0

บทนำ

บทนำ

คุณเคยรู้สึกเกลียดชีวิตที่เป็นอยู่กันบ้างไหม ชีวิตที่เต็มไปด้วยความบัดซบ มีแต่เรื่องไม่ได้ดั่งใจเต็มไปหมด หวยก็ไม่ถูก ผัวก็ไม่มี ทำอะไรก็ไม่ขึ้น ที่จะขึ้นก็มีแต่น้ำหนัก ทำอะไรก็มีอุปสรรคเหมือนมีเจ้ากรรมนายเวรหลอกหลอน ดวงชะตาอาภัพ ดั่งราหูเข้าพระเสาร์แทรกเล็งกลางศีรษะตลอดเวลา หากคุณเคยรู้สึกอย่างนี้....เราคือเพื่อนกัน ในเมื่อคุณเกลียด คุณจะทนใช้ชีวิตอยู่อย่างนี้ไปทำไมกันล่ะ หากมีวิธีที่จะทำให้คุณหนีพ้นจากชีวิตอันแสนอัปยศอดสูนี้ได้ คุณจะลองทำดูหรือเปล่า คำตอบของคุณเป็นอย่างไรไม่ทราบ แต่สำหรับพรนารา เธอพร้อมจะลองทำทุกวิถีทาง 

ลาก่อนชีวิตอันแสนห่วยแตก เธอเบื่อการเป็นเกษตรกรเต็มทน ต่อจากนี้เธอจะรวยเป็นเศรษฐินี จะโด่งดังคับฟ้าเป็นซุป’ตาร์ จะมีแฟนไฮโซหล่อล่ำขยี้ทรวง หน้าซีกซ้ายเหมือนดาราแดนมังกร หน้าซีกขวาเหมือนดาราแดนกิมจิให้ชะนีทั่วประเทศพากันอิจฉา พอกันทีกับตำแหน่งเทพีปักตะไคร้ประจำหมู่บ้าน เธอจะไม่ยอมซิงจนคานไปทั้งชีวิต ไม่ยอมจริงๆ ให้ดิ้นตาย!

 

‘เมาคลีล่าสัตว์ เมาคลีล่าสัตว์~’

เสียงเพลงเมาคลีล่าสัตว์จากนาฬิกาในโทรศัพท์ เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าถึงเวลาที่หญิงสาวต้องตื่นขึ้นมาทำหน้าที่ประจำวันได้แล้ว พรนารางัวเงีย โผล่ศีรษะขึ้นจากกองหมอนและผ้าห่มที่ยับยู่ยี่ มือเล็กควานหาโทรศัพท์มือถือที่ข้างหัวเตียง ทั้งๆ ที่ตายังปิด สะลึมสะลือไม่ตื่นดี

อ้า...ชีวิตเส็งเคร็งดำเนินไปอีกวัน ได้เวลาตื่นไปให้เหล่าปศุสัตว์แล้วสินะ แต่เจ้าพวกนั้นตัวพองจะเป็นบอลลูนอยู่แล้ว กินช้าไปบ้างก็ไม่เห็นเป็นอะไร เธอขอนอนต่ออีกห้านาทีแล้วกัน พอคิดได้อย่างนั้นพรนาราจึงซุกศีรษะลงใต้หมอน เกียจคร้านเกินกว่าจะเอื้อมมือไปปิดนาฬิกาปลุก แต่คนที่นอนข้างกันคงรำคาญกับเสียงก่อกวนจึงต้องเอ่ยเตือน

“พอลลี่ ปิดเสียงเพลงนั่นหน่อยได้ไหม เราทำพี่หมดแรงเลยนะเมื่อคืน พี่อยากจะนอนต่ออีกหน่อย”  

“ค่ะ ขอโทษค่ะ”

พรนาราอู้อี้ รีบเอื้อมมือไปปิดเสียงนาฬิกาปลุกอย่างเกรงใจ แล้วจึงฟุบหน้าลงกับหมอนต่อ

“ขอบคุณครับ คนสวยของพี่”

เสียงเซ็กซี่ชวนใจละลายนั้นเหมือนของชินกฤต รักแรกของเธอไม่มีผิด...นี่เธอฝันถึงเขาอีกแล้วหรือ ให้ตายสิ ฝันดีชะมัด! ในเมื่อนี่คือความฝัน ฉะนั้นเธอขอเป็นคนบาปสักหน่อยจะเป็นอะไรไป อ้อนได้อ้อน ยั่วได้ยั่ว ในเมื่อชีวิตจริงมันนก ก็ขอกกเสพสุขในฝันก็ยังดีละว้า!

“พี่ชินคะ พี่ชินขา”

“ครับ ว่าไง”

“อากาศเย้นเย็น พอลลี่หนาวจังเลยค่ะ”

“หนาวหรือ งั้นมานี่สิ พี่จะกอดให้หายหนาว” ว่าแล้วชายหนุ่มก็พลิกกายมากอดก่ายเธอไว้จากทางด้านหลัง 

ก็ไม่รู้ทำไมคราวนี้ความฝันจึงได้เหมือนจริงนัก เธอรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นของเนื้อแนบเนื้อ...อุ่นมาก อุ่นจนร้อนรุ่มไปหมด และเพราะความร้อนรุ่มนี่เอง ทำให้พรนารารู้สึกฉุกใจบางอย่าง เธอไม่เคยมีความฝันที่เหมือนจริงเช่นนี้มาก่อนเลย 

“หายหนาวหรือยังครับ” ชายข้างกายกระซิบถาม ซุกซบใบหน้ากับซอกคอของเธอจนซ่านสยิว

เดี๋ยวก่อน...ทำไมทั้งภาพ เสียง และสัมผัสถึงชัดจัดเต็มขนาดนี้ นี่ใช่ความฝันแน่หรือ?

พรนารารู้สึกไม่ชอบมาพากล จึงตัดสินใจพลิกร่างหันกลับมามองผู้ร่วมเตียงแบบช้าๆ ใบหน้าซีกซ้ายที่โผล่พ้นกองหมอนขนห่านมีความละม้ายคล้ายคลึงดาราดังฝั่งแดนมังกรอยู่ไม่มากก็น้อย ใบหน้าที่เธอหลงใหลได้ปลื้มมาตลอดในช่วงวัยรุ่นแบบนี้มีคนเดียว นี่คือชินกฤตตัวจริงเสียงจริงอย่างไม่ต้องสงสัย

บ้าน่า! ทำไมชินกฤตถึงมาอยู่บนเตียงเดียวกับเธอได้ ที่น่าตกใจก็คือทั้งเธอและเขาไม่มีเสื้อผ้าติดกายสักชิ้นนี่สิ   เพราะเสื้อผ้าทุกชิ้นมันกระจัดกระจายอยู่บนพื้นไปหมดแล้ว นี่มันแค่ความฝันติดเรต 18+ หรือคือความจริงกันแน่?!

หญิงสาวรีบหยิกแขนตนเองเพื่อพิสูจน์ทันที แต่ความเจ็บจี๊ดและรอยแดงที่เกิดขึ้นก็ทำให้รู้ว่านี่คือความจริงไม่ใช่ความฝัน พอตระหนักได้เช่นนั้น เธอก็ตกใจแทบสิ้นสติ ทะลึ่งตัวพรวดขึ้นมา คว้าผ้าห่มมาพันกาย ก่อนร้องกรี๊ดสุดเสียงทั้งๆ ที่หน้าแดงก่ำเป็นผลตำลึง

ลำพังแค่ฝันหวานไปวันๆ ก็พอทน แต่เมื่อความจริงถาโถมมากะทันหันเช่นนี้ เธอรับมือไม่ทันจริงๆ ใจหนึ่งก็จับต้นชนปลายเรื่องราวไม่ถูก ส่วนอีกใจก็รู้สึกเหมือนถูกผีหลอกกลางวันแสกๆ!

“พะ...พี่ชิน พี่มาทำอะไรที่นี่! แล้วมาอยู่บนเตียงพอลลี่ได้ยังไง!”

ชินกฤตปรือตาขึ้นมามอง ทั้งๆ ที่เส้นผมยังยุ่งเหยิง แต่ก็เป็นความยุ่งเหยิงที่ไม่ได้ทำให้ความหล่อเหลาลดน้อยลงแต่อย่างใด เขาขยี้ตาแบบทั้งง่วงงุนและมึนงง 

“เป็นอะไรครับ พอลลี่ โวยวายอะไร”

“ก็พี่ชินมาอยู่บนเตียงพอลลี่ได้ยังไง้ แล้วยัง...แล้วยัง...” หญิงสาวละล่ำละลัก มือไม้สั่นไปหมด เมื่อบั้นท้ายขาวๆ ของหนุ่มหล่อโผล่ออกมาจากผ้าห่มอย่างที่เจ้าตัวไม่คิดจะปกปิดมันสักนิด “แล้วยังมาแก้ผ้าอล่างฉ่างเป็นชีเปลือยอีก!”

“ถามแปลกๆ แล้วมีใคร ‘ทำ’ เรื่องนั้น โดยไม่แก้ผ้าบ้าง” ชายหนุ่มตอบยิ้มๆ โดยไม่สนใจสีหน้าลมจะจับของสาวเจ้าสักนิด “แล้วถ้าจะถามว่าทำไมพี่ถึงมาอยู่บนเตียงเราได้ เรื่องนั้นต้องย้อนถามตัวเราเองแล้วล่ะ”

“ย้อนถามตัวเอง? นี่พี่หมายความว่ายังไง”

“ก็พอลลี่ไม่ใช่หรือที่ชวนพี่ขึ้นเตียงเราเอง”

“ฮ้า! พอลลี่เนี่ยนะ ชวนพี่ขึ้นเตียง!”

“ใช่ นี่อย่าบอกนะว่าลืมเรื่องเมื่อคืนไปหมดแล้ว”

“เรื่องเมื่อคืนอะไร พอลลี่ไม่รู้เรื่องด้วยนะ!”

“พูดจาห่างเหินทำเป็นคนอื่นคนไกลไปได้ มานี่มา คนสวยของพี่ พี่จะเตือนความจำให้อีกรอบ” กล่าวเสร็จชินกฤตก็รวบร่างบอบบางเข้าไปใต้ผ้าห่มด้วยกัน เตรียมจะกดศีรษะเธอคลุมโปงแบบอำมหิตอยู่แล้ว แต่หญิงสาวไม่ยอม รีบดีดตัวออกมา มือน้อยยื้อยุดผ้าห่มจากเขามาพันกายตนเอง การกระทำเช่นนั้นทำให้ผ้าห่มปกปิดร่างของเธอได้ก็จริง แต่ก็ทำให้ผ้าเลื่อนหลุดจากร่างกายของชายหนุ่มเช่นกัน ท้ายที่สุด ‘อะไรต่อมิอะไร’ จึงอล่างฉ่างปรากฏแก่สายตา

โอ้ว หมกไข่! ตาย...เธอตายแน่ ต้องเป็นตากุ้งยิงแน่แล้ว!

พรนารากรีดร้องสุดเสียง กลิ้งตัวหลบจากมือปลาหมึกของอีกฝ่ายจนตกเตียง ผ้าห่มที่ห่อพันร่างไว้ทำให้เธอมีสภาพไม่ต่างจากดักแด้ แต่ดักแด้อย่างเธอมีหรือจะยอมแพ้ง่ายๆ รีบตะกุยตะกายลุกขึ้นยืน พอทรงตัวได้ก็รีบเผ่นหนีเหมือนกำลังหนีผีหนีปิศาจ แต่สิ่งที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกเหมือนโดนปิศาจเล่นงานซ้ำสองก็คือการที่เธอเพิ่งตระหนักว่า เธอไม่ได้อยู่ในกระท่อมกลางนาเหมือนอย่างเคย แต่กลับอยู่ในเพนท์เฮ้าส์หรูหราที่ไหนก็ไม่ทราบ 

ที่นี่ที่ไหนกัน ไม่ใช่กระท่อมน้อยปลายนาของเธอนี่นา!

“เจ็บตรงไหนหรือเปล่า แล้วนี่เราจะหนีพี่ไปไหนล่ะ นี่พี่ไง พี่ชินเอง”

“พอลลี่รู้ว่านี่พี่ชิน แต่ขอเถอะ อย่าเพิ่งเข้ามาใกล้พอลลี่ตอนนี้ ขอเวลาให้พอลลี่ตั้งสติก๊อน!”

“ทำไมล่ะ พี่อยากรู้ว่าเราเป็นยังไงนี่นา เจ็บตรงไหน มาให้พี่ดูหน่อยสิครับ พี่จะเป่าให้” ว่าแล้วพ่อชีเปลือยหน้าหล่อก็ตั้งท่าจะลุกจากเตียงเพื่อตามเธอมาให้ได้ แต่ยิ่งทำเช่นนั้นก็ยิ่งทำให้หญิงสาวตื่นตระหนก รีบวิ่งหนีเขาไปให้ไกลที่สุด และเพราะอารามรีบร้อนนี่เอง ที่ทำให้เธอวิ่งไปชนกับกำแพงมนุษย์เข้า

เจ้าดักแด้ตัวน้อยเสียหลัก เมื่อศีรษะโขกเข้าเต็มเปาที่แผ่นอกล่ำๆ เปียกชื้นแต่แข็งแรง เกือบจะหงายผึ่งก้นจ้ำเบ้าอยู่แล้ว หากกำแพงมนุษย์ที่ว่าไม่ยื่นแขนออกมารองรับเธอไว้

“เป็นอะไรไหม”

น้ำเสียงนุ่มถามไถ่อย่างห่วงใย เธอเองก็อยากจะขอบคุณในความช่วยเหลือนี้อยู่หรอก หากบังเอิญสายตาไม่เหลือบไปเห็นว่าอีกฝ่ายนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเล็กกะจิ๊ดริดอยู่ผืนเดียว 

เดี๋ยวนะ ยังมีชีเปลือยอยู่อีกคนงั้นเรอะ!

“กรี๊ด! ปล่อยฉันนะ ไอ้คนลามกจกเปรต!”

สติที่มีเหลืออันน้อยนิดของพรนารากระเจิดกระเจิงอีกรอบ เธอหลับหูหลับตาใช้มือทุบหนุ่มตรงหน้าไม่ยั้ง ยื้อยุดชุลมุนกันไม่กี่วินาที ผ้าห่มที่พันแข้งขาก็พาให้ร่างของคู่หนุ่มสาวล้มหงายไปบนพื้นด้วยกันทั้งคู่ และที่ทำเอาช็อกตาตั้งหนักกว่าเดิมก็คงเป็นเพราะซีกหน้าด้านขวาของคนที่คร่อมทับเธออยู่นั้นมีความละม้ายคล้ายคลึงกับดาราแดนกิมจิ เรียกว่าทั้งหุ่นทั้งหน้าปังปุริเย่วาตานาเบ้ไอโกะไม่แพ้กันเลย แต่ก็นั่นละ มันเป็นความปังที่คุ้นตาอย่างไรชอบกล

อย่าบอกนะว่า...!

“พอลลี่”

เธอควรจะจำน้ำเสียงนั้นได้ตั้งวินาทีแรกแล้ว เพราะชีเปลือยอีกคนก็เป็นคนรู้จักเธอเช่นกัน แม้ไม่ใช่รักแรกอย่างชินกฤต แต่ก็เป็นคนที่เธอใช้เวลาอยู่ด้วยมากที่สุด รู้จักเธอดีที่สุด แม้สุดท้ายเคราะห์จะซ้ำกรรมจะซัดให้ต้องพลัดพรากจากกันมาหลายปีดีดักก็ตาม

ไม่ผิดแน่ นั่นพันฤทธิ์ หรือ พีท เพื่อนสนิทในวัยเด็กของเธอ!

“พีท ทำไมนายมาอยู่ที่นี่ นี่เมื่อคืนเราคงไม่ได้...”

เธอไม่อยากคิดต่ำตมกับเพื่อนเลย แต่สภาพของพวกเธอตอนนี้ทำให้คิดในทางดีไม่ได้

“นี่เราคงไม่ได้...คงไม่ได้...”

“คงไม่ได้อะไร เมื่อคืนเธอเป็นคน ‘ทำ’ ฉันเองแท้ๆ ยังทำมีหน้ามาถามกันอีกหรือ”

“ฮ้า! ทำอะไร อย่ามาพูดบ้าๆ เชียวนะ ฉันไปทำอะไรนายมิทราบ!”

แต่ยังไม่ทันที่พันฤทธิ์จะได้ตอบอะไร ปมผ้าขนหนูบนเอวสอบซึ่งผ่านสมรภูมิรบกอดรัดฟัดเหวี่ยงเมื่อครู่ก็ไปต่อไม่ไหว มันคลายออกอย่างได้จังหวะพอดี ทำให้ผ้าขนหนูผืนจ้อยเลื่อนหลุดจากท่อนล่างของเพื่อนชาย จังหวะนรกแท้ๆ ที่สายตาของหญิงสาวพลันไปสังเกตเข้าพอดี

อื้อหือใหญ่จัง อะฮ้าใหญ่จริง ตากุ้งยิงคูณสอง คราวนี้หมกไข่ห่อใหญ่พิเศษกว่าเดิมไปอีก!

ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างแทบถลน เธอเตรียมจะกรี๊ดลั่น แต่พันฤทธิ์ก็เอื้อมมือมาปิดปากเธอไว้ก่อน ทำให้เสียงกรีดร้องกลายเป็นเสียงอู้อี้ภายใต้อุ้งมือ

พรนาราทิ้งตัวลงกับพื้น รู้สึกเหมือนหัวใจกำลังจะวาย ในขณะที่ชินกฤตพุ่งเข้ามาหาเธอ ช่วยกันกับพันฤทธิ์เขย่าร่างบางไปมาเพื่อปลุกเธอให้ได้สติ เสียงกดกริ่งรัวๆ ที่หน้าประตูก็ดังขึ้นพอดี

“พอลลี่ มายเลดี้ ตื่นหรือยัง ได้เวลาไปทำงานแล้วจ้า”

เสียงแหลมสูงของชายคนหนึ่งดังขึ้นที่หน้าประตูห้อง คราวนี้เธอแน่ใจว่าไม่ใช่เสียงของใครที่เธอรู้จักแน่นอน ซึ่งนั่นละปัญหา ในเมื่อเธอไม่รู้จัก แล้วเหตุใดฝ่ายนั้นจึงเรียกเธออย่างสนิทสนมแล้วยังเรียกเธอให้ไปทำงานอีก ครั้นพอไม่เห็นเจ้าห้องออกมาเปิดประตูต้อนรับ ชายคนดังกล่าวก็ถือวิสาสะกดรหัสผ่านเข้ามาเองโดยไม่ขัดเขิน ราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่เขาทำเป็นประจำอยู่แล้ว

“นอนอืดอยู่หรือไง นี่จวนจะถึงเวลาถ่ายงานอยู่แล้วนะ ต้องให้พี่มาปลุกอยู่เรื่อยเลย ตอนนี้พี่ไม่รู้แล้วนะว่าพี่เป็นผู้จัดการส่วนตัว หรือเป็นพี่เลี้ยงเด็กอนุบาลกันแน่ ก็ทำแทบทุกอย่างขนาดนี้”

ชายผู้มาใหม่เป็นหนุ่มใหญ่รูปร่างสันทัด ผิวขาวเหลือง ดูจากลักษณะแล้วคงอายุมากกว่าเธอหลายปี เห็นได้จากริ้วรอยและเส้นผมเริ่มบางที่ตรงกลางกระหม่อม แต่คงเป็นคนที่ชอบแฟชั่นพอตัวเพราะเขาสวมเสื้อแจ็กเก็ตยีนส์ทันสมัยกับแว่นตาไร้กรอบสีสดใสแบบแฟชั่นด้วย เขาบ่นเป็นหมีกินผึ้งไม่หยุดตั้งแต่เดินเข้ามา มาหยุดก็ตอนที่เดินมาถึงห้องนอนและเหลือบเห็นพรนารานอนแผ่อยู่ในกองผ้าห่มกับหนุ่มหล่อสองคนนั่นละ ครั้นพอเห็นสภาพวาบหวิวของชายหญิงตรงหน้า ฝ่ายนั้นก็อึ้ง ต่อเมื่อตั้งสติได้จึงลนลานมาฉุดกระชากเธอยกใหญ่

“โอ๊ย เธอทำบ้าอะไรกับกับชินกับพีทเนี่ย ยายเด็กผีพอลลี่ ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลยนะ ถ้าเรื่องนี้ไปถึงหูนักข่าวจะทำยังไง บรรลัยแบบไม่ต้องเดาเลยนะเว้ย!”

ลำพังแค่บ่นด่าและเปลี่ยนสรรพนามที่ใช้เรียกขานยังไม่เท่าไร แต่การที่ฝ่ายนั้นเงื้อมือไม้ฟาดเธอไปหลายที ทำให้คนถูกตีทนไม่ไหว แม้ไม่เจ็บมาก แต่ก็ชวนรำคาญอยู่ไม่หยอก

“เดี๋ยวๆ พี่เป็นใครคะ แล้วมาตีหนูทำไม เรารู้จักกันด้วยหรือ!”

“หึ! ทำไม...ได้เขมือบผู้ชายสองคนแล้วถึงกับอัลไซเมอร์กินเลยหรือไง พี่ก็พี่ไตร ผู้จัดการส่วนตัวของเธอไง ยายเด็กเหลือขอ ได้ผัวแล้วลืมพี่เลยสินะ!”

อะไรนะ ผู้จัดการส่วนตัว! นี่เธอฟังผิดไปหรือเปล่า เกษตรกรอย่างเธอจำเป็นต้องมีผู้จัดการส่วนตัวที่ไหนกันล่ะ นี่ต้องมีการเข้าใจผิดกันแน่ๆ

“เอ่อ...พี่คะ พี่ชื่อพี่ไตรใช่ไหม พี่ไตรหยุดตีหนูก่อน หนูว่าเรื่องนี้ต้องมีใครสักคนเข้าใจผิดแล้วละ”

แม้จะไม่เข้าใจ แต่ไตรทศก็ยอมยั้งมือที่กระทำการลงโทษหญิงสาวไว้ก่อนชั่วคราว

“ใช่ พี่เข้าใจผิดเองละที่คิดว่าเธอจะไม่สร้างปัญหา เผลอเป็นไม่ได้เลยเชียว นี่พวกเธอสามคนมีรสนิยม ‘หมู่’ กันแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไร”

พรนาราหน้าชา เธอรับคำว่าหมู่เหม่ออะไรนั่นไม่ได้เลย รู้สึกเหมือนถูกใส่ความอย่างร้ายแรง เพราะตัวเธอเองยังจำเรื่องเมื่อคืนไม่ได้ด้วยซ้ำ หรือจะพูดให้ถูกก็คือ เธอยังไม่เข้าใจเลยว่าเธอโผล่มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

“เอิ่ม...เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะค่ะ ที่หนูกำลังจะบอกก็คือ พี่เข้าใจผิดแล้วละ พี่ไม่ใช่ผู้จัดการส่วนตัวหนู อันที่จริงตั้งแต่เกิดมาหนูไม่เคยมีผู้จัดการสักคน ผู้จัดการส่วนตัวอะไรนั่นมันมีไว้สำหรับพวกดาราไม่ใช่หรือคะ”

“ก็ใช่ไง แล้วพี่พูดผิดตรงไหน เอาดีๆ จะมาไม้ไหนอีก พี่ไม่มีเวลามาเล่นด้วย”

“ก็หนูไม่เข้าใจนี่คะ หนูไม่ใช่ดารา แต่เป็นเกษตรกรธรรมดาๆ หนูจะมีผู้จัดการส่วนตัวไปเพื่ออะไร”

ไตรทศขมวดคิ้ว ใช้มืออังที่หน้าผากของพรนาราอย่างกับจะตรวจสอบว่าเธอสบายดีหรือไม่

“เกษตรกรบ้าบออะไร ไข้ก็ไม่ขึ้นนี่ ทำไมพูดจาแปลกๆ หรือว่า ‘โดน’ ไปหลายดอกจนสมองกลับ!” คุณผู้จัดการหันไปทางหนุ่มชีเปลือยทั้งสองแบบเอาเรื่อง “พวกคุณทำอะไรน้องสาวผม เบามือกับเธอบ้างไหมฮึ รู้ไหมว่าร่างกายของเธอมีมูลค่าเท่าไร ถ้าเธอบอบช้ำจนทำงานไม่ได้ขึ้นมา คิดดูสิว่าจะมีแฟนๆ ที่รอคอยผลงานผิดหวังกี่แสนกี่ล้านคนกัน!”

และก่อนที่ไตรทศจะอาละวาดหนักกว่านี้ หญิงสาวเลยต้องจับสองฝ่ายแยกจากกันเสียก่อน ด้วยการอธิบายซ้ำว่าเธอไม่ใช่ดารา และไม่จำเป็นต้องมีผู้จัดการส่วนตัว แต่แทนที่จะยอมฟัง ไตรทศกลับยิ่งอารมณ์เสียหนักกว่าเดิม เขาเดินดุ่มไปหยิบเสื้อคลุมกำมะหยี่ออกมาจากตู้เสื้อผ้าแบบบิลด์อินแล้วโยนมาให้เธอ

“โอเค ถ้าเธอยืนยันว่าตัวเองไม่ใช่ดารา ถ้าอย่างนั้นสวมเสื้อคลุมให้เรียบร้อย แล้วตามพี่ออกมาที่ระเบียง มาดูให้เห็นกับตาเธอเลยละกันว่าเธอไม่ใช่”

บอกตามตรงเลยว่าตั้งแต่ที่พรนาราลืมตาตื่นขึ้นมา เธอยังไม่เข้าใจสถานการณ์เลยสักอย่าง มีแต่เรื่องงุนงงหาเหตุผลไม่ได้เต็มไปหมด แต่ถึงอย่างนั้นเพื่อพิสูจน์ให้หายคาใจ เธอก็ยอมสวมเสื้อคลุมและตามไตรทศออกมาที่ระเบียง 

ระเบียงกว้างใหญ่ซึ่งยื่นออกไปบนชั้นที่ 40 ถูกจัดแต่งเป็นสวนหย่อม สระว่ายน้ำ และบาร์ให้นั่งเล่น นอกจากจะงดงามตามสไตล์ของที่พักอาศัยสมัยใหม่แล้ว ยังงดงามในด้านมุมมองอีกด้วย เพราะจากข้างบนนี้เธอสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองหลวงได้ชัดเจนในมุมสูง

เมืองหลวง...ที่นี่คือกรุงเทพเมืองฟ้าอมร แต่เธอมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกันล่ะ!

ทว่าสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเธอไม่ใช่ความตระการตาของเมืองหลวง แต่เป็นบรรดาป้ายโฆษณาบิลบอร์ดขนาดยักษ์หลายป้ายซึ่งถูกติดตั้งไว้ทั่วเมือง ทั้งภาพบนหน้าจอแอลซีดีตามสี่แยก บนตัวรถเมล์ กระทั่งรถไฟฟ้า ล้วนมีใบหน้าของเธอแปะหราอยู่ทั้งสิ้น 

“เห็นแล้วใช่ไหม ไม่ว่าจะภาพยนตร์ ละคร ร้องเพลง ถ่ายแบบ โฆษณา วาไรตี้ ทุกงานในวงการบันเทิง ล้วนแต่มีแต่ชื่อและหน้าของเธอเต็มไปหมด ที่เธอพูดอาจจะถูกก็ได้ พอลลี่ เธอไม่ใช่แค่ดาราหรอก แต่เธอน่ะ...” ไตรทศยิ้มกริ่ม หันมาตบบ่าทั้งสองข้างของเธออย่างภาคภูมิใจ “เป็นซุป’ตาร์เบอร์หนึ่งของเมืองไทยต่างหาก!”

โอ้ว ตาเถร ยายชี ขี่สกูตเตอร์! ซุป’ตาร์เบอร์หนึ่งของเมืองไทย เฮลโหล...สาวบ้านนอกคอกนาอย่างเธอเนี่ยนะ!

พรนาราอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง รู้สึกหวิวๆ เหมือนลมจะจับ จนต้องใช้มือเกาะราวระเบียงไว้เพื่อพยุงตัวไม่ให้ล้ม ที่ด้านล่างของเพนท์เฮ้าส์ เธอมองเห็นกลุ่มแฟนคลับมาดักรอพบและให้กำลังใจเธออย่างอุ่นหนาฝาคั่ง บ่งบอกความโด่งดังคับฟ้าของเธอได้เป็นอย่างดี

“นี่มันเรื่องอะไร หนูฝันอยู่หรือ หนูฝันอยู่ใช่ไหมพี่!” หญิงสาวละล่ำละลักถามเสียงสั่น ความรู้สึกหลากหลายพุ่งมาประดังประเดเต็มไปหมด

“พูดอะไรไม่รู้เรื่อง ยังไม่สร่างเมาเรอะ ฝันที่ไหนจะเหมือนจริงขนาดนี้”

 ก็นั่นน่ะสิ ฝันที่ไหนจะเหมือนจริงขนาดนี้ เธอหยิกตัวเองจนช้ำไปหมดทั้งตัวแล้ว แต่ก็ไม่ตื่นเสียที พอตระหนักได้ว่าทั้งหมดคือความจริงยิ่งกว่าจริง พรนาราก็แข้งขาอ่อน ล้มหงายผึ่งลงไป โชคดีที่ศีรษะของเธอไม่กระแทกพื้น เพราะในจังหวะนั้นหนุ่มหล่อทั้งสองในห้องก็ตามออกมาสมทบที่ระเบียงพอดี ยังดีที่ตอนนี้ทั้งคู่สวมเสื้อคลุมเรียบร้อยแล้ว มิเช่นนั้นเธอคงได้อิ่มหมกไข่อีกรอบ ทั้งชินกฤตและพันฤทธิ์ยื่นวงแขนออกมารองรับร่างเธอไว้พร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

ซุปเปอร์สตาร์...เธอน่ะหรือ แถมเธอยังเปิดฮาเร็มทำเรื่อง ‘สัปดน’ กับผู้ชายสองคนโดยไม่รู้ตัวอีก แล้วให้ตายเถอะ คนหนึ่งเป็นรักแรกของเธอ ส่วนอีกคนก็เป็นเพื่อนสนิทในวัยเด็กของเธอเอง ถามจริงนี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น!

หลังจากคิดทบทวนจนสมองเกือบระเบิด ความทรงจำอันลางเลือนในคืนพระจันทร์สีเลือด ก็ค่อยๆ ผุดขึ้น 

พรนาราหน้าร้อนผ่าว กลืนน้ำลายเอื๊อก

ไม่จริงน่า หรือว่า...เรื่องทั้งหมดนี้จะเกี่ยวข้องกับ ‘พร’ เมื่อคืนนั้น!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น