1

เจ้าแม่สายมู

บทที่ ๑

เจ้าแม่สายมู

 

หนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านั้น...

‘บ้าน’ คือ วิมานของเรา คำกล่าวนี้อาจจะจริงสำหรับบางคน แต่สำหรับพรนารา คำกล่าวนี้มันไม่จริงสักนิด ไม่ต้องถึงกับเปรียบเปรยให้สูงส่งว่าที่นี่คือวิมาน ขอแค่เปรียบให้มันใกล้เคียงกับคำว่า ‘บ้าน’ ธรรมดาๆ ยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เพราะในความเป็นจริงที่แห่งนี้มันบุโรทั่งเหมือนกระท่อมปลายนาเสียมากกว่า 

ที่ซุกหัวนอนของหญิงสาวเป็นกระท่อมไม้ผสมปูนชั้นเดียวยกพื้นสูงจากพื้นประมาณหนึ่งเมตร ตกแต่งผนังด้วยวัสดุธรรมชาติอย่างไม้ไผ่สาน เสริมหลังคาด้วยหญ้าแฝก หน้าบ้านทำเป็นระเบียงมีม้านั่ง และมีทางเดินไม้เชื่อมต่อไปยังมุมพักผ่อนริมบ่อน้ำ ใครจะบอกว่ากระท่อมนี้น่ารักน่าอยู่อย่างไรก็ตามสบาย เพราะสำหรับเธอแล้ว เธอคิดเห็นตรงกันข้าม

เธอเกลียดทุกอย่างที่นี่...เกลียดชีวิตใต้หลังคาผุๆ แห่งนี้ที่สุด!

เพราะชีวิตที่นี่คือหลักฐานความล้มเหลวของบิดา ‘สินธร’ บิดาของเธอ เคยเป็นนักธุรกิจผู้ร่ำรวย แต่หลังจากโดนเพื่อนโกงเงิน บริษัทฯ ก็ล้มละลาย เพียงชั่วข้ามคืนพรนาราก็กลายเป็นราชินีตกบัลลังก์ ต้องลาออกจากโรงเรียนเอกชนโก้เก๋ ย้ายออกจากคฤหาสน์หลังละร้อยล้าน เพื่อมาเริ่มต้นชีวิตใหม่แบบอัตคัดขัดสนที่บ้านเกิดของมารดาซึ่งเสียชีวิตไปแล้วในดินแดนไกลปืนเที่ยงทางภาคอีสาน โดยยึดอาชีพเป็นเกษตรกร ปลูกผักปลูกหญ้าเลี้ยงสัตว์ไปตามประสา 

สินธรอาจจะรู้สึกว่าตนโชคดีแล้วที่อย่างน้อยพวกเธอก็ยังมีที่ซุกหัวนอนและยังมีงานให้ทำ แต่เธอไม่คิดเช่นนั้นหรอก พ่อน่ะไม่มีสิทธิ์คิดว่าตนเองโชคดีด้วยซ้ำ จะมีสิทธิ์ได้อย่างไรในเมื่อตั้งแต่ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างของท่านล้มละลาย ท่านก็กลายร่างเป็นลุงขี้เมาที่วันๆ เอาแต่นอนกอดขวดเหล้า ไม่ทำงานทำการอะไรเลยสักอย่าง จนภาระในการหาเงินต้องตกเป็นของเธออย่างเลี่ยงไม่ได้ หญิงสาวต้องดิ้นรนทำงานหนักเป็นเสาหลักให้ครอบครัวมาตลอด กว่าจะส่งเสียตนเองเรียนจนจบกศน.และสอบเทียบเข้ามหาวิทยาลัยธรรมดาๆ ในตัวเมืองได้ก็ลำบากเลือดตาแทบกระเด็น เธอเหนื่อยและเกลียดชีวิตที่เป็นอยู่มาก รู้สึกทั้งเวทนาและสมเพชตัวเองตลอดเวลา ดังนั้นมันจะเป็นอะไรไปเล่า หากเธอจะใฝ่ฝันถึงชีวิตที่ดีขึ้น หนทางในการมีชีวิตสุขสบายของคนจนอย่างเธอมันจะมีอยู่กี่อย่างกันเชียว...ถ้าไม่ใช่วิธีนี้

“พุทธัสสะ มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม สัมปะติจฉามิ เพ็งๆ พาๆ หาๆ ฤาๆ โอมเพี้ยง!"

เมื่อบริกรรมคาถาเรียกเงินล้านจบรอบที่ 108 แล้ว หญิงสาวร่างเล็กซูบเซียวซึ่งกำลังนั่งยองๆ ก็รวบธูปเทียนกำใหญ่ปักลงไปบนลานดินหน้าบ้าน เสร็จแล้วจึงยกมือขึ้นพนมท่วมศีรษะแบบมั่งมุ่นสุดฤทธิ์

“ลูกช้างขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้กับเจ้ากรรมนายเวร ขอให้ท่านทั้งหลายเปิดทางให้ลูกช้างได้มีเงินทองไหลมาเทมา ลูกช้างไม่อยากเป็นคนเก่ง ลูกช้างเหนื่อย ลูกช้างแค่อยากเป็นคนโชคดีที่ถูกหวย ดังนั้นดลบันดาลให้ลูกช้างถูกหวยรางวัลที่หนึ่งด้วยเถอะเจ้าค่ะ สาธุ!”

เมื่อไหว้ขอพรเรียบร้อย ท่ามกลางควันธูปขโมง พรนาราในชุดกางเกงผ้าฝ้ายสีขาวอันเป็นสีมงคลของวันนี้ก็เงยหน้าขึ้นมาด้วยใบหน้าแช่มชื่น ท่ามกลางเส้นผมดำยาวปิดหน้าปิดตาเหมือนผีญี่ปุ่น เธอหลับตาพริ้ม ยิ้มกว้าง กางมือออกสองข้างแบบพร้อมรับเงินทองซึ่งกำลังจะโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า

อุตส่าห์ตระเวนไปขอเลขเด็ดจากหลายสำนัก บ่ายนี้ละที่เธอจะได้เป็นเศรษฐินีเสียที!

เจ้าแม่สายมูในคราบเกษตรกรจดจ่อกับความคิดนี้ทุกวันที่ 1 และ 16 ของทุกเดือน ต้องยอมรับว่าการได้ฝันว่าเธอจะมีโอกาสกลับไปร่ำรวยเหมือนเก่า เป็นยาใจที่ช่วยทำให้เธอทนใช้ชีวิตเส็งเคร็งนี้ได้โดยไม่เสียสติไปก่อน บ่ายวันนั้นเธอรีบเคลียร์งานในไร่แล้วรีบไปปักหลักอยู่หน้าจอโทรทัศน์เพื่อดูการถ่ายทอดสดการออกสลากกินแบ่งรัฐบาล 

ลงทุนถือศีลกินเจมาตั้งหนึ่งสัปดาห์ ทั้งยังสวดคาถาจากหลวงพ่อดังครบ 108 จบตามตำราเป๊ะขนาดนี้ ต้องถูกรางวัลอะไรบ้างล่ะว้า!

‘รางวัลที่ 1 งวดวันที่ 1 กันยายน เลขที่ออก...’

หญิงสาวสูดยาหอมเข้าเต็มปอดเพื่อบรรเทาอาหารวิงเวียนจากความตื่นเต้น ส่วนอีกมือกำชุดลอตเตอรี่ไว้แน่น ใจเต้นตึกตัก ในขณะที่หน้าจอถ่ายทอดสดมาถึงรางวัลที่หนึ่ง

‘เลขที่ออก 999998 ฟังอีกครั้งค่ะ 999998’

คนลุ้นรางวัลอ้าปากค้าง ยิ่งกว่าการไม่ถูกหวย ก็คือการที่หวยออกไม่ตรงเลขเด็ดของทุกสำนักเลยนี่สิ เรียกว่าไม่เฉียดเลยดีกว่า เลขเรียงห้าตัวรวด...สองร้อยปีมีหนหนึ่งกระมัง ถามจริงๆ ใครมันจะไปซื้อเลขแบบนี้ ให้ฟรียังคิดหนักเลย!

ฮึ่ย! บ้าที่สุด!

พรนาราเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันแบบเจ็บใจ ขยำลอตเตอรี่ในมือปาทิ้งใส่หน้าจอสุดแรงชุดหนึ่ง ส่วนอีกชุดกำลังจะยัดมันเข้าปากเพื่อรับประทานแทนข้าวเย็นวันนี้อยู่แล้ว หากตอนนั้นไม่มีคนขัดจังหวะก่อน 

“เอื้อยเฮ็ดหยังอยู่ ถืกเลขงวดนี้บ่คะ (พี่ทำอะไรอยู่ ถูกหวยงวดนี้ไหมคะ)” ส้มโอ เด็กสาวชาวอีสานร่างอวบผู้ทำหน้าที่เป็นลูกมือช่วยงานในไร่เอ่ยถาม เมื่อเปิดประตูเข้ามาแล้วเห็นว่านายจ้างกำลังนั่งลุ้นอยู่หน้าจอโทรทัศน์  และก็เหมือนจะรู้คำตอบชัดโดยไม่ต้องตอบ เพราะจู่ๆ อีกฝ่ายก็ตั้งท่าจะยัดชุดล็อตเตอรีเข้าปากเคี้ยวหงุบหงับหน้าตาเฉย จนส้มโอต้องตาลีตาเหลือกเข้าไปห้าม ทุบหน้าทุบหลังปึกๆ “ฮ่วย! อย่าหาเฮ็ดเถาะเอื้อย มันสิแค้น! (โอ๊ย อย่าหาทำเถอะพี่ มันจะติดคอนะ)”

“ฮือๆๆ ปล่อยพี่ไปเถอะ ส้มโอ ให้มันติดคอพี่ตายไปเลย!” เธอโหยหวนตอบกลับเป็นภาษากลาง แม้จะมีมารดาเป็นคนอีสานแต่ท่านไม่ได้ใช้ภาษาถิ่นในครอบครัวเพราะบิดาเป็นคนภาคกลาง ทำให้เธอไม่ได้ฝึกการใช้ภาษาอีสานเลย ครั้นพอย้ายมาอยู่ที่นี่ก็ทำได้เพียงพัฒนาทักษะเป็นการฟังออก แต่พูดไม่ได้อยู่ดี

“อย่าเว่าจั่งซั่น (อย่าพูดแบบนั้น)” ส้มโอกอดปลอบพรนาราที่กำลังโหยหวน พวกเธอทำงานด้วยกันมาหลายปีแล้ว และสนิทสนมกันเหมือนคนในครอบครัว แน่นอนว่าว่าส้มโอไม่อยากเห็นคนที่หล่อนรักเหมือนพี่สาวแท้ๆ ต้องตายไปต่อหน้าต่อตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตายอนาถอย่างล็อตเตอรี่ติดคอ มีหวังเป็นข่าวหน้าหนึ่งทุกสำนักแน่ “บ่ถืกเลขก็บ่เป็นหยัง เอื้อยบ่ต้องเสียใจเด้อ งวดหน้าจั่งว่ากันใหม่ วันพระบ่ได้มีมื้อเดียว (ไม่ถูกหวยก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องเสียใจนะ งวดหน้าค่อยว่ากันใหม่ วันพระไม่ได้มีวันเดียว)”

มันก็ใช่ที่วันพระไม่ได้มีวันเดียว แต่เธอทำทุกอย่าง ตามมาทุกงวดแล้วแท้ๆ แต่โชคก็ยังไม่เข้าข้างเธอเลยสักครั้ง ต้องให้เธอรอไปถึงเมื่อไร หรือต้องรอจนแก่ตาย เกิดมาจนเข้าวัยเบญจเพสแล้วแท้ๆ รวยก็ไม่รวย พรหมจรรย์ก็ยังไม่ถูกขยี้อีก แล้วเธอจะมีหน้าไปพบท่านยมบาลได้อย่างไร! คิดๆ แล้วก็เศร้าจับจิต เหตุใดชีวิตที่เคยเพอร์เฟ็คของเธอต้องถูกทำลายไม่มีชิ้นดีด้วยนะ เธอคิดถึงยุคทองของเธอจับใจ ยุคทอง...ที่คงไม่มีวันหวนกลับมาได้อีกแล้ว

หลังจากส้มโอแยกไปทำงานของตัวเองแล้ว หญิงสาวจึงฟุบหน้าลงกับโต๊ะแบบหมดอาลัยตายอยาก ตั้งใจจะใช้ช่วงเวลาที่อยู่กับตัวเองนี้ก่นด่าในโชคชะตาให้สมกับความผิดหวังที่ชีวิตไม่เป็นไปดั่งฝัน 

ทำไมชีวิตเธอถึงยังไม่ดีขึ้นอีก หรือเธอยังบนบานขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่มากพอ พวกท่านทั้งหลายจึงยังไม่ให้โชค  เธอต้องทุ่มเทกับการทำบุญและบนบานให้มากกว่านี้ เธอจึงจะได้ทุกอย่างที่ต้องการใช่ไหม

“พอลหลี...หลี่...ลี่ ลูกอยู่ที่หนาย เอิ๊ก...ปาย ปายซื้อเหล้ามาเพิ่มให้พ่อหน่อย ปายเร็วๆ”

เสียงยานคางของคนเมาดังมาแต่ไกลตามมาด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์คลุ้ง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเจ้าของเสียงคือใคร จะใครเสียอีก นอกจากบิดาของเธอเอง นี่ยังไม่ทันมืดค่ำท่านก็เมาหัวราน้ำอีกแล้ว แล้วจะไม่ให้เธอหนักใจได้อย่างไร ในเมื่อชีวิตของเธอมันห่วย มีแต่ปัญหา พึ่งพาใครไม่ได้สักคน

พรนาราทำเป็นไม่ได้ยินคำร้องขอนั้น เธอฟุบหน้านิ่งไม่ขยับเขยื้อนราวกับซ้อมตาย แต่สินธรไม่ยอมแพ้ ครั้นไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากบุตรสาว เขาก็เซ้าซี้ไม่เลิก จนหญิงสาวทำเป็นเฉยต่อไม่ไหว 

“โอ๊ย พอสักทีเถอะค่ะ ดื่มอะไรนักหนาทุกวี่ทุกวัน เดี๋ยวก็ตับแข็งตายพอดี หนูไม่ซื้อให้พ่อหรอก!”

คนเป็นลูกโงศีรษะขึ้นมาตอบโต้ เป็นจังหวะเดียวกับที่บิดาในชุดเสื้อม่อฮ่อมเดินกอดขวดเหล้าเซซัดๆ เข้ามาในห้องพอดี เขาโน้มหน้าลงมาสำรวจว่าคนที่ฟุบอยู่บนโต๊ะใช่บุตรสาวของเขาหรือไม่ และก็ช่างเป็นโมเมนต์ที่เธอเอือมจริงๆ ทุกครั้งที่บิดาเมา ท่านจะชอบตกใจเธอทุกที ราวกับเห็นผีเห็นปิศาจ 

“ตาเถรตีลังกา!” สินธรสบถลั่น สะดุ้งโหยงจนร่างผอมเกร็งล้มไปนั่งแหมะบนพื้น “เหวอ! อะไรวะเนี่ย ผีหลอกกูกลางวันแสกๆ เลยหรือวะ!”

“พ่อ!” คนถูกหาว่าเป็นผีขู่ฟ่อ ลุกขึ้นยืนอย่างหมายจะไปช่วยพยุงบิดา แต่ยิ่งเข้าใกล้บิดากลับยิ่งตกใจ ตะโกนลั่นปานจะถูกฆ่าแกง 

“นังผีปอบ อย่าเข้ามาเชียวนะโว้ย กูมีพระ!”

“ผีปงผีปอบอะไรเล่า ดูให้ดีก่อน นี่หนูเอง พอลลี่เอง!”

“กูไม่เชื่อ ไปให้พ้นนะนังผีปอบ นะโมตัสสะภะคะวะโต อะระหังสัมมาสังฆังนะมามิ!”

“สวดผิดแล้วพ่อ!”

“ฮันแน่ มึงท้าทายกูใช่ไหม มึงเป็นผี จะมารู้ได้ยังไงว่ากูสวดผิดหรือสวดถูก!”

“พ่อ!” หญิงสาวแหวลั่น แข่งกับเสียงบทสวดของบิดา “พอเลย ไปกันใหญ่อีกละ นี่หนูเองค่ะ พอลลี่ลูกพ่อไงคะ!”

“พอลลี่เรอะ”

“ใช่ หนูเอง ลูกสาวแสนกตัญญูของพ่อยังไงล่ะ” เธอย้ำอีก จนบิดายอมเลิกสวดมนต์และขยี้ตาซ้ำๆ เพื่อมองดูเธอให้ชัดอีกครั้ง และก็สงบอาการได้เสียที เมื่อภาพในสายตาเริ่มชัดขึ้น

“อ้าว พอลหลี...หลี่...ลี่ ลูกรักของพ่อนี่เอง”

ลูกรักของพ่อถอนหายใจอย่างหน่ายๆ ก่อนช่วยพยุงบิดาให้ลุกขึ้นยืน

“เลิกเสียทีได้ไหมคะพฤติกรรมตกใจหน้าลูกตัวเองเนี่ย แค่นี้หนูก็เสียเซลฟ์จะแย่แล้ว”

“พ่อขอโทษ เอิ๊ก พ่อแค่...” สินธรหัวเราะร่า เรอใส่หน้าบุตรสาว เพียงแค่ได้กลิ่นก็เหมือนจะเมาตามไปด้วยแล้ว “ตาฝ้าฟางไปหน่อย ยังง้ายยังงายลูกสาวของพ่อก็สวยที่สุดในโลก ไม่ต้องเสียเซลฟ์ปายหรอกลูก”

“เฮ้อ ไม่เสียเซลฟ์ได้ยังไงล่ะคะ ก็ในเมื่อไม่ใช่พ่อคนเดียวที่ตกใจหน้าหนูนี่นา แต่บอกตรงๆ ต่อให้คนอื่นช็อกก็ไม่เจ็บกระดองใจเท่าพ่อตัวเองช็อก ดังนั้นหนูขอล่ะ เลิกสักทีเถอะค่ะ ถ้าเหล้ามันทำให้พ่อเป็นแบบนี้ ก็หยุดดื่ม”

แต่พรนาราไม่ได้รับคำตอบรับกลับมาจากบิดา เพราะในอีกไม่กี่นาทีต่อมาสินธรก็คอพับคออ่อนเมาหลับกลางอากาศเสียอย่างนั้น นี่ไม่ใช่ครั้งแรกก็จริง แต่เธอก็ไม่อยากจะชินกับสภาพที่เป็นอยู่เลยสักนิด

ดวงตากลมโตหม่นแสงลง ยามที่มองบิดาทีไร เธอก็มักจะนึกถึงอดีตทุกครั้ง ใครจะคิดว่าเสี่ยสินธรต้องมีสภาพน่าเอน็จอนาถขนาดนี้ มือที่เคยจับเงินวันละหลายล้านต้องมาจับแต่ขวดเหล้า ชีวิตคนเราไม่มีอะไรแน่นอนจริงๆ

 

หลังจากพาบิดากลับไปนอนที่เตียงแล้ว เกษตรกรสาวก็ขับรถกระบะคู่ใจเข้าเมือง ในเมื่อเธอยังไม่มีโชค เธอก็ต้องออกไปแสวงหาโชค เย็นวันนั้นเธอมุ่งหน้าไปสำนักทรงเจ้าเพื่อขอเลขเด็ดชุดใหม่ เมื่อจัดการเรียบร้อยจึงแวะเข้าไปในตัวเมืองเพื่อซื้ออาหารสัตว์มาใช้ในไร่เพิ่ม ยังดีที่เจ้าของร้านคุ้นเคยกับเธออยู่แล้ว จึงไม่ตกใจเมื่อเห็นหน้าเธอ ทว่ายังมิวายบ่นเล็กน้อยเพราะแทนที่เธอจะเดินเข้าประตูหลังของร้าน เธอกลับเดินดุ่มๆ เข้าไปทางประตูหน้าแทน และการทำเช่นนั้นมันทำให้ลูกค้าคนอื่นเสียขวัญ อย่างน้อยก็ในความเห็นของเจ้าของร้านละนะ

ถามจริงๆ เถอะ หน้าเธอมันแย่ขนาดนั้นเลยหรืออย่างไร เห็นหน้าผีๆ อย่างนี้ แต่ในอดีตเธอก็เคยเป็นสาวพอปที่หนุ่มๆ ต่างหมายปองและยื้อแย่งกันอุตลุดเชียวนะ

ครั้นขนกระสอบอาหารสัตว์ใส่ท้ายรถกระบะจนหลังเกือบยอกแล้ว พรนาราก็เดินข้ามฝั่งไปยังร้านมินิมาร์ตเพื่อซื้อน้ำดื่มแก้กระหาย แต่แทนที่จะหยิบขวดน้ำสำหรับตัวเองเพียงขวดเดียว เธอก็หยิบอมยิ้มรสโคล่าที่ตนชอบ เครื่องดื่มผสมคอลลาเจนที่ส้มโอชอบดื่ม และเครื่องดื่มแก้เมาค้างสำหรับบิดาด้วยอีกขวด ต่อให้ปากบอกว่าไม่สนใจ แต่พอเอาเข้าจริงเธอกลับนึกถึงพวกก่อนเสมอ เพราะอย่างไรครอบครัวก็คือครอบครัว

“ทั้งหมดหกสิบบาทครับ ตายโหง!”

และก็เป็นอีกครั้งที่พนักงานแคชเชียร์ผงะเมื่อเห็นหน้าเธอ เธอล่ะหน่ายกับโมเมนต์นี้เต็มทน

“คนค่ะ ไม่ใช่ผี และยังไม่ได้ตายโหงมาด้วยค่ะ” พรนาราบอกอย่างเซ็งๆ ในขณะที่พนักงานคนนั้นขยี้ตามองเธอซ้ำๆ “หกสิบบาทถ้วนใช่ไหมคะ”

พนักงานพยักหน้า แม้จะได้รับการยืนยันว่าไม่ใช่ผีก็ตาม แต่เขาก็ยังดูมีท่าทีหวาดๆ เธออยู่ดี รับเงินไปแล้วก็มือไม้สั่นจนทำเศษเหรียญบาทและสตางค์ที่เธอยื่นให้ร่วงกราว บางส่วนกระเด้งกระดอนไปบนพื้น

“ขะ...ขอโทษครับ”

“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวฉันช่วยเก็บให้” เธอบอกอย่างใจกว้าง ก้มลงไปช่วยเก็บเหรียญอีกแรง ราวกับว่าความดีข้อนี้จะทำให้อีกฝ่ายซึ้งใจจนเลิกกลัวเธอได้ แต่ก็ลำบากกว่าที่คิดเพราะเหรียญบางส่วนกลิ้งหายเข้าไปใต้ชั้นวางสินค้า ทำให้เธอต้องมะงุมมะงาหราอยู่บนพื้นพักหนึ่ง ในระหว่างที่เธอกำลังเพียรพยายามล้วงเหรียญออกจากใต้ชั้นนั้นเอง บานประตูของมินิมาร์ตก็เลื่อนเปิดออก คงจะมีลูกค้าใหม่เข้ามานั่นละ เพราะเธอได้ยินเสียงกริ่งหน้าประตูร้านดังขึ้นด้วย ลูกค้าใหม่เดินตรงไปหยิบสินค้าที่ตู้น้ำและเดินมาหยุดที่เคาน์เตอร์จ่ายเงิน

“รอสักครู่นะครับ” แคชเชียร์บอกลูกค้าใหม่ คงจะรอให้เธอเก็บเหรียญเสร็จแล้วกลับมาจ่ายเงินก่อนตามคิวกระมัง แต่เธอก็ยังเก็บเหรียญไม่ครบเสียที 

“ขอโทษนะคะ ขอเวลาแป๊บหนึ่ง ฉันเกือบเก็บเหรียญที่เหลือได้ครบแล้ว” หญิงสาวที่แนบหน้ากับพื้นตอบอู้อี้ ปลายนิ้วเกี่ยวเหรียญห้าสิบสตางค์เหรียญสุดท้ายได้แล้ว แต่พอจะดึงมือออกมากลับดึงออกไม่ได้เพราะติดซอกใต้ชั้น “โอ๊ย แป๊บหนึ่งค่ะ มือฉันติด รอเดี๋ยว!”

แต่คำว่า ‘แป๊บหนึ่ง’ ของเธอคงนานเกินกว่าจะรอคอย ในที่สุดลูกค้าคนนั้นก็ตัดสินใจที่จะขอแทรกคิวเพื่อจ่ายเงินก่อน แต่ปัญหาคือเขาไม่ได้ทำแค่นั้นน่ะสิ ไม่รู้ว่าทนสภาพน่าเวทนาของเธอไม่ได้หรืออย่างไร เขาจึงตัดสินใจที่จะจ่ายเงินแทนในส่วนของเธอด้วย

“ของลูกค้าคนนั้นยังขาดอีกเท่าไรครับ” ลูกค้าหนุ่มเหลือบมองสินค้าที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์ ก่อนจะบุ้ยใบ้ไปยังก้นโด่งๆ ของสาวเจ้าที่กำลังมะงุมมะหงาราบนพื้น แม้ไม่เห็นหน้าเพราะมีชั้นวางบังตาอยู่ แต่ก็เขาก็พอจะเดาสีหน้าของเธอตอนนี้ได้ เธอคงต้องกำลังลำบากมากแน่ 

“ก็...” แคชเชียร์ก้มลงไปนับเหรียญในมือของเขาในส่วนที่เก็บมาได้ “ตอนนี้ขาดอีกห้าสิบบาทครับ”

“ถ้าอย่างนั้นช่วยนำห้าสิบบาทนั้นบวกเพิ่มเข้าไปในบิลผมด้วยครับ เดี๋ยวผมจ่ายเอง”

แม้จะงุนงง แต่พนักงานก็ทำตามที่ลูกค้ารายนั้นบอกแต่โดยดี พอจ่ายเงินเสร็จ ลูกค้าผู้มีน้ำใจก็ออกจากร้านไป ไม่ถึงสองนาทีต่อมาพรนาราซึ่งดึงมือออกจากใต้ชั้นวางและเก็บเหรียญได้สำเร็จแล้วก็แจ้นกลับมายังเคาน์เตอร์ แต่ก็พบความจริงว่ามีคนชำระเงินในส่วนที่ขาดให้เธอแล้ว

“อะไรนะคะ ลูกค้าคนนั้นจ่ายเงินให้แทนฉันหรือ” เกษตรกรสาวทวนคำอย่างตกใจ “เขาไปทางไหนแล้วคะ!”

“เห็นเดินเลี้ยวไปทางด้านโน้น” พนักงานชี้นิ้วไปยังนอกร้าน “คุณจะไปขอบคุณเขาหรือครับ”

พรนาราไม่ตอบ แต่วิ่งออกมานอกร้าน เหลียวมองซ้ายแลขวาอย่างค้นหาลูกค้าหนุ่มคนนั้นแบบร้อนใจ เธอไม่รู้หรอกว่าเขาเพียงแต่ขี้เกียจจะรอคิวหรือนึกสงสารเธอหรืออย่างไร แต่เธอไม่ต้องการเงินเขาหรอก เธอไม่ได้น่าสมเพชขนาดนั้นเสียหน่อย เธอสอดส่ายสายตามองหาคนที่น่าจะใช่เขาเพื่อคืนเงินให้ แต่คนที่เดินถือขวดเครื่องดื่มแถวนั้นก็มีหลายคนจนเธอไม่แน่ใจว่าเป็นคนไหน ในระหว่างที่กำลังจะถอดใจแล้ว สายตาก็เหลือบไปเห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งซึ่งกำลังหิ้วถุงพลาสติกมีตราของมินิมาร์ตแห่งนี้เดินอยู่ริมทาง เขาดึงขวดน้ำออกจากถุงขวดหนึ่งและยกขึ้นดื่ม ก่อนจะเดินตรงไปขึ้นเอสยูวีที่จอดอยู่ใกล้ๆ

“คุณคะ เดี๋ยวก่อน!” พรนาราตะโกนเรียก แต่ก็ไม่ได้ทำให้ชายคนนั้นหันกลับมามองแต่อย่างใด แม้จะเห็นเพียงหลังไวๆ แต่สังเกตจากท่าทางและเสื้อผ้ารัดกุมทันสมัยที่เขาสวมใส่ก็ไม่ใช่คนแก่เสียหน่อย เหตุใดจึงหูตึงไม่ได้ยินที่เธอเรียกกันนะ “รอก่อนค่ะ มาเอาเงินของคุณคืนไปเลยนะ คู๊น...กลับมานี่ก๊อน คุณห้าสิบบาท!” หญิงสาววิ่งตามไปพลางร้องเรียกไปพลาง แต่ก็ไม่ได้ทำให้คุณชายห้าสิบบาทหันกลับมามอง เขาขึ้นรถยนต์และขับจากไปต่อหน้าต่อตา ทิ้งให้พรนาราหอบแฮ่ก สูดดมยาหอมด้วยความขุ่นเคือง

บ้าที่สุด ไวจริงๆ เลยนะคุณชายห้าสิบบาท!

ระหว่างที่กำลังคิดสาปแช่งอีกฝ่ายนั้นเอง สมาธิของพรนาราก็ถูกหันเหไปด้วยสายเรียกเข้า เธอยกโทรศัพท์ขึ้นมารับ มันเป็นสายของผู้จัดการสถานที่ของกองถ่ายละครที่เคยติดต่อกับเธอไว้ก่อนหน้านี้นั่นเอง กองถ่ายละครในช่องดังกำลังจะยกกองกันมาใช้ไร่ของเธอเป็นสถานที่ถ่ายทำละครเรื่องใหม่ชื่อว่า ‘เจ้าสาวไกลปืนเที่ยง’

“สวัสดีครับ คุณพอลลี่ ผมเต้นะครับ โลเกชั่นเมเนเจอร์ของกองฯ ที่เคยประสานงานกับคุณไว้เมื่อคราวก่อน ไม่ทราบว่าจำผมได้ไหมครับ”

“ค่ะ จำได้ มีอะไรให้รับใช้หรือเปล่าคะคุณเต้” เธอปรับน้ำเสียงอย่างอ่อนหวาน เพราะตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายคือลูกค้าชั้นดี แน่นอนว่าในการเช่าไร่ของเธอเป็นสถานที่ถ่ายทำจำต้องจ่ายเงินค่าเช่ามากพอสมควร 

“คือผมจะโทร.มาคอนเฟิร์มเรื่องการเข้าไปใช้สถานที่ที่ไร่ของคุณวันมะรืนนี้น่ะครับ”

“เอ๊ะ! วันมะรืนนี้หรือคะ ไม่ใช่ว่าพวกคุณจะมากันสัปดาห์หน้าหรอกหรือ”

“เปล่าครับ เรามีนัดเปลี่ยนแปลงคิวนิดหน่อย ลูกน้องของผมไม่ได้ประสานงานคุณพอลลี่มาหรือครับ”

“ไม่นะคะ ฉันก็เพิ่งได้ยินจากคุณเต้วันนี้นี่ละ”

“อ้อ ถ้าอย่างนั้นคงเกิดการสื่อสารผิดพลาดแน่เลย ต้องขอโทษด้วยนะครับ แต่เราขอเข้าไปใช้สถานที่วันมะรืนนี้ได้หรือเปล่า มันฉุกเฉินจริงๆ พอดีว่านักแสดงนำของเรื่อง คุณนานะเธอไม่มีคิวให้เรา เราเลยต้องเร่งวันถ่ายทำให้เร็วขึ้นอีกหน่อย”

ไม่ใช่ว่าเธอไม่เข้าใจเหตุผลของผู้จัดการโลเกชั่น เธอเข้าใจว่าการจัดวางคิวมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่การที่เธอเพิ่งได้ยินชื่อ ‘นานะ’ เป็นครั้งแรก ทำให้เธอตกใจมาก เพราะมันไปพ้องกับชื่อของเพื่อนสมัยมัธยมซึ่งตอนนี้กลายเป็นนักแสดงแถวหน้าของเมืองไทยไปแล้ว 

“นานะที่คุณเต้พูดถึง นี่ใช่นานะ นันทวดีหรือเปล่าคะ” พรนารากลั้นใจถาม ก่อนหน้านี้เธอมัวแต่สนใจแต่กับเรื่องเงินค่าเช่าสถานที่ ไม่ได้สนใจรายละเอียดด้วยซ้ำว่านักแสดงมีใครบ้าง แต่ตอนนี้คงต้องสนใจแล้วละ และก็เหมือนฟ้าผ่าลงมากลางใจเมื่อได้รับการยืนยันจากปลายสาย

“ใช่แล้วครับ คุณนานะ นันทวดี ซุป’ตาร์ของเมืองไทยคนนั้นละ อ้าว นี่คุณพอลลี่ยังไม่ทราบหรือครับว่าคุณนานะรับบทเป็นนางเอกของเรื่องนี้”

นางเอก...ไม่อยากเชื่อเลยว่าสาวเฉิ่มที่สุดในโรงเรียนเมื่อหลายปีก่อนจะกลับกลายเป็นซุปเปอร์สตาร์ของเมืองไทยไปแล้ว ส่วนตัวเธอคนที่เคยพอปที่สุดในโรงเรียนน่ะหรือ ตอนนี้มีแต่คนวิ่งหนีเพราะคิดว่าเป็นผีเป็นปิศาจ เหตุใดสวรรค์ถึงใจดำกับเธอนัก บางทีโลกก็ไม่ต้องกลมและพรหมก็ไม่ต้องลิขิตให้พวกเธอสองคนกลับมาพบกันอีกก็ได้ หากมันจะทำให้เธอต้องเจ็บช้ำน้ำใจและสังเวชตัวเองขนาดนี้

“ผมรู้ว่ามันออกจะรบกวนคุณพอลลี่ไปหน่อย แต่ยังไงรบกวนคุณจัดเตรียมสถานที่ให้เราด้วยได้ไหมครับ เราจำเป็นต้องใช้มันภายในวันมะรืนนี้จริงๆ ก็อย่างที่รู้คุณนานะเธอคิวทองมาก มันเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ครับ”

“ค่ะ ฉันเข้าใจ ถ้าอย่างนั้นฉันจะจัดเตรียมสถานที่ไว้ให้พร้อมแล้วกัน พบกันวันมะรืนนะคะ” พรนาราตกปากรับคำด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา รีบวางสายไปก่อนที่เธอจะหมดความอดทนที่จะยั้งน้ำตาตนเอง ยิ่งกล่าวถึงนันทวดี เธอก็ยิ่งรู้สึกหดหู่ อดเปรียบเทียบตนเองกับเพื่อนเก่าไม่ได้ เพราะเพื่อนมีทุกอย่างที่เธออยากได้อยากมี ไม่ว่าจะรูปลักษณ์ เงินทอง ชื่อเสียง และ ‘เขา’ คนนั้น นันทวดีมีเขาคนนั้นอยู่เคียงข้าง เขา...คนที่เป็นรักแรกของเธอ

พรนาราเดินข้ามถนนกลับมายังรถกระบะของตนเองด้วยอาการคอตก ที่ในร้านจำหน่ายอาหารสัตว์ เจ้าของร้านและครอบครัวกำลังฆ่าเวลาการเฝ้าร้านด้วยการดูโทรทัศน์ บนหน้าจอกำลังฉายเป็นภาพของนันทวดีอีกแล้ว   ไม่ว่าจะภาพยนตร์ ละคร บนหน้าหนังสือพิมพ์ นิตยสาร ป้ายโฆษณาทั่วเมือง หรือกระทั่งในโลกออนไลน์ก็มีแต่หน้าและชื่อของหล่อนเต็มไปหมด หล่อนสวยโดดเด่นทุกที่และเป็นที่รักทุกที่เช่นกัน

หญิงสาวยืนเหม่อมองมองดูนันทวดีผ่านหน้าจอ ในโทรทัศน์กำลังเสนอสกู๊ปข่าวน่ายินดีที่หล่อนหมั้นหมายกับแฟนหนุ่มอย่างเป็นทางการ และตอนนี้หล่อนก็กำลังยิ้มกว้างให้กล้อง ชูมือขึ้นอวดแหวนเพชรหลายกะรัตที่ชินกฤต ผู้เป็นคู่หมั้นสวมให้หล่อน ทั้งคู่ดูมีความสุขกันมาก

ขอบตาของผู้เฝ้ามองร้อนผ่าว น้ำตาเอ่อปริ่ม เธอรู้ว่าตนเองนิสัยไม่ดี แทนที่จะยินดีไปกับภาพที่เห็น แต่เธอกลับทำใจไม่ได้เลย เพราะความทรงจำเก่าๆ ผุดขึ้นมาหลอกหลอน ภาพที่ชินกฤตยิ้มให้เธอ ดีต่อเธอ จนเขาเข้ามานั่งในหัวใจของเธอยังคงแจ่มชัดไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปี ที่ตรงนั้น...ตรงข้างๆ เขา มันควรจะเป็นของเธอไม่ใช่หรือ 

ทำไม...ทำไมกันล่ะ เธอทำผิดอะไรนักหรือ ทำไมเธอถึงไม่มีสิทธิ์ที่จะมีความสุขเหมือนคนอื่นเขาบ้างเลย เธอเกลียดความอยุติธรรม เกลียดความโชคร้ายที่เธอพบ เกลียดทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอมีอยู่ตอนนี้...เกลียดที่สุด!

พรนาราประคองร่างตนเองกลับมาขึ้นรถและขับออกไปตามทาง แต่สุดท้ายเธอก็ฝืนตัวเองไม่ไหว ต้องจอดรถที่ข้างไร่นาเพื่อจะฟุบหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้นเสียให้พอ หากวันนั้นพ่อไม่ด่วนล้มละลาย หากเมื่อวันนั้นเธอไม่ต้องออกจากโรงเรียนมาในที่ไกลแสนไกล เธอคงจะได้มีโอกาสโด่งดังเป็นดาว ได้มีโอกาสสารภาพความรู้สึกกับชินกฤตและมีความสุขไปแล้ว คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นควรจะเป็นเธอไม่ใช่นันทวดีสิ

ครั้นร้องไห้มากก็ยิ่งรู้สึกเหนื่อยและกระหายน้ำขึ้นมาอีก พรนาราจึงสูดน้ำหูน้ำตาแล้วเอื้อมมือไปคว้าขวดน้ำที่ซื้อมาจากร้านมินิมาร์ตขึ้นมาดื่ม ทำให้อมยิ้มรสโคล่ากลิ้งออกมาจากถุงด้วย อมยิ้มรสโคล่าเป็นขนมที่เธอชอบรับประทานตั้งแต่เด็ก ไม่เพียงแต่เป็นขนมในความทรงจำ แต่ยังเป็นขนมที่ทำให้นึกถึงเพื่อนเก่าอีกคนของเธอด้วย...เพื่อนสนิทในวัยเด็กซึ่งเธอพยายามหลบเลี่ยงไม่ติดต่อมาหลายปีแล้ว 

‘อย่าร้องไห้ ยิ่งนายร้องไห้ไอ้พวกนั้นก็ยิ่งชอบใจน่ะสิ เอ้านี่...ฉันให้ กินแล้วไม่ต้องร้องนะ เจ้าตัวเล็ก’

ภาพของเด็กหญิงพรนาราผุดวาบขึ้นมา เธอยื่นอมยิ้มลูกกลมๆ ให้เด็กชายตัวเล็กผอมแกร็นคนหนึ่งเพื่อเป็นการปลอบใจจากการถูกกลั่นแกล้ง เด็กชายลังเลอยู่ชั่ววินาที ก่อนจะรับอมยิ้มไปดูดกินทั้งๆ ที่ยังสูดน้ำหูน้ำตา

‘อร่อยหรือเปล่า’

เด็กชายพันฤทธิ์พยักหน้าหงึกหงัก และเริ่มยิ้มออก

‘อร่อย ขอบใจนะ พอลลี่’

‘ต่อไปถ้าใครมารังแกนายอีก บอกฉันนะ อย่ามัวแต่ร้องไห้แบบนี้ ฉันจะลุยให้เอง’

‘ทำยังไง เธอจะไปต่อยกับเจ้าพวกนั้นหรือยังไง’

‘ไม่อะ ฉันมีวิธีที่ดีกว่านั้นเยอะ’

‘วิธีอะไร’

‘ฉันจะไปฟ้องผอ. ให้น่ะสิ พ่อฉันเป็นเพื่อนกับผอ. บริจาคเงินให้โรงเรียนนี้ตั้งเยอะแยะ ผอ.ยอมทำตามที่ควีนพอลลี่บอกอยู่แล้ว ฉันจะบอกให้ผอ. ไล่เจ้าพวกบ้านั่นออกให้หมดเลยคอยดู!’

เด็กชายนิ่งอึ้ง ก่อนจะปล่อยเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น เชื่อเขาเลย สมกับเป็นควีนพอลลี่ผู้ทรงอิทธิพลจริงๆ

‘หัวเราะอะไร นายไม่เชื่อฉันเรอะ’

‘เปล่า ใครจะกล้าไม่เชื่อควีนพอลลี่กันล่ะ’

พรนารายิ้มกว้าง กอดเพื่อนของเธออย่างปกป้อง ตบหลังเพื่อนแปะๆ

‘ต่อไปนี้ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้วนะ ฉันจะไม่ยอมให้ใครมารังแกนายได้อีก เจ้าตัวเล็ก’

‘ขอบใจนะ แต่เลิกเรียกฉันว่าเจ้าตัวเล็กได้แล้ว ฉันมีชื่อนะ’

‘ทำไมล่ะ ก็นายตัวเล็กกว่าฉันนี่ เป็นเจ้าตัวเล็กแบบนี้น่ารักออก!’

‘คอยดูแล้วกัน สักวันหนึ่งฉันจะตัวโตกว่าเธอให้ได้เลย พอลลี่’

‘หือ นายเนี่ยนะจะตัวโตกว่าฉัน’ พรนาราย่นจมูกเป็นเชิงไม่เชื่อ

‘ใช่ สักวัน และอีกอย่างหนึ่งนะ...’

‘อีกอย่างอะไร’

ใบหน้าของพันฤทธิ์ซับสีชมพู เขย่งเท้าขึ้นสุดตัวเพื่อยกแขนขึ้นโอบกอดตอบเพื่อนสาวอย่างเขินๆ 

‘อีกอย่างหนึ่งฉันอยากให้เธอรู้ไว้ สักวันหนึ่งในอนาคตข้างหน้า ฉันจะเป็นฝ่ายปกป้องเธอคืนบ้าง พอลลี่’

เธอก็ไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เพื่อนพูดหมายความว่าอย่างไร แต่นับแต่นั้นก็ไม่มีใครกล้ารังแกเพื่อนของเธออีกจริงๆ อมยิ้มรสโคล่ากลายเป็นไอเท็มระหว่างเธอและเพื่อนไปในที่สุด แม้พวกเธอจะขาดการติดต่อกันไปเพราะเหตุที่สินธรล้มละลายเลยทำให้เธอต้องระหกระเหินมาปักหลักในแถบชนบทและเธอก็อายเกินกว่าจะติดต่อกับเขาอีก แต่เห็นสิ่งนี้ทีไร เธอก็นึกถึงเพื่อนของเธอทุกครั้ง 

เจ้าตัวเล็ก...ตอนนี้นายเป็นยังไงบ้าง ที่อเมริกาอากาศหนาวหรือเปล่า

เธอรู้ว่าการจากลาระหว่างเธอและพันฤทธิ์ไม่น่าประทับใจ ครั้งสุดท้ายที่เธอพบเขา เธอพูดจาแรงๆ ใส่เพื่อไล่เขาไปด้วยซ้ำ เธอจึงไม่ควรมีหน้าห่วงหาถึงเขาหรอก แต่อย่างว่าละบางครั้งคนเราก็มักจะห้ามความรู้สึกตัวเองได้ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในความสัมพันธ์ของเพื่อนสนิทที่เติบโตมาด้วยกัน นานเพียงใดก็ย่อมจะห่วงใยกัน

หญิงสาวหยิบอมยิ้มมาแกะห่อและอมมันเข้าไปในปาก รสชาติหวานๆ ของมันทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นจากความเจ็บปวดและโศกเศร้า แม้จะเพียงเล็กน้อย แต่ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เธอมีแรงที่จะปาดน้ำตาและขับรถต่อไปถึงบ้าน

 

เสียงเพลง R&B ซึ่งดังกระหึ่มในหูฟังแบบไร้สาย ทำให้ผู้นั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถเอสยูวีคันหรูไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ด้วยซ้ำ จวบจนกระทั่งเพลงสุดท้ายในเพลย์ลิสต์ได้บรรเลงจบลง เขาจึงเพิ่งสังเกตว่ามีสายโทรศัพท์จากบิดาซึ่งเขาไม่ได้รับหลายสาย ชายหนุ่มลดความเร็วรถยนต์ลง และต่อสายกลับไปยังบิดาทันที

“ว่าไงครับ ท่านประธานพนัส มีอะไรให้ผมรับใช้”

“อย่ากวนพ่อ เจ้าลูกคนนี้นี่ ทำไมไม่รับสาย พ่อโทร.หาตั้งหลายครั้งแล้ว”

ชายหนุ่มหัวเราะ การได้หยอกล้อบิดาบ้างก็ดีเหมือนกัน 

“ขอโทษครับ พอดีผมเปิดเพลงฟังเสียงดังเลยไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ พ่อโทร.หาผมมีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

“มีน่ะสิ พ่อว่าจะชวนแกมากินข้าวที่บ้าน ค่ำนี้มีหุ้นส่วนคนสำคัญของบริษัทฯ แวะมาด้วย พ่ออยากให้แกได้ทำความรู้จักเขา ไหนๆ แกก็จะขึ้นแท่นเป็นผู้บริหารในอีกไม่นานนี้แล้ว จำเป็นต้องทำความรู้จักคนไว้มากๆ”

“ผมทราบครับ แต่คงต้องไว้โอกาสหน้าแล้วละ ตอนนี้ผมอยู่อีสาน คงกลับไปกรุงเทพฯ ไม่ทันมื้ออาหารค่ำ”

“อีสาน?” พนัสทวนคำอย่างแปลกใจ “ทำไมแกลงพื้นที่เร็วนักล่ะ ถ้าพ่อจำไม่ผิด งานสุดท้ายของแกจะเริ่มสัปดาห์หน้าโน่นเลยไม่ใช่หรือ”

งานสุดท้ายที่บิดาว่าหมายถึงการเป็นฝึกงานครั้งสำคัญ ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนบทบาทเป็นรองประธานในบริษัท VVIP ซึ่งเป็นธุรกิจเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัย เขาหวังสุดใจว่าความรู้และทักษะซึ่งเขาฝึกฝนมาจากอเมริกาคงจะช่วยพัฒนาธุรกิจของครอบครัวได้บ้างไม่มากก็น้อย

“ใช่ครับ ที่จริงงานเริ่มสัปดาห์หน้า แต่ลูกค้าของเราเปลี่ยนตารางงานเป็นวันมะรืนนี้ ผมเลยต้องเดินทางมาเซอร์เวย์ในพื้นที่ก่อน”

“แน่ใจนะว่าที่ล่วงหน้ามาก่อนแบบนี้เพราะแค่เรื่องงานอย่างเดียว” พนัสถามอย่างเดาใจได้ ซึ่งก็ไม่ผิดจากที่คาดเพราะดูเหมือนบุตรชายจะมีจุดประสงค์อื่นในการเดินทางมาก่อนกำหนดเสียมากกว่า

“ที่จริงผมอยากแวะมาพบใครคนหนึ่งก่อนเริ่มงาน”

เพียงแค่กล่าวเท่านั้นบิดาก็ทราบแล้วว่าบุตรชายหมายถึงใคร

“เจ้าพีท” พนัสเรียกชื่อบุตรชายอย่างอ่อนใจ “ลืมไปแล้วหรือว่าเด็กคนนั้นเป็นคนไล่แกเอง แล้วนี่จะไปพบเธออีกให้มันได้อะไรขึ้นมา เธอคงไม่อยากพบหน้าแกหรอก”

“เธอไม่อยากพบผมก็ไม่เป็นไร เพราะผมอยากพบเธอครับ”

แม้ในยามที่กล่าวถึงเด็กคนนั้นทีไร น้ำเสียงของพันฤทธิ์ก็อ่อนโยนทุกครั้ง ไม่ได้มีแววโกรธเคืองใดๆ เลยด้วยซ้ำ นั่นทำให้ผู้เป็นพ่อต้องเลิกทัดทานและเปลี่ยนมาเป็นการอวยพรแทน

“ถ้าอย่างนั้นพ่อขอให้แกได้พบคนที่อยากพบแล้วกัน”

“ขอบคุณครับ” พันฤทธิ์ตอบรับคำอวยของบิดาด้วยรอยยิ้ม หลังจากวางสายโทรศัพท์ไป สารถีหนุ่มจึงมุ่งหน้าไปหาคนที่เขาถวิลหา มือใหญ่เอื้อมหยิบอมยิ้มรสโคล่าขึ้นมาแกะห่อและชิมรส รสชาติของมันยังหวานอร่อยไม่เคยเปลี่ยนไปจากในความทรงจำ

‘เจ้าตัวเล็ก เจ้าตัวเล็ก’ เสียงใสๆ ที่เรียกเขายังก้องในความทรงจำ หากวันนี้เขาได้พบ ‘เธอ’ อีกครั้ง อมยิ้มนี้คงยิ่งต้องหวานล้ำกว่าที่เคยกินเป็นแน่แท้

พันฤทธิ์ขับรถมาจนถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง แม้จะเสียเวลาไปไม่ใช่น้อยเพราะจีพีเอสนำทางพาเขาหลงทางเข้ารกเข้าพง แต่ในที่สุดเขาก็มาถึงจุดหมาย ท่ามกลางทุ่งนาที่ขนาบสองข้างทาง เขาเลี้ยวรถเข้ามาในถนนดินลูกรังและจอดสนิทที่หน้าบ้านหลังเล็กๆ หลังหนึ่ง

นานแค่ไหนแล้วนะที่เขาไม่ได้มาที่นี่...ช่วงเวลาที่ห่างจากเธอยาวนานราวกับทั้งชีวิต

ชายหนุ่มก้าวลงจากรถ ทิ้งสายตาสีน้ำผึ้งมองบ้านหลังน้อยด้วยความคิดถึงจับใจ ไม่ใช่ตัวบ้าน แต่เป็นคนที่อาศัยอยู่ภายในนั้นต่างหาก หัวใจของพันฤทธิ์เต้นระรัวด้วยความตื่นเต้น

พอลลี่...ฉันกลับตามสัญญาแล้ว!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น