2

บทที่ 2


2

เฟอร์นันโดจำไม่ได้ว่าตัวเองชำเลืองมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังเป็นรอบที่เท่าไรแล้ว มองและลอบถอนหายใจ เพราะรู้สึกว่ามันเดินช้ากว่าทุกวัน ตั้งแต่เข้ามาช่วยงานของครอบครัวแบบเต็มตัว เวลายี่สิบสี่ชั่วโมงต่อวันดูเหมือนว่าจะน้อยเกินไป กิจการมากมายหลายแขนงของเดรอสซีทำให้เวลาทุกนาทีมีค่าต่อเขาเป็นอย่างมาก แต่คงไม่ใช่สำหรับวันนี้ วันที่รู้ว่าจะได้พบกับนางฟ้า

ชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้งเมื่อนึกถึงเสียงใสๆ ที่ได้ยินผ่านโทรศัพท์เมื่อช่วงสาย

‘พี่ฮอว์ค วีมาถึงแล้วนะคะ’

เขาจำได้ว่าตัวเองยิ้มเมื่อได้ยินประโยคนั้น ก่อนจะสอบถามอีกฝ่ายบ้าง ‘การเดินทางเรียบร้อยดีใช่ไหม’

‘เรียบร้อยดีค่ะ รอบนี้วีมีเวลาอยู่ที่นี่หลายวันเลยด้วย’ สาวน้อยเอ่ยเสียงใส

‘อ้อ จริงสิ เราปิดเทอมแล้วนี่นา’ เฟอร์นันโดพึมพำเบาๆ เขาจำทุกอย่างเกี่ยวกับเธอได้อย่างแม่นยำ

เปิดเทอมคราวนี้วีรินทร์ก็จะขึ้นชั้นมัธยมปลายปีสุดท้ายแล้ว อีกแค่ปีเดียวก็จะก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย เติบโตเป็นผู้ใหญ่อีกขั้นหนึ่ง แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ยังคงเหมือนเดิม วีรินทร์ยังคงพิเศษเหนือคนอื่นเสมอ ยังคงเป็นนางฟ้าที่น่ารักของเขา เป็นสมบัติชิ้นน้อยๆ ของเขาเหมือนเคย

‘ตอนนี้พี่ฮอว์คอยู่ที่ทำงานใช่ไหมคะ’ วีรินทร์ถามขึ้น แต่ก็ไม่ได้รอให้อีกฝ่ายตอบ เพราะสามารถคาดเดาคำตอบได้เองจากความคุ้นเคย ตารางชีวิตของเฟอร์นันโดไม่ค่อยมีอะไรคลาดเคลื่อนเท่าไรนัก ในเมื่อนี่เป็นวันทำงาน ก็ค่อนข้างมั่นใจได้ว่าเขาคงอยู่ที่บริษัท ‘ถ้าอย่างนั้นวีจะไปรอพี่ฮอว์คที่บ้านนะคะ จะได้ไปทักทายสวัสดีคุณป้าก่อน’

‘อืม...ก็ดีเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นเราก็ไปรอพี่ที่บ้านก็แล้วกัน’ เฟอร์นันโดรับคำ เห็นด้วยว่าวีรินทร์ควรไปทักทายทำความเคารพมารดาของเขาให้เรียบร้อยเสียก่อน เพราะเมื่อเขากลับถึงบ้าน เวลาของเธอก็จะได้เป็นของเขาคนเดียวเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาตลอด ‘แล้วพบกันนะนางฟ้า’ เอ่ยด้วยประโยคเดิมที่พูดมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

‘ค่ะ แล้วพบกัน’ นางฟ้าของเฟอร์นันโดก็รับปากด้วยประโยคเดิมไม่มีผิดเพี้ยน

เพราะเหตุนี้เองที่ทำให้พญาเหยี่ยวแห่งเดรอสซีต้องมานั่งชำเลืองมองนาฬิกาครั้งแล้วครั้งเล่า เกือบๆ จะเรียกได้ว่ากระวนกระวายเสียด้วยซ้ำไป เนื่องจากไม่อยากให้ใครบางคนต้องรอนาน

 

เฟอร์นันโดกวาดตามองไปรอบบริเวณทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปในบ้าน แม้จะไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา แต่คนเป็นแม่ ซึ่งนั่งอยู่ที่ห้องโถงก็รู้ดีว่าเขากำลังมองหาใคร จึงเอ่ยขึ้นมาอย่างรู้ใจ

“ไปรออยู่ที่โน่นแล้วจ้ะ”

เฟอร์นันโดสืบเท้าเข้าไปหามารดา พอไปถึงก็โน้มกายลงไปหอมแก้มอีกฝ่าย ก่อนจะนั่งลงข้างๆ โดยที่ยังไม่เอ่ยอะไรออกมา

ความเงียบขรึมของบุตรชายเป็นสิ่งที่ศิรวัสสาคุ้นเคยดี จึงเป็นฝ่ายย้ำอีกครั้ง “น้องไปรอที่กระท่อมแล้วจ้ะ”

“ไปนานหรือยังครับ” เฟอร์นันโดถามเสียงนุ่ม ไม่จำเป็นต้องขยายความ แต่ทั้งคู่ก็ทราบดีว่า ‘น้อง’ ที่กำลังเอ่ยถึงนั้นไม่ได้หมายถึงจูเลียต

“สักพักใหญ่แล้วจ้ะ เห็นว่าจะไปอ่านหนังสือรออยู่ที่นั่น มาตั้งแต่เที่ยง คงไม่รู้จะหาเรื่องไหนมาคุยกับแม่แล้วกระมัง” ศิรวัสสาเอ่ยกลั้วหัวเราะ ไม่นึกตำหนิวีรินทร์แต่อย่างใด ฝ่ายนั้นอายุเพียงแค่สิบเจ็ด จะให้คุยกับผู้ใหญ่ทั้งวันก็คงจะไม่ไหว ดังนั้นเมื่อทักทายพูดคุยกันพอสมควรแล้ว เธอจึงอนุญาตให้สาวน้อยไปพักผ่อนตามสบาย และที่ประจำของวีรินทร์ก็คือบ้านบนต้นไม้ของเฟอร์นันโดนั่นเอง

เมื่อเติบโตขึ้นเฟอร์นันโดก็ใช้เวลาอยู่ที่นั่นน้อยลง แต่ทุกครั้งที่วีรินทร์เดินทางมาอิตาลี ‘รัง’ ก็ยังเป็นที่โปรดของพวกเขาอยู่เหมือนเดิม พวกเขามักจะใช้เวลาส่วนตัวด้วยกันที่นั่นเสมอ เรื่องนี้ทุกคนต่างทราบดี

“คงเพราะตอนที่โทร. คุยกันเมื่อคราวก่อน ผมบอกไปว่าได้หนังสือที่เขาอยากได้มาแล้ว คงจะรีบไปดูนั่นแหละครับ” เฟอร์นันโดเอ่ยเสียงอ่อน เมื่อรู้ว่าวีรินทร์จะทำกิจกรรมอะไรระหว่างที่รอเขา “งั้นผมขอตัวไปดูน้องหน่อยนะครับ ไม่รู้ว่ามีใครหาอะไรไปให้วีรองท้องบ้างหรือยัง เวลาอ่านหนังสือขึ้นมาเขาจะลืมเรื่องอื่นไปหมด บางทีก็ไม่กินข้าวกินปลาเอาดื้อๆ เลยก็มี”

“แม่ถามแล้ว แต่เจ้าตัวเขาบอกว่ายังไม่หิว ก็เหมือนฮอว์คนั่นแหละลูก” ศิรวัสสาเอ่ยกลั้วหัวเราะ เฟอร์นันโดเป็นนักอ่านตัวยง ดังนั้นกิจกรรมที่เขาทำบ่อยที่สุดก็คือการอ่าน วีรินทร์จึงซึมซับความชอบนี้ไปโดยปริยาย หลายครั้งที่วีรินทร์เดินทางมาที่นี่ และเธอจะเห็นสองคนนี้นั่งอ่านหนังสืออยู่เงียบๆ ได้เป็นวันๆ

เฟอร์นันโดยิ้ม เมื่อถูกผู้เป็นแม่กระเซ้า เขาเป็นอย่างนั้นจริงๆ เสียด้วย แต่กลับไม่รู้สึกว่าตัวเองน่าเป็นห่วงตรงไหน แต่พอเป็นวีรินทร์ ทำไมเขาถึงคิดว่าการละเลยไม่กินอาหารเป็นเรื่องน่าห่วงก็ไม่ทราบได้ จึงแก้ตัวไปข้างๆ คูๆ “ผมโตแล้วนี่ครับแม่ อดข้าวสักมื้อก็ไม่เป็นไรหรอก แต่วียังเด็ก”

“ลูกพูดเหมือนกับว่าแองจี้ยังเป็นเด็กอายุห้าขวบ” ศิรวัสสากระเซ้ายิ้มๆ ก่อนจะเอ่ยต่อเมื่อเห็นลูกชายเลิกคิ้วขึ้นนิดๆ “ฮอว์คลืมไปหรือเปล่าว่าน้องอายุสิบเจ็ดย่างสิบแปดแล้ว”

เฟอร์นันโดนิ่งไปครู่หนึ่ง อาจเป็นเพราะเขากับวีรินทร์ได้พบกันทุกปี ปีหนึ่งก็หลายหนพอควร จึงได้เห็นเธอเติบโตตามวัยขึ้นเรื่อยๆ จนไม่รู้สึกแปลกตาหรือชวนให้สะดุดคิดว่าอีกฝ่ายไม่ใช่เด็กหญิงตัวน้อยในวันวานอีกแล้ว เพราะในความคิดของเขาเธอก็คือนางฟ้าของเขาเหมือนเดิม จึงเอ่ยกับมารดาอย่างหนักแน่น “แต่สำหรับผม เขายังเหมือนเดิมทุกอย่าง”

ศิรวัสสายิ้มนิดๆ เมื่อได้ยินคำพูดของบุตรชาย พลางคิดว่าเฟอร์นันโดคงจะรู้สึกต่อวีรินทร์ดังเช่นที่รู้สึกกับจูเลียตกระมัง เพราะเขามักจะพูดกับคนเป็นน้องสาวอยู่เสมอว่าไม่รู้จักโต

“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับแม่” เฟอร์นันโดเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่ามารดาไม่มีอะไรจะสนทนากับตนเองอีก

“ไปเถอะจ้ะ น้องรอนานแล้ว”

พอได้ยินคำอนุญาต ชายหนุ่มก็ส่งยิ้มให้มารดาอีกครั้ง ก่อนจะส่งสัญญาณให้คนสนิทนำกระเป๋าเอกสารขึ้นไปเก็บให้ที่ห้องทำงาน ส่วนตัวเองก็ตรงไปยังรัง ที่รู้ว่ามีนางฟ้ากำลังรออยู่

 

ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าเมื่อเปิดประตูกระท่อมหลังน้อย ซึ่งเป็นอาณาจักรส่วนตัวเข้าไปทำให้จังหวะฝีเท้าของเฟอร์นันโดชะงักลง แล้วเพิ่มความระมัดระวังในการปิดประตูมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย ราวกับกลัวว่าเสียงต่างๆ จะไปรบกวนห้วงนิทราของคนตัวเล็ก

ชายหนุ่มส่ายหน้านิดๆ เมื่อเห็นท่านอนของอีกฝ่าย ที่ดูอย่างไรก็ไม่น่าจะสบายตัวนัก วีรินทร์นั่งพิงผนังเหยียดขาทั้งสองข้างราบไปกับพื้น ศีรษะเล็กที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีน้ำตาลนุ่มสลวยเอียงนิดๆ จนน่าเป็นห่วงว่าหากปล่อยให้อยู่ท่านั้นนานไป เจ้าตัวอาจจะเมื่อยไม่น้อยตอนตื่นขึ้นมา มือเรียวของเธอจับหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งวางเอียงกระเท่เร่อยู่บนตัก คาดว่าน่าจะผล็อยหลับไประหว่างอ่านหนังสือนั่นเอง

ชายหนุ่มพยายามระวังเสียงฝีเท้าให้เบาที่สุดเมื่อก้าวเข้าไปใกล้กว่าเดิม ก่อนจะคุกเข่าลงข้างๆ คนตัวเล็กที่นั่งหลับอยู่ แล้วมองเธอนิ่งนานยิ่งกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

‘ฮอว์คลืมไปหรือเปล่าว่าน้องอายุสิบเจ็ดย่างสิบแปดแล้ว’

ถ้อยคำของมารดาผ่านเข้ามาในห้วงคิด ส่งผลให้เฟอร์นันโดมองสำรวจนางฟ้าของตนเองในมุมมองที่ต่างจากเคย ดวงตาคู่คมค่อยๆ ไล่มองวงหน้าเนียนกระจ่างอย่างละเอียดถี่ถ้วน นิทรารมณ์ของวีรินทร์เปิดโอกาสให้เขาสามารถสำรวจเธอได้อย่างอิสระ มุมปากหยักสวยของชายหนุ่มยกโค้งขึ้นโดยไม่รู้ตัวเมื่อมองขนตายาวงอนที่ประดับอยู่บนเปลือกตาที่เวลานี้พริ้มหลับ ซ่อนดวงตากลมโตสีน้ำตาลที่เขาจำได้ขึ้นใจเอาไว้ภายใน หัวใจคล้ายจะเต้นเป็นจังหวะที่ต่างจากเดิมเมื่อมองพวงแก้มเนียนใสที่อิ่มเอิบด้วยเลือดฝาดแห่งวัยสาว และกลีบปากอิ่มเต็มสีระเรื่อที่เผยอขึ้นน้อยๆ

ดวงตาสีสนิมที่เคยฉายแววเย็นชาอยู่เป็นนิตย์เปลี่ยนเป็นลุ่มลึก พญาเหยี่ยวแห่งเดรอสซีหยุดสายตาไว้ตรงจุดนั้นนิ่งนานราวกับถูกสะกด มองราวกับนั่นคือภักษาหารที่ต้องการโฉบมากลืนกินให้สมใจ

ความรู้สึกลึกล้ำบางอย่างก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วโดยที่เฟอร์นันโดไม่เคยคาดคิดมาก่อน จริงอยู่ที่ว่าเขาให้ความสำคัญกับวีรินทร์เหนือกว่าคนอื่นเสมอมา แต่ก็เป็นเพราะว่าเธอคือนางฟ้าและเป็นสมบัติของเขา แต่อาการใจเต้นแรงราวกับค้นพบสิ่งล้ำค่าที่เฝ้าตามหา รวมถึงอารมณ์ปรารถนาเฉกเช่นชายหนุ่มที่มีต่อหญิงสาวนั้นไม่เคยปรากฏมาก่อน อาจจะเป็นเพราะถูกมารดากระตุ้นเตือนให้รู้ว่านางฟ้าตัวเล็กๆ ที่เคยโอบอุ้มเอาใจกำลังเติบโตเป็นสาวน้อยแสนงดงามก็เป็นได้ ที่ทำให้เขาเริ่มสังเกตว่าเธอไม่ใช่นางฟ้าตัวน้อยๆ แบบเดิมอีกแล้ว

แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไร ตอนนี้มันเกิดขึ้นแล้ว และคนอย่างเขาก็รู้จักตัวเองดีพอที่จะรู้ว่า อารมณ์ปรารถนาที่มีต่อวีรินทร์จะต้องแตกต่างจากอารมณ์ปรารถนาที่มีต่อผู้หญิงอื่นที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตอย่างแน่นอน เพราะมันจะไม่ใช่เพียงแค่การปลดเปลื้องอารมณ์ของผู้ชายแบบที่ผ่านๆ มา แต่จะบวกความผูกพันที่มีต่อกันเข้าไปด้วย

ความรู้สึกแปลกใหม่ที่จู่โจมหัวใจแบบไม่ทันตั้งตัวทำให้ชายหนุ่มถึงกับสูดลมหายใจลึกเพื่อตั้งสติ แต่ก็ไม่ได้ตระหนกต่อสิ่งที่ตนเองรู้สึกต่อวีรินทร์แต่อย่างใด เธอเป็นของเขามาโดยตลอด หากจะเพิ่มความเสน่หาแบบหญิงชายเข้าไปด้วยก็ไม่เห็นจะมีอะไรให้กังวล แต่กลับทำให้เขารู้สึกพอใจมากยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อคิดว่าตัวเองจะได้ครอบครองเธออย่างหมดจดทุกวิถีทาง

อาการสัปหงกของวีรินทร์ทำให้เฟอร์นันโดหลุดออกจากภวังค์ความคิด เขามองคนที่หลับอยู่ตรงหน้าด้วยแววตาลึกซึ้งดื่มด่ำเกินกว่าที่เคยใช้มองใคร พลางคิดว่าถ้ายังปล่อยให้นั่งสัปหงกอย่างนี้ต่อไป นางฟ้าของเขาคงจะไม่ค่อยสบายตัวนัก จึงเอื้อมมือไปหยิบหนังสือออกจากมือเธออย่างแผ่วเบาที่สุด ก่อนจะขยับไปนั่งเหยียดขาพิงผนังคล้ายกับท่าที่วีรินทร์นั่ง ค่อยๆ ประคองสาวน้อยให้นอนราบลง เพราะอยากให้อีกฝ่ายรู้สึกสบายตัวขึ้น วางศีรษะเล็กไว้บนตักกว้างอย่างทะนุถนอม ตักของพญาเหยี่ยวแห่งเดรอสซีไม่เคยให้สิทธิ์ใครหนุนนอนมาก่อน

วีรินทร์ถอนหายใจลึกทั้งที่ยังหลับเมื่อร่างกายอยู่ในท่าที่ผ่อนคลายกว่าเดิม ความเคยชินทำให้พลิกกายนอนตะแคงโดยอัตโนมัติ

เฟอร์นันโดก้มลงมองคนที่พลิกกายเข้าหาเขาแล้วเลิกคิ้ว ซีกหน้างดงามของวีรินทร์ปรากฏแก่สายตาเด่นชัดยิ่งขึ้น ตอนนี้แทบจะเรียกได้ว่าจมูกโด่งเล็กน่ารักของเธอจดชิดหน้าท้องแข็งแกร่งของเขาเลยด้วยซ้ำไป สาวน้อยขยับยุกยิก คล้ายต้องการหาตำแหน่งที่สบายเนื้อสบายตัวที่สุด ทำเอาชายหนุ่มต้องเอื้อมมือไปลูบศีรษะเล็กเบาๆ คล้ายปลอบโยนและกล่อมให้เธอสงบลง

สัมผัสอ่อนโยนทำให้วีรินทร์จมลงไปในห้วงนิทราล้ำลึกกว่าเดิม กลิ่นอายชายชาตรีที่อบอุ่นระคนทรงพลังที่แผ่ออกมาจากคนตัวโตทำให้เธอซุกใบหน้าเข้าหาแนบชิดยิ่งขึ้น

กิริยาซุกตัวเข้าหาของอีกฝ่ายทำให้เฟอร์นันโดอมยิ้มด้วยความพอใจ มือแกร่งยังคงลูบไล้ศีรษะเล็กเป็นระยะเมื่อรู้สึกว่าเธอพอใจกับสัมผัสนั้น และเขาเองก็ชอบสัมผัสละมุนจากเส้นผมนุ่มสลวยของเธอเช่นกัน ชายหนุ่มเอื้อมมือไปหยิบหนังสือเล่มเดิมที่วางไว้ไม่ไกลนักขึ้นมาอ่านเพื่อรอเวลาให้เธอตื่น มือข้างหนึ่งถือหนังสือ ส่วนอีกข้างก็ลูบไล้สอดไซ้พวงผม

นุ่มไปพลางๆ ใช้สัมผัสนั้นกล่อมอารมณ์ทั้งของตนเองและนางฟ้าตัวน้อยให้อ่อนละมุนไปพร้อมๆ กัน บรรยากาศอบอุ่นอ่อนหวานทั้งที่ไม่มีบทสนทนาใดๆ สักคำ

ความสุขสงบที่โอบล้อมทำให้เฟอร์นันโดไม่คิดจะปลุกคนตัวเล็กแต่อย่างใด เพราะคิดว่าวีรินทร์คงเหน็ดเหนื่อยต่อการเดินทางไม่ใช่น้อย ควรรอให้เธอตื่นเองน่าจะดีกว่า เขาเองก็มีหนังสืออ่านฆ่าเวลา ที่สำคัญ การรอวีรินทร์ไม่เคยเป็นเรื่องที่เขาเบื่อหน่าย ยิ่งมีความเสน่หามาเพิ่มเติม ความผูกพัน การรอคอยก็ยิ่งมีความหมายกว่าเดิม เพราะมันไม่ใช่เพียงแค่การรอคอยที่จะได้พบปะพูดคุยเล่นหัวกันอย่างที่ผ่านมา แต่เป็นการรอคอยที่จะมีอนาคตร่วมกับเธอ

 

วีรินทร์สูดลมหายใจลึกเพื่อไล่ความงัวเงีย ก่อนจะลืมตาด้วยความรู้สึกที่สดชื่นขึ้น การเดินทางทำให้อ่อนเพลียอยู่ไม่น้อย ทำเอาเธอถึงกับเผลอหลับระหว่างอ่านหนังสือรอเฟอร์นันโดเลยทีเดียว

‘หนังสือ?’

สาวน้อยอุทานในใจเมื่อนึกขึ้นมาได้ รีบขยับมือเพื่อสำรวจหาหนังสือที่อ่านค้างอยู่โดยอัตโนมัติ แต่ก็พบว่ามือของตัวเองว่างเปล่า เธอกะพริบตาถี่ๆ เพื่อทบทวนว่าตัวเองเข้าใจอะไรคลาดเคลื่อนไปหรือไม่ พลันสายตาก็กวาดไปพบหนังสือเล่มนั้นจนได้ มันลอยอยู่ตรงหน้าเธอนี่เอง และถูกกางออกโดยคนตัวโตที่กำลังก้มหน้าลงมามองเธอ

“ตื่นแล้วเหรอ”

เสียงทุ้มที่ดังขึ้นรวมถึงใบหน้าคมคายที่ปรากฏอยู่ในคลองจักษุ ทำให้วีรินทร์ถึงกับเบิกตากว้าง จากมุมมองนี้ทำให้เพิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้นั่งอยู่อย่างที่เข้าใจแต่แรก แต่กำลังนอนอยู่ต่างหากล่ะ แถมยังนอนหนุนตักเฟอร์นันโดอีกด้วย! แต่ที่ทำให้หัวใจเธอเต้นไม่เป็นส่ำ น่าจะเป็นเพราะแววตาของคนที่กำลังก้มหน้าลงมามองเธอมากกว่า ดวงตาสีสนิมที่คุ้นเคยกลับแฝงแววบางอย่างที่ไม่เคยคุ้น รู้แต่ว่ามันทำให้วางตัวแทบไม่ถูก ราวกับถูกสะกดด้วยเวทมนตร์จากดวงตาคมกล้า

เธอพยายามดับความว้าวุ่นของตัวเองด้วยการรีบลุกขึ้นยืนอย่างว่องไวเพื่อออกจากความใกล้ชิดที่ชวนให้ใจสั่น คิดว่าการทำอย่างนั้นน่าจะช่วยทำให้สถานการณ์ดีขึ้น ทว่าการลุกพรวดพราดแบบทันทีทันใดกลับทำให้หน้ามืดไปวูบหนึ่งเพราะเลือดไปเลี้ยงสมองไม่ทัน ทำเอาซวนเซไปแบบยั้งไม่อยู่

ยังไม่ทันหายตกใจเรื่องที่ตัวเองหน้ามืด หัวใจดวงน้อยก็กระตุกวูบซ้ำอีก เมื่อท่อนแขนแข็งแกร่งตวัดร่างเธอเข้าไปแนบชิดอีกครั้ง แถมยังแนบสนิทยิ่งกว่าเมื่อครู่อีกด้วย

“เป็นอะไรหรือเปล่าวี” เฟอร์นันโดถามเสียงนุ่ม

“มะ...ไม่เป็นไรค่ะ”

“แต่เมื่อกี้เราเซ เหมือนจะล้มเลย”

“คงเพราะรีบลุกเร็วไปหน่อยค่ะ ก็เลยหน้ามืดนิดหน่อย” สาวน้อยอ้อมแอ้มตอบแบบไม่สบตา

เฟอร์นันโดมองคนที่เอาแต่ก้มหน้าไม่ยอมสบตาเขาอย่างเคย แล้วขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ก่อนจะกระชับวงแขนแน่นกว่าเดิม “แล้วเราจะรีบร้อนลุกไปไหนกัน หือ?”

“คือ...วีกลัวพี่ฮอว์คเมื่อยน่ะค่ะ” วีรินทร์ตอบเสียงแผ่ว ทั้งๆ ที่ปกติแล้วเธอเป็นคนพูดจาฉะฉานอยู่เสมอ โดยเฉพาะกับเฟอร์นันโดที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี แต่ให้ตายก็ไม่กล้าตอบเขาตามตรงว่าความใกล้ชิดเมื่อสักครู่ทำให้เธอใจสั่นจนทำอะไรไม่ถูก และที่สำคัญก็คือแววตาแปลกๆ ของเขานั่นละที่เป็นสาเหตุใหญ่

“พี่ไม่เมื่อยหรอก แล้วนี่เราโอเคหรือยัง ยังรู้สึกหน้ามืดอยู่หรือเปล่า”

“ไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ พี่ฮอว์ค...เอ่อ...พี่ฮอว์คปล่อยวีเถอะค่ะ” วีรินทร์เอ่ยไม่เต็มเสียงนัก กลัวเขาจะจับได้ว่าตัวเองกำลังประหม่าอย่างที่ไม่เคยเป็นกับเขามาก่อน เฟอร์นันโดจะคิดอย่างไรถ้ารู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ เขาอาจจะคิดว่าเธอเหลวไหลก็ได้ ที่รู้สึกเขินอายเขาราวกับหญิงสาวเขินอายชายหนุ่ม แต่เธอก็รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

เฟอร์นันโดมองแก้มเนียนใสซับสีระเรื่อที่เจ้าตัวพยายามซ่อนมันด้วยการก้มหน้าบ้าง เบือนหน้าไปด้านข้างบ้างด้วยความรู้สึกหวานล้ำไปทั้งหัวใจ ทุกอย่างฟ้องชัดว่าคนในอ้อมแขนเขากำลังรู้สึกอย่างไร วีรินทร์สนิทสนมกับเขามานาน แต่ไม่เคยมีอาการเช่นนี้มาก่อน บางทีอาจเป็นเพราะเธอรับรู้ได้ว่าอ้อมแขนเขาที่โอบกอด สายตาที่เขามอง และความรู้สึกที่เขาสื่อไปถึงเธอมันต่างไปจากเดิม ถึงได้มีอาการเช่นนี้

สีระเรื่อบนแก้มสาวช่างยั่วใจจนชายหนุ่มอดใจไม่ไหวจนต้องยื่นมือไปสัมผัสอย่างทะนุถนอม ส่วนแขนอีกข้างก็ยังโอบรัดร่างน้อยไว้ไม่ปล่อย

“แก้มเราแดง ร้อนด้วย เป็นอะไรไป” เขาถามพลางดันมือที่ประคองแก้มนวล กึ่งๆ บังคับให้เธอเงยหน้าขึ้นสบตา

ดวงตากลมโตสีน้ำตาลของวีรินทร์ไหวระริกเมื่อมองสบกับดวงตาสีสนิมคมกล้า หัวใจดวงน้อยเต้นระรัวจนแอบกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน เธอก็เหมือนกับคนอื่นๆ ที่คิดว่าดวงตาของเฟอร์นันโดนั้นเหมือนกับจะมองทะลุหัวใจและความคิดของคนอื่นได้ กลัวเหลือเกินว่าเขาจะอ่านความคิดเหลวไหลของเธอออก เสียงที่ตอบคำถามของเขาจึงสั่นไหวพอๆ กับแววตา “ปะ...เปล่าค่ะ ไม่ได้เป็นอะไร”

เฟอร์นันโดมองพวงแก้มแดงก่ำพร้อมกับสดับเสียงตะกุกตะกักของคนตัวเล็กด้วยความเอ็นดู ถึงนางฟ้าของเขาจะปฏิเสธ แต่เขากลับไม่เชื่อแม้แต่นิดเดียว แววตาอ่อนเดียงสาที่ไม่ประสาต่อการซ่อนเร้นอารมณ์ตอบคำถามของเขาได้ชัดเจนยิ่งกว่า ภาษาพูดอาจโกหกบิดเบือนได้ แต่ภาษากายไม่เป็นอย่างนั้น

บางทีวีรินทร์คงกำลังตระหนกต่อรูปแบบความสัมพันธ์ที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน เช่นเดียวกับที่เขารู้สึกก่อนหน้านี้ ทว่าประสบการณ์ชีวิตที่มากกว่าทำให้เขาทำความเข้าใจมันได้อย่างรวดเร็ว แต่วัยเพียงสิบเจ็ดปีคงทำให้สาวน้อยของเขารับมือได้ไม่ดีนักที่อยู่ๆ สายตาที่เขาใช้มองเธอก็เปลี่ยนไป

เมื่อคิดถึงวัยอันน้อยนิดของอีกฝ่าย พญาเหยี่ยวแห่งเดรอสซีก็ถอนหายใจลึก ก่อนจะคลายอ้อมแขนอย่างไม่เต็มใจนัก แต่ทุกอย่างย่อมมีห้วงเวลาของมัน เขาคงต้องรอไปก่อน

“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว เหนื่อยมากสิถึงหลับปุ๋ยแบบนี้ พี่เข้ามาเรายังไม่รู้สึกตัวเลย”

ทันทีที่อีกฝ่ายคลายอ้อมแขน วีรินทร์ก็ขยับถอยหลังออกห่างทันที พยายามจะหาเรื่องชวนสนทนา เพื่อไม่ให้เขารู้สึกว่าเธอมีอาการผิดปกติ

“แล้วพี่ฮอว์คมานานหรือยังคะ” สาวน้อยเอ่ยถามเสียงแผ่ว แก้มร้อนขึ้นมาอีกเมื่อนึกถึงความใกล้ชิดระหว่างเขากับเธอเมื่อสักครู่ ใจจริงอยากจะรู้ว่าตัวเองนอนหนุนตักเขานานแค่ไหนแล้วต่างหาก

“นานพอจะเห็นว่าเราสัปหงกเป็นรอบที่ล้านนั่นแหละ”

“แล้วทำไมถึงไม่ปลุกวีล่ะคะ ไม่เห็นต้องนั่งรอแบบนี้เลย”

“พี่รอได้” เฟอร์นันโดเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย แต่แววตาล้ำลึกราวกับต้องการสื่อให้รู้ว่าการรอคอยที่เอ่ยออกมาเมื่อสักครู่ ไม่ใช่เพียงแค่การรอคอยให้เธอตื่นเท่านั้น

แววตาแบบนั้นทำให้สาวน้อยรู้สึกสะบัดร้อนสะบัดหนาวขึ้นมาอีกครั้ง ว่ากันว่าดวงตาคือหน้าต่างของดวงใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่พูดน้อยอย่างเฟอร์นันโดที่สามารถใช้แววตาแทนคำพูดได้เป็นอย่างดี เธอเคยเห็นผู้ที่อยู่ภายใต้การปกครองของเดรอสซีที่ตัวสั่นเพียงแค่สบสายตาเย็นเยือกของเขา ตอนนี้เธอเองก็กำลังสั่น แต่ไม่ใช่เพราะเขาส่งสายตาเยือก

เย็นให้แต่อย่างใด แต่เป็นเพราะแววตาที่เธอสานสบมันกลับแฝงความเร่าร้อนแปลกๆ ระคนกับความมุ่งมาดปรารถนาจะครอบครอง

เธอตีความได้แบบนั้น ก็เลยไม่แน่ใจนักว่าตัวเองเข้าใจถูกต้องหรือไม่ ส่งผลให้ว้าวุ่นใจไม่น้อย รู้สึกราวกับมือไม้เกะกะไปหมด ไม่รู้จะวางมันลงตรงไหนดี

กิริยาแบบนั้นทำให้เฟอร์นันโดยิ้มออกมาอีกครั้ง ทุกสิ่งที่วีรินทร์แสดงออกล้วนทำให้มั่นใจได้ว่าเธอรับรู้ถึงความรู้สึกที่เขาต้องการสื่อไปถึง เท่านี้ก็นับว่าคืบหน้าไปอีกก้าวแล้ว อย่างน้อยที่สุดก็ควรให้เธอรู้ว่า เขาไม่ได้คิดว่าเธอเป็นแค่นางฟ้าตัวน้อยแบบเดิมอีกต่อไป

“พี่รอได้ แต่เราก็ไม่ควรให้พี่รอนาน จริงไหม”

วีรินทร์ถึงกับกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ก่อนจะสบตาเขาแบบกล้าๆ กลัวๆ “ขอโทษค่ะ วีหลับเพลินไปหน่อย”

“พี่ไม่ได้หมายถึงเรื่องที่เรานอนหลับ พี่หมายถึงอย่าให้พี่รอนาน”

“เอ่อ...คือ...” สาวน้อยถึงกับพูดไม่ออก เพราะไม่แน่ใจนักว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร

“อะไรที่ควรทำก็รีบทำซะ รู้ไหม เมื่อตอนนี้หน้าที่ของเราคือการเรียน ก็รีบเรียนให้จบ”

“เอ่อ...ค่ะ” วีรินทร์ได้แต่พยักหน้ารับเบาๆ ไม่รู้ว่าเรื่องมันวกกลับมาที่การเรียนของเธอได้อย่างไร ปกติเฟอร์นันโดไม่ค่อยพูดเรื่องจุกจิกพวกนี้กับเธอนัก เพราะที่ผ่านๆ มาเธอก็เล่าเรื่องที่โรงเรียนให้อีกฝ่ายฟังบ่อยๆ อยู่แล้ว เขาจึงทราบดีว่าการเรียนของเธออยู่ในเกณฑ์ดี และไม่มีปัญหาแต่อย่างใด จึงไม่ค่อยกำชับเรื่องนี้เท่าไรนัก แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้จู่ๆ ถึงเกิดอยากกำชับกำชาให้เธอตั้งใจเรียนขึ้นมา

เฟอร์นันโดยิ้มด้วยความพอใจเมื่ออีกฝ่ายรับปาก แม้จะค่อนข้างแน่ใจว่าวีรินทร์ไม่ใช่เด็กเหลวไหล แต่เขาก็อยากจะให้เธอเรียนจบเร็วที่สุดอยู่ดี “ดีแล้ว ปีนี้ ม. ปลายปีสุดท้ายแล้วนี่นา วีสนใจจะมาเรียนมหาวิทยาลัยที่นี่ไหม”

“อะไรนะคะ!”

“พี่อยากให้วีมาเรียนต่อที่นี่”

“ทำไมอยู่ๆ ถึงอยากให้วีมาเรียนที่นี่ล่ะคะ” สาวน้อยสอบถามด้วยความงุนงง เพราะไม่เคยคุยกันเรื่องพวกนี้มาก่อน

เฟอร์นันโดถอนหายใจลึก รู้ดีว่าวีรินทร์คงจะงุนงงอยู่ไม่น้อยๆ ที่อยู่ๆ เขาก็เสนอเรื่องนี้ขึ้นมา แต่เมื่อแน่ใจความรู้สึกของตนเองแล้ว คนอย่างเขาย่อมไม่รีรอที่จะปูทางให้แก่สตรีที่หมายใจจะให้เป็นคู่ชีวิตอย่างแน่นอน เมื่อความรู้สึกก้าวไปไกลกว่าคำว่าเอื้อเอ็นดู ก็ปรารถนาจะประคับประคองเธอไว้ในฝ่ามือตลอดเวลา

จะช้าหรือเร็ววีรินทร์ก็ต้องมาเป็นภรรยาของเขา ก็ไม่สู้ให้มาทำความคุ้นเคยกับชีวิตที่นี่ไม่ดีกว่าหรือ เธอจะได้ไม่ต้องเสียเวลามาปรับตัวอีก พอเรียนจบมหาวิทยาลัยก็จะได้แต่งงานกันทันที หรือถ้าเธอและคนในครอบครัวทั้งสองฝ่ายไม่มีปัญหาอะไร จะแต่งงานกันเสียตั้งแต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัยเลยเขาก็พร้อมทุกเมื่อ

พอคิดมาถึงตรงนี้ พญาเหยี่ยวแห่งเดรอสซีก็ถึงกับถอนหายใจอีกครั้ง เพราะความหวังที่จะได้ครอบครองวีรินทร์ก่อนเรียนสำเร็จคงจะริบหรี่เต็มทน แค่จะควักตัวออกมาจากอกครอบครัวเธอก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว

ครอบครัวเขาเองก็รักวีรินทร์ไม่ต่างจากบุตรสาว คงจะไม่เห็นดีเห็นงามไปด้วยเป็นแน่ ต่อให้เขายืนยันความรู้สึกของตนเองว่าแน่นอนมั่นคงเพียงใด อีกหลายฝ่ายก็คงจะอยากให้เธอได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวเสียก่อน ดังนั้นเมื่อยังครอบครองไม่ได้ ก็อยากให้อยู่ใกล้หูใกล้ตาก็ยังดี ระหว่างที่รอให้วีรินทร์เรียนจบ ระยะเวลาคงนานพอที่จะทำให้ทุกๆ คนเข้าใจและยอมรับสถานะที่เปลี่ยนไประหว่างเขากับเธอได้อย่างแน่นอน ชายหนุ่มคิดคำนวณทุกอย่างด้วยความรอบคอบตามนิสัยประจำตัว

“มีอะไรหรือเปล่าคะพี่ฮอว์ค” วีรินทร์ถามอีกครั้ง เมื่อเขาไม่ตอบคำถามของเธอ เอาแต่ถอนหายใจอยู่หลายครั้ง

“วันเกิดเราไม่ได้ตรงกับช่วงปิดเทอมที่เมืองไทยใช่ไหม”

สาวน้อยกะพริบตาปริบๆ เพราะนอกจากเฟอร์นันโดจะไม่ตอบคำถามของเธอเลยสักข้อแล้ว ยังย้อนกลับมาเป็นฝ่ายตั้งคำถามกับเธออีก แต่ความเคารพและเชื่อฟังอีกฝ่ายมาตลอดทำให้เธอตอบคำถามของเขาแต่โดยดี ทั้งที่แน่ใจว่าเขาจำวันเกิดเธอได้ เพราะได้รับของขวัญจากเขาอยู่ทุกปี มันคล้ายกับว่าเขาถามเพื่อย้ำให้แน่ใจมากกว่า “ใช่ค่ะ ไม่ตรงหรอก วันเกิดวีอยู่ในช่วงเทอมแรกค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นมาหาพี่ทันทีที่ปิดเทอมเลยได้ไหม พี่จะจัดการเรื่องการเดินทางให้ ปีนี้วีมาฉลองวันเกิดอายุสิบแปดกับพี่นะ ย้อนหลังไปบ้างก็ไม่เป็นไรหรอก”

“ทำไมล่ะคะ มันจะสิ้นเปลืองเกินไปนะคะ มีอะไรหรือเปล่า” แม้ปกติเธอจะเชื่อฟังอีกฝ่ายมาตลอด แต่ครั้งนี้มันออกจะสิ้นเปลืองเกินไปจนอดสงสัยไม่ได้

“ที่นี่อายุสิบแปดถือว่าบรรลุนิติภาวะแล้ว แถมปีนี้วีก็จะจบมัธยมแล้วด้วย นี่ยังไม่ถือว่าเป็นโอกาสพิเศษอีกเหรอ พี่อยากให้วีมาฉลองวันที่เริ่มเป็นผู้ใหญ่กับพี่ที่นี่ได้ไหม”

“อ๋อ...” สาวน้อยลากเสียงเป็นเชิงรับรู้ ว่าเหตุใดเขาถึงคิดว่าวันเกิดเธอปีนี้ต่างจากทุกปี ก่อนจะตอบเขายิ้มๆ ท่าทีคล้ายกับวัยรุ่นทั่วไปที่อยากโตเป็นผู้ใหญ่เร็วๆ “แต่ที่เมืองไทยก็ยังถือว่าวีเป็นเด็กอยู่นะคะ ต้องอายุยี่สิบปีโน่นแน่ะค่ะ ถึงจะถือว่าบรรลุนิติภาวะ”

ดวงตาของเฟอร์นันโดลุ่มลึกกว่าเดิมเมื่อมองกลีบปากอิ่มคลี่ที่ออกอย่างงดงามเมื่อคนตัวเล็กแย้มยิ้ม ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกเพื่อระงับความรู้สึกบางอย่างที่พลุ่งพล่านขึ้นมาจนแทบควบคุมไม่ได้ ที่ผ่านมาความรู้สึกของเขาที่มีต่อวีรินทร์ไม่ได้วูบวาบหวือหวา แต่มันเหมือนกับน้ำที่หยดลงไปในภาชนะทีละหยดๆ ผ่านเวลาช้านานจนกระทั่งถึงวันหนึ่งที่มันเต็มเปี่ยม แล้วหลังจากนั้นก็ล้นบ่าออกมาแบบห้ามไม่อยู่

น้ำหยดเล็กๆ นั่นคือความรักความผูกพันที่สั่งสมมา ส่วนภาชนะที่ว่าก็คือหัวใจของเขานี่เอง ที่ตอนนี้อาบล้นด้วยความรักความเสน่หาที่แทบไม่อยากจะเชื่อว่ามากมายถึงเพียงนี้ ราวกับว่าเธอเกิดมาเพื่อให้เขารักอย่างแท้จริง

“ดูเหมือนเราอยากจะบรรลุนิติภาวะเร็วๆ”

“แหม...ใครๆ ก็อยากโตเป็นผู้ใหญ่ทั้งนั้นแหละค่ะ” สาวน้อยเอ่ยอย่างร่าเริงเหมือนอย่างเด็กทั่วไปที่มักคิดว่าการบรรลุนิติภาวะจะทำให้ตัวเองกลายเป็นผู้ใหญ่ และทำอะไรได้อย่างอิสระ

“ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้นี่” ชายหนุ่มเอ่ยยิ้มๆ ความจริงแล้วคนที่อยากให้วีรินทร์บรรลุนิติภาวะโดยเร็วที่สุดก็น่าจะเป็นเขานี่ละ ไม่ใช่ใครอื่น

“เอ๊ะ ได้เหรอคะ” วีรินทร์ถามอย่างกระตือรือร้น เธอรู้อยู่หรอกว่าอิทธิพลของเดรอสซีกว้างไกลมาก แต่ไม่คิดว่าจะจัดการได้แม้กระทั่งเรื่องแบบนี้ อีกอย่าง เธอก็รู้ว่าเฟอร์นันโดไม่ชอบใช้อิทธิพลพร่ำเพรื่อ จึงอดหยั่งเชิงไม่ได้ “อย่าบอกนะคะว่าพี่ฮอว์คคิดจะใช้อิทธิพลจัดการเรื่องนี้ให้วี”

“เปล่าเลยนางฟ้า เรื่องแบบนี้ไม่ต้องใช้อิทธิพลอะไรหรอก” พญาเหยี่ยวเอ่ยกลั้วหัวเราะ มองคนตัวเล็กด้วยดวงตาพราวระยับ

“อ้าว งั้นเหรอคะ แล้วทำยังไงล่ะคะ”

“เคยได้ยินคำว่าบรรลุนิติภาวะโดยการสมรสไหม ถ้าเราต้องการ พี่ก็พร้อมจะทำให้เราเป็นผู้ใหญ่ทันที วีรินทร์”

ดวงตากลมโตของวีรินทร์เบิกกว้างขึ้นทันทีที่ชายหนุ่มพูดจบ พอๆ กับแก้มเนียนใสที่กลายเป็นสีแดงราวกับลูกตำลึงสุก ไม่คาดคิดว่าคำตอบของเขาจะออกมาในรูปนี้ ถึงเธอจะคิดอยากเป็นผู้ใหญ่ แต่การบรรลุนิติภาวะโดยการสมรส

อะไรนั่นมันอยู่ห่างไกลความคิดของเธอเหลือเกิน ไม่เคยคิดด้วยว่าวันหนึ่งจะมีคนมาพูดเรื่องการสมรสกับเด็กที่อายุแค่สิบเจ็ดปีอย่างเธอ แถมยังขันอาสาจะทำให้เธอเป็นผู้ใหญ่อีกด้วย เขาบอกว่าพร้อม แล้วเธอล่ะพร้อมไหม

สาวน้อยได้แต่ถามตัวเองด้วยหัวใจที่เต้นโครมคราม ก่อนจะหัวเราะแหะๆ เป็นการกลบเกลื่อน “ยะ...อย่าล้อเล่นแบบนี้สิคะ”

“เราเห็นพี่เป็นคนชอบล้อเล่นงั้นเหรอ” เฟอร์นันโดถามเรียบๆ

วีรินทร์ถึงกับพูดไม่ออก ใครๆ ก็รู้ว่าเฟอร์นันโดไม่ใช่คนช่างพูด แล้วเขาจะมาเจื้อยแจ้วล้อเล่นได้อย่างไร แต่จะให้เธอคิดว่าเขาพูดเรื่องนี้อย่างจริงจังเธอก็ไม่กล้าคิดแบบนั้นเหมือนกัน ก็เลยได้แต่อึกอัก ไม่รู้ว่าควรตอบเขาอย่างไร

เฟอร์นันโดมองท่าทางกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของสาวน้อยแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ประสบการณ์ชีวิตของคนตรงหน้ายังน้อยนิดเหลือเกิน เขาจะไล่ต้อนเธอเหมือนพวกคู่แข่งในเกมธุรกิจไม่ได้ เธอไม่ใช่คู่แข่ง แต่เป็นคู่ชีวิต สิ่งที่เขาต้องทำไม่ใช่ไล่ต้อน แต่ต้องตะล่อมอย่างละมุนละม่อมต่างหาก

“เอาละ พักเรื่องนี้ไว้ก่อน เอาเรื่องที่พี่ชวนเรามาฉลองวันเกิดที่นี่ก่อนดีกว่า ตกลงจะว่ายังไง”

วีรินทร์ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อไม่ต้องสนทนาเรื่องน่าอึดอัดต่อ “วีคงต้องขออนุญาตพ่อกับแม่ก่อนค่ะ พี่ฮอว์คก็รู้ว่าพ่อกับแม่ไม่ค่อยชอบให้วีไปไหน” สาวน้อยตอบเสียงอ่อย

“เดี๋ยวพี่จะขออนุญาตอามาร์คกับอาเหมียวให้ ก็อย่างที่พี่บอกไปเมื่อกี้ว่าปีนี้ค่อนข้างพิเศษ วีกำลังจะก้าวสู่ความเป็นผู้ใหญ่ จะว่าไปก็เป็นการฝึกทั้งวีแล้วก็ครอบครัวด้วยว่าต่อไปอาจจะต้องมีการห่างกันบ้าง ก็ถือซะว่าเริ่มฝึกซะตั้งแต่ครั้งนี้เลย”

“ห่างกัน? จะห่างไปไหนคะ” วีรินทร์อุทานเสียงหลง เธอไม่เคยคิดเรื่องอยู่ห่างจากครอบครัวเลยสักนิด

“ไม่มีใครย่ำอยู่กับที่หรอกนะนางฟ้า ต่างคนก็มีเส้นทางชีวิตที่ต้องเดินทั้งนั้น”

“แต่ว่า...” วีรินทร์พยายามแย้ง แต่ก็ถูกอีกฝ่ายตัดบทเสียก่อน

“ก็เหมือนกับที่พ่อของวีตัดสินใจไปปักหลักที่เมืองไทยนั่นแหละ เหมือนกัน”

วีรินทร์มองชายหนุ่มด้วยแววตาสับสน ยอมรับว่าวันนี้ตัวเองปั่นป่วนเป็นพิเศษ เหมือนกับว่าเฟอร์นันโดพยายามกดดันให้เธอคิดและเข้าใจอะไรต่อมิอะไรเยอะไปหมด

ท่าทีของคนตัวเล็กทำให้เฟอร์นันโดลอบถอนหายใจอีกครั้ง ความที่ตัวเขาเองมีความคิดโตกว่าอายุมาแต่ไหนแต่ไร จึงทำให้คิดและตัดสินใจอะไรอย่างรวดเร็วเสมอ ในวัยสิบเจ็ดปีเท่าวีรินทร์เขาเริ่มต้นทำอะไรต่อมิอะไรที่เด็กวัยเดียวกันไม่เคยทำตั้งมากมายหลายอย่าง จนลืมคิดไปว่าอีกฝ่ายไม่ใช่แบบเดียวกัน

วีรินทร์เปรียบเหมือนแก้วตาดวงใจของครอบครัวเลติอาร์นี ถึงแม้ต่อมามาร์คัสกับวิฬาร์จะมีบุตรชายเพิ่มอีกหนึ่งคน แต่การรอคอยการถือกำเนิดของวีรินทร์มาเนิ่นนานทำให้ครอบครัวเลติอาร์นีเคยชินที่จะประคบประหงมเธอยิ่งกว่าอะไร และเขาเองก็ไม่โทษฝ่ายนั้น เพราะตัวเองก็ยกให้วีรินทร์เป็นคนพิเศษกว่าใครเสมอมาเช่นกัน ทั้งที่ตอนนั้นยังไม่มีความคิดในเชิงชู้สาวกับเธอด้วยซ้ำ

“อย่าทำหน้าแบบนั้น พี่แค่ยกตัวอย่าง ไม่ใช่ว่าจะให้เราจากครอบครัวมาวันนี้ซะที่ไหน” ชายหนุ่มเอ่ยพร้อมกับยื่นมือไปลูบศีรษะเล็กเบาๆ

วีรินทร์ถอนหายใจด้วยความโล่งอก พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย

“เอาไว้พี่จะคุยกับอามาร์คเอง วีเตรียมตัวไว้ได้เลย เราต้องได้ฉลองด้วยกันแน่ๆ”

“ค่ะ” วีรินทร์รับคำด้วยน้ำเสียงที่สดใสขึ้น ที่จริงเธอก็ชอบช่วงเวลาที่ได้อยู่กับเฟอร์นันโดอยู่แล้ว

เฟอร์นันโดยิ้มอ่อนโยนเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกลับมาสดใสเหมือนเก่า เขาไม่อยากให้เธอเครียดหรือประหม่าเวลาที่อยู่ด้วยกัน “พี่มีของขวัญพิเศษจะให้วีด้วยนะ”

“จริงเหรอคะ อะไรเหรอ” สาวน้อยสอบถามด้วยความตื่นเต้น

“ยังบอกไม่ได้”

สาวน้อยย่นจมูกด้วยความขัดใจ “ถ้าเป็นความลับแล้วมายั่วให้อยากรู้ทำไมล่ะคะ”

“ไม่ใช่ความลับ แต่ยังบอกไม่ได้” พญาเหยี่ยวเอ่ยยิ้มๆ มองคนแสนงอนด้วยความเอ็นดู นอกจากจูเลียตแล้ว ไม่เคยมีใครกล้าแสดงกิริยากระเง้ากระงอดใส่เขาแบบนี้หรอก เขาไม่เคยให้สิทธิ์ผู้หญิงคนไหนทำแบบนั้น แต่วีรินทร์ก็อยู่เหนือทุกกฎเกณฑ์มานานแล้ว

“มันก็เหมือนกันนั่นแหละค่ะ”

“วีจะได้คำตอบของทุกคำถามในวันนี้ รวมถึงคำตอบของทุกสิ่งที่เราสงสัย แต่ไม่กล้าถามพี่ในวันที่เราอายุสิบแปดอย่างแน่นอน ทุกอย่างมีห้วงเวลาของมันนะนางฟ้า เราน่ะยังไม่พร้อมที่จะรู้ทุกอย่างตอนนี้หรอก จริงไหม เชื่อเถอะว่าพี่อยากเฉลยใจจะขาด”

คำว่า ‘ใจจะขาด’ รวมถึงแววตาของคนพูดทำให้วีรินทร์เชื่อว่าเฟอร์นันโดคงอยากจะบอกทุกอย่างกับเธอในวันนี้จริงๆ นั่นละ แต่คนอย่างเขาคงประเมินแล้วว่าเธอต่างหากที่ไม่พร้อมจะฟังทุกอย่างในวันนี้ ทุกอย่างล้วนมีห้วงเวลาที่เหมาะสมของมันอย่างที่เขาว่า

แม้จะพยายามทำความเข้าใจสิ่งที่เขาพูดแล้ว แต่ก็ยังไม่วายเอ่ยด้วยน้ำเสียงแง่งอน “งั้นวีก็จะรอให้พี่ฮอว์คเฉลยความลับอย่างใจจดใจจ่อ”

“คงไม่เท่าพี่หรอกนางฟ้า” เฟอร์นันโดเอ่ยยิ้มๆ เขาต่างหากที่จดจ่อรอให้เธอพร้อมฟังความในใจ

“งั้นก็ถือว่าเรารอด้วยกันก็แล้วกันนะคะ”

ประโยคนั้นเรียกรอยยิ้มจากเฟอร์นันโดได้มากกว่าเดิม เพราะในความรู้สึกของเขามันช่างฟังดูดีเหลือเกิน ไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่เฝ้ารอ แต่เป็นการรอคอยร่วมกัน จึงเอ่ยกับคนตัวเล็กอย่างแสนอ่อนโยน “โอเค รอด้วยกัน”

บุรุษหนุ่มร่างสูงสง่าวัยสามสิบปีเต็มก้มลงมองสาวน้อยวัยสิบเจ็ดปีที่ยืนเงยหน้าขึ้นมองเขาเช่นกัน ทั้งคู่สบตากันนิ่งนานยิ่งกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ราวกับจะประทับทุกคำพูดของอีกฝ่ายเข้าไปในความทรงจำให้ล้ำลึกที่สุด ต่างรู้สึกราวกับว่าพันธสัญญาระหว่างกันได้เกิดขึ้นแล้ว พันธะแห่งการรอคอย

ดวงตาใสกระจ่างราวกับตากวางของคนตรงหน้าทำให้เฟอร์นันโดถึงกับสูดลมหายใจลึก ความไว้เนื้อเชื่อใจที่แฝงการรอคอยของน้องน้อยแทบจะทำให้เขาหมดความยั้งคิด ร่ำร่ำจะคว้าเธอเข้ามากอดแล้วมอบสัมผัสแห่งความปรารถนาให้เสียเดี๋ยวนี้ อยากจะเผยความในใจออกไปให้เธอรู้ชัดแจ้ง แต่ก็ได้แต่ข่มใจลงอย่างยากเย็น

“เอาละ แม่เองก็คงจะรอพวกเราอยู่เหมือนกัน ไปกินข้าวกันดีกว่า หิวหรือยัง แม่บอกว่าก่อนวีมาที่นี่ แม่ชวนกินอะไรรองท้องก่อน แต่วีก็ไม่กินไม่ใช่เหรอ” เฟอร์นันโดพยายามเบี่ยงความสนใจของตัวเองไปยังเรื่องอื่นบ้าง ไม่ใช่คิดแต่จะทำมิดีมิร้ายนางฟ้าเพียงอย่างเดียว

“ตอนนั้นเพลียๆ ค่ะ ก็เลยไม่ค่อยหิว แต่ตอนนี้เริ่มหิวแล้ว”

“งั้นไปบ้านกัน ใกล้มื้อค่ำพอดี แม่คงสั่งคนเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วละ หิวมากไหม”

“นิดหน่อยค่ะ”

ชายหนุ่มพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ ก่อนจะเดินนำออกจากกระท่อม เขาปีนลงบันไดไปก่อน และยืนรอจนกระทั่งวีรินทร์ปีนตามลงไปยืนที่พื้นเรียบร้อยแล้ว จึงเดินเคียงกันตรงไปยังคฤหาสน์เดรอสซี

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น