1

บทที่ 1


1

 

“ฮอว์ค”

เสียงเรียกของมารดาซึ่งดังขึ้นทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในบ้านทำให้ เฟอร์นันโด เดรอสซี ถึงกับเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ เพราะปกติมารดาของเขามีบุคลิกนุ่มนวลอ่อนหวาน แต่น้ำเสียงเมื่อสักครู่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นจนสังเกตได้ไม่ยากนัก เขาสืบเท้าเข้าไปหาสตรีผู้เป็นสุดที่รักของทุกคนในครอบครัวพร้อมกับส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

ศิรวัสสามองบุตรชายที่กำลังเดินตรงมาหาแล้วยิ้มนิดๆ แม้จะมีวัยเพียงแค่สิบสามปี แต่ดูเหมือนว่าเฟอร์นันโดจะซึมซับบุคลิกของคนเป็นพ่อไปไม่ใช่น้อย ใบหน้าคมคายของเขาสงบนิ่ง ดวงตาสีสนิมอันเป็นเอกลักษณ์ของผู้ชายตระกูลเดรอสซีฉายแววลุ่มลึกสุดจะหยั่งถึง ไม่ผิดกับฟรานเชสโกผู้เป็นบิดาเลยแม้แต่น้อย สุขุมและสง่างามทั้งที่เป็นเพียงแค่เด็กชาย ช่างผิดกับเด็กวัยเดียวกันลิบลับ แม้จะภาคภูมิใจ แต่เธอก็อดห่วงไม่ได้ว่าบุตรชายเพียงคนเดียวจะใช้ชีวิตอย่างเคร่งเครียดเกินไป

เฟอร์นันโดจุมพิตแก้มมารดาเบาๆ อย่างที่ชอบทำเป็นประจำ ก่อนจะนั่งลงข้างๆ “ตื่นเต้นเรื่องอะไรอยู่เหรอครับแม่”

“ฮอว์ครู้ได้ยังไงว่าแม่ตื่นเต้น” ศิรวัสสาถามบุตรชาย ก่อนจะพยักหน้ากับตัวเองเบาๆ พลางคิดว่าขณะที่คนอื่นมักเดาความคิดของพวกเขาไม่ออก แต่ดูเหมือนว่าผู้ชายตระกูลนี้จะอ่านใจคนอื่นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

“ก็เสียงใสออกขนาดนี้ จะไม่ให้คิดว่าแม่กำลังตื่นเต้นได้ยังไงล่ะครับ” เฟอร์นันโดเอ่ยเรียบๆ แต่มองผู้เป็นแม่ราวกับจะล้อเลียน “ตกลงมีเรื่องอะไรเหรอครับ”

“พรุ่งนี้พวกเราจะไปเมืองไทยกัน” ศิรวัสสาตอบอย่างกระตือรือร้น

“เมืองไทย?” เฟอร์นันโดทวนคำพลางเลิกคิ้ว จริงอยู่ที่ครอบครัวของเขาเดินทางไปเมืองไทยทุกปี เพราะที่นั่นคือแผ่นดินเกิดของผู้เป็นมารดา แต่ก็มักจะเป็นช่วงเทศกาล หรือไม่ก็วันครบรอบการจากไปของคนในครอบครัวฝั่งมารดา ซึ่งเท่าที่เขาจำได้ก็ไม่ใช่ช่วงนี้

“ใช่จ้ะ อาเหมียวคลอดแล้ว พวกเราจะไปเยี่ยมครอบครัวอามาร์คกันจ้ะ” ศิรวัสสาตอบยิ้มๆ

เฟอร์นันโดยิ้มเช่นกัน พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมมารดาถึงได้ตื่นเต้นนัก อาเหมียว หรือ วิฬาร์ คือภรรยาของ มาร์คัส เลติอาร์นี อดีตบอดีการ์ดคู่ใจของบิดาเขานั่นเอง

เขาได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับความผูกพันและมิตรภาพระหว่างผู้เป็นพ่อกับสองบอดีการ์ด อันประกอบด้วยริคาร์โดกับมาร์คัสอยู่บ่อยครั้ง ทำให้ทราบว่าทั้งสามคนรักใคร่ผูกพันชนิดที่เรียกว่าตายแทนกันได้ ปัจจุบันริคาร์โดยังทำงานอยู่กับบิดาของเขาที่อิตาลี แต่มาร์คัสลงหลักปักฐานอยู่ที่เมืองไทยเพราะสมรสกับสตรีชาวไทย และรับหน้าที่ดูแลกิจการในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเดรอสซี

วิฬาร์เคยเป็นเพื่อนบ้านกับศิรวัสสามาก่อน พอเธอแต่งงานกับมาร์คัสที่เป็นคนสนิทของฟรานเชสโก ก็เลยยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น พอทราบข่าวว่าวิฬาร์คลอดบุตร จึงเป็นธรรมดาที่ศิรวัสสาจะตื่นเต้น

แต่จะว่าไปแล้วทุกคนล้วนยินดีกับครอบครัวเลติอาร์นีทั้งนั้น เพราะทราบดีว่าพวกเขารอคอยทายาทคนนี้อย่างใจจดใจจ่อ เนื่องจากมาร์คัสกับวิฬาร์แต่งงานกันมานานแล้ว แต่ก็ยังไม่มีลูกสักที ทั้งคู่แต่งงานกันก่อนริคาร์โดกับพริสซิลลาด้วยซ้ำไป แต่ริคาร์โดกลับมีลูกก่อน เรียกว่าไล่หลังฟรานเชสโกไม่นานนัก ซานติโนซึ่งเป็นบุตรชายของริคาร์โดมีวัยไล่เลี่ยกับเฟอร์นันโด และเป็นเพื่อนรักกันเหมือนอย่างบิดาของพวกเขา ในขณะที่มาร์คัสล้าหลังคนอื่นๆ ไปนานทีเดียว กว่าเขา

จะมีลูกคนแรก เฟอร์นันโดซึ่งถือเป็นพี่ใหญ่ก็อายุสิบสามปีเข้าไปแล้ว ห่างกันเกินรอบเลยทีเดียว ทุกคนจึงยินดีกับข่าวนี้เป็นอย่างยิ่ง

“อามาร์คได้ลูกชายหรือลูกสาวครับ”

“ลูกสาวจ้ะ ดีจังเลย จูนจะได้มีเพื่อนผู้หญิงบ้าง เห็นน้องบ่นอยู่ว่าฮอว์คกับซานไม่ค่อยยอมเล่นด้วย” ศิรวัสสาเอ่ยถึง จูเลียต เดรอสซี บุตรสาวคนเล็กของตนที่ชอบมาโอดครวญอยู่เสมอว่าพี่ชายทั้งสองคนไม่ยอมเล่นด้วย

เฟอร์นันโดหัวเราะเบาๆ เมื่อรู้ว่าน้องสาวแอบมาฟ้องมารดา เขาอายุสิบสามปี ส่วนซานติโนอายุสิบเอ็ดปี แถมยังเป็นเด็กผู้ชายเหมือนกัน ความสนใจในเรื่องต่างๆ จึงเป็นไปในทิศทางเดียวกัน แต่จูเลียตเพิ่งอายุสี่ขวบ แล้วจะให้พวกเขาเล่นอะไรกับเธอล่ะ จึงเอ่ยกับมารดากลั้วหัวเราะ

“ตอนที่ผมไม่ยอมเล่นตุ๊กตาด้วย ก็นึกอยู่เหมือนกันว่าเดี๋ยวจูนต้องมาฟ้องแม่แน่ๆ”

“แหม...ก็น้องเหงานี่จ๊ะ” ศิรวัสสาอดแก้ตัวให้ลูกสาวไม่ได้

“ผมทราบครับ แต่ให้ไปเล่นกับเด็กๆ คนอื่น น้องก็ไม่ยอมไป โธ่...แม่ครับ ผมไม่อยากเล่นตุ๊กตา” เฟอร์นันโดโอดครวญบ้าง

“แม่ก็ไม่รู้จะทำยังไง จูนไม่ชอบเล่นกับคนอื่นเลย เจ้าตัวเขาว่า อยากจะเล่นแต่กับพี่ฮอว์คกับพี่ซานแค่สองคน” ศิรวัสสาเอ่ยอย่างอ่อนใจ เพราะลูกสาวไม่ชอบเล่นกับบรรดาลูกคนงานในบ้าน เธอรู้ว่าไม่ใช่เพราะความถือตัว แต่เพราะจูเลียตอยากเข้ากลุ่มกับผู้เป็นพี่ชายต่างหากล่ะ

“ผมทราบครับ เห็นบังคับให้ซานเล่นด้วยบ่อยๆ รายนั้นก็ตามใจกันเหลือเกิน” เฟอร์นันโดเอ่ยอย่างอ่อนใจพอกัน ความเคร่งขรึมของเขาทำให้จูเลียตไม่ค่อยกล้าตอแยเท่าไร ก็เลยหันไปตอแยซานติโนแทน รายนั้นก็ไม่ค่อยกล้าขัดใจ

เฟอร์นันโดคิดถึงภาพเพื่อนรุ่นน้องที่นั่งเล่นตุ๊กตาเป็นเพื่อนน้องสาวตัวเองแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ ไม่รู้ว่าซานติโนทนได้อย่างไร เด็กหนุ่มคิดแบบขำๆ โดยไม่รู้เลยว่าวันหนึ่งตนเองจะสนุกกับการเล่นหัวและตามอกตามใจเด็กผู้หญิงคนหนึ่งยิ่งกว่าที่ซานติโนตามใจจูเลียตเสียอีก

“ถ้าอามาร์คกลับมาอยู่อิตาลีก็ดีสิ ลูกสาวอามาร์คจะได้มาเป็นเพื่อนเล่นกับจูน” ศิรวัสสาเอ่ยอย่างมีความหวัง

“ได้อย่างนั้นก็ดีสิครับ แต่ผมว่าคงยากหน่อย อามาร์คคงไม่ไว้ใจใครเท่าตัวเองหรอกครับ คงกลัวพ่อจะเหนื่อย ถึงได้ยอมไปอยู่ไกลบ้านแบบนั้น” เฟอร์นันโดคิดว่าตัวเองเดาความคิดของมาร์คัสออก ฝ่ายนั้นคงไม่วางใจให้คนอื่นดูแลงานแทน อะไรที่จะแบ่งเบาภาระของบิดาของเขาได้ ฝ่ายนั้นไม่เคยดูดาย ความสัมพันธ์ระหว่างบิดาของเขากับอดีตบอดีการ์ดทั้งสองนั้นเกินกว่าคำว่าเจ้านายกับลูกน้อง ทั้งหมดคือเพื่อนตายของกันและกัน

แม้จะคิดอย่างนั้น แต่พอเห็นมารดาหน้าม่อยก็อดปลอบใจไม่ได้ “เอาไว้พอไปถึงแล้ว เราลองชวนอามาร์คกับอาเหมียวดูอีกทีก็ได้ครับ”

ตอนที่เอ่ยเช่นนั้น เฟอร์นันโดไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าอยากให้มารดาสบายใจ ไม่เคยคิดเลยว่าในภายภาคหน้า คนที่อยากจะให้ครอบครัวเลติอาร์นีย้ายกลับมาอยู่ที่อิตาลียิ่งกว่าใครก็คือตัวเขานั่นเอง

 

เมื่อครอบครัวเดรอสซีเดินทางถึงเมืองไทย พวกเขาก็ตรงดิ่งไปที่โรงพยาบาลที่วิฬาร์พักฟื้นอยู่เป็นลำดับแรก แทนที่จะเดินทางไปยังบ้านพัก ทั้งที่พวกเขาใช้เวลาเดินทางมานานพอสมควรและอ่อนเพลียไม่น้อย

“ขอบคุณมากครับเจ้านาย” มาร์คัสรีบเดินเข้าไปค้อมศีรษะให้คนที่เป็นทั้งเจ้านายและเพื่อนรักด้วยความปลาบปลื้มใจที่อีกฝ่ายเดินทางไกลครึ่งค่อนโลกเพื่อมาแสดงความยินดีกับตนและภรรยา

“ยินดีด้วยนะมาร์ค” ฟรานเชสโกเอ่ยพลางตบไหล่ลูกน้องคู่ใจหนักๆ เขารู้ดีว่ามาร์คัสรอลูกคนนี้มานานเหลือเกิน ทั้งคู่สบตากันด้วยความรู้ใจ แม้จะอยู่ห่างไกลกันกว่าสิบปี นับตั้งแต่มาร์คัสตัดสินใจลงหลักปักฐานที่เมืองไทย แต่มิตรภาพของพวกเขาไม่เคยจืดจางลงแต่อย่างใด ฟรานเชสโกพาครอบครัวมาเมืองไทยทุกปี มาร์คัสเองก็พาภรรยาก็บินกลับไปเยี่ยมครอบครัวที่อิตาลีทุกปีเช่นกัน ทำให้ปีหนึ่งๆ พวกเขามีโอกาสพบกันหลายหนพอควร

ศิรวัสสาตรงดิ่งไปหาวิฬาร์ทันที ความที่เคยเป็นพยาบาล แถมยังมีประสบการณ์มีบุตรมาก่อน เธอจึงให้คำแนะนำต่างๆ แก่วิฬาร์อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

ทารกตัวอ้วนกลมเป็นศูนย์รวมความสนใจของทุกคน บรรยากาศเต็มไปด้วยความแจ่มใสเบิกบานอย่างเห็นได้ชัด

เด็กชายเฟอร์นันโดเดินเลี่ยงไปยังเตียงของทารกตัวจ้อยเมื่อพวกผู้ใหญ่มัวแต่สนทนากัน ดวงตาสีสนิมจับจ้องร่างกระจ้อยร่อยด้วยความสนใจ แก้มยุ้ยๆ สีชมพูนั้นทำให้เด็กชายรู้สึกเอ็นดูอยู่ไม่น้อย อดไม่ได้ที่จะใช้ปลายนิ้วเขี่ยแก้มนุ่มของเด็กน้อยไปมา ชอบใจกับสัมผัสอ่อนละมุนที่ได้รับจนยิ้มกว้างอย่างที่ไม่ได้ทำบ่อยนัก พลันชะงักการกระทำของตนเองลง เมื่อได้ยินเสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้น

“นายน้อย” มาร์คัสเรียกบุตรชายของเจ้านายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่แฝงแววจงรักภักดีไม่ผิดกับที่รู้สึกต่อฟรานเชสโก

“อามาร์ค น้องน่ารักมากเลยครับ” เฟอร์นันโดเอ่ยกับบิดาของเด็กน้อยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ขอบคุณครับ ผมดีใจที่นายน้อยเอ็นดูแองเจลา”

“แองเจลา?” เฟอร์นันโดทวนคำเบาๆ

“ครับ แองเจลา ชื่อของน้องยังไงล่ะครับ แองเจลา วีรินทร์ เลติอาร์นี” มาร์คัสเอ่ยยิ้มๆ ทอดสายตามองลูกสาวตัวน้อยอย่างแสนรัก

“แองเจลา...นางฟ้า” เฟอร์นันโดพึมพำเบาๆ

“ใช่ครับ นางฟ้า แองจี้เป็นนางฟ้าของครอบครัวผม” มาร์คัสอธิบายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“น้องก็เป็นนางฟ้าของผมเหมือนกัน” เด็กชายเฟอร์นันโดเอ่ยเสียงใส ผิดบุคลิกที่เคยเป็น ดวงตาพราวพร่างด้วยความชอบใจอย่างที่ไม่ได้ปรากฏบ่อยนัก

มาร์คัสคุกเข่าลงตรงหน้านายน้อยแห่งเดรอสซี มองใบหน้าที่ถอดแบบเจ้านายของเขามาแทบทุกกระเบียดอย่างแสนภักดี โดยมีคนอื่นๆ จับตามองการสนทนาของทั้งคู่ด้วยความสนใจ

“ผมไม่มีลูกชายไว้คอยรับใช้นายน้อยอย่างที่ผมเคยรับใช้คุณพ่อของคุณ แต่ถ้าหากนายน้อยคิดว่าแองจี้เป็นนางฟ้าของนายน้อยเช่นกัน ผมก็จะภาวนาให้เขาเป็นนางฟ้าที่นำโชคดีมาสู่นายน้อย แองเจลา วีรินทร์ เลติอาร์นี จะซื่อสัตย์ภักดีต่อนายน้อยไปตลอดชีวิต”

มาร์คัสเอ่ยอย่างหนักแน่น ไม่ได้คิดอะไรไปไกลกว่าต้องการให้บุตรสาวภักดีต่อคนในตระกูลเดรอสซีเหมือนกับตนเอง โดยไม่รู้เลยว่าคำพูดของเขาในวันนี้ จะเป็นเหมือนสิ่งที่พันธนาการสองชีวิตเข้าไว้ด้วยกันอย่างไม่มีวันจะแยกห่าง

คำพูดของมาร์คัสทำให้เด็กชายเฟอร์นันโดหันกลับไปมองร่างเล็กจ้อยนั้นอีกครั้ง และคราวนี้ก็เป็นการจับจ้องแบบไม่วางตาเลยทีเดียว ก่อนจะพึมพำออกมาเบาๆ “นางฟ้าเป็นของผมงั้นเหรอ ดีจัง...”

คำพูดของเขาทำให้บรรดาผู้ใหญ่ยิ้มบ้าง หัวเราะบ้าง เพราะต่างคิดว่านั่นเป็นเพียงแค่ความคิดของเด็กน้อยไร้เดียงสา ไม่มีใครคาดคิดว่าความรู้สึกของเฟอร์นันโดไม่เคยเปลี่ยนไปเลยนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เขาคิดว่าอีกฝ่ายเป็นนางฟ้าของเขาไปจนตลอดชีวิต

เด็กชายเดินกลับไปที่เตียงของทารกน้อยอีกครั้ง คราวนี้ดวงตาสีสนิมมองร่างเล็กจ้อยตาเขม็ง แล้วค่อยๆ เอื้อมมือไปจับมือเล็กๆ ที่กำแน่นของทารกน้อยเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ คลี่มือน้อยข้างนั้นออกแล้วสอดนิ้วชี้ของตนเองเข้าไป พอมือของอีกฝ่ายกำรอบนิ้วของตนเองไว้ก็ยิ้มด้วยความพอใจ ชะโงกหน้าไปกระซิบเสียงแผ่วที่ใบหูของนางฟ้าตัวน้อยราวกับจะบอกให้รู้ว่าเธอกับเขามีพันธสัญญาใดต่อกัน และเธอคือของของใคร

“วีรินทร์...น้องวี นางฟ้าของพี่”

คนอื่นๆ มองเขาก้มหน้าลงไปกระซิบกระซาบกับทารกน้อยแล้วพากันอมยิ้มเอ็นดู ไม่มีใครรู้ว่าเฟอร์นันโดเอ่ยอะไรออกไป เพราะเขาพูดเสียงเบามาก ได้แต่เดากันไปเองว่าอาจจะปลอบประโลมให้เด็กน้อยหลับสบายก็เป็นได้

ครอบครัวเดรอสซีขอตัวกลับที่พักเมื่อเวลาผ่านไปพอสมควรแล้ว ต่างคิดว่าควรให้เวลาวิฬาร์ได้พักผ่อนบ้าง รวมถึงพวกเขาเองก็อ่อนเพลียจากการเดินทางอยู่ไม่น้อย ศิรวัสสาอุ้มลูกสาวเดินตามสามีออกไป ตอนนั้นไม่มีใครสังเกตเลยว่าก่อนจะก้าวผ่านประตูออกไป เฟอร์นันโดหันไปมองทารกร่างจ้อยอีกครั้งพร้อมกับพึมพำเสียงแผ่ว

“แล้วพบกันนะนางฟ้า”

 

เฟอร์นันโดทอดสายตามองร่างเล็กจ้อยที่วิ่งเข้ามาหาพลางยิ้มด้วยความพอใจ แม้ปีหนึ่งๆ เขากับนางฟ้าตัวน้อยจะพบกันแทบนับครั้งได้ แต่วีรินทร์กลับไม่เคยกลัวเขาเลย พอมาถึงเธอก็โผเข้าหา ปากเล็กๆ ก็เรียกหานายน้อยเสียงแจ๋ว เขาย่อกายลงพร้อมกับเปิดอ้อมแขนรับคนที่โผเข้ามาหาพร้อมทั้งส่งยิ้มน้อยๆ ให้

“สวัสดีนางฟ้า” เด็กหนุ่มทักทายคนในอ้อมแขน

“นายน้อย” เด็กหญิงวีรินทร์ซบหน้าลงกับซอกคอคนตัวโตที่ใจดีกับเธอยิ่งกว่าใคร

“สวัสดีครับอามาร์ค อาเหมียว” เฟอร์นันโดเอ่ยทักทายผู้สูงวัย อยากจะยกมือไหว้อีกฝ่ายตามธรรมเนียมไทยแบบที่มารดาเคยสอนไว้ แต่ก็ไม่อาจทำได้ เพราะคนตัวเล็กกอดคอไว้แน่น เขาเองก็ไม่คิดจะวางเธอลงแต่อย่างใด

บรรดาผู้ใหญ่สบตากันด้วยความพิศวง ต่างก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมสายใยผูกพันระหว่างเฟอร์นันโดกับวีรินทร์ถึงได้แนบแน่น ทั้งๆ ที่เขาและเธอไม่ค่อยได้พบกันบ่อยนัก แต่ทั้งคู่กลับคุ้นเคยกันจนน่าประหลาดใจ โดยเฉพาะความอ่อนโยนและเอาใจใส่ที่เฟอร์นันโดปฏิบัติต่อวีรินทร์แบบที่ไม่เคยทำต่อคนอื่นนอกจากมารดาและน้องสาว แถมดูๆ ไปแล้วยังคล้ายกับว่าเขาเอ็นดูวีรินทร์เสียยิ่งกว่าจูเลียตที่เป็นน้องสาวแท้ๆ เสียอีก

พื้นฐานนิสัยของเฟอร์นันโดเป็นอย่างไรทุกคนย่อมรู้ดี กระทั่งจะยิ้มก็ยังยาก แต่วีรินทร์กลับได้รับรอยยิ้มที่หาได้ยากยิ่งของฝ่ายนั้นอยู่เสมอ

“สวัสดีครับนายน้อย แองจี้มาหาพ่อเถอะลูก อย่ากวนนายน้อยเลย” มาร์คัสทักทายกลับ ก่อนจะหันไปเอ่ยกับบุตรสาว เพราะเกรงใจเจ้านายน้อยของตน

เด็กหญิงวีรินทร์ส่ายหน้าปฏิเสธอย่างว่องไว รีบซุกหน้าลงกับบ่าแข็งแรงของคนที่โอบอุ้มตัวเองไว้ทันที แม้จะยังเด็ก แต่เธอก็สัมผัสถึงความอบอุ่นของอ้อมแขนนี้ได้เป็นอย่างดี เวลาที่อยู่กับนายน้อยจะไม่มีใครกล้าขัดใจเธอรวมถึงตัวเขาเองด้วย ทำให้เธอชอบใจยิ่งนัก

มาร์คัสหันไปสบตากับภรรยาด้วยความอ่อนใจ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่บุตรสาวของพวกเขาทำแบบนี้ ความสุขุมเยือกเย็นของเฟอร์นันโดทำให้ใครๆ มักจะเกรงใจระคนเกรงขามเด็กหนุ่มผู้นี้ทั้งนั้น แต่วีรินทร์ไม่เคยเป็นแบบนั้นเลย นอกจากไม่กลัวแล้ว ยังชอบอยู่ใกล้ๆ ฝ่ายนั้นมากอีกด้วย เขาหันไปสบตาผู้เป็นนายเหนือหัวอย่างฟรานเชสโก ก็พบว่าอีกฝ่ายพยักหน้าให้ ราวกับจะบอกว่าไม่ต้องเกรงอกเกรงใจหรือคิดมาก

เฟอร์นันโดไม่สนใจความคิดของคนรอบข้าง เพราะกำลังพอใจอย่างยิ่งยวดต่อปฏิกิริยาของเด็กน้อยในอ้อมแขน เธอคือนางฟ้าของเขา อยู่กับเขาก็สมควรแล้ว เขาคิดเช่นนี้มาตลอดตั้งแต่วันที่วีรินทร์เกิด และบิดาของเธอเอ่ยปากว่าเธอคือนางฟ้าของเขา จึงรีบเอ่ยให้มาร์คัสคลายกังวล “ไม่เป็นไรหรอกครับอามาร์ค เขาไม่ได้กวนผมหรอก จริงไหมนางฟ้า”

เด็กหญิงวีรินทร์พยักหน้าหงึกๆ ทั้งที่ไม่เข้าใจอะไรนัก แต่เพราะนี่คือนายน้อย เขาว่าอย่างไร เธอก็มักจะเออออตามไปด้วย

การตอบรับอย่างว่องไวของเธอทำให้เด็กหนุ่มพอใจยิ่งขึ้น จึงมอบรางวัลที่ไม่เคยมอบให้ใครมาก่อนแก่นางฟ้าของตนอย่างไม่ลังเล “ไปเล่นด้วยกันไหม”

วีรินทร์ยิ้มแป้นพร้อมกับพยักหน้ารับอีกครั้ง

คำชักชวนของเขาทำให้ฟรานเชสโกกับศิรวัสสาหันไปสบตาแล้วเลิกคิ้วให้กันด้วยความแปลกใจ เฟอร์นันโดบ่นให้พวกเขาฟังเป็นประจำว่าเบื่อที่จะเล่นตุ๊กตากับจูเลียต แล้วบุตรชายของพวกเขาจะเล่นอะไรกับเด็กผู้หญิงอย่างวีรินทร์ ถึงจะไม่เบื่อเธออย่างที่เบื่อน้องสาวกันล่ะ

ความคิดของเฟอร์นันโดจดจ่ออยู่แต่กับคนในอ้อมแขนจนไม่ทันได้สนใจว่าตัวเองสร้างความแปลกใจให้คนอื่นๆ มากแค่ไหน รู้แค่ว่านางฟ้าตัวน้อยพอใจที่จะอยู่กับเขาเช่นกัน จึงหันไปเอ่ยขอตัวกับทุกคน “ผมจะพาน้องไปเล่นที่รังนะครับ แล้วเดี๋ยวจะพามากินข้าว ขอตัวก่อนนะครับ”

เด็กหนุ่มเอ่ยจบก็อุ้มนางฟ้าตัวน้อยลิ่วๆ ไป ทิ้งให้คนอื่นๆ มองตามแล้วคิดกันไปต่างๆ นานา

มาร์คัสกับวิฬาร์สบตากันด้วยความเกรงใจเกรงใจผู้เป็นนาย ส่วนคนเป็นนายอย่างฟรานเชสโกกับศิรวัสสาสบตากันด้วยความแปลกใจอีกครั้ง เพราะ ‘รัง’ ของเฟอร์นันโดไม่ใช่สถานที่ที่เขาจะเปิดโอกาสให้คนอื่นไปยุ่มย่ามเสียเมื่อไร แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ประหลาดใจได้อย่างไรกัน

“เอาละ ปล่อยเด็กๆ เขาไปเล่นกันเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก พวกเราก็ไปคุยกันตามประสาคนแก่ก็แล้วกัน เดินทางเป็นยังไงบ้างมาร์ค” ฟรานเชสโกเก็บความสงสัยต่อพฤติกรรมของบุตรชายไว้ก่อน หันไปชวนลูกน้องสนทนาเกี่ยวกับการเดินทางและงานในหน้าที่รับผิดชอบของอีกฝ่าย

 

“สวยจังๆ นายน้อยขา ที่นี่สวยมาก แองจี้ชอบที่สุด” เด็กหญิงวีรินทร์ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดชอบใจเมื่อกวาดสายตามองไปรอบๆ ทิวทัศน์เบื้องล่างอย่างไม่นึกกลัวสักนิดว่าขณะนี้อยู่สูงจากพื้นดินมากพอสมควร เธอรู้แต่ว่าเมื่ออยู่กับนายน้อย เธอไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรทั้งนั้น

ความจริงเด็กหญิงวัยสี่ขวบอย่างวีรินทร์ควรจะทำให้หนุ่มน้อยวัยสิบเจ็ดปีอย่างเฟอร์นันโดเบื่อหรือรำคาญเหมือนเช่นที่รู้สึกกับเด็กคนอื่นๆ ทว่าหาเป็นเช่นนั้นไม่ ดวงตาสีสนิมที่ฉายแววเยือกเย็นอยู่เป็นนิตย์กลับทอประกายอ่อนโยนยามทอดมองร่างเล็กจ้อยในชุดกระโปรงน่ารักที่เสริมให้เธอดูคล้ายนางฟ้าตัวน้อยเข้าไปกันใหญ่ แน่นอนว่าเขาย่อมไม่เบื่อหน่ายหรือรำคาญเพราะเธอไม่ใช่คนอื่น เธอเป็นนางฟ้าของเขา ไม่มีเหตุผลที่เขาต้องปฏิบัติต่อเธอเช่นที่ทำต่อคนอื่น

“มานี่สิ” เฟอร์นันโดเรียกเด็กหญิงที่กำลังเกาะขอบหน้าต่างชะเง้อชะแง้มองออกไปด้วยท่าทีตื่นเต้น

วีรินทร์หันมายิ้มแป้นแล้น ร่างกลมป้อมวิ่งกลับมาหาคนตัวโตที่นั่งขัดสมาธิอยู่กับพื้นไม้ขัดเงามันวับ เด็กหญิงส่งยิ้มไร้เดียงสา ดวงตาสีน้ำตาลแวววาวเจิดจ้าเพราะชอบอกชอบใจ เสียงเล็กๆ สอบถามเจ้าของอาณาจักรด้วยความตื่นเต้น “นี่บ้านนายน้อยเหรอคะ”

เฟอร์นันโดอมยิ้ม กวาดสายตามองไปรอบๆ กระท่อมขนาดกะทัดรัดที่บิดาสร้างไว้ให้บนต้นไม้ใหญ่หลังคฤหาสน์เดรอสซี ตามที่เขาขอเป็นรางวัลเมื่อทำคะแนนสอบได้สูงสุดในสายชั้นตอนอายุสิบเอ็ดขวบ ก่อนหันมาตอบเด็กน้อย “ที่นี่เป็นรังของพี่”

“รัง?” เด็กหญิงวีรินทร์ทวนคำพร้อมทั้งเอียงคอมองคนตัวโตด้วยความฉงน สอบถามตามความเข้าใจอันไร้เดียงสา “นายน้อยเป็นนกเหรอคะ”

เฟอร์นันโดระเบิดเสียงหัวเราะชอบใจอย่างที่ไม่ค่อยได้ทำบ่อยนัก ดวงตาคมทอดมองน้องน้อยอย่างอ่อนโยนกว่าเดิม นานมากแล้วที่เขาไม่ได้หัวเราะจนเต็มเสียงเช่นนี้ การเป็นบุตรชายคนโตของ ฟรานเชสโก เดรอสซี ทำให้เขาถูกคาดหวังจากคนรอบข้างมากมายเหลือเกิน บิดาของเขายอดเยี่ยมในทุกเรื่องจนพลอยทำให้ใครต่อใครต่างคาดหวังว่าเขาจะทำได้ดีไม่แพ้ท่าน

เขาเองก็ไม่ปรารถนาจะให้ทุกคนผิดหวังจึงคร่ำเคร่งต่อการใช้ชีวิตทั้งการเรียนและการฝึกปรือในเรื่องอื่นๆ บิดามารดาไม่ได้กดดัน แต่เป็นเขาที่บอกตัวเองว่ามีภาระอะไรรออยู่เบื้องหน้า จนแทบจะหาเวลาผ่อนคลายเช่นเด็กวัยเดียวกันไม่ได้

มือแข็งแรงคว้าเอาร่างเล็กจ้อยตรงหน้าที่ยืนทำคิ้วขมวดด้วยความสงสัยมาวางลงบนตักกว้าง จมูกโด่งเป็นสันหอมลงที่แก้มยุ้ย ก่อนจะกระซิบกลั้วหัวเราะแนบใบหูเล็ก “ใครๆ ก็บอกว่าพี่เป็นเหยี่ยว”

“เหยี่ยว?” เด็กหญิงวีรินทร์เงยหน้าขึ้นถามเจ้าของตักกว้างด้วยความงุนงงแกมตื่นเต้น

เฟอร์นันโดยิ้มใส่ดวงตาไร้เดียงสาอีกครั้ง แล้วหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ไม่ไกลนักขึ้นมาค้นหารูปภาพที่บันทึกไว้แล้วเปิดให้น้องน้อยดู “นี่ไงเหยี่ยว ใครๆ ก็บอกว่านี่คือสัญลักษณ์ของพี่ ปีกของพี่เป็นแบบนี้”

“สวยจัง ปีกของนายน้อยสวยมาก” เด็กหญิงวีรินทร์พึมพำ ดวงตากลมโตจับจ้องไปที่ภาพในโทรศัพท์

“รู้ไหมว่าเราเองก็มีปีกนะ” เฟอร์นันโดบอกยิ้มๆ พร้อมทั้งลูบศีรษะเล็กด้วยความเอ็นดู

“จริงเหรอคะ แองจี้ก็มีปีกเหรอ” เด็กน้อยสอบถามด้วยความตื่นเต้น เรื่องนี้ไม่มีใครบอกกับเธอมาก่อนเลย

“ใช่จ้ะ วีก็มีปีกเหมือนกับพี่นี่แหละ”

“จริงเหรอคะ แต่แองจี้ไม่ได้เป็นเหยี่ยวนี่นา”

“มีสิ แองเจลาคือนางฟ้า นางฟ้าก็ต้องมีปีกจริงไหม”

“แต่เมื่อกี้นายน้อยบอกว่า ‘วี’ มีปีก ไม่ใช่แองจี้นี่คะ” เด็กน้อยซักถามอย่างเฉลียวฉลาด

คราวนี้มือแข็งแกร่งของหนุ่มน้อยเฟอร์นันโดอุ้มร่างเล็กจ้อยไปวางไว้บนต้นขาข้างหนึ่งพร้อมกับหมุนให้หันมาเผชิญหน้ากัน แทนการนั่งตักพิงหลังกับอกกว้างอย่างทีแรก เชยคางเล็กๆ ขึ้นเพื่อให้เธอได้สบตากับเขาพร้อมทั้งเอ่ยสอน “เราชื่อวี”

ใบหน้าเล็กๆ ส่ายไปมาทั้งที่มือเขายังแตะปลายคางอยู่ พร้อมทั้งรีบปฏิเสธ “แองจี้ชื่อแองจี้”

“เราจะชื่อแองจี้สำหรับคนอื่น แต่สำหรับพี่ เราชื่อวี จำไว้นะ” เฟอร์นันโดย้ำกับเด็กน้อยอีกครั้ง

“อยู่กับนายน้อยแองจี้ชื่อวี” วีรินทร์ทวนคำ ประสานสายตากับคนตัวโตราวกับถูกสะกด

“อยู่กับพี่ฮอว์คเราชื่อวี...วีกับพี่ฮอว์ค” เฟอร์นันโดสอนอีก

“วีกับพี่ฮอว์ค” เด็กหญิงวีรินทร์ทวนคำของเด็กหนุ่มอีกครั้งอย่างว่าง่าย

“ใช่ เก่งมาก พี่ฮอว์คกับน้องวี เรามีปีกเหมือนกัน เราจะบินไปด้วยกัน ชอบไหม นี่ไงปีกของวี” เฟอร์นันโดเอ่ยพร้อมกับยิ้มให้เด็กน้อยอย่างที่ไม่เคยยิ้มให้ใคร ค้นหาภาพปีกของนางฟ้ามาให้น้องน้อยดู สลับไปมากับภาพพญาเหยี่ยวที่ถลาเล่นลม เฝ้าย้ำให้เธอฟังอีกหลายครั้งราวกับจะตอกย้ำลงไปในสมองน้อยๆ นั่น

ดังนั้นไม่นานนักร่างเล็กจ้อยก็ผวาเข้ากอดต้นคอแข็งแรงของ ‘พี่ฮอว์ค’ ซึ่งโอบอุ้มเอาใจเธออยู่นานสองนานอย่างไว้เนื้อเชื่อใจ ปากเล็กๆ ก็พร่ำพูดจ๋อยๆ ตามที่ได้รับการสั่งสอนมา “เรามีปีกๆ วีจะบินไปพร้อมพี่ฮอว์ค”

“เก่งมาก” เฟอร์นันโดเอ่ยชมพร้อมกับจุมพิตแก้มยุ้ยด้วยความเอ็นดู “เอาละ ไปกินข้าวกันดีกว่า” เขาเอ่ยพลางลุกขึ้นเมื่อพบว่าใกล้ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว อุ้มนางฟ้าตัวน้อยเดินออกจากรังของตัวเองเพื่อกลับไปสมทบกับทุกคนอีกครั้ง

 

บรรยากาศบนโต๊ะอาหารอบอุ่นเบิกบานดังเช่นทุกครั้งที่พวกเขาได้มารวมตัวกัน ความแจ่มใสไร้เดียงสาของวีรินทร์ยังคงทำให้ทุกคนผ่อนคลายได้เช่นเคย

รอยยิ้มจางๆ บนใบหน้าคมคายของบุตรชายคนโตยิ่งทำให้ฟรานเชสโกและศิรวัสสาเอ็นดูเด็กน้อยเพิ่มขึ้นไปอีก อดคิดไม่ได้ว่าเธอช่างทำให้บรรยากาศโดยรอบแจ่มใสขึ้นเป็นกอง โดยเฉพาะศิรวัสสาซึ่งเป็นห่วงเรื่องการใช้ชีวิตที่เคร่งเครียดเกินวัยของบุตรชาย พอเห็นว่าวีรินทร์มักจะทำให้เฟอร์นันโดดูผ่อนคลายและสดใสทุกครั้งที่ได้พบกัน ก็ยิ่งทำให้เฝ้ารอคอยวันที่สองครอบครัวจะได้พบปะกันอยู่เสมอ

ซึ่งก็ไม่ต่างจากคนที่เธอกำลังนึกเป็นห่วงอยู่เลยสักนิด เฟอร์นันโดเองก็รอคอยโอกาสที่จะได้พบกับนางฟ้าตัวน้อยของเขาอยู่เสมอ อย่างน้อยก็เพื่อสำรวจว่าเธออยู่ดีมีสุขหรือไม่ อะไรที่เป็นของเขาต้องได้รับการดูแลที่ดีเสมอ ไม่มีใครคาดคิดเลยว่า ท่าทางเอ็นดูที่เฟอร์นันโดมีต่อวีรินทร์นั้นแฝงความรู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของอยู่ด้วย เพราะไม่คิดว่าเด็กหนุ่มจะยึดมั่นในถ้อยคำของมาร์คัสถึงเพียงนั้น ไม่มีใครรู้เลยว่านับจากวันนั้นเขาก็มองว่าเธอคือสมบัติของเขามาตลอด

“วีไปก่อนนะคะพี่ฮอว์ค” วีรินทร์เอ่ยลาเด็กหนุ่มด้วยท่าทางอาลัยอาวรณ์เมื่อถึงเวลากลับบ้าน ใช้สรรพนามแทนตัวเขาและตัวเองตามที่อีกฝ่ายสั่งสอนมาตลอดช่วงบ่ายอย่างไม่ติดขัด

ทว่าคำว่า ‘วี’ กับ ‘พี่ฮอว์ค’ ที่เธอใช้กลับทำให้ทุกคนหันไปมองทั้งคู่เป็นตาเดียวกัน นอกจากจูเลียตแล้วไม่เคยมีใครเรียกเฟอร์นันโดอย่างนั้นอีกเลย เช่นเดียวกับที่ไม่เคยได้ยินวีรินทร์แทนตัวเองว่าวีมาก่อน ทุกคนเรียกเธอว่าแองจี้ และเจ้าตัวก็เรียกแทนตัวเองอย่างนั้นมาโดยตลอด

แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น ทั้งคู่หายไปด้วยกันตลอดบ่าย พอกลับมาอีกทีก็ดูเหมือนจะมีเรื่องพิเศษระหว่างกันอย่างที่ใครๆ ไม่อาจเข้าใจเพิ่มขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่งแล้ว

เฟอร์นันโดไม่สนใจสายตาแปลกใจของคนอื่นๆ ตามเคย เรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างเขากับวีรินทร์ คนอื่นๆ ไม่จำเป็นต้องรู้หรือเข้าใจแต่อย่างใด ขอเพียงแค่เจ้าตัวรู้และทำตามคำสั่งของเขาก็เพียงพอแล้ว เด็กหนุ่มคิดพลางหันไปเอ่ยกับเด็กน้อยที่บอกลาตนเองบ้าง “แล้วพบกันนะนางฟ้า”

“ค่ะ แล้วพบกัน” เด็กน้อยเอ่ยเสียงใส ส่งยิ้มกระจ่างราวกับแสงตะวันให้อีกฝ่าย

มุมปากของเฟอร์นันโดโค้งขึ้นนิดๆ เมื่อมองรอยยิ้มของคนตัวเล็ก พลางคิดว่าคงเป็นเพราะวีรินทร์เป็นนางฟ้า รอยยิ้มของเธอถึงทำให้ทุกอย่างดูสดใสเหลือเกิน

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น