4

บทที่ 4


4

วีรินทร์สบตาคมกล้าสีสนิมของเฟอร์นันโดเนิ่นนานราวกับถูกสะกด กระแสเข้มข้นที่อีกฝ่ายส่งผ่านมากับแววตาคู่คมทำให้สาวน้อยวัยแรกรุ่นสะเทิ้นเขินอายจนวางตัวแทบไม่ถูก เธอสูดลมหายใจลึกและเสมองไปทางอื่นเพื่อลดความประหม่า และเพื่อซ่อนแววตาหวั่นไหวของตัวเองจากดวงตาคมกริบของอีกฝ่ายด้วย

“นี่ของวีจ้ะ” เฟอร์นันโดเอ่ยพร้อมกับยื่นมือไปตรงหน้าสาวน้อย

ประโยคนั้นทำให้วีรินทร์จำต้องหันกลับไปสบตาอีกฝ่าย เพราะไม่อย่างนั้นคงจะถือว่าเสียมารยาทจนเกินไป “อะไรเหรอคะ”

“ของขวัญวันเกิดของเรายังไงล่ะ” เฟอร์นันโดตอบพร้อมทั้งมองเธอนิ่งนานแบบเดิม

“แต่ว่าพี่ฮอว์คก็ส่งของขวัญไปให้วีแล้วนี่คะ” สาวน้อยแย้งขึ้นมาบ้าง เพราะก่อนหน้านี้สร้อยข้อมือแบบน่ารักจากเฟอร์นันโดถูกส่งไปถึงเธอที่เมืองไทยในวันเกิดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“นั่นก็อีกส่วนหนึ่ง แต่อันนี้พี่อยากมอบให้วีด้วยมือพี่เอง” ชายหนุ่มหยุดพูดนิดหนึ่งคล้ายจะชั่งใจ แต่แล้วก็ตัดสินใจพูดต่อ “ความจริงพี่อยากจะให้ตั้งแต่วันนั้นแล้วละ แต่คิดว่าตอนนั้นมันเร็วเกินไป แต่ตอนนี้นางฟ้าของพี่อายุสิบแปดแล้ว ถือว่าเป็นโตขึ้นมาอีกนิด พี่คิดว่าให้เราเก็บสิ่งนี้ไว้ได้แล้ว”

แม้น้ำเสียงของฝ่ายนั้นจะเรียบเรื่อย แต่แววตาคมกล้าเสียจนสาวน้อยวัยใสสะเทิ้นเขินอายจนแทบวางตัวไม่ถูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเท้าความถึงความใกล้ชิดที่บังเอิญเคยเกิดขึ้นระหว่างเขากับเธอ แค่คำว่าวันนั้น ทั้งเขาและเธอก็ไม่อาจคิดว่าเป็นวันอื่นไปได้ นอกจากวันที่เธอนอนหนุนตักเขาแล้วลุกพรวดพราดจนเซและเกือบล้มถ้าเขาไม่คว้าตัวเอาไว้นั่นเอง วันที่ทำให้สายตาที่เธอมองเฟอร์นันโดเริ่มเปลี่ยนไปเช่นกัน เหตุการณ์ที่ทำให้เธอรู้สึกว่าเขาเป็นผู้ชายคนหนึ่ง ไม่ใช่พี่ชายที่ใจดีต่อเธอเป็นพิเศษอย่างที่ผ่านมา

เฟอร์นันโดมองแก้มนวลที่ซับสีระเรื่อของสาวน้อยด้วยสายตาดื่มด่ำ อยากจะเอื้อมมือไปดึงเธอมากอดไว้แนบอกเหมือนที่บังเอิญมีโอกาสได้ทำในครั้งหนึ่ง แต่ก็พร่ำบอกตัวเองว่ายังไม่ถึงเวลา ดังนั้นสิ่งที่พญาเหยี่ยวเลือกทำจึงไม่ใช่การดึงเธอเข้ามากอดตามเสียงเรียกร้องของหัวใจ แต่เป็นการกระตุ้นเตือนสาวน้อยอีกครั้ง “รับไปสิจ๊ะวี”

วีรินทร์ยื่นมือออกมารับสิ่งที่อีกฝ่ายยื่นให้ในที่สุด ดวงตาสีน้ำตาลมองของในมืออย่างไม่เข้าใจนัก แล้วจึงเงยหน้าขึ้นสบตากับคนที่มอบมันให้เธอราวกับจะตั้งคำถาม และก็ได้รับรอยยิ้มอ่อนโยนและคำเฉลยจากเขากลับมา

“คีย์การ์ดห้องนี้ไงจ๊ะ”

“แล้ว...แล้วพี่ฮอว์คให้วีทำไมคะ”

“พี่ซื้อที่นี่มาด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง มันเป็นของพี่จริงๆ ไม่ใช่สิ่งที่ได้มาจากเดรอสซีเหมือนอย่างอื่น บ้านบนต้นไม้เป็นรังที่พ่อสร้างให้พี่ แต่ที่นี่เป็นรังที่พี่สร้างของพี่เอง รังที่พี่อยากให้วีมีส่วนร่วม อยากให้มันเป็นรังของพี่ ของวี รังของเรา”

ดวงตาของวีรินทร์เบิกกว้างอย่างเก็บอาการไม่อยู่ หัวใจของสาวน้อยเต้นโลดแรงจนเจ้าตัวกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน ความชื่นชมที่มีต่อเขาทำให้เธออดคิดไม่ได้ว่าอาจจะเป็นการตีความเข้าข้างตัวเองว่าเฟอร์นันโดมีความรู้สึกพิเศษให้ แม้จะ

ไม่มีคำว่า ‘รัก’ หรือ ‘ชอบ’ ปนมาสักคำ แต่คำว่า ‘ของเรา’ ก็ทำให้หัวใจพองฟูจนบรรยายไม่ถูก แต่วัยที่น้อยนิดทำให้อยากจะขอความมั่นใจจากเขาอีกหน่อย

“ละ...แล้ว...แล้วให้วีจะดีหรือคะ อีกอย่างวีก็ไม่ได้อยู่ที่อิตาลี ไม่รู้ว่าจะได้ใช้หรือเปล่า”

“ก็แล้วถ้าไม่ให้เราจะให้พี่เอาไปให้ใคร พี่ไม่เคยคิดจะมอบให้คนอื่นสักครั้ง พี่สร้างที่นี่ขึ้นมาเพื่อเรา ระยะหลังมานี่พี่มักจะอยู่ที่นี่เพราะมันใกล้บริษัทมากกว่า อีกอย่าง พี่อยากอยู่ในที่ที่คิดว่ามันเป็นของพวกเรา มันอาจจะไม่ใหญ่โตเท่าคฤหาสน์เดรอสซี แต่พี่ก็พยายามเลือกสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดสำหรับเรา ตอนนี้พี่อาจจะมีให้เราเพียงเท่านี้ แต่พี่สัญญาว่าต่อไปพี่จะพยายามให้มากยิ่งขึ้นไปอีก ถ้าเราให้โอกาส”

“พี่ฮอว์ค” วีรินทร์อุทานเรียกชายหนุ่มอย่างคาดไม่ถึง คำพูดแต่ละคำของเฟอร์นันโดนั้นราวกับว่าเธอสูงค่าเหลือเกิน คนอย่างเขาจำเป็นด้วยหรือที่ต้องขอโอกาสจากใคร ที่ผ่านมาเธอเห็นแต่คนอื่นต่างหากที่ตะเกียกตะกายขอโอกาสจากเขา

ดวงตากลมโตสีน้ำตาลที่มองสบกับดวงตาลุ่มลึกคมกล้าของชายหนุ่มไหวระริกตามความอ่อนเดียงสา เรียกความเอ็นดูจากคนตัวโตได้อย่างเหลือแสน แม้จะรู้ดีว่ายังไม่ถึงเวลาที่สมควร แต่เฟอร์นันโดก็อยากจะย้ำให้วีรินทร์รู้ว่าทุกสิ่งที่เขาเตรียมไว้ ก็เพื่อเธอเพียงคนเดียว

“พี่อยากให้วีใช้มันเปิดเข้ามาหาพี่ในวันที่เราพร้อม ส่วนพี่...พี่จะรอ และขอสัญญาว่าที่นี่จะเป็นของวีอย่างแท้จริง นอกจากแม่กับจูน จะไม่มีผู้หญิงคนไหนได้เหยียบย่างเข้ามาอีก คีย์การ์ดยู่กับวี...วีสามารถพิสูจน์ได้ตลอดเวลาว่าพี่พูดจริงหรือเปล่า”

“พี่ฮอว์ค...” วีรินทร์ทำได้เพียงครางเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงแผ่ว ราวกับว่าไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่าการเรียกชื่อเขา ทั้งปลาบปลื้ม เขินอาย รวมทั้งหวามไหว รู้สึกเหมือนทั้งหัวใจบินไปซบอยู่แทบเท้าเฟอร์นันโดจนไม่เหลือเป็นของตัวเอง

จริงอย่างที่เขาพูดเมื่อสักครู่ เธอโตขึ้นอีกนิด แม้จะนิดหน่อย แต่ก็พอจะทราบความนัยที่เขาส่งมา ระหว่างเธอกับเขา ไม่ใช่เด็กชายเฟอร์นันโดและเด็กหญิงวีรินทร์อีกต่อไปแล้ว แต่เป็นผู้ชายคนหนึ่งและผู้หญิงคนหนึ่ง

“ให้โอกาสพี่นะ”

น้ำเสียงเว้าวอนอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนทำให้สาวน้อยเขินอายจนบรรยายไม่ถูก เธอไม่เคยเห็นเฟอร์นันโดในแง่มุมนี้มาก่อนเลย ตื่นเต้นเสียจนมือไม้สั่นไปหมด

“นะ” เฟอร์นันโดเอ่ยขออีกครั้งเมื่ออีกฝ่ายเอาแต่หลบตา

ความตื่นเต้นบวกกับความเขินอายทำให้วีรินทร์ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปาก ได้แต่พยักหน้ารับเบาๆ แบบไม่สบตา กำมือสลับกับคลายออกครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะไม่รู้จะทำอะไรได้ดีกว่านั้น

เฟอร์นันโดมองคนที่เอาแต่ก้มหน้าด้วยความเอ็นดู เขามองมือเล็กที่เหมือนจะสั่นนิดๆ ที่เจ้าตัวกำแล้วคลาย คลายแล้วกำ สลับกันไปมาแล้วก็พอจะรู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ในอารมณ์เช่นไร นางฟ้าของเขายังเยาว์วัยเหลือเกิน แถมยังไม่เคยข้องแวะเรื่องรักๆ ใคร่ๆ มาก่อน อยู่ๆ ก็ถูกฝากรักแบบกะทันหัน คงจะตกใจอยู่ไม่น้อยกระมัง แต่ถึงกระนั้นก็ยังให้โอกาสเขาอย่างน่าชื่นใจเหลือเกิน

เขาคิดพลางเอื้อมไปดึงมือเล็กมากุมไว้ในอุ้งมืออบอุ่นของตน ราวกับต้องการปลอบประโลมให้คลายความตื่นเต้น “ขอบใจนะจ๊ะนางฟ้า” เฟอร์นันโดเอ่ยจบก็ยกมือน้อยขึ้นจุมพิตเบาๆ

สัมผัสในเชิงพิศวาสที่ได้รับเป็นครั้งแรกทำให้วีรินทร์ถึงกับสั่นไปทั้งตัว ถึงแม้ว่าจุมพิตของเฟอร์นันโดจะสุภาพและแผ่วเบา ไม่มีลักษณะของการจาบจ้วงลวนลามแม้แต่น้อย แต่ก็มีอานุภาพมากพอให้สาวน้อยที่เพิ่งเรียนรู้อารมณ์รักสะท้านไหวไปทั้งหัวใจ เธอมองคนที่มอบจุมพิตให้ด้วยดวงตาไหวระริก ความอ่อนเดียงสาทำให้ไม่รู้จักเก็บงำหรือซ่อนเร้นความหวั่นไหว เปิดเปลือยหัวใจผ่านไปทางแววตาจนหมดสิ้น ความชื่นชมที่สั่งสมมายาวนานทำหัวใจเอนเอียงเข้าหาเฟอร์นันโดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอรู้ว่าอีกฝ่ายมีใจเสน่หาต่อตนเอง สาวน้อยที่อ่อนด้อยประสบการณ์รักอย่างวีรินทร์ก็เทหัวใจให้เขาไปทั้งดวง

“เข้าใจหรือยังว่าทำไมพี่ถึงอยากให้เราตั้งใจเรียน แล้วทำไมถึงอยากให้เรามาเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่นี่”

“เข้าใจแล้วค่ะ” วีรินทร์ตอบเสียงเบาแทบไม่พ้นลำคอ

“แล้วตัดสินใจยังไงจ๊ะ มาอยู่ที่นี่เถอะนะนางฟ้า ห่างกันแบบที่ผ่านมามันทรมานเหลือเกิน”

เวลาที่คนซึ่งเคยเคร่งขรึมอยู่เสมอออดอ้อนขึ้นมา มันทำให้หัวใจของคนถูกเว้าวอนแทบละลายลงไปเลยทีเดียว ก็เลยอุบอิบตอบแบบไม่กล้ามองหน้าตามเคย “วีต้องปรึกษาพ่อกับแม่ก่อนค่ะ”

“ให้พี่คุยกับอามาร์คอาเหมียวเองดีไหม” เฟอร์นันโดเสนอทางเลือก

คราวนี้สาวน้อยรีบเงยหน้าขึ้นปฏิเสธทันทีทันใด “ไม่นะคะ ไม่เอา”

เฟอร์นันโดขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นท่าทีตกใจของคนตรงหน้า ใบหน้าคมคายเริ่มกลับมาเคร่งขรึมเมื่อสังเกตว่าวีรินทร์ทำราวกับว่าไม่อยากให้ใครล่วงรู้เรื่องของเขากับเธอ น้ำเสียงที่สอบถามก็เรียบเย็น “ทำไม”

“วียังไม่อยากให้คนอื่นรู้เรื่องนี้ค่ะ” สาวน้อยอ้อมแอ้มตอบ

“ทำไม” ชายหนุ่มก็ยังถามด้วยคำถามเดิม

“มัน...ทุกอย่างมันกะทันหันเกินไปค่ะ คือว่า...วีวางตัวไม่ถูกค่ะถ้าคนอื่นๆ จะมองพวกเราต่างจากที่ผ่านมา” เธอหยุดพูดไปครู่หนึ่ง ใบหน้าก้มต่ำกว่าเดิมคล้ายๆ ว่ากำลังรู้สึกผิด “ที่สำคัญ วียังเรียนไม่จบเลยค่ะ วีเกรงใจพวกผู้ใหญ่”

คำอธิบายของวีรินทร์ทำให้เฟอร์นันโดถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ ความที่อยากครอบครองวีรินทร์โดยเร็วที่สุดทำให้เขามองเรื่องราวต่างๆ จากในมุมของตัวเองเสียเป็นส่วนใหญ่ จนลืมมองในมุมของวีรินทร์บ้าง เขาเป็นผู้ใหญ่และรับผิดชอบชีวิตตัวเองได้เป็นอย่างดีมานานแล้ว แต่นางฟ้าของเขายังปีกอ่อนนัก ไม่เคยโผบินด้วยตัวเองสักครั้ง ที่ผ่านมาก็มีคนคอยประคับประคองอยู่ตลอด ยิ่งมองในมุมของผู้ปกครองก็ต้องยิ่งเห็นว่าวีรินทร์ยังเด็กเหลือเกิน

ถ้าวีรินทร์ไม่พูดขึ้นมา เขาคงลืมคิดไปเลยว่า หากบรรดาผู้ใหญ่รู้ว่าเขาคิดกับวีรินทร์ในเชิงชู้สาว คงไม่มีทางปล่อยให้เธอมาคลุกคลีตีโมงกับเขาง่ายๆ เหมือนที่ผ่านๆ มาอย่างแน่นอน ทุกวันนี้ทุกคนยังคงคิดว่าเขารู้สึกกับวีรินทร์เหมือนเหมือนเช่นที่รู้สึกกับจูเลียตผู้เป็นน้องสาว ถึงไม่เคยท้วงติงเรื่องความใกล้ชิดของเขาและเธอเลยสักครั้ง

ยิ่งคิดก็ยิ่งหนักใจ แทบไม่มีปัญหาอะไรที่คนอย่างเขาจัดการไม่ได้ แต่ปัญหาที่วีรินทร์เป็นผู้เยาว์นี่ เขาทำได้เพียงแค่ข่มใจรอคอยเท่านั้นเอง

ส่วนวีรินทร์เมื่อเห็นชายหนุ่มเงียบไปก็รู้สึกกระวนกระวายจนบอกไม่ถูก เธอรู้จักนิสัยของเฟอร์นันโดดี คนอย่างเขา ทำอะไรก็สง่าผ่าเผยเสมอ จะให้ซ่อนเร้นปิดบังก็คงจะไม่ชอบใจนัก จึงพลิกมือกลับไปเป็นฝ่ายกุมมือเขาบ้าง เขย่าเบาๆ พร้อมทั้งออดอ้อนอย่างที่เคยทำ “นะคะพี่ฮอว์ค...นะ...นะคะ อย่าเพิ่งบอกใครได้ไหม”

เฟอร์นันโดมองดวงตากลมโตที่ฉายแววกังวลแล้วได้แต่ถอนหายใจยืดยาว “แล้วพี่เคยขัดใจเราหรือเปล่าล่ะ หือ?”

เพียงเท่านั้นนางฟ้าก็ยิ้มออก ดวงตากลับมาใสกระจ่างระยิบระยับอย่างเคย เล่นเอาคนที่จับตามองอยู่ใจแกว่งไปเหมือนกัน

“เข้าใจที่พี่บอกเราตอนนั้นบ้างหรือยัง” ชายหนุ่มกระซิบถามเสียงแผ่ว ดวงตาที่เคยเย็นชาเป็นนิตย์ เวลานี้กลับแฝงความร้อนรุ่มของอารมณ์เสน่หาที่เจ้าตัวพยายามข่มมันลงอย่างสุดฤทธิ์

“ระ...เรื่องไหนคะ”

“ก็ที่ว่าพี่ทรมานกว่าเราเยอะไงล่ะ รีบโตเร็วๆ นะนางฟ้า อย่าให้พี่รอนาน”

สาวน้อยเสหลบตาด้วยความเอียงอาย เรื่องแบบนี้ยังใหม่สำหรับเธอเหลือเกิน ก็เลยไม่รู้ว่าจะโต้ตอบเขาอย่างไร

เฟอร์นันโดเห็นท่าทางของสาวน้อยก็พลันรู้สึกว่าตัวเองอาจจะกดดันเธอมากเกินไป จึงพยายามลดความเครียดให้อีกฝ่าย “แต่ถึงมันจะทรมาน แต่พี่ก็เต็มใจนะ ในเมื่อเรารับปากแล้ว พี่ก็มั่นใจว่ามันเป็นการรออย่างมีจุดหมาย ไม่ใช่เลื่อนลอยแบบที่ผ่านๆ มา พี่จะรอวันที่เราได้อยู่ด้วยกันนะ อย่าปล่อยให้พี่รอเก้อนะจ๊ะนางฟ้า”

วีรินทร์เงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่าย แม้น้ำเสียงของเขาจะแฝงแววเว้าวอน ทว่าดวงตากลับคมกล้าราวกับกำลังออกคำสั่ง มันอาจเป็นความเคยชินของคนที่มีอำนาจอยู่ในมือมาตลอดก็ได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นการขอร้องหรือบังคับ เธอก็ไม่คิดจะขัดขืนแต่อย่างใด จึงได้แต่พยักหน้ารับอีกครั้ง

เฟอร์นันโดยิ้มด้วยความพอใจเมื่ออีกฝ่ายตกปากรับคำ แม้จะไม่เอ่ยออกมาเป็นวาจา แต่แค่ภาษากายก็ชื่นใจจนเกินพอ และคิดว่าที่เอ่ยออกไปไม่ได้เกินจริงแม้แต่น้อย เมื่อรู้ว่ามีจุดหมาย การรอคอยก็ไม่ถือว่าทรมานจนเกินไปนัก ทว่าสิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยก็คือ คนที่รับปากเป็นมั่นเหมาะจะปล่อยให้เขารอเก้อ...

 

เฟอร์นันโดมองโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะนิ่งนาน ไม่บ่อยครั้งนักที่คนอย่างเขารู้สึกลังเลเวลาที่จะทำอะไรสักอย่าง พูดไปใครจะเชื่อว่าพญาเหยี่ยวแห่งเดรอสซีกำลังตรองไม่ตกว่าควรโทรศัพท์ไปหาผู้หญิงที่ตัวเองรักดีหรือไม่ ดวงตาคู่คมหม่นลงเมื่อนึกถึงการสนทนาครั้งล่าสุดของตนเองกับวีรินทร์

ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึก เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ตัวโตแล้วหลับตาลงราวกับเหนื่อยล้าเหลือแสน ไม่อยากจะยอมรับว่ากลัว สถานการณ์ในตอนนี้เหมือนจะตอกย้ำในสิ่งที่เขาเคยกังวลมาตลอด นั่นก็คือความห่างไกล และหัวใจที่เปลี่ยนแปร ในขณะที่เขายึดมั่นในคำสัญญาและรอคอยอย่างภักดี วีรินทร์จะเป็นเหมือนกันหรือเปล่า เวลาที่อยู่ไกลห่างกันมีใครเข้ามาทำให้เธอไหวหวั่นหรือไม่

เพราะอะไรระหว่างเขากับเธอถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ แค่ไม่กี่เดือนหลังจากที่วีรินทร์รับปากว่าจะให้โอกาสเขาเท่านั้นเอง จากที่เคยโทร. หากันทุกวัน ก็กลับกลายเป็นนานๆ ครั้ง แถมระยะหลังมานี้ก็มีแต่เขาที่เป็นฝ่ายโทร. ไปหาก่อน

แต่อะไรก็ไม่ทำให้เขาคิดมากเท่ากับท่าทีที่ดูเหมือนว่าวีรินทร์ไม่เต็มใจสนทนาด้วย การถามคำตอบคำ ตัดบทการสนทนา จนถึงขั้นไม่รับสายในบางครั้ง ทุกอย่างล้วนแต่ทำให้เขาต้องมานั่งคิดหนักอยู่ในขณะนี้

แต่ที่สุดแล้วความคิดถึงและความโหยหาก็ชนะความลังเลและน้อยใจ เขาพยายามปลอบใจตัวเองว่าอาจจะเป็นเพราะวีรินทร์กำลังยุ่งเรื่องการเรียนก็เป็นได้ ชายหนุ่มเหลือบมองนาฬิกา เมื่อเทียบเวลาแล้วว่าที่เมืองไทยน่าจะเป็นเวลาประมาณสองทุ่ม หากโทร.ไปตอนนี้คงจะไม่รบกวนนางฟ้าของเขาเกินไปกระมัง จึงตัดสินใจคว้าโทรศัพท์มาโทร. หาคนที่คิดถึงทุกลมหายใจทันที นั่งฟังเสียงสัญญาณรอสายอยู่นานจนเกือบจะท้อใจกว่าจะได้ยินเสียงใสๆ ผ่านมาตามสาย

“สวัสดีค่ะ”

“สวัสดีจ้ะนางฟ้า” น้ำเสียงเรียบๆ ที่ไม่ได้แฝงความยินดีที่เขาโทร. มาหา ซึ่งต่างจากเมื่อก่อนลิบลับทำให้เฟอร์นันโดรู้สึกหน่วงๆ ในอกอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ยังพยายามชวนสนทนาต่อ “วีทำอะไรอยู่เหรอ”

“กำลังจะอ่านหนังสือค่ะ”

คำตอบสั้นๆ และไม่มีการชวนสนทนาต่อของอีกฝ่ายทำให้ชายหนุ่มเจ็บแปลบไม่น้อย เสียงที่ถามต่อจึงแผ่วเบาผิดบุคลิก “พี่โทร. มากวนหรือเปล่า”

อีกฝ่ายไม่ได้ปฏิเสธหรือตอบรับ แต่ว่ากันว่าการเงียบก็คือการยอมรับแบบหนึ่ง ทำเอาคนที่เคยชาญฉลาดมาตลอดแทบจะไปต่อไม่เป็น จะตัดพ้ออะไรก็ไม่ถนัดปากนัก เนื่องจากตนเองเคยกำชับให้วีรินทร์ตั้งใจเรียนให้ดี และทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ใช่คนช่างพูด แต่ก็รู้ดีว่าวัยของวีรินทร์ยังน้อยนิด แถมประสบการณ์ชีวิตก็ไม่มาก จะให้เธอเข้าใจทุกอย่างผ่านแค่การกระทำของเขาอย่างเดียวคงไม่ได้ บางทีก็จำเป็นต้องเอ่ยออกไปตรงๆ

พญาเหยี่ยวแห่งเดรอสซีจึงทำอะไรหลายอย่างที่ไม่ใช่นิสัยของตัวเองสักนิด พยายามจะปรับตัวเพื่อลดช่องว่างระหว่างเขากับเธอให้ได้มากที่สุด “ขอโทษนะที่พี่โทร. มากวน เพียงแต่พี่...พี่แค่คิดถึงเรามาก”

ได้โปรดปฏิเสธสิว่าเขาไม่ได้รบกวน ได้โปรดเอ่ยให้ชื่นใจสักนิดว่าเธอเองก็คิดถึงเขาเช่นกัน เฟอร์นันโดภาวนาอยู่ในใจ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาก็ยังเป็นเพียงแค่ความเงียบงัน แต่เขาก็ยังดึงดันไม่ยอมวางสาย เพียงรู้ว่าปลายสายคือวีรินทร์ แม้เธอจะไม่พูด เขาก็ยังยินดีที่จะฟัง แม้จะเป็นแค่เสียงลมหายใจของเธอก็ตามที

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ขอไปอ่านหนังสือได้ไหมคะ” วีรินทร์เอ่ยขึ้นเมื่อความเงียบดำเนินไปได้สักพัก

เฟอร์นันโดเม้มปากนิดหนึ่ง แต่ก็พยายามทำความเข้าใจอีกฝ่าย “โอเคจ้ะ งั้นพี่ไม่กวนแล้ว เอาไว้เจอกันต้นเดือนหน้านะนางฟ้า พี่จะรอนะ”

“ค่ะ” สาวน้อยรับคำสั้นๆ ก่อนจะวางสายลง

เฟอร์นันโดยังคงถือโทรศัพท์แนบหูอยู่อย่างนั้นแม้ว่าอีกฝ่ายจะวางสายไปแล้ว ก่อนจะลดมันลงแล้ววางลงที่โต๊ะ หลับตาและสูดลมหายใจลึก พยายามปลอบตัวเองว่าวีรินทร์คงกำลังมุ่งมั่นกับการเรียน และอีกไม่นานก็คงจะได้พบกัน มาร์คัสมีกำหนดการพาครอบครัวมาอิตาลีตอนต้นเดือนหน้าเหมือนๆ ทุกปี ถึงเวลานั้นเขากับเธอคงจะมีเวลาสานสัมพันธ์ให้ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจหลอกตัวเองได้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับวีรินทร์ยังปกติดีเหมือนเดิม

 

เฟอร์นันโดบอกตัวเองไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไรเมื่อกลับมาถึงบ้านแล้วพบว่าวีรินทร์ไม่ได้เดินทางมาอิตาลีพร้อมกับบุพการีของเธอ เขาสู้อุตส่าห์ออกจากบริษัทก่อนเวลาอย่างที่ไม่ค่อยได้ทำบ่อยนัก เนื่องจากรู้ว่านางฟ้าของเขาจะเดินทางมาถึงวันนี้ เขาคาดหวังว่าเธอจะมารออยู่ที่บ้านเหมือนอย่างทุกครั้ง จึงยอมทิ้งงานออกมาก่อนเวลา แต่ปรากฏว่าเหตุการณ์ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด แต่ถึงกระนั้นก็ยังแอบตั้งความหวังว่าเธออาจจะมารับประทานอาหารค่ำกับครอบครัวเขาพร้อมกับมาร์คัสและวิฬาร์ ตามที่ฝ่ายนั้นนัดหมายกับบิดามารดาของเขาเอาไว้

“วีล่ะครับ” พญาเหยี่ยวแห่งเดรอสซีกวาดตามองจนแน่ใจว่าไม่เห็นคนที่รอคอย จึงยิงคำถามทันทีที่ทุกคนทักทายกันเรียบร้อยแล้ว

“แองจี้ไม่ได้มาด้วยครับ”

“ไม่ได้มา? อยู่คุยกับคุณปู่คุณย่าเหรอครับ” เฟอร์นันโดซักอีก ตั้งใจว่าหากเป็นเช่นนั้นเขาจะเป็นฝ่ายไปหาวีรินทร์ที่บ้านเลติอาร์นีเอง

“เปล่าครับนายน้อย คราวนี้แองจี้ไม่ได้มาอิตาลีด้วยน่ะครับ” มาร์คัสอธิบายเพิ่มเติม

หัวใจของเฟอร์นันโดกระตุกวูบ บอกไม่ถูกว่าโกรธหรือเสียใจมากกว่ากัน ทว่าความจัดเจนในการควบคุมอารมณ์ทำให้เขาไม่ได้แสดงท่าทีให้คนอื่นๆ ผิดสังเกต สอบถามมาร์คัสต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยเหมือนชวนคุยตามปกติ “ทำไมเขาไม่มาด้วยล่ะครับ”

“เห็นว่าจะมีสอบน่ะครับ ก็เลยอยากอ่านหนังสืออยู่ที่บ้าน”

“อ้อ อย่างนี้นี่เอง” เฟอร์นันโดรับคำสั้นๆ เหมือนเข้าใจทุกอย่าง แต่ในใจไม่เชื่อเลยสักนิด ด้วยเหตุผลแค่นี้น่ะหรือ วีรินทร์ถึงกับยอมทิ้งโอกาสที่จะได้พบกัน หากทุกอย่างยังปกติ เธอจะต้องหอบหนังสือที่ว่ามาออดอ้อนให้เขาช่วยติวให้ต่างหากล่ะ ตอนนี้เขาสรุปได้อย่างเดียวว่า เธอเจตนาหลบหน้า!

ความคิดดังกล่าวทำให้ร้อนรุ่มไปทั้งอก ทว่าเจ้าของใบหน้าคมคายก็ยังสงบนิ่งแบบที่ใครๆ เดาอารมณ์ไม่ออกตามเคย จากนั้นก็นิ่งเงียบ ไม่ได้ซักไซ้อะไรอีก ปล่อยให้คนอื่นๆ สนทนากันไป ท่าทีเช่นนั้นก็ไม่ทำให้ใครสงสัยอะไร เพราะปกติเขาก็เงียบขรึมอยู่แล้ว

“เอาละ ไปกินข้าวกันดีกว่า กินไปคุยไปก็แล้วกัน ดีไหมคะ” ศิรวัสสาชักชวนเมื่อเห็นว่าถึงเวลารับประทานอาหารแล้ว

“ดีเหมือนกัน ไป ไปกินข้าวกัน” ฟรานเชสโกเห็นด้วยกับภรรยา จึงหันไปชักชวนทุกๆ คนไปยังห้องอาหาร

ขณะที่ทุกคนกำลังขยับตัวลุกขึ้น เฟอร์นันโดก็เอ่ยขอตัวขึ้นก่อน “ถ้ายังไงผมคงต้องขอตัวนะครับ พอดีมีงานต้องสะสางนิดหน่อย”

“มีอะไรด่วนเหรอฮอว์ค” ฟรานเชสโกถามด้วยความแปลกใจ

“นั่นสิ กินข้าวก่อนไม่ดีกว่าหรือลูก” ศิรวัสสาท้วงอีกคน

“ไม่มีอะไรมากหรอกครับ เพียงแต่ผมอยากเคลียร์อะไรนิดหน่อยครับ ไม่ต้องห่วงนะครับแม่ เมื่อตอนบ่ายผมกินของว่างเยอะไปหน่อย ก็เลยไม่ค่อยหิวเท่าไร เชิญทุกคนตามสบายเลยครับ ไม่ต้องเป็นห่วงผม” เฟอร์นันโดยิ้มอ่อนให้ทุกคนราวกับจะย้ำไม่ให้กังวล

“งั้นก็ตามใจจ้ะ” ศิรวัสสายอมตามใจบุตรชายแต่โดยดี ก่อนจะหันไปชักชวนทุกๆ คนไปรับประทานอาหารอีกครั้ง คนอื่นๆ ที่เหลือจึงเดินตามเจ้าของบ้านไปยังห้องอาหาร

พอทุกคนเดินไปจนลับตาแล้ว เฟอร์นันโดก็เคร่งขรึมยิ่งกว่าเก่า ชายหนุ่มก้าวฉับๆ ขึ้นบันไดเพื่อตรงไปยังห้องส่วนตัวทันที พอไปถึงก็คว้าเอาโทรศัพท์มากดไปยังเลขหมายที่จำได้ขึ้นใจแบบไม่มีลังเล ตั้งใจจะซักไซ้เอาความให้ได้ว่าทำไมวีรินทร์ถึงไม่เดินทางมาที่นี่พร้อมกับครอบครัวของเธอ

เสียงรอสายที่ดังครั้งแล้วครั้งเล่าโดยปราศจากผู้รับจนกระทั่งตัดสายไปในที่สุดทำให้พญาเหยี่ยวถึงกับบดกรามแน่น เขากดโทร. ออกอีกครั้ง แต่ผลลัพธ์ก็เป็นแบบเดิม คนที่ไม่เคยเผชิญกับการถูกปฏิเสธมาก่อนแทบจะทนกับความรู้สึกที่กำลังเผชิญอยู่ไม่ได้ เขากำโทรศัพท์ในมือแน่นราวกับจะบีบให้มันแหลกลาญเพื่อระบายอารมณ์ ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกก่อนจะตัดสินใจยกโทรศัพท์ขึ้นมากดโทร. ออกอีกครั้ง คราวนี้รออยู่ไม่นานอีกฝ่ายก็รับสาย

“จัดการให้คนเตรียมเครื่องให้ผมหน่อยอันเดรียนา มะรืนนี้ผมต้องการไปเมืองไทย” เฟอร์นันโดออกคำสั่งทันทีที่อีกฝ่ายรับสาย ไม่มีการอารัมภบทให้มากความ

“แต่...นายน้อยคะ มะรืนนี้คุณมีนัดกับ...” อันเดรียนาพยายามอธิบายถึงนัดหมายที่คิดว่าผู้เป็นนายอาจจะลืม แต่ยังไม่ทันได้พูดจบก็ถูกอีกฝ่ายตัดบทเสียก่อน

“เลื่อนไปก่อน ช่วยจัดตารางงานให้ผมใหม่ด้วย จะทำยังไงก็ได้ ผมมีเวลาวันพรุ่งนี้ให้คุณอีกวัน อะไรเร่งด่วนให้รวบเข้ามาพรุ่งนี้ให้หมด แต่ไม่ว่าจะยังไง มะรืนนี้ผมต้องได้ไปเมืองไทย!”

น้ำเสียงเน้นหนักของผู้เป็นนายทำให้อันเดรียนารู้ว่าทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามที่อีกฝ่ายบัญชา เวลานี้หัวสมองของเลขาฯ สาวใหญ่จึงคิดอย่างเร็วจี๋เพื่อพยายามจัดการทุกอย่างให้เป็นไปตามที่อีกฝ่ายต้องการ

การนิ่งเงียบไปของผู้ใต้บังคับบัญชาทำให้เฟอร์นันโดรู้ว่าตัวเองกำลังกดดันอีกฝ่ายไม่น้อย จึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงเล็กน้อย “ผมรู้ว่ามันคงทำให้คุณลำบากขึ้น แต่เรื่องนี้มันสำคัญสำหรับผมจริงๆ เอาเป็นว่าผมจะพยายามกลับมาให้เร็วที่สุดก็แล้วกัน”

อันเดรียนาได้ยินน้ำเสียงที่อ่อนลงของผู้เป็นนายแล้วก็แน่ใจว่านี่คงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับอีกฝ่ายจริงๆ เฟอร์นันโดทุ่มเทเวลาให้แก่งานมากแค่ไหน คนใกล้ชิดแบบเธอย่อมรู้ดี ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร พอรู้ว่าเจ้านายจะไปเมืองไทย เธอก็อดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่าเรื่องนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับวีรินทร์ จะมีสักกี่คนกันเล่าที่ทำให้อารมณ์ของพญาเหยี่ยวกระเพื่อมไหวไม่ราบเรียบ เท่าที่เธอเคยเห็นมาก็มีเพียงแค่สาวน้อยคนนั้นเพียงคนเดียว

“ดิฉันจะจัดการให้เรียบร้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ค่ะ” อันเดรียนารับปากอย่างแข็งขัน

“ขอบคุณมากครับ อีกอย่างหนึ่ง...”

“มีอะไรเพิ่มเติมอีกคะ”

“ไม่ต้องแจ้งพ่อผมเรื่องนี้ ถ้าท่านถามว่าผมไปไหน ก็ให้บอกว่าไปเรื่องงานอื่น เรื่องอื่นๆ ถ้ามีปัญหาอะไรผมจะแจ้งท่านเอง คุณไม่ต้องกังวล”

คำสั่งนั้นทำให้อันเดรียนานิ่งไปครู่หนึ่ง ถึงแม้เฟอร์นันโดบอกว่าจะชี้แจงเรื่องนี้กับฟรานเชสโกเอง แต่เธอเชื่อว่าเขาจะไม่บอกกับผู้เป็นพ่อตามตรงแน่ๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่มากำชับเธอไว้ก่อน แม้จะไม่สบายใจนัก ทว่านับตั้งแต่ฟรานเชส

โกโอนให้เธอมาทำงานกับเฟอร์นันโด ก็เท่ากับว่าเวลานี้เจ้านายโดยตรงของเธอคือเขานั่นเอง หน้าที่ของเธอคือทำตามคำสั่งของเฟอร์นันโดเป็นลำดับแรก

“ทราบแล้วค่ะนายน้อย” เลขานุการผู้ทรงประสิทธิภาพรับคำหนักแน่น

“ขอบคุณมากครับอันเดรียนา”

เฟอร์นันโดวางสายลงแล้วก็พยายามทบทวนดูว่ามีงานไหนที่เร่งด่วนและต้องจัดการในวันพรุ่งนี้บ้าง เพราะต้องการเคลียร์งานให้ได้มากที่สุด เผื่อว่าจะมีเวลาที่เมืองไทยมากขึ้นอีกนิด พอนึกถึงภาระหน้าที่อันมากมายก็อดถอนใจไม่ได้ แต่ที่หนักอกยิ่งกว่าก็น่าจะเป็นเรื่องของวีรินทร์ ต่อให้งานยุ่งแค่ไหน เขาจำเป็นต้องไปคุยกับเธอให้รู้เรื่อง ไม่อย่างนั้นคงไม่มีสมาธิทำอย่างอื่น พลอยทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานแย่ยิ่งกว่าเก่า ชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง ไม่เคยคิดเช่นกันว่าวีรินทร์จะมีอิทธิพลต่อตัวเองมากถึงเพียงนี้

ชายหนุ่มยกโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายอีกครั้ง คราวนี้โทร. ไปหาคนที่เปรียบเสมือนมือขวาของตัวเอง “ซาน ฉันมีเรื่องให้แกจัดการให้หน่อย”

“เรื่องอะไรครับนายน้อย” ซานติโนสอบถามคนที่เป็นทั้งเจ้านายและเพื่อนรัก

“มะรืนนี้ฉันจะไปเมืองไทย ฉันอยากพบวีรินทร์ตามลำพัง แกช่วยจัดการเรื่องคนขับรถที่ไปรับเขาที่โรงเรียนให้ฉันหน่อย”

คำสั่งของผู้เป็นนายทำให้ซานติโนถึงกับขมวดคิ้วด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่ซักถามอะไร เพราะเฟอร์นันโดว่าอย่างไรเขาก็ว่าอย่างนั้น จึงรับคำสั่งทันที “ครับ”

บางทีอาจจะเป็นเพราะครั้งนี้วีรินทร์ไม่ได้เดินทางมาอิตาลีพร้อมกับครอบครัวกระมัง เจ้านายของเขาถึงต้องเดินทางไปหาเธอเอง ธรรมเนียมเหล่านี้เขาทราบดี เพราะทุกทีที่มาร์คัสมา บิดาของเขาก็มักจะพาครอบครัวมาสมทบ เพราะฟรานเชสโกอยากให้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน

“จัดการทุกอย่างให้เงียบหน่อยนะซาน”

“ครับนายน้อย” ซานติโนรับคำอย่างแข็งขัน รู้นัยของคำว่าเงียบของผู้เป็นนายได้เป็นอย่างดีว่าต้องการให้ทุกอย่างเป็นความลับนั่นเอง

“ขอบใจ” เฟอร์นันโดสั่งการเรียบร้อยก็วางสาย

พอวางสายจากเจ้านาย บอดีการ์ดหนุ่มก็ต่อสายข้ามทวีปไปยังประเทศไทยทันที จัดการเรื่องนี้ให้เฟอร์นันโดได้อย่างไม่ยากเย็นนัก เพราะเครือข่ายรักษาความปลอดภัยของเดรอสซีกรุ๊ปล้วนเชื่อมโยงกัน และตอนนี้ก็ขึ้นตรงกับริคาร์โดบิดาของเขานั่นเอง

“คิดจะถอนคำพูดงั้นเหรอ มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกนางฟ้า”

พญาเหยี่ยวพึมพำกับตัวเองเบาๆ เมื่อตระเตรียมแผนการทุกอย่างเรียบร้อย เขาถอยให้วีรินทร์มามากพอแล้ว มากจนเธอล้ำเส้นความอดทนของเขาจนเกินไป การหลบหน้าแบบไม่มีเหตุผลเช่นนี้มันเหมือนการตบหน้ากันชัดๆ

เอาเถอะ! แค่มะรืนนี้เท่านั้นเอง อีกเดี๋ยวเขาก็จะได้พบวีรินทร์แล้ว มาร์คัสกับวิฬาร์จะอยู่ที่อิตาลีอีกหนึ่งสัปดาห์ เขาคงพอจะมีเวลาส่วนตัวกับวีรินทร์บ้าง แต่เดินทางช่วงกลางสัปดาห์แบบนี้ เขาคงต้องไปพบวีรินทร์ในที่ที่ไม่อยากไปที่สุดสินะ คิดพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริงๆ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น