2

หนูอยากมีผัว!

บทที่ ๒

หนูอยากมีผัว!

 

การได้ระบายความน้อยเนื้อต่ำใจในชีวิตด้วยการร้องไห้บ้างก็ดีเหมือนกัน แม้มันจะไม่ช่วยให้ปัญหาหายไป แต่ก็ช่วยระบายความเครียดและความหดหู่ในใจลงบ้าง ทำให้หญิงสาวมีเรี่ยวแรงทำงานต่อแม้จะด้วยอาการซังกะตายก็ตามที 

หลังจากนำข้าวของที่ซื้อมาไปเก็บและให้กับคนที่ต้องการแล้ว พรนาราก็ปลีกตัวมาทำงานสุดท้ายของวันด้วยการให้อาหารสัตว์ที่โรงเรือนปลายนา ไร่ของเธอแม้ไม่ใหญ่โตแต่ก็มีการทำเกษตรกรรมแบบครบวงจร กล่าวคือมีทั้งการปลูกพืชและเลี้ยงปศุสัตว์ ทั้งหมู ไก่ เป็ด วัว และควาย ผลผลิตที่ได้ก็ไว้กินไว้ใช้เองในครัวเรือน ส่วนที่เหลือก็แบ่งไปขาย ไม่ได้มีรายได้มากนักหรอก เรียกว่าแค่พออยู่ได้ สำหรับคนอื่นอาจจะพอใจในความเป็นอยู่นี้ แต่สำหรับเธอไม่ใช่ เธอไม่เคยพอใจในความเป็นอยู่นี้เลย ดังนั้นในเวลารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจกับชีวิต เธอจึงชอบมานั่งปรับทุกข์กับพวกสัตว์ในไร่ รู้ว่าพวกมันฟังไม่เข้าใจ แต่อย่างน้อยก็รู้สึกว่ามีคนรับฟังขึ้นมานิดหนึ่ง ก็อย่างที่รู้บิดาก็มัวแต่เมา ส่วนส้มโอก็ฟังเรื่องเดิมๆ นี้และปลอบใจจนเบื่อแล้ว เธอจึงเหลือแต่พวกสัตว์นี่ละเป็นเพื่อนปรับทุกข์ ซึ่งวันนี้ถึงคิวของเจ้าหมูที่จะอยู่เป็นเพื่อนเธอ

“ขอบใจที่อุตส่าห์ฟังฉันบ่นนะ เจ้าอู๊ด พวกแกฟังฉันบ่นมาตั้งนาน คงจะเหนื่อยและหิวกันแล้วสินะ เอ้านี่ กินเยอะๆ” เกษตรกรสาวเทอาหารใส่รางให้หมูน้อยเป็นการตอบแทน พวกมันส่ายก้นกลมดุ๊กดิ๊กสีชมพูเข้ามาแย่งกันกินอาหารกันอย่างชุลมุนราวกับหิวโหย ทั้งๆ ที่เพิ่งกินมื้อก่อนไปได้ไม่กี่ชั่วโมง 

สบายใจจริงนะเจ้าพวกนี้...บางครั้งเธอก็อยากจะใช้ชีวิตอยู่ให้ได้เหมือนอย่างพวกมันเหมือนกัน ที่แค่กินอิ่มและนอนหลับก็มีความสุขได้ ส่วนเธอน่ะหรือ ไม่ว่าจะกินอะไรหรือทำอะไรก็ฝืนๆ ไร้ความสุขไปหมด จึงได้ซูบผอมลงๆ ราวกับมีพยาธิแย่งกินสารอาหารอยู่เต็มลำไส้

เมื่อเทอาหารให้สัตว์ครบทุกตัวแล้ว พรนาราจึงเตรียมจะนำภาชนะไปเก็บล้าง เธอเพิ่งจะเดินออกมาที่หน้าโรงเรือนก็พบส้มโอที่วิ่งกระหืดกระหอบมาตามเธอพอดี คงจะรีบร้อนมาตามมากเพราะในมือยังถือขวดเครื่องดื่มผสมคอลลาเจนที่เธอซื้อมาให้ค้างอยู่เลย

“มีอะไร ส้มโอ เดี๋ยวก็หกล้มหรอก หนก่อนหน้าทิ่มดินไปรอบหนึ่งแล้วยังไม่เข็ดอีกหรือไง” พรนาราเตือน เพราะคราวก่อนส้มโอลื่นล้มจนแขนเดาะ ทำให้เธอต้องรับส่งพาไปหาหมออยู่พักหนึ่งจึงรู้สึกเป็นห่วง 

“แหะๆ หนูฟ่าวมานำเอื้อยนี่ละ (หนูรีบมาตามพี่นี่ละ)”

“มาตามพี่ทำไม มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

ส้มโอพยักหน้าแล้วชี้นิ้วไปยังอีกฟากหนึ่งของไร่ที่ซึ่งมองเห็นกระท่อมน้อยของเธอลิบๆ

“มีผู้ซายผู้หนึ่งมาหาเอื้อย (มีผู้ชายคนหนึ่งมาหาพี่)”

“ผู้ชาย?”

“แม่นแล้วค่า หล่อแฮง (ใช่แล้วค่า หล่อมาก)”

“หล่อมากด้วยหรือ ใคร?”

“ฮิฮิ ไปเบิ่งเดี๋ยวเอื้อยกะฮู้เอง (ไปดูเดี๋ยวพี่ก็รู้เอง)”

ก็ไม่รู้ทำไมส้มโอจึงได้ทำตัวน่าสงสัยนัก นอกจากไม่ยอมบอกว่าผู้ชายคนนั้นคือใครแล้วยังหัวเราะคิกคักอีกต่างหาก ถามอะไรก็ไม่ยอมอธิบายเพิ่มสักอย่าง สุดท้ายหญิงสาวจึงต้องเดินไปพบแขกเองให้เห็นกับตา เมื่อไปถึงก็เห็นว่าผู้มาใหม่นั่งรอเธออยู่แล้วที่แคร่หน้ากระท่อม แต่บรรยากาศโดยรอบมันมืดเสียจนเธอไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เพราะเห็นเพียงเงาตะคุ่มๆ จึงต้องใช้วิธีการร้องทักออกไปก่อน 

“มาหาฉันหรือคะ”

แขกคนนั้นลุกขึ้นจากแคร่ และเดินตรงเข้ามาหา เมื่อเข้ามาใกล้ในระยะที่รัศมีแสงจากโคมไฟส่องถึง พรนาราจึงเห็นใบหน้าของแขกคนนั้น มันเป็นใบหน้าที่ทำให้เธอผงะไปชั่ววินาที 

ไม่จริงน่า...เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร!

“ลุงหมัย!” หญิงสาวจ้องมอง ‘สมัย’ ชายวัยห้าสิบกว่าซึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้ใหญ่บ้านอย่างตกใจ นี่น่ะหรือผู้ชายหล่อมากของส้มโอ เธอโดนน้องสาวเล่นเข้าให้แล้วสินะ “ลุงหมัยมาทำอะไรที่บ้านหนูคะ!”

ลุงสมัยผู้มีรูปร่างหน้าตาเหมือนผู้พันร้านไก่ทอดชื่อดังทำหน้าเข้ม กระชับผ้าขาวม้าที่ผูกบนเอวด้วยท่วงท่าเป็นการเป็นงานเหมือนจะมาเจรจาเรื่องสำคัญ ซึ่งไม่ได้ทำให้เธอสบายใจเลย เพราะถ้าลุงสมัยโผล่มาทีไรต้องมีเรื่องให้ช่วยทุกที และส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องที่เธอไม่ค่อยพิศวาสที่จะทำเสียด้วยสิ

“ลุงสิมาขอให้พอลลี่ไปปักตะไคร้งานบวชลูกซายลุงแหน่ (ลุงจะมาขอให้พอลลี่ไปปักตะไคร้ในงานบวชลูกชายของลุงหน่อย)”

นั่นไง...ภารกิจของเธอมาอีกแล้ว ไม่รู้ทำไมตั้งแต่ที่เธอย้ายมาอยู่ที่นี่ เธอก็ถูกไหว้วานกึ่งๆ ยัดเยียดให้ทำหน้าที่ ‘เทพีปักตะไคร้’ ประจำหมู่บ้าน ทุกคนให้เหตุผลว่าเป็นเพราะเธอสาวและสวยที่สุด แต่เธอคิดว่านั่นคือคำโกหกชัดๆ เหตุผลจริงๆ น่าจะแค่เพราะเธอเป็นคนเดียวในหมู่บ้านที่ยังหา ‘สามี’ เป็นตัวเป็นตนไม่ได้ทั้งทางนิตินัยและพฤตินัยมากกว่า ถ้าไม่นับส้มโอที่ยังไม่เติบโตเป็นหญิงสาวเต็มตัวน่ะนะ

“ปักตะไคร้อีกละ ถ้าลุงจะมาด้วยเรื่องนี้ละก็...หนูขอผ่าน!” พรนาราปฏิเสธ ไม่ใช่ว่าไม่อยากจะช่วย แต่เธอทำหน้าที่นี้มาหลายรอบและหลายงานแล้ว เธอเบื่อหน่ายกับมันเต็มทน มันดีที่ได้ช่วยเหลือคนในหมู่บ้าน แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นการย้ำปมในใจเธอไปด้วยว่าจนป่านนี้เธอยังหาสามีไม่ได้น่ะสิ “ทำไมลุงหมัยไม่ไปขอให้ส้มโอช่วยแทนล่ะคะ ส้มโอก็ทำได้เหมือนกัน”

“อีส้มโอมันบ่เอาทางนี้เลย กะเลยต้องเป็นหน้าที่ของพอลลี่นี่ละ มือวางอันดับหนึ่งในการปักตะไคร้ ขอร้องละ ซอยลุงแหน่เด้อ (ส้มโอมันไม่เอาทางนี้เลย ก็เลยต้องเป็นหน้าที่ของพอลลี่นี่ละ มือวางอันดับหนึ่งในการปักตะไคร้ ขอร้องละ ช่วยลุงด้วยนะ)”

“ไม่ใช่ว่าหนูไม่อยากช่วยนะคะ แต่หนูหน่ายกับหน้าที่นี้จริงๆ ทำไมต้องเป็นหนูทุกที”

“เอ๋า กะในหมู่บ้านเฮา มีพอลลี่ผู้เดียวที่บ่มีไผเอา (ก็ในหมู่บ้านเรา มีพอลลี่คนเดียวที่ยังไม่มีใครเอา)”

“ลุงหมัย เบาได้เบาค่ะ พูดแบบนี้หยิบมีดมาแทงกันเลยดีกว่า!”

พอเห็นหญิงสาวหน้าง้ำหน้างอ ผู้ใหญ่บ้านจึงรู้ว่าตนมาผิดทางเสียแล้ว จึงหัวเราะกลบเกลื่อนรีบแก้สถานการณ์ด้วยการกล่าวขอโทษและยื่นข้อเสนอใหม่

“เอ่าจั่งซี่ ถ้าพอลลี่ยอมซอยลุง ลุงสิยอมแบ่งน้ำเซื้อบักอ๊อดมาให้อีโบเป็นจั่งได๋ล่ะ (เอาอย่างนี้ถ้าพอลลี่ยอมช่วยลุง ลุงจะยอมแบ่งน้ำเชื้อไอ้อ๊อดมาให้อีโบเป็นยังไงล่ะ)”

ก็ว่าจะทำเป็นใจแข็งและส่งแขกกลับบ้านแล้ว แต่ครั้นได้ยินข้อเสนอของลุงสมัยก็จำต้องหยุดไตร่ตรองอีกครั้ง เพราะตอนนี้เธอกำลังอยากได้ลูกควายเพิ่มพอดี หากได้น้ำเชื้อจากควายพ่อพันธุ์ดีๆ อย่างพี่อ๊อดมาผสมแล้ว เชื่อว่าน้องโบ ควายสาวของเธอต้องคลอดลูกควายที่มีคุณภาพขายได้ราคาดีเป็นแน่แท้ 

เอาก็เอา...หลับหูหลับตาอีกครั้งจะเป็นอะไรไป

พอคิดได้อย่างนั้นพรนาราจึงตอบตกลง แต่เนื่องจากงานบวชจะเริ่มตั้งแต่ตอนเช้ามืดและบ้านของผู้ใหญ่สมัยก็อยู่ห่างไปพอสมควร ผู้ใหญ่สมัยจึงชักชวนให้เธอไปนอนค้างที่บ้านของท่านในคืนนี้เพื่อความสะดวกในการทำพิธีและช่วยงาน โดยให้นอนในห้องของลูกสาวท่านที่ออกเรือนไปกับชาวต่างประเทศแล้ว เธอไม่ขัดข้องอะไรเพราะรู้จักมักคุ้นกับครอบครัวนี้เป็นอย่างดีและสนิทสนมกับภรรยาของผู้ใหญ่บ้านด้วย แต่ที่ห่วงก็คือบิดาที่นอนเมาแอ๋อยู่ที่บ้านต่างหาก ยังดีที่ส้มโอรับปากว่าจะช่วยดูแลให้ในระหว่างที่เธอไม่อยู่หนึ่งคืน เธอจึงคลายความวิตกและจากมาได้

 

ครั้นพอหญิงสาวจากไปได้พักหนึ่ง ส้มโอซึ่งกำลังอุ่นอาหารที่พรนาราทำทิ้งไว้ให้สินธรรับประทานก็ต้องรามือจากงานที่ทำมาต้อนรับแขกใหม่อีกราย เป็นแขกหนุ่มที่ทำให้เด็กสาวถึงกับมองตาค้าง เพราะใบหน้าคมกระจ่างนั้นแม้จะมองในแสงรำไรของโคมไฟก็ยังงดงามราวเทพสร้าง คิ้วไม่เข้มไม่บาง ทรงปากได้รูป จมูกโด่งกำลังดี แนวกรามคมสันแข็งแรง และที่สะกดสายตาที่สุดคงเป็นนัยน์ตาสีน้ำผึ้งชวนฝันคู่นั้น ขนาดส้มโอที่มีรสนิยมชอบสาวหล่อและไม่ได้รู้สึกเป็นพิเศษกับเพศชาย ก็ยังต้องถึงกับแอบชื่นชมในใจว่าเขามีเสน่ห์มากจริงๆ ทั้งหล่อทั้งล่ำขนาดนี้แน่นอนว่าเขาไม่ใช่คนในหมู่บ้าน เพราะหากใช่ สาวๆ ในหมู่บ้านก็คงจะรอกรี๊ดกร๊าดกันโอปป้าคนนี้แล้ว คงไม่ยอมรีบออกเรือนกันตั้งแต่แตกเนื้อสาวแน่

“อ้ายมาหาผู้ได๋คะ (พี่ชายมาหาใครคะ)” เด็กสาวเดินออกไปต้อนรับ เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มด้อมๆ มองๆ อยู่สักพักแล้ว ภาวนาไม่ให้อีกฝ่ายตอบกลับมาเป็นภาษาเกาหลี ไม่เช่นนั้นเธอคงต้องใบ้รับประทานเป็นแน่แท้ เพราะพูดอะไรไม่ได้เลยนอกจากคำว่า ‘อันยอง’ กับ ‘กิมจิ’  

“พี่มาหาพอลลี่ เธออยู่บ้านไหม พี่เป็นเพื่อนเธอ”

โล่งใจไปหน่อยที่พี่ชายคนนี้เป็นคนไทย นอกจากหน้าจะหล่อเป๊ะแล้ว น้ำเสียงยังละมุนหูอีกด้วย ไม่นุ่มนวลเกินไป แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่กระด้างเช่นกัน

“เอื้อยพอลลี่บ่อยู่ ไปซอยงานบวชลูกซายผู้ใหญ่บ้าน กลับมื้ออื่น อ้ายเป็นหมู่เอื้อยแม่นบ่ สิให้โทรหาหรือเอาเบอร์ติดต่อบ่คะ (พี่พอลลี่ไม่อยู่ ไปช่วยงานบวชลูกชายผู้ใหญ่บ้าน เป็นกลับพรุ่งนี้ พี่ชายเป็นเพื่อนพี่พอลลี่ใช่ไหม จะให้โทรหาหรือเอาเบอร์ติดต่อให้ไหมคะ)”

พันฤทธิ์เงียบไป ราวกับครุ่นคิดอยู่ ใจจริงที่เขาเดินทางมาล่วงหน้าก็เพื่อจะพบพรนาราเพื่อคุยกันเป็นการส่วนตัวก่อนเริ่มงาน แต่ในเมื่อคลาดกันอย่างนี้ก็ช่วยไม่ได้ แม้จะน่าเสียดาย แต่เขาก็คงต้องล่าถอยไปก่อน

“ไม่เป็นไร พี่รู้นิสัยพอลลี่ดี เธอไม่ชอบให้นำเบอร์เธอไปแจกใครสุ่มสี่สุ่มห้า เดี๋ยวพี่ขอเธอเองเมื่อเจอตัวละกัน ขอบใจนะ พี่กลับก่อนดีกว่า”

“ค่ะ สิให้บอกเอื้อยบ่คะว่าผู้ได๋มาหา (ค่ะ จะให้บอกพี่พอลลี่ไหมคะว่าใครมาหา)”

“ควีนพอลลี่” พันฤทธิ์ตอบยิ้มๆ สายตาดูอบอุ่นเมื่อกล่าวถึงเพื่อนสาวคนสนิท “แค่บอกอย่างนี้ไปก็พอ เธอจะรู้เองว่าพี่เป็นใคร”

 

ห้องหับของลูกสาวผู้ใหญ่สมัยถือว่ากว้างขวางและมีสิ่งอำนวยความสะดวกหลายอย่างแม้จะไม่หรูหราเท่าในเมืองกรุงแต่ก็ถือว่าดีกว่าห้องของเธอมากโขอยู่ ทำให้เธอไม่มีปัญหาในการนอนค้างที่นี่เลย ส่วนป้าอาภา ภรรยาของลุงสมัยก็ดูแลเธอเป็นอย่างดี ทำกับข้าวกับปลามาเลี้ยงไม่ให้เธออดอยาก ดังนั้นพรนาราจึงตั้งใจว่าจะช่วยงานบวชของลูกชายพวกท่านอย่างดีที่สุดเป็นการตอบแทน เธอตื่นตั้งแต่เช้ามืดมาช่วยพวกท่านเตรียมข้าวของในงานมงคล แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญในการมาครั้งนี้ หลักใหญ่ใจความมันอยู่ตรงพิธีปักตะไคร้เสียมากกว่า 

หญิงสาวคุกเข่าลงกับพื้นกลางแจ้ง ในมือมีตะไคร้และธูปกำมือหนึ่ง เธอยกมือขึ้นพนมและแหงนหน้ามองฟ้า ก่อนจะตั้งจิตอธิษฐานให้วันนี้อากาศดี ฝนไม่ตก เมื่ออธิษฐานแล้วจึงปักยอดตะไคร้ทิ่มลงดิน โดยเอาโคนชี้ขึ้นฟ้า ไม่รู้ว่าเป็นเหตุบังเอิญหรือพิธีกรรมของเธอได้ผลก็ไม่ทราบ จากตอนแรกที่ฟ้าดูปิดครึ้มๆ พอเธอปักตะไคร้เสร็จ เพียงไม่นานฟ้าก็เปิด แสงแดดส่องสว่างไสว ครอบครัวผู้ใหญ่สมัยและเหล่าชาวบ้านที่มาช่วยงานต่างปรบมือซวดๆ ให้เธอด้วยความชื่นชม

“ป๊าดๆ คักขนาด สมตำแหน่งเทพีปักตะไคร้ประจำหมู่บ้านเฮาอีหลี (โอ้โห สุดยอด สมตำแหน่งเทพีปักตะไคร้ประจำหมู่บ้านเราจริงๆ)”

โดยปกติแล้วแล้วเมื่อคนเราได้รับคำชมเชย มันควรจะดีใจ แต่เธอกลับไม่ค่อยรู้สึกเช่นนั้นเลย อาจเพราะเธอไม่ยินดีในความเป็นเทพีอะไรนี่ตั้งแต่แรกก็ได้ 

“เก่งแถะ เอ็งบ่ต้องเอาผัวกะได้ พอลลี่ บ่มีผัวบ่ตายตั้ว (เก่งแท้ เอ็งไม่ต้องมีผัวก็ได้นะ พอลลี่ ไม่มีผัวก็ไม่ตายนี่)” พวกผู้เฒ่าผู้แก่ในงานพูดกับเธอ ไม่รู้เพราะชื่นชมจริงๆ หรือแค่อยากบูชายัณเธอเพื่อประโยชน์สุขของคนในหมู่บ้านกันแน่ แต่จะเพราะอะไรเธอก็ไม่กล้าถามอยู่ดี จึงได้แต่ยิ้มเจื่อน ทั้งๆ ที่ในใจตะโกนร่ำร้องเป็นชะนีโหยแล้วว่า... 

‘ไม่นะ ใครไม่ตาย แต่หนูตายแน่ หนูอยากมีผัวใจจะขาด!’

ครั้นภารกิจทุกอย่างลุล่วง พรนาราก็บอกลาผู้ใหญ่และมุ่งหน้ากลับบ้าน แต่ในระหว่างเดินทางกลับส้มโอก็ต่อสายโทรศัพท์มาหาเธอก่อน ตอนแรกที่รับสายเธอดกังวลไม่ได้ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ กลัวเหลือเกินว่าบิดาของเธอจะเมาแล้วไปก่อเรื่องอะไรขึ้นอีก แต่สุดท้ายก็เพียงกังวลไปเองเพราะเหตุที่ส้มโอโทร.มานั้นคือการแจ้งว่าเมื่อคืนนี้มีแขกคนหนึ่งแวะมาหาเธอ แถมบอกว่าเขาเป็นเพื่อนเธออีกต่างหาก

เพื่อน...ใครกัน? เพราะตั้งแต่เธอย้ายจากกรุงเทพมาใช้ชีวิตที่นี่ ก็ไม่มีใครที่เธอจะเรียกว่าเพื่อนได้เต็มปากเลย นอกจากคนในหมู่บ้านซึ่งก็รู้จักหน้าค่าตากันดีอยู่แล้ว แต่ครั้นพอถามส้มโอว่าอีกฝ่ายเป็นใครก็ไม่ได้รู้อะไรมากขึ้น เพราะแขกคนนั้นไม่ได้ทิ้งชื่อเอาไว้ รู้เพียงว่าเขาหล่อมากเท่านั้น

“หล่ออีกแล้ว ไม่ต้องมาแกงพี่เลยนะ ส้มโอ หนก่อนก็บอกว่าหล่อมากอย่างงั้นอย่างงี้ แล้วเป็นไงลุงสมัยเนี่ยนะ หนนี้พี่ไม่เชื่อเธอหรอก”

“บ่ๆ เพิ่นหล่ออีหลี หนูบ่ได่ตั้วะ คือจั่งดารา หล่อคักหล่อแหน่ หล่อกระด้อกระเดี้ย (ไม่ๆ เขาหล่อจริงๆ หนูไม่ได้โกหก ยังกับดารา หล่อมากๆ)

เพื่อนของเธอที่หน้าตาหล่อเหลา ทั้งยังหน้าตาเหมือนดาราอย่างนั้นหรือ เธอนึกไม่ออกเลยสักคนจนกระทั่งส้มโอให้ข้อมูลใหม่ว่าฝ่ายนั้นทิ้งคำพูดบางอย่างไว้ให้เธอด้วย

‘ควีนพอลลี่’

นั่นคือฉายาของเธอสมัยที่เธอยังเป็นสาวพอปอยู่ในโรงเรียนมัธยมเอกชนชื่อดัง หากเขารู้ฉายานี้ก็แปลความได้ว่าเขาเป็นเพื่อนเก่าสมัยนั้น แต่ใครกันล่ะ นิ่งคิดไปสักครู่ภาพสองหนุ่มหล่อประจำโรงเรียนก็ผุดขึ้นมาในความคิด หนึ่งคือเพื่อนสนิทของเธอ และอีกหนึ่งคือรักแรกของเธอ!

ปัญหาคือหมายถึงใครกันล่ะ แต่ไม่ว่าเป็นใคร เธอก็ไม่เห็นเหตุผลที่สองคนนั้นจะมาอยู่ที่นี่เพื่อมาตามหาเธอได้เลย พันฤทธิ์อยู่ที่อเมริกา ส่วนชินกฤตก็คงอยู่ที่กรุงเทพเพื่อคอยพะเน้าพะนอคู่หมั้นอย่างนันทวดี

เดี๋ยวนะ...นันทวดีงั้นหรือ

ถ้าอย่างนั้นเป็นไปได้ไหมที่เขาจะติดตามนันทวดีมาที่นี่ด้วย เพราะเจ้าหล่อนต้องมาถ่ายละครเรื่องใหม่ที่ไร่ของเธออยู่แล้ว เธอรู้ว่ามันเป็นข้อสันนิษฐานบ้าๆ ที่แทบเป็นไปไม่ได้ แต่ถึงรู้เช่นนั้นความหวังลมๆ แล้งๆ นี้ก็ช่วยเยียวยาหัวใจของเธอดีเหลือเกิน เขาบอกว่าเขาจะมาพบเธอใหม่ ซึ่งก็แปลความได้ว่าเขาอาจจะแวะมาหาเธออีกครั้งในวันนี้ก็ได้ พอตระหนักได้ว่าหนุ่มในดวงใจอาจจะโผล่มาที่ไร่ มันก็ช่วยไม่ได้เลยที่พรนาราจะไม่เป็นตัวของตัวเอง และกระสับกระส่ายตลอดทั้งวัน แม้จะมีภาระหน้าที่ที่ต้องจัดเตรียมไร่ให้พร้อมสำหรับกองถ่ายละครที่จะเดินทางมาถึงในวันพรุ่งนี้ แต่เธอก็ดึงสมาธิให้จดจ่อกับงานแทบไม่ได้เลย ในหัวมัวแต่จะครุ่นคิดเรื่องของชินกฤต ส่วนสายตาก็คอยแต่จะชะเง้อชะแง้มองหาเขา

เธออยากพบเขาอีก แต่อีกใจก็กลัวเขาจะผิดหวังที่เห็นสารรูปของเธอ เพราะตอนนี้เธอไม่เหลือเค้าของเด็กสาวแสนเพอร์เฟ็คสมฉายาควีนพอลลี่อีกแล้ว

“กองถ่ายหนัง เพิ่นสิมาถ่ายอยู่ไฮ่เฮามื้ออื่นแม่นบ่คะ (กองถ่ายหนัง เขาจะมาถ่ายทำที่ไร่เราวันพรุ่งนี้ใช่ไหมคะ)”ส้มโอถาม ในขณะที่กำลังช่วยพรนาราจัดเตรียมสถานที่ในไร่ให้เรียบร้อยอีกแรง เพราะสินธรไม่ลุกขึ้นมาช่วยทำอะไรเลย นอกจากนอนเมาหมดสภาพอยู่ในบ้าน

“อืม มาพรุ่งนี้แล้ว ทีมงานเขาเลื่อนวันน่ะ”

“ตื่นเต้นเด้ เอื้อยนานะ หนูมักดาราผู้นี้หลาย งามคักหุ่นดีแฮง บ่น่าล่ะจั่งว่าเป็นสาวในฝันของผู้บ่าวเบิดประเทศ ขนาดเป็นผู้หญิงคือกัน หนูยังหลงฮักนางเลย เอื้อยเคยเป็นหมู่กับเพิ่นอีหลีบ่คะ (ตื่นเต้นจัง พี่นานะ หนูชอบดาราคนนี้มาก สวยและหุ่นดีสุดๆ ถึงว่าเป็นสาวในฝันของผู้ชายทั้งประเทศ หนูเป็นผู้หญิงเหมือนกัน ยังรักหลงนางเลย พี่พอลลี่เคยเป็นเพื่อนกับเธอจริงหรือคะ)”

พรนาราปั้นสีหน้าแทบไม่ถูก เธอรู้ว่านันทวดีสวยไร้ที่ติสมกับคำชื่นชมจริงๆ จึงไม่แปลกที่ส้มโอจะตื่นเต้น แต่ยิ่งเด็กสาวตื่นเต้น เธอก็ยิ่งสังเวชตัวเองชอบกล สุดท้ายจึงตัดบทประเด็นนี้แบบไม่อยากจะสนทนาต่อ เพราะยิ่งพูดเธอก็ยิ่งโกรธในโชคชะตามากขึ้นเท่านั้น

“จริง แต่ก็นานหลายปีแล้ว ตอนนั้นเธอยังไม่สวยเท่าตอนนี้หรอก เราหยุดคุยเรื่องนี้ก่อนเถอะ เดี๋ยวจะทำงานเสร็จไม่ทันเวลา ส้มโอทำความสะอาดตรงบ่อน้ำนะ เดี๋ยวพี่จะไปล้างคอกวัวสักหน่อย ถ้าปล่อยสกปรกจะดูไม่ดี” กล่าวเสร็จหญิงสาวก็ก้าวฉับๆ จากมาทันที เร็วชนิดที่ว่าไม่ยอมให้ใครได้มองเห็นแววตาเศร้าหมองของเธอเลย

เกษตรกรสาวจัดเตรียมสิ่งต่างๆ ในไร่เรียบร้อยทันเวลาก่อนฟ้ามืด แม้จะภูมิใจในผลงานแต่เธอก็รู้สึกผิดหวังอยู่หน่อยๆ เพราะไม่มีใครแวะมาหาเธออย่างที่หวัง ไม่รู้ว่าทำไม...แต่วันนี้ก็ผ่านไปโดยไร้เงาของคนที่เธอรอคอย

 

“พี่พีท กระเรียนขยับปีกแล้วครับ”

พันฤทธิ์รับฟังการส่งข่าวจากทีมด้วยความสงบแต่ภายนอก แต่ภายในเต็มไปด้วยความเสียดาย เมื่อวานเขาไม่พบพรนารา จึงตั้งใจว่าเช้านี้เขาจะรีบออกจากโรงแรมในตัวเมืองแล้วไปหาเธออีกครั้ง แต่ทีมของเขาก็รายงานมาว่า ‘กระเรียน’ ซึ่งเป็นโค้ดเนมที่ใช้เรียกลูกค้าของเขาเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ดังนั้นเขาจึงต้องเปลี่ยนแผนส่วนตัวและรีบออกไปรับลูกค้าตามหน้าที่ก่อน ด้วยเพราะงานนี้เป็นงานสุดท้ายแล้ว ทั้งลูกค้าก็เป็นเพื่อนที่รู้จักกันมาก่อน เขาจึงต้องทำหน้าที่บอดีการ์ดให้ดีที่สุด ไม่ให้เสียชื่อบริษัทครอบครัวเด็ดขาด

บอดี้การ์ดหนุ่มไม่ต้องบินไปรับลูกค้าวีไอพีรายนี้จากกรุงเทพอย่างที่ตกลงกันไว้ด้วยซ้ำ เพราะดูเหมือนว่าเธอจะติดสอยห้อยตามคู่หมั้นที่บังเอิญมาติดต่อธุรกิจเรื่องสาขาในจังหวัดข้างเคียงพอดี เธอเลยถือโอกาสมาพร้อมกับเขาเสียเลย แผนการไปรับที่กรุงเทพจึงเปลี่ยนเป็นไปรับที่สนามบินของจังหวัดแทน โดยรับช่วงต่อจากทีมลูกน้องที่คอยดูแลเธอมาตั้งแต่ต้นทาง

“ไฮ~ พีท ไม่ได้เจอกันเสียนานเลยนะ”

ขึ้นชื่อว่ากระเรียน ก็มีบุคลิกนางพญาเชิดเริ่ดสมชื่อจริงๆ ด้วยสายอาชีพของเธอทำให้โดดเด่นกว่าผู้โดยสารคนอื่นในสนามบินราวกับมีสปอร์ตไลต์ส่องอยู่ตลอดเวลา จนพันฤทธิ์มองเห็นได้แต่ไกลโดยไม่ต้องใช้ความพยายามด้วยซ้ำ

“นานะ”

นันทวดี สาวลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่นเปิดยิ้มเก๋ ยื่นมือไปจับทักทายเพื่อนเก่า ดาราสาวอยู่ในชุดมินิเดรสสีน้ำเงินฉลุลูกไม้ซึ่งตัดกับผมยาวประบ่าสีแดงเบอร์กันดี เธอควงแขนมากับคู่หมั้นหนุ่มของเธอ...ชินกฤต และที่รั้งท้ายทำหน้าที่ลากกระเป๋าสัมภาระตามมาไกลๆ ราวกับเป็นเบ๊คือ ไตรทศ ผู้จัดการส่วนตัวของเธอ

“การเดินทางเป็นยังไง ทีมของฉันดูแลเธอดีไหม”

“ดีมาก ฉันแฮปปี้นะ ทีมของนายทำงานได้ดีกว่าทีมจากบริษัทเก่าที่ฉันเคยจ้างตั้งเยอะ รายนั้นไม่ไหวเล้ย ทำงานหละหลวม เห็นข่าวใช่ไหมว่าฉันโดนปาของใส่หน้าตอนไปโชว์ตัว แย่ที่สุด”

“เห็นแล้ว หมอนั่นเขาเป็นแฟนคลับเธอนี่”

“แฟนคลับบ้าๆ บอๆ แบบนี้ฉันไม่เอาหรอก มีอย่างที่ไหนปาเมล็ดทานตะวันอัดหน้าฉันแล้วตะโกนชื่อตัวเองเพื่อให้ฉันจำเขาให้ได้”

“สงสัยเขาเห็นหน้าเธอเหมือนแฮมทาโร่ละมั้ง ของอร่อยที่สุดก็คือเมล็ดทานตะวัน” ไตรทศ ผู้จัดการส่วนตัวแหย่นันทวดีด้วยการร้องเพลงประกอบการ์ตูนล้อเลียน แต่ดูเหมือนดาราสาวจะไม่ขำตามไปด้วย

“ไม่ไหวนะคะพี่ไตร หนูรับไม่ได้จริงๆ มีเม็ดหนึ่งกระเด็นเข้าคอหนูด้วย สำลักจนหน้าเขียว เกือบติดคอตายไปแล้วเชียว ถ้าไม่ติดตรงต้องรักษาภาพพจน์นางเอก ป่านนี้หนูคงฟ้องมันให้ล่มจมไปแล้ว” ดาราสาวเบ้หน้า ก่อนจะหันมาหาหัวหน้าบอดีการ์ดคนใหม่ของเธอ “ก็อย่างที่เล่าไป ฉันเลยต้องเปลี่ยนมาจ้างบริษัทนายแทนนี่ไง ก็หวังว่านายจะไม่ทำให้ฉันผิดหวังนะ”

บอดีการ์ดหนุ่มพยักหน้าอย่างให้คำมั่น 

“แน่นอน บริษัท VVIP ของเราดูแลความปลอดภัยของลูกค้าอย่างดีที่สุดอยู่แล้ว เธอวางใจเถอะ”

นันทวดีเปิดยิ้มพอใจ ก่อนจะหันไปผายมือแนะนำชายอีกสองคนซึ่งมาด้วยกันอย่างเป็นทางการ นั่นคือชินกฤตและไตรทศ สำหรับไตรทศ นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้พบกัน จึงไม่มีคำทักทายเป็นพิเศษมากไปกว่าคำว่า ‘สวัสดี’ และ ‘ยินดีที่ได้รู้จัก’ แต่ในส่วนของชินกฤตนั้น ในเมื่อนี่ไม่ใช่ครั้งที่ได้พบกัน ตามหลักแล้วก็ควรจะมีประโยคทักทายมากกว่านั้นสักหน่อย แต่ครั้นเอาเข้าจริง พันฤทธิ์กลับนึกบทสนทนาอะไรไม่ค่อยออก เพราะลึกๆ แล้วนับตั้งแต่สมัยเรียนเขาเองก็ไม่ได้ปลื้มรุ่นพี่คนนี้อยู่แล้ว มีแต่พรนาราที่ชื่นชอบชินกฤตอยู่ฝ่ายเดียว และเขาเองต้องรับหน้าที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก คอยเป็นกามเทพสื่อรักให้เพื่อนสาวและรุ่นพี่คนนี้อยู่บ่อยครั้ง

พันฤทธิ์มองชินกฤตอย่างประเมิน ฝ่ายนั้นไม่ได้ดูแตกต่างจากครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นเมื่อหลายปีก่อนนัก รูปร่างสูงใหญ่สมส่วน ส่วนใบหน้ารูปหัวใจก็ยังติดแววหวานๆ เช่นเดิม ที่จะเปลี่ยนไปบ้างก็คงจะเป็นการแต่งกายที่ดูมีมาดเป็นผู้ใหญ่ขึ้นทำให้ความหวานในแบบเด็กหนุ่มถูกลดทอนลงไปกลายเป็นชายหนุ่มเต็มตัว

“ไม่ได้เจอกันนานเลยตั้งแต่เรียนจบไฮสคูล เป็นยังไงบ้างล่ะ ได้ข่าวว่าเพิ่งกลับมาจากอเมริกาหรือ ดูดีขึ้นกว่าแต่ก่อนอีกนะ” ชินกฤตเป็นฝ่ายเริ่มต้นบทสนทนาตามประสาคนอัธยาศัยดี ทั้งหล่อ รวย และช่างเจรจาขนาดนี้ จึงไม่แปลกอะไรหากสาวๆ ต่างหลงเสน่ห์เขา

“ขอบคุณครับ พี่ก็เหมือนกัน”

“ไม่หรอก พี่ไม่ค่อยได้ดูแลตัวเองเท่าไร ช่วงนี้ธุรกิจมันยุ่งๆ ด้วยสิ” เขาเอ่ยอย่างถ่อมตัว เล่นทำเอาพันฤทธิ์รู้สึก ว่าตนไม่มีมารยาทไปเลย เพราะไม่กระตือรือร้นที่จะต่อบทสนทนาด้วยสักเท่าไร “ว่าแต่ขอบใจนะที่ตัดสินใจมาช่วยดูแลความปลอดภัยให้นานะระหว่างที่ถ่ายทำละครเรื่องใหม่” ชินกฤตกล่าวต่อ หลังจากพวกเขาเข้ามานั่งในรถตู้สีดำคันหรูที่พันฤทธิ์จัดเตรียมไว้ให้แล้ว 

“ยินดีครับ มันเป็นงานของผมอยู่แล้ว” สารถีหนุ่มตอบ เขากำลังขับรถพาพวกนันทวดีออกจากสนามบินตรงไปยังโรงแรมที่พักร่วมกับทีมงานกองละครบางส่วนที่เดินทางมาถึงกันบ้างแล้ว

“พี่จะอยู่ที่นี่กับนานะต่ออีกสองสามวันก่อนกลับไปทำงานที่กรุงเทพ ระหว่างที่พี่ไม่อยู่ก็ช่วยดูแลเธอให้ดีด้วยแล้วกัน ห้ามทำให้เธอมีอันตรายแม้แต่ปลายเส้นผม เพราะเธอน่ะเป็นหัวใจของพี่ทั้งดวงเชียวละ” ชินกฤตฝากฝังกับพันฤทธิ์เสร็จ ก็หันไปสบตาคู่หมั้นสาวอย่างหวานซึ้ง

“พี่ชินละก็...ฮิฮิ หัวใจทั้งดวงเลยหรือคะ”

“ใช่น่ะสิ ทั้งสี่ห้องหัวใจเลยละครับ คนสวยของพี่”

พันฤทธิ์บิดองศาของกระจกส่องหลังขึ้นเล็กน้อย พอให้ไม่เห็นฉากเลิฟซีนของคู่รักที่นัวเนียกันอยู่บนเบาะหลังของรถตู้ ไม่ใช่เพียงเพราะไม่พิสมัยอยากจะดู แต่มันทำให้เขารู้สึกแย่แทนพรนาราด้วย เขารู้ว่าเธอเคยชอบผู้ชายคนนี้มากแค่ไหน ถึงขั้นวางแผนจะสารภาพรักด้วยซ้ำ เขาเองก็ช่วยตระเตรียมแผนการนั้นให้เธอด้วย แต่แล้วแผนการก็พังทลายไปก่อนจากข่าวการล้มละลายของสินธร ทำให้พรนาราต้องลาออกจากโรงเรียนกะทันหัน และย้ายไปอยู่ที่อื่น

วันนั้นมันคือจุดจบความรักของพรนารา แต่ในขณะเดียวกันก็คือจุดจบความสัมพันธ์ของตัวเขาและเธอด้วย นับตั้งแต่วันนั้นพรนาราก็ตีตัวออกห่างจากเขา หลบเลี่ยงเขาทุกทาง เขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร อาจเพราะเธออาย อาจเพราะเธอไม่มั่นใจว่าใครจะยอมรับสภาพเธอได้ แต่สำหรับเขา เขาไม่สนใจอะไรทั้งนั้น พรนารายังเป็นพรนาราคนเดิมเสมอ ไม่ว่าจะยากจนหรือมั่งมี เธอก็เป็น ‘ควีนพอลลี่’ ผู้ซึ่งปกป้องเด็กอ่อนแอไม่เอาไหนอย่างเขามาตลอด 

ใช่...มีแต่เธอคนนี้คนเดียวนี่ละที่เขามองว่าเป็นคนพิเศษ

พันฤทธิ์ออกตามหาเพื่อนสาวของเขา จนในที่สุดก็พบว่าเธอกับบิดาไปใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านไร่แถบอีสานซึ่งเป็นมรดกตกทอดของมารดาของเธอนั่นเอง เขาดีใจมากและรีบเดินทางไปพบเธอ แต่นอกจากพรนาราจะไม่ดีใจที่พบเขาแล้ว เธอยังโกรธและไล่เขาไป หาว่าการที่เขาเสนอตัวช่วยเหลือเธอทุกทางเป็นการดูถูกเธอ

‘นายตามฉันมาที่นี่ทำไม เพื่อมาดูความตกต่ำของฉันงั้นหรือ ฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือจากนายอะไรทั้งนั้น กลับไปในที่ๆ นายควรจะอยู่ได้แล้ว!’

‘ฉันไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย ฉันแค่อยากช่วยเธอ’

‘ช่วยหรือ อย่าพูดให้ขำดีกว่า นายก็เป็นเด็กเหมือนกันกับฉัน จะช่วยอะไรฉันได้มิทราบ เงินหรืออำนาจก็ไม่มีเป็นของตัวเองสักอย่าง ทำอะไรก็ต้องอยู่ใต้เงาของผู้ใหญ่ ดังนั้นนายช่วยฉันได้ด้วยการไสหัวออกไปจากที่นี่ อย่าทำให้ฉันรู้สึกสมเพชตัวเองไปมากกว่านี้เลย ขอร้อง!’

‘แต่...’

‘ฉันเกลียดนาย ได้ยินไหม พีท ฉันเกลียดนาย!’

พันฤทธิ์อึ้ง เพราะรู้ความหมายซึ่งว่อนอยู่ในการเรียกชื่อเล่นของเขามากกว่าฉายา การเรียกชื่อเล่นของเขามันหมายความว่าเธอไม่อยู่ในอารมณ์ปกตินั่นเอง

‘พอลลี่...’

‘ฉันไม่ได้อยู่โลกเดียวกับนายอีกแล้ว พีท นายเข้าใจไหม ดังนั้นกลับไปซะ กลับไปอยู่ในโลกของนายและใช้ชีวิตอย่างมีความสุข อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก!’

คำขับไล่ไสส่งว่าหนักแล้ว แต่คำว่า ‘เกลียด’ ที่เขาได้รับจากพรนาราเมื่อวันนั้นยังคงติดเป็นฝันร้ายในห้วงคำนึงของเขาตลอดมา มันเจ็บทุกครั้งที่นึกถึง แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นแรงขับเคลื่อนชั้นดีที่ทำให้เขาอยากจะรีบกลับมาทำตามสัญญาด้วยเช่นกัน 

‘พอลลี่ เธอรู้ไหมว่าฉันเหมือนบูมเมอแรง ยิ่งเธอขว้างฉันไปแรง ฉันก็จะกลับมาหาเธอเร็วเท่านั้น’

หากในช่วงวัยนั้นเขายังเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่ไม่มีทั้งเงินทองและอำนาจเป็นของตัวเองจึงไม่สามารถทำอะไรเพื่อเธอได้เลยสักอย่าง ถ้าเช่นนั้นเขาในวันนี้ล่ะ เขาในวัยผู้ใหญ่เต็มตัว มีทั้งเงินทอง อำนาจ และความพร้อมที่จะดูแลช่วยเหลือเธอทุกทางแล้ว เธอยังจะปฏิเสธและผลักไสเขาไปอีกไหม

‘คนอย่างฉันไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอกนะ ฉันสัญญาว่าจะกลับมาหาเธออีกครั้ง ในวันที่ฉันเติบโตเป็นผู้ใหญ่กว่านี้ มีความพร้อมมากกว่านี้ ฉันจะกลับมาในแบบที่เธอปฏิเสธฉันอีกไม่ได้ พอลลี่ และเมื่อถึงเวลานั้นเธอต้องเป็นฝ่ายรับฟังฉันบ้าง เพราะฉันก็มีความในใจที่อยากจะบอกให้เธอรู้มาตลอดเหมือนกัน’

คำสัญญาที่เขาได้ให้เธอไปวันนั้น ไม่ใช่เพียงคำสัญญาเลื่อนลอยจากเด็กหนุ่มผู้ผิดหวัง แต่มันคือคำสัญญาจากหัวใจของเด็กหนุ่มซึ่งเฝ้ารักเฝ้ารอเด็กสาวคนหนึ่งใต้เงาของมิตรภาพมาตลอดต่างหาก 

กว่าพันฤทธิ์จะส่งลูกค้าพร้อมผู้ติดตามเข้าไปพักในโรงแรมได้ก็หมดเวลาไปหลายชั่วโมง เพราะต้องตามประกบดาราสาวไปช็อปปิ้งในตัวเมืองและหาที่ทางรับประทานอาหารค่ำ เขาอยู่จนกระทั่งแน่ใจว่าลูกค้าของเขาเข้าพักในโรงแรมโดยปลอดภัยแล้ว จึงค่อยแยกตัวออกมา แต่ครั้นจะไปพบพรนาราในวันนี้เลยก็เกรงว่าจะเป็นการรบกวนเพราะดึกดื่นมากแล้ว เขาจึงตัดสินใจว่าจะรอจนถึงพรุ่งนี้เช้าดีกว่า เพราะอย่างไรก็ต้องเข้าไปที่ไร่เธอพร้อมกับนันทวดีและกองละครอยู่แล้ว

แน่นอนว่าการตัดสินใจหาโลเกชั่นคราวนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นแนะนำจากเขาเอง เขาแนะนำให้ทีมงานเลือกใช้ไร่ของพรนาราเป็นสถานที่ถ่ายทำละคร โดยการประสานงานผ่านทางนันทวดีนั่นเอง เขาอยากทำงานไปด้วยควบคู่กับการเห็นหน้าพรนาราไปด้วย เขาอยากทำให้เธอเห็นว่าตอนนี้เขามาไกลแค่ไหน และพร้อมแค่ไหนสำหรับการเริ่มสร้างชีวิตครอบครัวกับคนที่รัก

ชายหนุ่มเอนกายลงนอนบนเตียงในห้องพัก ดึงล็อกเก็ตจากลำคอขึ้นมาส่องกับแสงไฟนีออนในห้องเพื่อพิจารณา ในล็อกเก็ตมีรูปถ่ายของเขาและพรนาราในวัยนักเรียนกำลังยิ้มแย้มกอดคอกันอยู่

พอลลี่ ฉันคิดถึงเธอจริงๆ กลับมาคราวนี้ฉันหวังว่าเธอจะรับฟังสิ่งที่ฉันอยากบอกด้วยนะ...

ต่อจากนี้เขาจะไม่เก็บงำความรู้สึกและหลบอยู่ใต้เงาของคำว่า ‘เพื่อนสนิท’ เป็นไอ้ขี้ขลาดผู้เสียสละตลอดกาลอีกแล้ว แต่จะขยับความสัมพันธ์เข้าไปใกล้เธอให้มากกว่าเดิมตามที่หัวใจปรารถนา 

ไม่ใช่เพียงเพื่อน แต่เป็น ‘แฟนหนุ่ม’ และลงท้ายด้วยการเป็น ‘สามี!’

 

ปกติแล้วพรนารามักไม่ค่อยฝันสักเท่าไร เพราะความที่ทำงานในไร่หนักตั้งแต่เช้าจดเย็น พอหัวถึงหมอนปุ๊บ เธอก็จะหลับเป็นตายเสียเกือบทุกครั้ง แต่คืนนี้แปลก...แทนที่จะหลับเป็นตาย เธอกลับฝัน แถมยังเป็นฝันที่ประหลาดที่สุด!

หญิงสาวฝันว่าตนกำลังทำหน้าที่เป็นเทพีปักตะไคร้ช่วยงานมงคลของชาวบ้านอยู่ดีๆ หลังจากที่เธอปักต้นตะไคร้ลงไปในดิน แทนที่ฟ้าจะเปิดแสงแดดส่องสว่างไสว ฟ้ากลับปิดดำทะมึน ฝนเทกระหน่ำยังกับฟ้ารั่ว ทั้งฟ้าร้องฟ้าผ่าดังอื้ออึงราวกับมีเหตุอาเพศอย่างไรอย่างนั้น เสียงทำนองเพลงประกอบละครแนวเสือสมิงในยุค 90 ลอยขึ้นมาในหัว

ท้องฟ้าวิปริตแปรปรวนทันใด...พอลลี่~

สุดท้ายพายุก็เข้าและน้ำก็ท่วมทะลักยังกับเขื่อนแตก พรนาราถูกกระแสลมกระแสน้ำพัดพาลอยไปไกล เธอพยายามตะเกียกตะกายขึ้นจากน้ำ แต่ก็ทำไม่ได้ สุดท้ายก็จมลงไปใต้น้ำ แต่เธอไม่ได้ตาย เพราะในก้นบึ้งของกระแสน้ำอันเชี่ยวกรากมีวงแขนแข็งแรงของชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งเธอมองไม่เห็นหน้าโอบอุ้มเธอไว้อย่างแสนรัก

‘จับตัวได้แล้ว’

น้ำเสียงนั้นฟังดูคุ้นหูมาก ราวกับใครบางคนที่เธอรู้จัก แต่ยังไม่ทันนึกออกว่าเป็นใคร ฝ่ายนั้นก็หัวเราะร้ายใส่หน้า

‘ท้องฟ้าวิปริตแปรปรวนขนาดนี้ก็เพราะเธอนะ พอลลี่ ต่อจากนี้เธออย่าปักตะไคร้ให้อายฟ้าดินอีกเลย ทิ้งตำแหน่งเทพีนั่นเสีย เพราะต่อจากนี้ฉันจะทำให้เธอปักตะไคร้ไม่ได้อีก!’

ปักตะไคร้ไม่ได้อีก! พรนาราเบิกตาโพลงอย่างตกใจ และก่อนที่จะทันได้ถามอะไรมากกว่านี้ เธอก็สะดุ้งตื่นจากความฝันเสียก่อน หญิงสาวดีดตัวขึ้นจากที่นั่ง ทั้งๆ ที่หอบหายใจหอบ เหงื่อแตกพลั่ก ความฝันเมื่อครู่เหมือนจริงมากเสียจนเธอไม่แน่ใจว่ามันเป็นเพียงความฝันจริงๆ หรือเปล่า กระทั่งเธอเผลอฉี่ราดที่นอนหรือไม่ เพราะจนป่านนี้ยังจำความรู้สึกของสายน้ำเย็นๆ ที่ทะลักทลายใส่หน้าจนสำลักและห่อหุ้มตัวเธอจนเปียกปอนได้อยู่เลย 

ฝันว่าปักตะไคร้แล้วเกิดเหตุวิปริตอาเพศ นี่มันเป็นลางบอกเหตุอะไรหรือเปล่านะ โบราณกล่าวไว้ว่าความฝันที่เกิดขึ้นในวันเสาร์ในเวลายามสี่หรือตั้งแต่ตีสามไปจนถึงหกโมงเช้าเช่นนี้ มันแปลความได้ว่าความฝันจะเกิดขึ้นกับตัวคนที่ฝันเองและเป็นความจริง เป็นความจริงงั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นมันก็ตีความได้อย่างเดียวสิว่า...

พรนาราหน้าแดงก่ำ จิกหมอนด้วยความขวยเขิน แม้จะหวั่นๆ อยู่บ้าง แต่หัวใจกลับฟูฟ่องล่องลอยอยู่ดี พรหมจรรย์ของเธอกำลังจะถูกขยี้ และได้มีสามีสักทีใช่ไหม!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น