3

คนไม่น่าจดจำ

บทที่ ๓

คนไม่น่าจดจำ

 

“ทำไมวันนี้ถึงอารมณ์ดีขนาดนี้ล่ะลูก เอิ๊ก...หรือว่าถูกหวย” สินธรซึ่งเดินหนีบขวดเหล้าสะโหลสะเหลลุกขึ้นจากเตียงเอ่ยถาม ก่อนทิ้งตัวลงนั่งที่โต๊ะไม้กลมตัวเล็กๆ ซึ่งพรนาราจัดไว้สำหรับทำกิจกรรมเอนกประสงค์ทั้งรับประทานอาหาร ทำงาน และนั่งเล่น พอบิดามานั่งประจำที่ พรนาราในชุดกระโปรงผ้าฝ้ายพิมพ์ลายใหม่เอี่ยมสีชมพูก็ตักข้าวเช้ามาใส่ในจานให้ท่าน ทั้งๆ ที่ยังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ฮัมเพลงไม่หยุด 

“เปล่าค่ะ หวยน่ะถูกกินอีกตามเคย ที่หนูอารมณ์ดีเพราะเมื่อคืนนี้ฝันดีต่างหาก”

“ฝันดี? ฝันเห็นเลขเด็ดหรือ”

“ดีกว่านั้นอีกค่ะ หนูฝันว่าตัวเองปักตะไคร้ไม่ได้อีก”

“แล้วมันดียังไง”

“อ้าว ก็ดีตรงหนูกำลังจะมีผัวน่ะสิคะ!”

“หา!” สินธรถึงกับสำลักข้าวที่รับประทานเข้าไปออกมา “ลูกพูดอะไรเนี่ย ลูกน่ะนะกำลังจะมี...”

 “ใช่ค่ะ ถ้าปักตะไคร้อีกไม่ได้ ก็แปลว่าไม่ใช่สาวพรหมจรรย์ ถ้าไม่ใช่สาวพรหมจรรย์ ก็แปลว่าหนูจะต้องมีผัวในไม่ช้าก็เร็วนี่ไงพ่อ มันต้องเป็นฝันบอกเหตุแน่ๆ!”

“ก็ไม่ใช่พ่อไม่ยินดีด้วยหรอกนะ แต่ช่วยเพลาๆ คำว่าผัวนี่หน่อยเถอะ ฟังแล้วจั๊กจี้หูยังไงพิกล”

“ทำไมล่ะคะ ทีผู้ชายยังเรียกเมียได้คล่องปากเลย ทำไมผู้หญิงจะเรียกผัวบ้างไม่ได้ ยุติธรรมหน่อย ผัวๆๆ หนูจะมีผัวเป็นตัวเป็นตนแล้วค่ะ ไม่รู้ว่าเป็นใครเหมือนกัน แต่พ่อเตรียมรับลูกเขยไว้เลยนะ!” หญิงสาวร้องเป็นทำนองอย่างมีความสุขดั่งชะนีป่าหาคู่ บรรยากาศในวันนี้ดูสดใสกว่าที่เคยเป็น แม้แต่ข้าวปลาฝีมือเธอซึ่งปกติรสชาติดีกว่าไม้ดีดปากหน่อยหนึ่ง วันนี้ก็ดูจะอร่อยเป็นพิเศษด้วย 

สินธรส่ายหน้าไปมา ก็ไม่อยากจะขัดความฝันของบุตรสาวหรอก แต่ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่ เขาก็ยังไม่เห็นว่าบุตรสาวจะได้ใกล้ชิดหนุ่มคนไหนเลย ที่จะเรียกว่าใกล้ชิดก็มีแต่ ‘นีล’ ‘ไบรอัน’ ‘เคนนี่’ และ ‘ออสติน’ ที่ร้องอู๊ดๆ ก๊าบๆ มอๆ อยู่ในโรงเลี้ยงนั่นละ นอกจากนั้นเขาไม่เห็นว่าพรนาราจะใช้เวลาร่วมกับมนุษย์เพศชายคนไหนเลยสักคน

“แล้ววันนี้กองถ่ายละครจะมาแล้วใช่ไหม” บิดาถามต่อ คงจะไม่อยากเปิดประเด็นโต้แย้งอะไรด้วย เพราะไม่อยากเสี่ยงโดนบุตรสาวคว่ำโต๊ะอาหาร ทั้งๆ ที่ยังกินไม่อิ่มดี

“ใช่ค่ะ ส้มโอตื่นเต้นจนออกไปยืนรอพวกเขาที่หน้าบ้านแล้ว เพราะเมื่อกี้ทีมงานโทร.มาบอกว่าอีกไม่เกินสิบห้านาทีน่าจะมาถึง”

“อืม แล้วพ่อต้องทำอะไรไหม”

“ไม่ต้องทำอะไรหรอกค่ะ พ่อแค่อย่าเมาแล้วก่อเรื่องก็พอ อ้อ สวมเสื้อตัวใหม่ที่หนูซื้อมาให้ด้วยนะคะ พ่อต้องแต่งตัวดีๆ จะได้ไม่อายคนอื่นเขา” ว่าแล้วหญิงสาวก็หยิบเสื้อเชิ้ตตัวใหม่ซึ่งซื้อจากร้านในตัวเมืองให้บิดาผลัดเปลี่ยน พอเปลี่ยนแล้วสินธรก็ดูดีมีมาดขึ้นมาจนเกือบจะเหมือนนักธุรกิจผู้ร่ำรวยคนเดิม หากตัดวงแขนที่หนีบขวดเหล้าและใบหน้าที่แดงกรึ่มๆ นั่นออกได้ก็คงจะยิ่งเพอร์เฟ็ก 

“ต้องแต่งขนาดนี้เลยหรือลูก”

“ต้องสิคะ ทีมงานจากกรุงเทพจะมาที่ไร่เราทั้งที ต้องแต่งตัวให้เกียรติแขกหน่อยค่ะ”

“แต่พ่อร้อน...เอิ๊ก ไม่แต่งไม่ได้หรือไง” สินธรส่ายหน้าเร่า ปลดกระดุมที่คอออกเพราะรู้สึกร้อนจนเหงื่อแตก “พ่อไม่ได้สวมเสื้อผ้าแบบนี้มาตั้งนมนานแล้ว ไม่ชิน”

“ใส่ไปสักพักเดี๋ยวก็ชิน ที่พ่อร้อนเพราะเหล้าค่ะ ไม่ใช่เพราะเสื้อผ้า ถ้าพ่อเลิกดื่ม พ่อก็จะหายร้อนเอง” พรนาราสวนกลับทันควัน เอื้อมมือไปกลัดกระดุมกลับเข้าไปใหม่ให้สินธรอย่างเรียบร้อย

เมื่อบิดารับประทานอาหารอิ่มแล้ว เธอก็ดึงท่านให้ลุกเดินตามมาเพื่อเตรียมออกไปต้อนรับทีมงานที่หน้าบ้าน แต่ยากเอาเรื่อง เพราะพอเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ท่านก็เซซัดๆ จนล้มกลิ้งไปบนลานดิน ทำให้พรนาราซึ่งทำหน้าที่พยุงท่านมาต้องพลอยสะดุดล้มตามไปด้วย เศษดินเศษผงเปื้อนเสื้อผ้าตัวใหม่ของพวกเธอจนมอมแมม

“พ่อ! ชุดเปื้อนหมดแล้ว!”

“ขอโทษ พ่อไม่ได้ เอิ๊ก...ตั้งจาย” สินธรโบกไม้โบกมือไปมา ปีนไปนอนบนแคร่หน้าบ้านทั้งๆ ที่เนื้อตัวเปื้อนเศษดินแบบไม่สนใจอะไรทั้งนั้น “พ่อจะนอนตรงนี้สักหน่อย ลมมันโกรกเย็นดี”

คนเป็นลูกตาเหลือกเมื่อได้ยิน รีบตรงเข้าไปทั้งดึงทั้งลากบิดาออกมาจากตรงนั้น

“พ่อนอนตรงนี้ไม่ได้นะ เดี๋ยวทีมงานจะมากันแล้ว!”

“ทำไมจะไม่ได้ พ่อจะนอนตรงหนายก็ได้ที่พ่อพอใจ เพราะนี่มันบ้านเราไงลูก”

“พ่อจะนอนตรงไหนก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่ตรงนี้และตอนนี้ค่ะ!”

“ทำมาย...ก็หนังท้องตึงแล้วหนังตามันก็หย่อนนี่นา พ่อง่วง พ่อจะนอนละ กู้ดไนต์”

“มากู้ดน้งกู้ดไนต์อะไรตอนเช้า ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้เลย พ่อต้องเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและที่สำคัญพ่อจะมานอนตรงนี้ไม่ได้เด็ดขาด!” พรนาราขู่ฟ่อ พอดึงบิดาลงจากแคร่ไม่ไหว จึงหันไปเรียกเด็กสาวซึ่งกำลังวิ่งหน้าเริดมาแต่ไกลเพื่อขอแรงให้ช่วย “ส้มโอ มาช่วยพี่พยุงพ่อกลับเข้าบ้านหน่อย!”

ส้มโอวิ่งหน้าเริดมาหาเธอ แต่ไม่ใช่เพื่อช่วยพยุงสินธรกลับเข้าบ้าน แต่เพื่อแจ้งข่าวว่ากองถ่ายละครเดินทางกันมาถึงแล้ว เป็นจังหวะนรกแท้ๆ เธออุตส่าห์เตรียมการทุกอย่างไว้อย่างดี แต่ทุกอย่างก็มาพังลงแบบไม่เป็นท่าเลย สุดท้ายเธอก็ต้องทิ้งสินธรให้นอนอยู่ตรงนั้น แล้วรีบออกไปต้อนรับทีมงานในฐานะเจ้าบ้าน ไม่มีเวลาแม้แต่จะผลัดเสื้อใหม่ด้วยซ้ำ ทำได้เพียงใช้มือปัดเศษดินเศษผงลวกๆ ตามเนื้อตัวและเสื้อผ้า ไม่ให้มันดูน่าเกลียดเกินไปเท่านั้น

รถตู้หลายคันแล่นเข้ามาจอดที่หน้าไร่ ขนกองทัพทีมงานฝ่ายต่างๆ พร้อมอุปกรณ์สำหรับการถ่ายทำเข้ามาปักหลักใช้สถานที่ เกษตรกรสาวไม่รู้ว่าใครเป็นใครด้วยซ้ำ เธอยกมือไหว้แขกทุกคนด้วยใบหน้าที่พยายามยิ้มแย้มให้มากที่สุด แต่ในใจกลับยิ้มไม่ออก ไม่ใช่เพียงเพราะอากัปกิริยาที่แขกทุกคนสะดุ้งเฮือกยามที่เห็นเธอ แต่ด้วยสภาพอันมอมแมมด้วยที่ทำให้เธอรู้สึกประหม่าและไม่มั่นใจ

ทั้งๆ ที่อยากจะสวยและดูดีที่สุดในวันพิเศษอย่างนี้แท้ๆ แต่เธอก็คงทำได้เพียงเท่านี้จริงๆ

“คุณพอลลี่ใช่ไหมครับ” ในระหว่างที่เกษตรกรสาวกำลังยืนคอตกอยู่ หนุ่มวัยสามสิบกว่า หน้าตาเรียบๆ คนหนึ่งก็เดินมาทักเธอ เธอจำได้ว่าเขาคือโลเกชั่นเมเนเจอร์จากรูปถ่ายที่เคยแลกเปลี่ยนกันไว้ทางข้อความ 

“ค่ะ ฉันเอง นี่คุณเต้ใช่ไหม”

อีกฝ่ายพยักหน้า ต้องยอมรับว่าเขารักษามารยาทได้ดี ถึงแม้จะตกใจจนผงะไปนิดหนึ่งที่ตัวจริงของเธอดูโทรมกว่าในรูปมากโข แต่เขาก็พยายามรักษาอาการไม่ทำให้เธอเสียหน้า 

“ขอบคุณนะครับที่อนุญาตให้เราใช้สถานที่ถ่ายทำ ต่อจากนี้อีกสี่เดือนเต็ม คงต้องรบกวนคุณพอลลี่แล้ว”

“ด้วยความยินดีค่ะ ถ้ามีอะไรขาดเหลือตรงไหนก็บอกได้ ว่าแต่ทีมงานของคุณมาครบกันแล้วใช่ไหมคะ”

“ครบแล้วครับ กำลังบรีฟกับผู้กำกับอยู่”

“อ้อค่ะ แล้วทีมนักแสดง?”

“นักแสดงวันนี้มาเฉพาะคนที่มีคิวถ่าย น่าจะมากันเกือบครบแล้ว ขาดแต่คุณนานะคนเดียวที่บอกว่าจะขอตามมาทีหลัง เพราะไม่ถนัดตื่นเช้า คุณพอลลี่ถามมีอะไรหรือเปล่าครับ”

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ฉันแค่อยากจะทราบ เพราะถ้ามากันครบทุกคนแล้ว ฉันจะได้ไปจัดน้ำจัดท่าและของว่างให้ทุกคน” พรนาราตอบ รู้สึกใจชื้นขึ้นเล็กน้อยที่รู้ว่านันทวดียังไม่มาที่นี่ในเร็วๆ นี้ เพราะเธอจะได้มีเวลากลับเข้าบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่และเตรียมสิ่งต่างๆ ให้พร้อมกว่านี้ เธอจะได้ไม่ขายหน้าเพื่อนเก่ามากนัก

อย่างไรก็ดี แผนการของหญิงสาวก็มีอันต้องสะดุดไป เพราะเมื่อเธอกำลังจะกลับเข้าไปในบ้านเพื่อช่วยส้มโอนำน้ำท่าและของว่างมาเสิร์ฟให้ทีมงาน ‘กรแก้ว’ ผู้กำกับหญิงก็ปรี่เข้ามาพูดคุยกับเธอก่อน เธอรู้ว่าหล่อนคงอยากทักทายและขอบคุณเธออย่างเป็นทางการในฐานะเจ้าของไร่ที่อุตส่าห์ให้ยืมใช้สถานที่ถ่ายทำ แต่ยิ่งคุยก็ยิ่งติดลมยาว เธอหาช่องว่างในการปลีกตัวออกมาจัดการธุระส่วนตัวไม่ได้เลย จนกระทั่งดาราใหญ่เดินทางมาถึงนั่นละ ผู้กำกับจึงยุติบทสนทนาและปรี่ไปต้อนรับผู้มาใหม่ในที่สุด

“นานะ มาแล้วหรือที่รัก มาๆ พี่รอเธออยู่เลย!”

“สวัสดีค่ะ พี่แก้ว หนูคงไม่ได้มาช้าไปใช่ไหมคะ” นันทวดียกมือขึ้นไหว้ผู้กำกับ ก่อนจะเดินฉับๆ ตรงเข้ามาหาพร้อมกับผู้จัดการส่วนตัว

พรนาราใจหล่นวูบ รู้ดีแก่ใจว่ามันสายเกินกว่าจะวิ่งกลับเข้าบ้านเพื่อแปลงโฉมแล้ว เธอได้แต่ยืนมือเท้าเย็นเฉียบเป็นหุ่นไล่กาอยู่ตรงนั้นและภาวนาอย่างบ้าคลั่งให้นันทวดีไม่เห็นเธอ

“ไม่ช้าๆ พวกพี่ต่างหากที่มาเร็วเกินไป”

“แหม พี่แก้วละก็...” นันทวดีจีบปากจีบคอหัวเราะ วันนี้หล่อนสวมชุดแม็กซี่เดรสสีครีมกับหมวกปีกสีเดียวกันเข้าคู่กับรองเท้าส้นสูงห้านิ้ว แม้จะดูไม่ค่อยเข้ากับสถานที่เท่าไร เพราะดูเหมือนจะไปเดินแฟชั่นเสียมากกว่า แต่ก็ต้องยอมรับว่าหล่อนสวยสะกดจริงๆ เป็นผู้หญิงซึ่งใช้คำว่า ‘สวย’ ได้สิ้นเปลืองมาก ดูไม่เหมือนเด็กสาวสุดเฉิ่มสวมแว่นตาหนาเตอะเมื่อสมัยเรียนเลย หล่อนมาไกลมากจริงๆ “เซตคิวกับฉากกันพร้อมหรือยังคะพี่”

“ใกล้จะพร้อมแล้วละ ว่าแต่นี่เดินทางมายากไหม จีพีเอสมันพาไปเข้ารกเข้าพงนะ”

“ไม่ยากเลยค่ะ พอดีบอดีการ์ดหนูเขารู้ทางเลยไม่ต้องพึ่งจีพีเอส”

 “โชคดีไป พูดถึงบอดีการ์ด ได้ข่าวว่าเปลี่ยนบริษัทที่ดูแลเราใหม่หรือ”

“ใช่ค่ะ เป็นบริษัทของเพื่อนเก่าสมัยเรียน เขาลงทุนมาดูแลหนูด้วยตัวเองเป็นเคสพิเศษเลยละ เอาจริงๆ คงไม่มีบอดีการ์ดของดาราคนไหนที่มีโพรไฟล์เริ่ดเป็นถึงลูกชายท่านประธานดีกรีหนุ่มนักเรียนนอกแบบหนูแน่ ฮิฮิ ก็อย่างว่าล่ะนะซุป’ตาร์ระดับหนูจะใช้อะไรธรรมดาๆ แบบคนอื่นได้ยังไง”  

“อื้อหือ ร้ายกาจอีกแล้วนะเรา ใช้งานลูกชายท่านประธานเสียด้วย” กรแก้วยิ้มกว้าง ดูจะตื่นเต้นกับเรื่องโอ้อวดนี้ตามไปด้วย “พูดขนาดนี้แล้วพี่ชักอยากจะเห็นหน้าค่าตาบอดีการ์ดคนนั้นแล้วสิ อยากรู้ว่าหน้าตาจะเริ่ดเท่าโพรไฟล์ไหม”

“เดี๋ยวก็ได้เห็นค่ะ ตอนนี้เอารถไปจอดอยู่ เดี๋ยวก็ตามมา ว่าแต่...” นางเอกสาวหันมองพรนาราซึ่งยืนก้มหน้าก้มตาอยู่ใกล้ๆ หล่อนผงะไป หรี่ตามองเธออย่างกับจะพินิจว่าใช่คนแน่แล้วหรือเปล่า เมื่อแน่ใจว่าใช่จึงถามต่อ “ไม่ทราบว่านี่ใครหรือคะ”

“อ๋อ ลืมแนะนำไปเลย นี่เจ้าของไร่ที่อนุญาตให้กองละครของเรายืมใช้สถานที่ถ่ายทำละ”

นันทวดีมองเธอตั้งแต่หัวจดเท้า ก่อนกระตุกยิ้มปลอมๆ ให้เธอนิดหนึ่ง และหันหน้าไปทางอื่นแบบไม่สนใจจะทักทายอะไรสักคำ 

หล่อนจำเธอไม่ได้...ตอนนี้พรนาราไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าควรรู้สึกอย่างไร เสียใจที่เพื่อนเก่าจำกันไม่ได้ หรือต้องดีใจที่ไม่ถูกทักในฐานะคนรู้จัก เพราะสารรูปเธอตอนนี้ก็ไม่ไหวจริงๆ

“ถ้าอย่างนั้นไปแต่งตัวแต่งหน้าเลยไหม เดี๋ยวจะได้มาซ้อมบท”

ดาราสาวพยักหน้าตามคำแนะนำของผู้กำกับ หล่อนกำลังจะเดินจากไปอยู่แล้วก็พอดีกับที่ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาสมทบ เขาละล้าละลังกับการคุยโทรศัพท์เรื่องงานอยู่จึงตามมาช้า ครั้นพอเสร็จธุระเขาก็ไม่รีรอเลยที่จะมาอยู่เคียงข้างสาวคนรักโดยเร็วที่สุด

“พี่ชินมาพอดีเลย พี่เคยพบพี่แก้วผู้กำกับละครเรื่องนี้หรือยังคะ” นันทวดีกวักมือเรียกชายหนุ่ม และเริ่มต้นแนะนำ “พี่แก้ว นี่พี่ชินค่ะ คู่หมั้นของหนูเอง พอดีหนูยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับสถานที่ พี่เขาเลยแวะมาส่งและจะอยู่เป็นเพื่อนหนูสองสามวันค่ะ”

หัวใจของพรนาราเต้นแรงจนแทบจะกระเด็นออกมานอกอก เธอไม่รู้ว่าทั้งสองฝ่ายแนะนำตัวและพูดคุยอะไรต่อกันบ้าง โสตประสาทของเธอดูจะอื้อดับไปแล้ว เพราะความสนใจทั้งหมดพุ่งไปยังหนุ่มผู้มาใหม่คนนั้น

ชินกฤต....เขามาอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย!

ดวงตาใต้เส้นผมยาวปรกหน้าของเกษตรกรสาวเปี่ยมไปด้วยประกายแห่งความหวัง ความหวังที่มันเคยถูกลบหายไปแล้วตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนถูกจุดขึ้นใหม่อีกครั้ง ในที่สุดเขาก็กลับมายืนอยู่ตรงนี้ อยู่ต่อหน้าเธอ...ใกล้เพียงแค่เอื้อม

พี่ชิน...เจ้าชายเดินดินของเธอ เขายังดูหล่อเหลาไม่เปลี่ยนเลย 

ปลายนิ้วของหญิงสาวขยับเล็กน้อย เธออยากจะเอื้อมมือออกไปหาเขาเพื่อทำให้เขาหันกลับมามองเธอบ้าง แต่ก็รู้ดีว่าคงยาก เพราะในสายตาของเขามีแต่นันทวดีเท่านั้น ชินกฤตไม่ได้สังเกตเห็นเธอด้วยซ้ำ จนกระทั่งผู้กำกับต้องเป็นฝ่ายแนะนำ เขาจึงเพิ่งสังเกตว่าเธอมีตัวตนอยู่ตรงนี้ด้วยอีกคน

“อ้อ เกือบลืมไปนี่เจ้าของไร่ที่ให้เรายืมใช้สถานที่จ้ะ”

ชินกฤตเองก็ไม่ได้แตกต่างจากทุกคนที่ดูจะตกใจเมื่อเห็นเธอ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รวบรวมสติได้เร็ว เห็นได้รอยยิ้มทักทายเธออย่างมีมารยาท

“สวัสดีครับ”

นัยน์ตาคู่คมที่เพ่งมองมาทำให้พวงแก้มของเจ้าของไร่ร้อนผ่าว มันแตกต่างจากตอนนันทวดีมากนัก แม้สภาพของเธอจะย่ำแย่ แต่ครั้งนี้...เธออยากให้เขาจำเธอได้จริงๆ เพราะคนอย่างชินกฤตคงไม่หัวเราะเยาะเธอแน่

“เอ่อ...คือว่า...” และก่อนที่จะทันห้ามตัวเองทัน พรนาราก็เป็นฝ่ายเริ่มต้นบทสนทนาก่อน 

“ครับ?”

“คือว่าจำ...จำกันได้ไหมคะ”

ราวกับทุกเวลาที่เคลื่อนผ่านไปเนิ่นช้า พรนาราไม่รู้ตัวเลยว่าเธอฝากความหวังไว้กับคำตอบนี้มากเพียงใด ยิ่งหวังไว้มาก ยามที่ผิดหวังก็ยิ่งเจ็บมากเท่านั้น

“เราเคยรู้จักกันด้วยหรือครับ”

พออีกฝ่ายตอบมาเช่นนั้น เจ้าของไร่สาวก็ไปไม่เป็น ปลายนิ้วที่ขยับอย่างมีหวัง ถูกปล่อยทิ้งลงข้างตัวด้วยท่าทางห่อเหี่ยว เธอเคยคิดว่าเขาแตกต่างจากนันทวดี เพราะเขาและเธอเคยใช้เวลาดีๆ ร่วมกันไม่น้อย แต่สุดท้ายแล้วเขาเองก็ไม่ได้แตกต่าง เพราะเขาจำเธอไม่ได้เช่นกัน

“พี่ชิน เราไปตรงโน้นกันดีกว่าค่ะ เสียเวลามากแล้ว เดี๋ยวนานะจะพาพี่ไปแนะนำให้ทุกคนในกองได้รู้จัก” นันทวดีชักชวน คงไม่อยากให้คู่หมั้นเสียเวลาคุยกับหญิงอื่นนานนัก จึงเกาะแขนเขาพลางเร่งเร้าไปหาทีมงานอีกด้าน 

“ขอตัวก่อนนะครับ” ชินกฤตขอตัวและเดินจากไปกับดาราสาว ทิ้งให้พรนารายืนนิ่งอยู่ที่เดิมด้วยหัวใจที่ร้าวราน เพราะเธอรู้ดีว่ารอยยิ้มที่เขามอบให้มันไม่ได้มีความหมายเป็นพิเศษอะไร เป็นรอยยิ้มห่างเหินแบบคนไม่รู้จักกัน

พอคนเราผิดหวังมากเข้า จิตใต้สำนึกก็บอกให้รู้จักชาชินและเจียมตัว พรนาราเดินคอตกมาหาบิดาซึ่งยังนอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวบนแคร่และช่วยกันกับส้มโอพาท่านเข้าไปนอนในบ้าน ครั้นพอหญิงสาวลับหายไปไม่ทันไร พันฤทธิ์ก็เดินมาพอดี เขาเหลียวมองไปรอบบริเวณราวกับหวังว่าจะเห็นใครคนหนึ่งที่เขาคิดถึงยืนอยู่แถวนั้น แต่ก็ไม่พบ

“พีท มัวทำอะไรอยู่ มาตรงนี้กับพวกเราสิ ฉันจะแนะนำให้นายรู้จักทุกคน”

เสียงเรียกของนันทวดีดังมาแต่ไกลบอดีการ์ดหนุ่มจึงจำต้องหันหลังและเดินไปสมทบกับอีกฝ่าย คลาดสายตาของพรนาราซึ่งกำลังมองผ่านหน้าต่างออกมาแบบเศร้าๆ เพียงแค่ชั่ววินาที

 

เกษตรกรสาวต้อนรับแขกอย่างดี เธอเตรียมทั้งน้ำลอยดอกมะลิ น้ำอัดลม และขนมขบเคี้ยวเท่าที่จะหาได้ให้ทีมงาน  แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะพอใจในการบริการนี้ เพราะยังมีหลายคนซึ่งไม่พอใจกับของที่เธอจัดหามาให้ นางเอกสาวของกองละครอ้างว่าดื่มกินสิ่งที่เธอเตรียมไว้ให้ไม่ได้ หล่อนต้องการดื่มน้ำผลไม้สกัดเย็นเพื่อสุขภาพเท่านั้น ทำให้ส้มโอต้องวิ่งแห้งมาขอความช่วยเหลือจากพรนารา เพราะรับมือกับดาราสาวไม่ไหว

“คาดหวังมากไปหรือเปล่า ที่นี่จะไปหาเครื่องทำน้ำผลไม้สกัดเย็นได้จากที่ไหนล่ะ” พรนาราส่ายหน้า ระหว่างที่กำลังสาละวนกับการจัดข้าวของในครัว 

“หนูบอกไปแล้วว่าบ่มีๆ แต่เพิ่นกะสิเอาให้ได้ แล้วเพิ่นกะมาเคียดให้หนูอีก หนูล่ะหนหวยเด้ (หนูก็บอกไปแล้วว่าไม่มีๆ แต่เขาก็จะเอาให้ได้ แล้วยังมาโกรธใส่หนูอีก หนูล่ะหงุดหงิดจัง)”

“งั้นส้มโอไปถามเธออีกครั้งสิว่า เปลี่ยนเป็นน้ำผลไม้คั้นสดแทนได้ไหม ถ้าแบบนั้นเราพอจะหาให้ได้”

ส้มโอพยักหน้าแล้ววิ่งกลับไปถาม ไม่ถึงสองสามนาทีต่อมาก็วิ่งมาให้คำตอบ

“เพิ่นบอกว่าได้ แต่ขอเป็นผลไม้ออร์แกนิคปลอดสารท่อนั้นค่ะ (เขาบอกว่าได้ แต่ขอเป็นผลไม้ออร์แกนิคปลอดสารเท่านั้นค่ะ)”

เจ้าของไร่ผ่อนลมหายใจ แม้จะหน่ายใจอยู่ไม่น้อยแต่ว่าอย่างไรก็คงต้องว่าตาม เพราะในฐานะเจ้าบ้านเธอต้องรับรองแขกให้ดีที่สุดอยู่แล้ว ยังดีที่เมื่อวานก่อนเพื่อนบ้านนำส้มเขียวหวานปลูกเองมาฝากให้เธอเป็นกิโล เธอจึงใช้มันแก้ปัญหาคราวนี้ได้เพราะผักผลไม้ในหมู่บ้านนี้ปลูกแบบเกษตรอินทรีย์ปลอดสารกันอยู่แล้ว หญิงสาวนำผลส้มมาคั้นเป็น ‘น้ำนางเอก’ แล้วรินใส่แก้วใบที่ดีที่สุดในบ้านและจัดการยกไปให้นันทวดีด้วยตนเอง เพราะส้มโอบ่นออดว่าไม่อยากออกไปหาแม่นางเอกคนนั้นแล้ว ดูท่านิสัยนอกจอโทรทัศน์ของหล่อนคงทำให้แฟนคลับอย่างส้มโอผิดหวังและขยาด

พรนารานำน้ำส้มคั้นไปให้ดาราสาว นันทวดีกำลังนั่งแต่งหน้าอยู่ในเต็นท์โดยง่วนกับการอ่านทวนบทไปด้วย เมื่อหล่อนเหลือบเห็นเจ้าของไร่มาพร้อมกับแก้วน้ำส้ม หล่อนก็กระดิกนิ้วนิดหนึ่งเป็นเชิงเรียกให้เข้าไปเสิร์ฟถึงมือ

“ขอบคุณ ไม่มีหลอดหรือ”

“หลอด?”

“ดื่มแบบนี้ลิปสติกก็เลอะแย่น่ะสิ ป้าไม่มีหลอดให้หรือคะ”

ยิ่งกว่าการถูกเพื่อนรุ่นเดียวกันเรียกว่า ‘ป้า’ ก็คือการที่นันทวดีปฏิบัติต่อเธอราวกับคนรับใช้นี่ละ พรนารานึกขอบคุณเส้นผมยาวที่ปรกหน้าปรกตาเธอเอาไว้จริงๆ เพราะมันช่วยอำพรางสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกในสถานการณ์นี้เป็นอย่างดี 

“ไปใช้คุณเขาทำไมล่ะ ยายเด็กคนนี้นี่ เดี๋ยวพี่หยิบให้เองก็ได้ เอ้า นี่หลอด ทีมงานเราก็มี” ไตรทศ ผู้จัดการส่วนตัวเข้ามาแก้ปัญหาให้ แต่ขึ้นชื่อว่านันทวดีแล้ว มีหรือจะมีแค่ปัญหาเดียว พอหล่อนใช้หลอดที่รับมาจากผู้จัดการดูดชิมน้ำส้มแล้วก็หันมาสั่งพรนาราอีก

“รสชาติดีนะ ขอแบบนี้อีกสองแก้วนะคะป้า พอดีอยากให้คู่หมั้นกับบอดีการ์ดได้ชิมด้วย” ว่าแล้วก็พยักพเยิดไปทางชินกฤตที่นั่งไขว่ห้างอยู่ภายในเต็นท์ด้วย เขาไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองมาทางนี้เพราะมัวแต่จดจ้องโทรศัพท์มือถือเพื่อเทรดหุ้นอยู่ ส่วนบอดีการ์ดที่กล่าวถึงเธอก็ยังไม่เห็นตัวเลยด้วยซ้ำ เพราะดูเหมือนจะยังติดวงล้อมของทีมงานสาวๆ ที่พากันรุมถามไถ่อยู่ไกลๆ จึงยังปลีกตัวออกมาไม่ได้

“นานะ ไม่เอาน่า” ไตรทศทำปากจี๊จ๊ะใส่ดาราสาวเป็นเชิงปราม แต่หล่อนก็ไม่สนใจ ลอยหน้าลอยตาหันมาถามพรนารา

“ไม่ได้หรือคะ นึกว่าเจ้าของไร่มีหน้าที่ดูแลแขกเสียอีก”

ไตรทศตั้งท่าจะขอโทษแทน แต่พรนารากลับพยักหน้าเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร

“ไม่เป็นไรค่ะ อีกสองแก้วใช่ไหม เดี๋ยวจัดการให้ค่ะ”

หญิงสาวก้มหน้างุดๆ กลับไปทำน้ำผลไม้เพิ่มอีกสองแก้วตามสั่ง เมื่อกลับมาเธอก็รีบยื่นส่งให้ชินกฤต เขามีมารยาทดีกว่าคู่หมั้นหน่อยก็ตรงที่ยังรู้จักขอบคุณ ส่วนนันทวดีนอกจากจะไม่ขอบคุณแล้วยังชี้นิ้วสั่งเธอซ้ำแบบไม่รู้จักเกรงใจอีกต่างหาก

“อีกแก้วป้าเอาไปให้บอดีการ์ดหนูหน่อย เขาอยู่ตรงโน้นแน่ะ”

“เดี๋ยวพี่ไปเอง ไม่ต้องไปรบกวนคุณเจ้าของไร่เขาหรอก” ไตรทศเสนอตัว แต่ดาราสาวก็แหวใส่ทันควัน

“พี่ไตรน่ะอยู่กับหนูตรงนี้เลยค่ะ ดาราที่เข้าซีนกับหนูยังแต่งตัวไม่เสร็จ หน้าที่ของพี่คือคอยเป็นคู่ซ้อมบทให้หนู ห้ามไปไหนทั้งนั้น”

ไตรทศมองมาที่พรนาราอย่างไม่แน่ใจ แต่เมื่อเห็นว่าเธอพยักหน้าให้เป็นทำนองว่าไปเองได้ เขาจึงยอมปล่อยให้เธอจัดการเรื่องนี้ หญิงสาวแยกตัวออกมาจากเต็นท์ที่พักดาราแล้วเดินตรงไปยังความวุ่นวายย่อมๆ ที่ลานดิน เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดบอดีการ์ดของนันทวดีจึงพลอยพอปสุดๆ ไปด้วยเช่นนี้ ถึงขนาดที่ว่าทีมงานทั้งสาวน้อยและสาวเหลือน้อยทั้งหลายแหล่ต่างพากันมะรุมมะตุ้มกรี๊ดกร๊าดพูดคุยไม่หยุดหย่อน ทั้งหมดนี้เพราะชื่อเสียงของนันทวดีหรือเพราะเจ้าตัวเองกันแน่ก็ไม่ทราบ 

แต่จะเพราะอะไรก็คงไม่ใช่ธุระของเธออยู่ดี รีบไปเสิร์ฟน้ำแล้วรีบออกมาดีกว่า พรนาราตั้งมั่นในใจ แต่ในความเป็นจริงทำได้ยากยิ่ง เพราะบรรดาทีมงานที่พากันรุมล้อมบอดีการ์ดคนนั้นอยู่ยืนออกันอยู่อย่างหนาแน่น มิหนำซ้ำพอเธอขอผ่านทาง แทนที่จะหลีกทางให้ดีๆ แม่ยกเหล่านั้นกลับเบียดเสียดจนเธอเสียหลักล้มไปคลุกดิน 

การจับกบต่อหน้าทุกคนก็ว่าแย่แล้ว ที่แย่ยิ่งกว่าก็คือน้ำส้มที่ถือมาด้วยดันหกราดดินและบางส่วนหกราดเสื้อผ้าของเธอด้วยนี่สิ พรนาราไม่รู้จะทำหน้าอย่างไรเลย เธอรีบพยุงกายขึ้นและก้มหน้าก้มตาเก็บเศษแก้วบนพื้น พลางขอโทษขอโพยไปด้วย 

“ขอโทษค่ะ ฉันไม่ระวังเอง”

หญิงสาวมองไม่เห็นหรอกว่าทุกคนกำลังก่นด่าหรือนินทาในความสะเพร่าของเธอว่าอย่างไร รู้แต่ต้องรีบออกไปจากวงล้อมนี้ให้เร็วที่สุด เธอไม่อยากเห็นสีหน้าตื่นตกใจราวกับเห็นผีของบอดีการ์ดยามที่เห็นหน้าเธออีก เพราะวันนี้เธอเจอมามากพอแล้ว และเธอก็ไม่เหลือที่ว่างให้กับความรู้สึกแย่ๆ หรือความหน่ายใจพรรค์นั้นด้วย 

อย่างไรก็ตาม บอดีการ์ดคนนี้คงเป็นคนดีที่สุดเท่าที่เธอเคยพบมาในช่วงนี้แล้ว เพราะนอกจากจะไม่ได้ต่อว่าเธอ เขายังอุตส่าห์มาช่วยเธอเก็บเศษแก้วและพยุงเธอลุกขึ้นจากพื้นอีก พรนารารู้สึกซาบซึ้งใจจึงอยากจะขอบคุณเขา หากแต่เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมา เธอเองก็ต้องเป็นฝ่ายประหลาดใจมากเพราะใบหน้าของคนตรงหน้าช่างคุ้นตา แม้จะไม่ได้พบกันนานหลายปีแล้ว แต่เธอจำไม่ผิดแน่

นั่นเจ้าตัวเล็กไม่ใช่หรือ!

เจ้าตัวเล็กของเธอไม่ใช่เด็กหนุ่มเกรดเก้าตัวเล็กๆ อย่างที่เคยเห็นในความทรงจำอีกแล้ว ตอนนี้เขาเติบโตกลายเป็นชายหนุ่มเต็มตัว รูปร่างสูงใหญ่กำยำแข็งแรง เขาสูงกว่าเธอมากโข ทำให้เธอต้องแหงนหน้าเพื่อมองเขา แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะเปลี่ยนไปตามวันเวลา แต่นัยน์ตาสีน้ำผึ้งคู่นั้นยังเหมือนเดิมกับที่เธอเคยจำได้...เขาคือ ‘พีท’ เพื่อนสนิทในวัยเยาว์ของเธอนั่นเอง

หัวใจของพรนาราพองโตด้วยความดีใจ เธอมีคำถามมากมายอยากจะถามเขา อยากจะถามว่าเขาสบายดีไหม กลับมาเมืองไทยเมื่อไร เขามาอยู่ที่นี่และกลายเป็นบอดีการ์ดของนันทวดีได้อย่างไร แต่คำถามทั้งหมดก็ถูกหยุดยั้งด้วยความจริงอันโหดร้ายที่ว่า...ถ้าเขาจำเธอไม่ได้ล่ะ?

จะมีประโยชน์อะไรที่จะถามคำถามเหล่านี้ หากพันฤทธิ์จำเธอไม่ได้เหมือนกับคนอื่นๆ ล่ะ เธอจะทำอย่างไร เธอเคยพยายามลองมาแล้วกับชินกฤต แต่เขาก็จำเธอไม่ได้อยู่ดี พันฤทธิ์เองก็คงเหมือนกัน พวกเธอแยกจากไปกันนานหลายปีแล้ว และสภาพของเธอตอนนี้ก็ไม่เหลือเค้าความสวยน่ารักเหมือนเก่า...กลายเป็นเพียงคนไม่น่าจดจำเท่านั้น ดังนั้นแทนที่จะตั้งคำถามออกไปมากมาย กระทั่งถามว่าจำกันได้หรือเปล่า พรนาราก็เพียงตัดใจและกล่าวออกไปสั้นๆ แบบคนไม่อยากตั้งความหวังหรือเสียหน้าอีก

“ขอบคุณค่ะ” เธอบอกเขา ทั้งๆ ที่เนื้อตัวมอมแมม รีบปัดมือเขาออกจากการช่วยพยุง “เดี๋ยวจะไปเอาน้ำส้มแก้วใหม่มาให้นะคะ” พูดเพียงเท่านั้นก็รีบก้มหน้างุดๆ วิ่งออกมาจากบริเวณนั้น โดยไม่เปิดโอกาสให้พันฤทธิ์ได้พูดอะไรด้วยซ้ำ

อันที่จริงเธอก็แค่...ไม่อยากฟังถ้อยคำอันห่างเหินแบบคนไม่รู้จักกัน หรือกระทั่งเห็นอาการตกใจยามที่เพื่อนสนิทเห็นหน้าเธอเท่านั้นละ เธอเจ็บมามากพอแล้ว เธอไม่อยากแบกรับความรู้สึกลบๆ เหล่านี้อีก...ไม่อยากเลยจริงๆ

ครั้นพอเกษตรกรสาววิ่งหนีหายไปแล้ว หนึ่งในทีมงานซึ่งรุมล้อมพันฤทธิ์อยู่ก็พยายามปลอบใจบอดีการ์ดหนุ่ม

“อย่าไปสนใจเลยนะคะ คุณพีท เธอก็เป็นคนแปลกๆ แบบนั้นละ”

“ใช่ นึกว่าผีหลอกกลางวันแสกๆ นอกจากหน้าจะแปลกแล้วยังนิสัยแปลกอีก เป็นผู้หญิงที่พิลึกพิลั่นจริงๆ”

คนอื่นๆ เริ่มผสมโรงในการวิจารณ์ แต่แทนที่จะรู้สึกดีใจหรือขอบคุณในการปลอบใจนี้ ชายหนุ่มกลับตำหนินักวิจารณ์เสียอย่างนั้น

“ระวังหน่อยครับ เธอเป็นเจ้าของไร่ที่อุตส่าห์ให้พวกคุณยืมใช้สถานที่ จะพูดจะทำอะไรก็ควรให้เกียรติเธอด้วย”

“โธ่ คุณพีท พวกเราพูดเรื่องจริงนี่นา”

“อะไรจริงครับ ผมไม่เห็นว่าเธอจะแปลกตรงไหน ในทัศนะของผมคนที่แปลกก็คือคนที่ไม่รู้จักมารยาท ไม่รู้จักกาลเทศะ และไม่ให้เกียรติคนอื่นต่างหาก”

พอถูกสวนกลับนิ่มๆ ทีมนักวิจารณ์ก็เลยพากันหุบปากสนิทและรีบสลายตัวกันไปทันที ปล่อยให้ชายหนุ่มยืนอยู่ที่เดิม ทิ้งสายตามองตามเจ้าของไร่สาวซึ่งวิ่งหายไปในบ้านหลังน้อย

 

“เอื้อยเป็นหยังบ่ (พี่เป็นอะไรไหม)”

พอกลับเข้ามาในบ้านเพื่อทำน้ำผลไม้แก้วใหม่ พรนาราก็ไม่อาจหลบคำถามนี้พ้น ส้มโอคงจะเห็นสีหน้าและสภาพดูไม่ได้ของเธอจึงได้ถามไถ่ เธอไม่ได้ตอบอะไรน้อง ได้แต่โบกมือเป็นเชิงให้อีกฝ่ายไปจัดการงานของตัวเอง ครั้นพอเด็กสาวออกไปแล้ว เธอจึงได้มีโอกาสอยู่ตามลำพังเสียที

พรนาราค้ำตัวเหนือโต๊ะด้วยความเหนื่อยอ่อน เพื่อนเก่าของเธอมารวมตัวกันที่นี่ มันเป็นสิ่งที่เธอไม่ได้เตรียมใจมาก่อนเลย ตอนนี้เธอไม่รู้ว่าควรรู้สึกอย่างไรแล้ว ทั้งตกใจ ดีใจ สุขใจ และเศร้าใจ ทุกอย่างมันประดังประเดเต็มไปหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งพันฤทธิ์...มาคิดๆ ดูแล้ว เธอเองไม่มีหน้าจะดีใจที่ได้พบเขาด้วยซ้ำ หลังจากที่พูดจาร้ายกาจใส่เขาไปตั้งแต่คราวนั้น เธอไม่มีสิทธิ์จะทักทายเขาด้วยซ้ำ

ใช่...เธอควรละอายใจบ้าง เป็นแบบนี้ก็ดีแล้วละ ดีแล้วที่เขาจำเธอไม่ได้

หญิงสาวผ่อนลมหายใจ เตรียมจะใช้ผ้าชุบน้ำสะอาดเช็ดทำความสะอาดรอยเปื้อนบนเสื้อผ้า ทว่าทำไปยังไม่เสร็จดี ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นเสียก่อน เธอหันไปมองตามเสียง จึงเพิ่งเห็นว่าส้มโอออกไปโดยไม่ได้ปิดประตูบ้าน พันฤทธิ์ยืนอยู่ตรงนั้น แม้ประตูจะถูกเปิดค้างเอาไว้อยู่แล้ว แต่เขาก็ยังมีแก่ใจเคาะมันเพื่อขออนุญาตเธออีกครั้ง

“ขอเข้าไปได้ไหม”

เธอไม่รู้หรอกว่าเขาต้องการอะไร แต่ก็พยักหน้ารับ แม้เขาจะไม่ได้มีท่าทีตกใจเมื่อเห็นหน้าเธอก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกกังวลน้อยลงอยู่ดี

“มีอะไรหรือเปล่าคะ หรือว่าจะเอามาน้ำส้ม” เธอพยักพเยิดไปยังอุปกรณ์คั้นน้ำผลไม้ที่ยังวางค้างอยู่บนโต๊ะ “ฉันยังจัดเตรียมไม่เสร็จเลย รอสักครู่นะคะ ขอเวลาอีกห้านาที”

ว่าแล้วก็ลงมือคั้นน้ำผลไม้โดยเร็ว โดยพยายามไม่หันไปมองคนตัวโตที่ยืนอยู่ในห้องด้วย ราวกับกลัวว่าเขาอาจจะพูดอะไรร้ายๆ ใส่เธอ แต่สุดท้ายก็เปล่า เพราะพันฤทธิ์ไม่พูดอะไรสักคำ ได้แต่ก้าวเข้ามาข้างในและยืนมองเธออยู่เงียบๆ

“เสร็จแล้วค่ะ”

ราวกับเป็นช่วงเวลาวัดใจ ในที่สุดเจ้าบ้านก็ทำน้ำผลไม้แก้วใหม่เสร็จ เธอถือมันไปส่งให้เขาด้วยมืออันสั่นเทา 

“ขอบคุณนะ” เขายื่นมือหนึ่งออกมารับและยกแก้วขึ้นดื่มรวดเดียวหมด “อร่อยมากเลย”

พรนารารับแก้วเปล่าคืนมาแล้วค้อมศีรษะเป็นเชิงตอบรับ เพียงคำขอบคุณและคำชมจากเพื่อนเก่าก็มากเกินพอแล้ว เธอไม่เคยคิดฝันว่าจะมีอะไรที่ดีไปกว่านี้เลย

“ดื่มน้ำเสร็จแล้วคุณออกไปได้แล้วมั้งคะ เดี๋ยวคุณนานะจะไม่สบายใจได้ถ้าไม่เห็นบอดีการ์ดของเธออยู่ใกล้ๆ” เกษตรกรสาวพยายามจบบทสนทนาให้เร็วที่สุด ตั้งท่าจะขอตัวออกมา แต่แทนที่จะปล่อยให้เธอเดินผ่านไปเฉยๆ มือใหญ่กลับคว้าข้อแขนบางของเธอไว้

“เธอจะทำแบบนี้ไปถึงเมื่อไร”

“คะ?”

“ฉันถามว่าเธอจะทำแบบนี้ไปถึงเมื่อไร” เขาย้ำคำถามเดิม พลิกร่างเล็กให้หันกลับมาเผชิญหน้ากับเขา... เผชิญหน้ากับนัยน์ตาสีน้ำผึ้งคมแต่หวานคู่นั้น “ใจคอจะทำเป็นแกล้งไม่รู้จักกันอีกนานไหม พอลลี่!”

คนถูกเรียกชื่อสะดุ้ง ดวงตาเบิกกว้างเต็มไปด้วยคาดไม่ถึง 

“นาย...” เธอเอ่ยเสียงแหบแห้ง หัวใจที่เคยแห้งแล้งพลันสุขสดชื่นขึ้นทันตา “นายจำฉันได้ด้วยหรือ”

“จำได้สิ ทำไมถึงคิดว่าฉันจะจำเธอไม่ได้ล่ะ”

“เพราะฉัน...ฉันไม่ได้สวยน่ารักเหมือนเดิม ตอนนี้ฉันมันก็แค่...”

“อย่าพูดแบบนั้น ในสายตาของฉัน เธอยังดูเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย ต่อให้มองไกลๆ ต่อให้มองแค่ข้างหลัง ฉันก็จำเธอได้เสมอ”

จำได้ทั้งในยามหลับและยามตื่น...เพราะเธอคนนี้คือคนที่อยู่ในห้วงความคิดของเขา ไม่มีวันไหนที่เขาลืมเธอ

“เธอคือควีนพอลลี่ คือพอลลี่ของฉัน ฉันคิดถึงเธอ”

ขอบตาของหญิงสาวร้อนผ่าวด้วยความตื้นตัน เธอเอื้อมมืออันสั่นเทาของตนออกไป หมายจะแตะใบหน้าพันฤทธิ์เพื่อให้แน่ใจว่าคนที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้มีตัวตนจริง และเธอไม่ได้ฝันไป

“ใช่ ฉันคือพอลลี่ ส่วนนายก็คือ...”

‘เจ้าตัวเล็ก’ ของควีนพอลลี่นั่นไง...เธออยากจะพูดแบบนี้ แต่ยังไม่ทันได้ทำอย่างที่ใจต้องการ เสียงหัวเราะของบุคคลที่สามก็ดังขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน

“ตายแล้วๆ ว่าจะแค่มาหาที่เข้าห้องน้ำแท้ๆ แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจะมาได้จังหวะจนเห็นซีนเด็ดแบบนี้”

พรนาราหันไปมองตามเสียง ใจหล่นวูบไปอยู่ตาตุ่มเมื่อเห็นว่าแขกผู้มาใหม่เป็นใคร นันทวดีและชินกฤตยืนอยู่ตรงทางเข้าซึ่งประตูยังเปิดค้างอยู่ ชินกฤตมีสีหน้าเหมือนคนเห็นผี ส่วนดาราสาวก็มีสีหน้าแบบเดียวกัน เพียงแต่เพิ่มเติมด้วยรอยยิ้มหยันๆ และอาการเดาะลิ้นแบบคนเพิ่งเจอเรื่องสนุกที่สุดในชีวิต

“โอ๊ะโอ เธอคือควีนพอลลี่ สาวพอปของโรงเรียนเราคนนั้นน่ะนะ!”

และนั่นคือจุดเริ่มต้นเรื่องบันเทิงของนันทวดี แต่กลับกลายเป็นหายนะของพรนาราโดยแท้จริง!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น