองด้วยความสนใจ เพราะสาวคนนั้นเป็นคู่แข่งเรื่องการบริหารเสน่ห์กับเอมิลี่มาตลอดไม่ใช่หรือ แต่ทำไมตอนนี้ถึงดูสนิทสนมกันจัง

            “เธอไปสนิทกับยายแม่มดนั่นตั้งแต่เมื่อไหร่” เรนนี่ถามตรงๆ

            “สนิทที่ไหน ฉันละกลัวยายนั่นทำอะไรแผลงๆ จะแย่” เอมิลี่ตอบพร้อมกับทำสีหน้ารังเกียจ

            “แล้วเธอไปเออออด้วยทำไม”

            “ก็ปาร์ตี้วันนี้จัดที่บ้านแฟนยายนั่นไง”

            “ฉันไม่ไปดีกว่า” สาวจีนส่ายหน้ารัวๆ

เอมิลี่ล็อกคอเรนนี่ไว้แน่น “เธอหนีฉันไม่พ้นหรอกเรนนี่” ว่าแล้วก็ตวัดสายตาดุๆ มองแมคเคนซี่เป็นรายต่อไป

            “ฉันไม่เบี้ยวเธอหรอกน่า” แมคเคนซี่ต้องรีบออกตัว ไม่อย่างนั้นคงโดนเอมิลี่ล็อกคอเป็นรายถัดไป

            “สี่ทุ่มจะไปรับที่ห้องนะ ถ้าเบี้ยวฉันละก็...” เอมิลี่เอานิ้วชี้ปาดคอพลางทำหน้าอำมหิต แต่นอกจากจะไม่น่ากลัวแล้ว ยังตลกเสียจนแมคเคนซี่หัวเราะอีกด้วย

            “ยายแม็กกี้นี่ท่าจะบ้า ทีเวลาใครเล่นมุกอะไรตลกๆ ละไม่ขำเข้าไป แต่พอถูกขู่เข้าหน่อยกลับหัวเราะออกมาได้เป็นเรื่องเป็นราว เธอเป็นมาโซคิสม์หรือเปล่าเนี่ย”

            “ถ้าอย่างนั้นเธอก็ซาดิสม์นั่นแหละเอ็ม” เรนนี่เถียงแทนอีกตามเคย จนคนถูกกล่าวหาว่าซาดิสม์นิ่วหน้านิดๆ ด้วยความสงสัย

            “ฮ้า...เธอสองคนมีอะไรกันหรือเปล่าเนี่ย ทำไมเถียงแทนกันด้วย”

            “ประสาท” เรนนี่แลบลิ้นใส่เอมิลี่ ส่วนแมคเคนซี่ก็เอาแต่หัวเราะ ไม่พูดไม่ปฏิเสธตามเคย

            “แยกย้ายเถอะ ฉันปวดหัวจะตายแล้ว”

            “แล้วเจอกันจ้ะเอ็ม”

            “แล้วเจอกัน” เอมิลี่โบกมือให้สองสาวแล้วเดินแยกออกไป ยังไม่กลับห้องเพราะต้องไปหาแฟนก่อน

            “ไหนบอกปวดหัวจะตาย แต่แวะไปหาแฟนก่อนได้ จริงๆ เลยยายคนนี้” สาวจีนส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ แต่ก็ไม่ได้ห้ามปรามเพื่อน

            “เอาเถอะน่า ผ่อนคลายหน่อยก็ดี”

            “เชื่อไหมว่ายายเอ็มได้คะแนนมากที่สุดเหมือนเคย”

            “เชื่อ” แมคเคนซี่พยักหน้าแรงๆ ชินเสียแล้วที่เอมิลี่ไม่ชอบอ่านหนังสือ ไม่ตั้งใจเรียนแต่ผลการเรียนดีเสมอตามประสาคนหัวดี อ่านหนังสือรอบเดียวก็เข้าใจ ขนาดเรียนบ้างหลับบ้างยังทำแล็บได้ผลออกมาดีทุกครั้ง ไม่เหมือนเธอกับเรนนี่ ต้องตั้งใจฟังทุกคำพูดของอาจารย์ ไม่อย่างนั้นก็ไม่เข้าใจ ทำแล็บไม่ได้ สอบก็ไม่ผ่านอีก

            “ใช่ ถ้าคะแนนฉันออกมาน้อยกว่ายายเอ็ม ฉันจะผูกคอตาย” เรนนี่ประชดไม่จริงจังนัก ทำเอาแมคเคนซี่หัวเราะ เพราะรู้ดีว่าสองคนนี้เถียงกันไปอย่างนั้นเอง แต่สุดท้ายเดี๋ยวก็เออออไปด้วยกันเสมอ

            “เอาน่า”

            “เธออยากแวะไปไหนก่อนกลับหรือเปล่าแม็กกี้”

            “ไม่ละ” แมคเคนซี่ส่ายหน้า ที่จริงตอนนี้เธออยากได้อาหารไทยแซ่บๆ มากินให้สะใจหลังจากเหนื่อยมาหลายวัน แต่ไว้ก่อนก็ได้ เพราะหน้าเรนนี่ดูซีดๆ จนน่าห่วง

            “เธอเป็นอะไรหรือเปล่าเรนนี่”

            “ฉันเริ่มปวดหัวแล้วน่ะสิ”

            “ถ้าอย่างนั้นเรากลับกันดีกว่า”

            เรนนี่พยักหน้า กระนั้นแมคเคนซี่ก็อดห่วงไม่ได้ “ไหวแน่นะ แวะหาหมอก่อนไหม”

            “ฉันไม่ยอมเสียเงินให้หมอที่นี่หรอก” เรนนี่ส่ายหน้าพรืด ทำหน้าไม่สบอารมณ์ “แพงก็แพง เก็บเงินไว้หาของอร่อยๆ กินดีกว่า ฉันรักษาตัวเองได้น่า”

            “ตามใจ แต่ถ้าไม่ไหวบอกนะ”

            “รู้แล้วๆ” สาวชาวจีนพยักหน้าก่อนที่เพื่อนสาวจะบ่นไปมากกว่านี้ แล้วจึงพากันกลับห้องพัก

            ถึงปากจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่เมื่อถึงเวลานัดแล้วเรนนี่กลับยังมีไข้อยู่นิดหน่อย จนไม่สามารถไปปาร์ตี้ตามที่รับปากเพื่อนไว้ได้

เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองสามครั้ง แมคเคนซี่จึงเดินไปเปิดและพบว่าเป็นเอมิลี่นั่นเอง

            “พร้อมหรือยัง” สาวสวยสุดมั่นทักทายอย่างร่าเริง แต่แล้วรอยยิ้มก็เจื่อนลงทันทีที่เห็นสีหน้าของแมคเคนซี่

            “เข้ามาก่อนสิเอ็ม”

            “ไม่สบายหรือแม็กกี้”

            “ฉันน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่เรนนี่มีไข้อ่อนๆ น่ะ” แมคเคนซี่บอก เบี่ยงตัวให้เอมิลี่เดินเข้ามาในห้องแล้วจึงปิดประตู

            “เป็นอะไรมากหรือเปล่า”

            “ไม่เป็นไร หายแล้ว แต่ยังมึนๆ นิดหน่อย” สาวชาวจีนบอกด้วยเสียงแหบพร่านิดๆ

            “ตอนนี้ไม่มีไข้แล้ว แต่คงไปไม่ไหวหรอกเอ็ม” แมคเคนซี่บอกเสียเอง ไม่อย่างนั้นเรนนี่คงฝืนไปตามที่สัญญาไว้โดยไม่ห่วงสุขภาพตัวเอง

            “ฉันเสียดายนี่นา”

            “อย่ามาทำพูดดีเลยเรนนี่” เอมิลี่ขมวดคิ้วฉับ “ถ้าอยากไปจริงๆ ละก็ฉันพาไปได้ตลอดแหละย่ะ ตอนนี้เอาตัวให้รอดก่อน”

            “งั้นก็ไปกับแม็กกี้สิ”

            “แล้วใครจะอยู่ดูแลเธอล่ะ” แมคเคนซี่แย้งทันควัน เธอไม่มีปัญหาที่จะไปกับเอมิลี่สองคน แต่ห่วงเรนนี่มากกว่า ถ้าเกิดไข้ขึ้นตอนดึกคงแย่

            “ฉันสบายดี และอีกอย่างนะ ฉันโตแล้ว ดูแลตัวเองได้ หมดห่วงได้เลย” คนป่วยยังเถียง

            “แล้วจะให้ฉันทิ้งเธอไว้คนเดียวเนี่ยนะ ไม่เอาหรอกเรนนี่”

            “แล้วเธอจะปล่อยให้เอมิลี่ไปคนเดียวได้ยังไง” เรนนี่ท้วง ทำเอาเพื่อนๆ ทั้งสองขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

            “เกิดคิดอะไรเพี้ยนๆ อีกล่ะเรนนี่ ลืมไปหรือเปล่าว่าปกติฉันก็ไปของฉันตลอด”

            “แต่เธอลืมไปได้ยังไงว่าจัดที่บ้านแฟนยายแม่มดนั่น”

            แมคเคนซี่ถอนหายใจแล้วตบหน้าผากเบาๆ ลืมไปเลยว่าสาวๆ จะต้องมีการชิงดีชิงเด่นกันอยู่แล้ว โดยเฉพาะสาวสวยผมบลอนด์คนนั้นกับเอมิลี่

            “เธอกลัวว่ายายนั่นจะแกล้งฉันเรอะ” เอมิลี่แค่นเสียง “ลืมไปหรือเปล่าว่าฉันไม่ใช่ยายแม็กกี้นะที่จะไม่สู้คน”

            “อ้าว...อย่ามาพาดพิงฉันสิ” คนไม่สู้คนหัวเราะเบาๆ

            “ก็จริงนี่ เวลาใครนินทาหรือหาเรื่องทีไรเธอก็เฉย ถ้าไม่เรียกว่าไม่สู้คนแล้วจะให้เรียกว่าอะไร”

            “ฉันรักสงบต่างหาก”

            “อย่ามาแก้ตัวเลย” เรนนี่แปรพักตร์ไปเออออกับเอมิลี่เรียบร้อย

            “ก็ได้ๆ ฉันไม่เถียงแล้ว”

            “นี่ไงล่ะ!” เรนนี่หัวเราะอย่างผู้ชนะ แต่ก็ทำเอาเอมิลี่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

            “สรุปคือเธอไม่สบายจริงหรือเปล่า” แมคเคนซี่ชักเริ่มไม่แน่ใจเสียแล้วว่าเพื่อนตัวดีป่วยจริง หรือแสร้งป่วยเพื่อเลี่ยงนัดไปปาร์ตี้กันแน่

            “จริงสิ” เรนนี่ขึ้นเสียงสูง ทำท่าโอดโอยทันที

            “แน่นะ” เอมิลี่หรี่ตามองเพื่อนอย่างจับผิด

            “จริงสิ เธอสองคนน่ะไปได้แล้ว แล้วกลับมาเล่าให้ฟังด้วยนะแม็กกี้”

            “ก็ได้ๆ” แมคเคนซี่คว้ากระเป๋าสะพายแล้วเดินกลับมาหาเอมิลี่ ทว่าสาวสวยประจำกลุ่มกลับยืนนิ่งไม่ยอมขยับไปไหน ทั้งยังทำหน้าไม่สบอารมณ์อีกด้วย

            “จะไปชุดนี้หรือแม็กกี้”

            “ใช่...ทำไมหรือ” สาวลูกครึ่งอเมริกัน-ไทยก้มลงมองตัวเอง เสื้อเชิ้ตยีนกับกางเกงสกินนียีนรัดรูปคล่องตัว ไม่ดีตรงไหน

            “ไปบวชเป็นแม่ชีเถอะ”

            “เลิกประชดฉันได้แล้วน่า ไปกันเถอะ” แมคเคนซี่คล้องแขนเอมิลี่แล้วพยายามลากเพื่อนสาวไป แต่เอมิลี่ยังไม่ยอม

            “ฉันจะบ้าตาย”

            “เถอะน่า”

            “ให้แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ ถ้าคราวหน้าไปกับฉันเธอต้องแต่งสวยๆ กว่านี้”

            “ก็ได้ๆ” แมคเคนซี่รับปากส่งๆ แต่ในใจคิดว่าครั้งแรกและครั้งเดียวพอ ไม่มีครั้งที่สองอีกแล้ว

            ปาร์ตี้ที่ว่าจัดขึ้นในอะพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งแถบโลเวอร์แมนฮัตตัน ไม่ไกลจากไชนาทาวน์มากนัก มีคนราวๆ สิบห้าคนแออัดกันอยู่ท่ามกลางเสียงเพลงดังกระหึ่ม ทำเอาแมคเคนซี่ได้แต่นิ่วหน้าด้วยความไม่ชอบใจเพราะกลัวว่าเสียงดังนี้จะรบกวนเพื่อนบ้านเข้า แต่เหมือนทั้งเอมิลี่และคนอื่นๆ ในงานจะไม่สนใจเลยสักนิด รวมทั้งตัวเจ้าของบ้านเองก็ด้วย ซึ่งแมคเคนซี่จำเขาได้ทันที เพราะคนนี้เป็นหนึ่งในอดีตคู่ควงของเอมิลี่

            “ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมเรนนี่ถึงส่งฉันมาเป็นเพื่อนเธอ” เรียกได้ว่าที่นี่มีแต่ปากเหยี่ยวปากกาทั้งนั้น แฟนเก่าเอย แฟนใหม่ของแฟนเก่าเอย เธอจะไม่แปลกใจเลยสักนิดถ้าหากคนในห้องนี้วางแผนจะเล่นงานเอมิลี่

            “ใครว่าเธอไม่ชอบเรื่องชาวบ้านเนอะ” สาวสวยสุดมั่นหัวเราะเบาๆ มองท่าทางอยากรู้อยากเห็นของแมคเคนซี่ด้วยแววตาขำๆ

            “โธ่เอ๊ย...ก็มันอดไม่ได้นี่นา เธอคิดยังไงถึงตกลงจะมาที่นี่ทั้งๆ ที่รู้ว่าคู่ปรับเต็มไปหมดอย่างนี้ล่ะ”

            “ฉันชอบความท้าทายไง ที่มานี่ก็อยากรู้เหมือนกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า” เอมิลี่เลิกคิ้วแล้วยิ้มกริ่ม  ดวงตาเป็นประกายเจิดจ้าของเจ้าหล่อนฉายแววเจ้าเล่ห์ซ่อนกล

            “เอาเถอะๆ ขี้เกียจเถียงด้วยแล้ว” เห็นเพื่อนแกร่ง เธอก็หายห่วง พอดีกับที่สาวสวยผมบลอนด์เดินเข้ามาในห้องด้วยมาดราวกับนางพญา ใช้ของแบรนด์เนมตั้งแต่หัวจดเท้า จึงสะกิดให้เอมิลี่ดู

            “ตามสบายนะ ฉันกับเรย์ดีใจมากๆ ที่พวกเธอมาที่นี่” ริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีนู้ดแย้มยิ้มบางๆ แต่น้ำเสียงปรุงแต่งนั่นทำเอาแมคเคนซี่ต้องแอบไปหัวเราะหลังเอมิลี่

            “ปาร์ตี้ตลกดี” แมคเคนซี่กระซิบเบาๆ ซึ่งเอมิลี่ก็พยักหน้าเห็นด้วย

            “ฉันแทบกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่แล้ว” เอมิลี่เองก็พลอยกลั้นหัวเราะไปด้วยเมื่อเห็นท่าทางราวกับเซเลบคนดังของสาวคู่แข่ง

            เสียงเพลงดังกระหึ่มขึ้นเรื่อยๆ หนุ่มสาวเริ่มลุกขึ้นขยับตัวไปตามเพลง รวมทั้งเอมิลี่ที่มือหนึ่งถือเครื่องดื่ม และส่งสายตาเป็นประกายวับวาวไปให้หนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้าม

            แมคเคนซี่สังเกตนานแล้ว เรียกว่าสองคนนี้มองตากันตั้งแต่วินาทีแรกที่ก้าวเข้ามาในห้องแล้วก็ว่าได้ แต่เธอก็ไม่คิดจะห้ามปรามเพื่อนแต่อย่างใด ไม่ใช่ไม่ห่วง แต่เพราะห้ามไปก็ไม่ฟังต่างหาก

            “อยู่คนเดียวได้ใช่ไหมแม็กกี้” เอมิลี่กระซิบถาม

            ใจจริงแมคเคนซี่ก็อยากจะบอกไปว่าอยู่ไม่ได้ ไม่อยากอยู่ตามลำพังในสถานที่ที่มีแต่เสือ สิงห์ กระทิง แรดแบบนี้ แต่ความเป็นจริงคือเธอก็โตแล้ว ดูแลตัวเองได้ จึงพยักหน้าเบาๆ

            “ดีมากที่รัก งั้นฉันไปก่อน”

            “อย่านานนะ”

            “แค่คุยแป๊บเดียวน่า” เอมิลี่ขมวดคิ้วแล้วถอนหายใจเบาๆ ลุกขึ้นแล้วก้มลงจูบแก้มแมคเคนซี่หน้าตาเฉย

            เอมิลี่เมาแล้ว...

            แมคเคนซี่ถอนหายใจแล้วส่ายหน้าไปมาอย่างระอา แต่ก็ไม่ว่าอะไร เธอยกค็อกเทลในมือขึ้นดื่มแล้วมองเพื่อนสาวตาไม่กะพริบ เผื่อว่าเกิดอะไรไม่ดีขึ้นจะได้ช่วยเหลือทัน แต่ก็ไม่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นอย่างที่กลัว มีแค่จูบ...

            สาวลูกครึ่งอเมริกัน-ไทยเบือนหน้าไปอีกทาง เพราะเขินแทนเพื่อนสาวที่ตอนนี้แลกจูบกับชายหนุ่มหน้าตาธรรมดา แต่หุ่นล่ำมากอย่างดูดดื่ม เห็นแล้วก็อดคิดถึงเดฟไม่ได้ เพราะดูแล้วตัวพอๆ กันเลย

            ความคิดของแมคเคนซี่สะดุดลงทันทีเมื่อคิดไปถึงเดฟ เธอไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าจะไปคิดถึงผู้ชายคนนั้นทำไม ในเมื่อเธอก็กำลังพยายามลืมเขาอยู่ แต่ยิ่งพยายามจะลืมก็กลับยิ่งนึกถึงมากเท่านั้น

            “นั่งด้วยคนได้ไหมครับ” เสียงทุ้มนุ่มหูของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นในระยะประชิด ลมหายใจร้อนๆ ของเขาทำให้แมคเคนซี่สะดุ้ง เธอหันไปมองอย่างตกใจ

            ผู้ชายคนนี้ร่างสูงเพรียว ผมสีน้ำตาลเข้ม ดวงตาสีเขียวทรงเสน่ห์ แมคเคนซี่เคยเห็นเขามาก่อนตอนไปดูเบสบอลกับเอมิลี่และเรนนี่ และเขาคนนี้ก็คือนักเบสบอลคนนั้นนั่นเอง

            “ไม่คิดว่าจะเจอคุณที่นี่” ชายร่างสูงนั่งลงชิดกับแมคเคนซี่ทั้งที่เธอยังไม่ทันออกปากอนุญาต หญิงสาวได้แต่ขมวดคิ้ว แต่ในเมื่ออีกฝ่ายนั่งลงแล้ว เธอจะทำอย่างไรได้

            “ผมไม่เคยคุยกับคุณเลยทั้งที่เป็นเพื่อนเอมิลี่แท้ๆ” นักเบสบอลของมหาวิทยาลัยยังเป็นฝ่ายชวนคุยฝ่ายเดียว เขาทำไม่รู้ไม่ชี้ ไม่สนใจสีหน้าแกมรำคาญของแมคเคนซี่เลยแม้แต่น้อย

            หญิงสาวถอนหายใจออกมาเป็นรอบที่ล้าน หวังว่าเขาจะเข้าใจบ้าง ทว่าชายหนุ่มก็ยังทำเฉย ทั้งยังส่งยิ้มโปรยเสน่ห์มาให้อีกต่างหาก

            “ขอตัวนะคะ”

            “ไปไหนหรือครับ” ไม่พูดเปล่า นักเบสบอลหนุ่มยังจับมือเธออย่างถือวิสาสะอีกด้วย แต่แมคเคนซี่ดึงมือออกอย่างรวดเร็วแล้วมองเขาด้วยสายตารังเกียจ

            “ไปล้างมือค่ะ พอดีมือสกปรกแล้ว” เธอตอบเสียงเรียบ ส่งสายตาเย็นชาประกอบ แสดงถึงความรังเกียจอย่างเห็นได้ชัด คราวนี้ถ้ายังไม่รู้ตัวก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว

ครั้งนี้ได้ผล ดวงตาคู่ทรงเสน่ห์ของนักเบสบอลหนุ่มสุดล่ำวาววับไปด้วยโทสะ แค่นั้นแมคเคนซี่ก็รู้ทันทีว่าผู้ชายคนนี้คงเป็นประเภทหว่านเสน่ห์จนเคยชิน คงจะเสียหน้าไม่น้อยที่ถูกปฏิเสธ แต่เธอไม่สน

            หญิงสาวเดินเข้าห้องน้ำแล้วถูมือแรงๆ ด้วยความรังเกียจสัมผัสนั้น แล้วก็อดคิดถึงใครบางคนไม่ได้ คนที่เธอไม่รังเกียจสัมผัสของเขาเลย ต่อให้พยายามจะไม่นึกถึงอย่างไร แต่ก็ทำไม่ได้อยู่ดี

            แมคเคนซี่ถอนหายใจแล้วส่ายหน้าเบาๆ เธอล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้วจึงเปิดประตูออกไป แล้วก็ต้องสะดุ้งนิดๆ เมื่อเห็นเอมิลี่รออยู่แล้ว

            “มีอะไรหรือเอ็ม” เห็นสีหน้าเครียดๆ ของเพื่อนแล้วก็อดถามไม่ได้ เมื่อครู่เอมิลี่ยังดูมีความสุขอยู่แท้ๆ คงไม่ได้หมายความว่าถูกใครเล่นงานมาใช่ไหม

            “ก็ยายแม่มดนั่นน่ะสิ” ท่าทางของเอมิลี่เหมือนอยากจะกรี๊ดออกมาใจจะขาด แมคเคนซี่รู้ทันเพื่อนจึงปิดปากไว้ก่อน

            “มีอะไรเอ็ม ค่อยๆ เล่ามา”

            “ยายแม่มดนั่นเห็นฉันกับไรอัน”

            แมคเคนซี่พยักหน้ารับรู้ คงจะเป็นชื่อผู้ชายคนนั้นแน่ๆ “แล้วยังไงต่อล่ะเอ็ม”

            “ยายแม่มดน่ารังเกียจนั่นคิดเกมขึ้นมาน่ะสิ”

            “เกมอะไร” สาวลูกครึ่งไทยขมวดคิ้ว ลงว่าเอมิลี่มีท่าทางเครียดๆ แบบนี้ ไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน

            “เกมสลับร่างสร้างรักบ้าบออะไรก็ไม่รู้ แค่ชื่อก็ชวนอ้วกแตก”

            “อ้อ” เกมแบบนี้ไม่น่ามีปัญหา เธอมั่นใจว่าเอมิลี่ชนะใสๆ

            “มันไม่ง่ายนะ”

            “ยังไงล่ะ” แมคเคนซี่ผู้ไม่เคยเล่นเกมและไม่เคยปาร์ตี้มาก่อนถามต่อ

            “ยายแม่มดนั่นกำหนดกติกาใหม่ ให้สลับตัวกับคนที่มาด้วยกัน แต่งหน้าแต่งตัวให้เหมือนกันจนแยกไม่ออก ไปเจอกันที่ผับที่นัดไว้ แล้วทดสอบคู่เดตว่าจะจำได้ไหม”

            “บ้าหรือเปล่า” สาวร่างบางสะดุ้ง อย่างไรเสียก็คนละคนกัน แล้วจะจำกันไม่ได้เชียวหรือ

            “จริง” เอมิลี่พยักหน้ายืนยันอย่างนั้น แล้วมองเพื่อนสาวด้วยแววตาขอร้อง “ช่วยฉันหน่อยนะแม็กกี้ สลับตัวกับฉันที”

            “แต่...” ถ้าคู่เดตของเอมิลี่จำไม่ได้แล้วเกิดหื่นกับเธอขึ้นมาล่ะ

            “สัญญาว่าฉันจะแต่งให้ไรอันจำได้แน่นอน”

            “แต่...”

            “ช่วยฉันหน่อยนะแม็กกี้ ฉันไม่อยากเสียหน้ากับนังแม่มดนั่น” เอมิลี่กระทืบเท้า เต้นเร่าๆ เหมือนเด็กไม่มีผิด และนั่นก็ทำให้แมคเคนซี่ใจแข็งกับเพื่อนไม่ลง ยอมพยักหน้าตกลงในที่สุด

            “ก็ได้ๆ แต่เราแค่สลับเสื้อผ้ากันพอนะ”

            “ได้เลย”

            “เธอต้องทำให้ไรอันของเธอจำเธอได้นะ”

            “แน่สิ เรื่องอะไรจะยกให้เธอเล่า” เอมิลี่ยิ้ม ตบมือชอบใจราวกับเด็กได้ของเล่น เท่านั้นไม่พอ ยังหอมแก้มซ้ายขวาของแมคเคนซี่ซ้ำๆ จนช้ำไปหมดแล้ว

            “พอแล้วๆ เอ็ม”

            “ไม่คิดว่าเธอจะตกลง”

            “ฉันยังไม่คิดว่าตัวเองจะตกลงได้เลย” เกมเพี้ยนๆ บ้าๆ แบบนี้...เธอไม่เคยคิดจะเล่นด้วยซ้ำ แต่ที่ตกลงเพราะอยากช่วยเอมิลี่ เพราะถ้าเป็นเธอมีปัญหา เอมิลี่ก็ไม่เคยหันหลังให้เพราะกลัวเลยสักครั้งเช่นกัน

            “ขอบใจนะแม็กกี้”

            “ไม่เป็นไรหรอก เอาแค่ให้นายไรอันของเธอจำเธอได้ก็พอ”

            “ได้เลย” เอมิลี่ทำมือเป็นสัญลักษณ์โอเค แล้วกลับห้องไปสลับเครื่องแต่งกายกับเพื่อน รวมทั้งแต่งหน้าทำผมใหม่ แล้วพากันตรงไปยังผับที่เป็นสถานที่นัดหมาย

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น