1

บทที่ 1

1


“ปัณไม่มีปัญหาอะไรค่ะ แล้วแต่ผู้ใหญ่จะเห็นเหมาะสม” 

เจ้าของเสียงหวานตอบคำถามผู้ใหญ่ด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ขณะที่ก้มหน้าเล็กน้อยด้วยความเขินอาย ดวงตากลมใสหลุบต่ำไม่กล้าสบตาว่าที่เจ้าบ่าว นิ้วเรียวสวยเกี่ยวเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนยาวสลวยซึ่งดัดเป็นลอน ล้อมกรอบดวงหน้าสวยหมดจดมาทัดใบหูแดงเรื่อ ส่งผลให้กายอรชรอ้อนแอ้นภายใต้เดรสปาดไหล่แขนตุ๊กตา ลายดอกไม้กระจุ๋มกระจิ๋มสีเหลืองมัสตาร์ดแลดูอ่อนหวานและน่าทะนุถนอม เหมาะกับการเป็นต้นแบบภรรยาในฝันของผู้ชายหลายๆ คน 

‘ปวีรา วัฒนานนท์’ น้อมรับความหวังดีจากผู้ใหญ่ด้วยการตอบตกลงแต่งงานกับ ‘อังกูร’ โดยดุษณี คุณหนูปัณไม่แสดงความไม่พอใจหรือสร้างความลำบากใจแก่ผู้ใหญ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง 

อังกูรเองก็ตอบรับเสียงนิ่งขรึมตามแบบฉบับ แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยมีปัญหากับใครอยู่แล้ว การแต่งงานกับปวีราไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายอะไร เธอเองก็น่ารักและอยู่ในโอวาทเขามาตลอด ที่สำคัญเขาและเธอไม่ต้องเสียเวลาศึกษานิสัยใจคอกันใหม่ เขาเชื่อว่ารู้จักตัวตนเธอมากพอ

“ในเมื่อหนูปัณไม่มีปัญหา พวกเราก็ยึดถือตามฤกษ์เดิมเลยก็แล้วกัน” ในเมื่อหนุ่มสาวไม่ขัดข้องก็ไม่มีเหตุให้ต้องยืดเวลากันอีกต่อไป ผู้ใหญ่จากตระกูลธาดาพิพัฒน์ซึ่งเป็นสกุลของเจ้าบ่าวเป็นฝ่ายเสนอ ทางตระกูลวัฒนานนท์ก็ไม่ขัดข้อง การประชุมเรื่องแต่งงานระหว่างอังกูรกับปวีราจึงจบลงในเวลาอันรวดเร็ว

เธอจะเล่นตัวให้เสียเวลาไปทำไม ในเมื่อการเป็นเจ้าสาวของอังกูรหรือ ‘พี่พร้อม’ คือสิ่งที่เธอใฝ่ฝันและอยากเป็นมาโดยตลอด

และในที่สุดมันก็เกิดขึ้นโดยที่เธอไม่ต้องลงทุนลงแรงสักนิด มีหน้าที่แค่พยักหน้าและทำตามความประสงค์ของผู้ใหญ่เท่านั้น 

สองเดือนต่อมา งานวิวาห์ระดับประเทศจึงถูกจัดขึ้นท่ามกลางเสียงฮือฮาในวงการธุรกิจหลักทรัพย์และวงสังคม ความอลังการและการจัดงานในเวลากระชั้นชิดถูกเนรมิตด้วยเม็ดเงินจำนวนมหาศาล แน่นอนว่าข่าวการเกี่ยวดองเป็นทองแผ่นเดียวกันของสองตระกูลดังย่อมสร้างความแตกตื่นและตื่นตัวในตลาดหุ้นอย่างไม่ต้องสงสัย เรียกได้ว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกหลายสิบตัว 

สื่อจากทุกสำนักต่างเกาะติดและนำเสนอข่าวของคู่แต่งงานที่เหมาะสมกันราวกิ่งทองใบหยก ลือกันว่าค่าตัวเจ้าสาวมูลค่ากว่าเก้าหลัก ยังไม่นับรวมเพชรนิลจินดาและที่ดินอีกกว่าพันไร่ ยิ่งไปกว่านั้นคือตัวเจ้าบ่าว ซึ่งเป็นหลานชายคนโตของตระกูลธาดาพิพัฒน์ ในแวดวงธุรกิจบริษัทหลักทรัพย์ไม่มีใครไม่รู้จักเขา

‘อังกูร ธาดาพิพัฒน์’ นักธุรกิจหนุ่มวัยสามสิบห้าปี เขาถือเป็นกรรมการผู้จัดการที่อายุน้อยที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา ต่อมาชายหนุ่มได้สืบทอดตำแหน่งกรรมการบริหารหรือประธานบริษัทจากผู้เป็นปู่เมื่อเจ็ดปีก่อน แม้จะเป็นกระทำที่อาจจะข้ามหน้าข้ามตาคนเป็นพ่ออย่าง ‘นายสันต์ ธาดาพิพัฒน์’ อยู่บ้าง ทว่าก็ไม่มีใครคัดค้านหรือกังขากับการตัดสินใจของผู้นำตระกูลอย่าง ‘ท่านพิพัฒน์’ อดีตนายใหญ่ผู้กุมบังเหียนบริษัทหลักทรัพย์ธาดาพิพัฒน์ ความสามารถและศักยภาพของอังกูรเป็นที่ประจักษ์ต่อผู้บริหารและพนักงานใต้บังคับบัญชาทุกคน ภายนอกเขาดูใจดีมีเมตตา แต่ลึกๆ แล้วทุกคนรู้ดีว่า หากเป็นเรื่องงานคนคนนี้เฉียบขาดและเด็ดขาดแค่ไหน 

“เมื่อยขาหรือเปล่า หน้าซีดๆ นะเรา” 

อังกูรเอ่ยปากถามเจ้าสาวซึ่งเห็นกันมาตั้งแต่ตัวเท่าเมล็ดถั่วเขียว เนื่องด้วยสองตระกูลสนิทชิดเชื้อกันมาหลายชั่วอายุคน ความสนิทสนมกลมเกลียวจึงถูกส่งผ่านจากรุ่นสู่รุ่น 

ปวีราซึ่งในยามปกติก็สวยหวานราวกับดอกไม้แรกแย้มเป็นทุนเดิม ค่ำคืนสำคัญเช่นนี้เธอจึงยิ่งเจิดจรัสและเปล่งปลั่งด้วยออร่าของเจ้าสาว ปฏิเสธไม่ได้ว่ายามเห็นร่างเพรียวบางย่างกรายออกมาในชุดเจ้าสาวขาวบริสุทธิ์ เขาผู้เป็นเจ้าบ่าวพ่วงด้วยตำแหน่งพี่ชายคนสนิทถึงขนาดตะลึงงันกับความงดงามไปครู่ใหญ่ ส่งผลให้ชายหนุ่มตระหนักได้ว่า น้องน้อยขี้โรคซึ่งเห็นกันมาแต่อ้อนแต่ออกได้เติบโตเป็นสาวสะพรั่งเต็มวัย

หญิงสาวยังคงความสง่างาม แม้บางครั้งกายอรชรอ้อนแอ้นจะโอนเอนไปมาด้วยความเมื่อยขบบริเวณปลีน่องเรียวสวย จนเขาอดชื่นชมในความใจสู้ของเธอไม่ได้

ปวีราผงกศีรษะเบาๆ แทนการตอบคำถาม แต่สีหน้ายังคงยิ้มแย้มให้แขกเหรื่อที่หลั่งไหลเข้ามาในงานไม่ขาดสาย

“นิดหน่อยค่ะ แต่หิวมากกว่า พี่พร้อมไม่เหนื่อยไม่เมื่อยบ้างเหรอคะ” หญิงสาวถามเจ้าบ่าวที่ยืนนิ่งเป็นหุ่นยนต์ เธอละยอมใจในความนิ่งของเขาจริงๆ ๆ 

ตามประสาหญิงสาวรักสวยรักงามที่กลัวจะสวมชุดแต่งงานออกมาได้ไม่สวยไม่เลิศพอ คนไม่ชอบกำลังกายอย่างปวีราจึงลดน้ำหนักด้วยวิธีการที่เพื่อนสาวอย่าง ‘ชลลี่’ หรือ ‘ชลิดา’ แนะนำคือ การกินอาหารเป็นช่วงเวลา และปล่อยให้ร่างกายหยุดรับอาหารเป็นช่วงเวลาเช่นเดียวกัน ดังนั้นตั้งแต่เช้าเธอจึงไม่ได้แตะต้องอาหารเลยแม้แต่น้อย ได้จิบน้ำเปล่าแค่ไม่กี่อึกเท่านั้น มิหนำซ้ำยังต้องตื่นตั้งแต่ตีสอง เมื่อเช้าก็ยุ่งวุ่นวายกับการลองชุดและซ้อมพิธีจนไม่มีเวลากินข้าวกินปลา ร่างกายที่ค่อนข้างจะอ่อนแอขี้โรคอยู่แล้วจึงอ่อนเพลียและหิวโหยเป็นพิเศษ

เจ้าบ่าวที่คาดว่าจะเนี้ยบและนิ่งที่สุดในประเทศไม่ตอบคำถามในทันที เขาส่งสายตาให้เลขาฯ หนุ่มนามว่า ‘ชิตพล’ ที่ยืนกุมมือคล้ายรอรับคำสั่งอยู่ตลอดเวลา ราวกับโทรจิตสื่อถึงกันได้ ไม่ถึงสองนาที ชิตพลก็กลับมาพร้อมกับแซนด์วิชชิ้นพอดีคำ

“กินแซนด์วิชรองท้องไปก่อน เกิดเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมาแล้วจะยุ่ง” เขาออกปากแซว เจ้าสาวของเขายิ่งผอมแห้งแรงน้อยอยู่ด้วยสิ

ปวีราจัดการกับแซนด์วิชในจานด้วยความว่องไว กินไปก็ทรมานด้วยความจุกไป เพราะปกติแล้วเธอใช้เวลากินอาหารค่อนข้างนาน กว่าจะละเลียดกินหมดบางทีก็เกือบชั่วโมง หญิงสาวฝืนใจกัดขนมปังที่ประกบกันสองชิ้นภายในคำเดียว จากนั้นก็กลับมายิ้มสวยให้บรรดาแขกเหรื่อในงานอีกครา 

ตระกูลทั้งของเธอและเจ้าบ่าวเป็นตระกูลดังระดับประเทศ แขกที่มาร่วมงานมีร่วมสองสามพันคน บ้างก็รู้จักมักคุ้นกันดี บ้างก็เพิ่งเคยเห็นหน้าค่าตากันในวันนี้ แต่หากเป็นบุคคลสำคัญจริงๆ ๆ ชิตพลและ ‘นุชนาถ’ ทีมงานของว่าที่สามีจะคอยกระซิบบอกอยู่เนืองๆ ๆ จนปวีราอดทึ่งในความจำของสองคนนี้ไม่ได้ เพราะถึงเธอจะฉลาดมากแค่ไหน แต่จะให้จำชื่อคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกก็ออกจะเป็นเรื่องที่เหนื่อยเกินไปหน่อย แน่นอนว่าคนขี้เกียจอย่างเธอต้องขอผ่าน 

“ผู้หญิงในชุดสีแดงที่กำลังเดินมาคือดอกเตอร์ลลนา อดีตคนรู้ใจ แต่ไม่ใช่แฟนของท่านประธานค่ะ” นุชนาถกระซิบกระซาบ ที่บอกแบบนั้นเพราะอังกูรไม่เคยยอมรับว่าคบกับผู้หญิงคนนี้ แต่เจ้าหล่อนกลับมาเทียวไล้เทียวขื่อเจ้านายหนุ่มจนกลายเป็นแขกประจำ 

เจ้าสาวแสนสวยพยักหน้าและมองคนตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์ เธอพอจะรู้มาบ้างว่าอังกูรไม่เคยคบหาใครเป็นจริงเป็นจัง สำหรับพี่ชายหน้ามึนงานมาเป็นอันดับหนึ่ง การออกกำลังกายมาเป็นอันดับสอง แถมยังชอบอยู่บ้านอ่านหนังสือมากกว่าจะไปนั่งกินเหล้าเคล้านารี สาเหตุเพราะเขาแพ้กลิ่นบุหรี่ จึงเลี่ยงที่จะไปในสถานที่อโคจร 

ปวีราเคยนึกสงสัยมาตลอดว่าผู้หญิงที่พี่พร้อมถูกใจจนถึงขั้นคบหาดูใจจะมีรูปลักษณ์และนิสัยใจคอเป็นเช่นไร เพิ่งจะได้เห็นกับตาตัวเองก็วันนี้ ดูท่าเขาคงชอบผู้หญิงสมัยใหม่ ท่าทางมาดมั่น และมีความเป็นนักบริหารไม่ต่างจากตนเองกระมัง หญิงสาวตรงหน้าดูทรงภูมิและเป็นผู้ใหญ่ ค่อนไปทางมีอายุ มองจากรูปลักษณ์น่าจะอายุราวๆ สามสิบสี่สามสิบห้า 

อังกูรไม่เคยคบหากับผู้หญิงอ่อนวัยกว่า แถม ‘ปรานต์’ พี่ชายของเธอซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของเขายังบอกว่า เจ้าบ่าวของเธอไม่นิยมกินเด็ก น่าแปลกที่เขาตกลงปลงใจแต่งงานกับเธออย่างง่ายดาย ทั้งที่เธอกับเขาอายุห่างกันถึงสิบเอ็ดปี เรียกได้ว่าสเปกของเขาห่างไกลจากความเป็นเธอลิบลับ 

ตั้งแต่เด็กอังกูรจำใจเล่นกับเธอเพราะถูกพ่อแม่บังคับ ตอนเด็กๆ เธอติดเขาแจ แถมยังเป็นเด็กขี้โรคป่วยออดๆ แอดๆ เข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ชอบผู้หญิงอ่อนปวกเปียกกินข้าวช้าเหมือนเคี้ยวเอื้องอย่างเธอ อีกอย่างถึงแม้ว่าเธอจะฉลาดเฉลียว และเรียนจบถึงปริญญาโทมาจากมหาวิทยาลัยรัฐชื่อดังของประเทศ ทว่าไม่เคยได้ลงมือทำงานจริงจังกับใครเขา ปริญญาสองใบของเธอไม่ต่างจากกระดาษเอสี่ที่ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ความสามารถของเธอถูกกดทับด้วยความเป็นห่วงปนหวงของคนในครอบครัว ดังนั้นตั้งแต่เรียนจบมาได้สองปีกว่า ปวีราก็อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน นั่งกินนอนกินมาโดยตลอด

มาคิดๆ ดูแล้ว ก็สงสารเขาไม่น้อยที่ต้องมาแต่งงานกับเธอ ผู้ที่ไม่มีความสามารถใดๆ นอกจากอยู่เป็นภรรยาให้เขาเลี้ยง หรือเขาคิดว่าการแต่งงานกับเธอ คงไม่ต่างจากเลี้ยงหมาเลี้ยงแมวกระมัง

แต่แมวตัวนี้ซื่อสัตย์กับเจ้าของนะจะบอกให้ 

“ยินดีด้วยนะคะพร้อม น้องปัณ คุณช่างเป็นผู้หญิงที่โชคดี” น้ำเสียงแสดงความยินดีของดอกเตอร์ลลนาแผ่ว คล้ายสะเทือนอารมณ์บางอย่าง ดวงตาคู่สวยเจือแววสะเทือนใจและเสียดายอย่างสุดซึ้ง ดอกเตอร์สาวมองหน้าว่าที่สามีของเธอด้วยความเศร้าสร้อยประหนึ่งฉากคู่รักที่ต้องพรากจากกันด้วยความไม่เต็มใจในนิยายประโลมโลกไม่มีผิด 

น่าเสียดายที่แววตาพี่พร้อมช่างว่างเปล่า เป็นกรรมของผู้หญิงคนนี้แท้ๆ 

แม้สถานการณ์ค่อนข้างอิหลักอิเหลื่อ ทว่าปวีราก็เลือกที่จะนิ่งเฉย เธอเพียงแต่ยกมือไหว้ขอบคุณตามหน้าที่เจ้าสาว 

จะวุ่นวายกับดรามาตรงหน้า แกว่งเท้าหาเสี้ยนให้เหนื่อยไปทำไม นี่ไม่ใช่เรื่องของเธอสักหน่อย แฟนเก่าใคร คนนั้นย่อมต้องจัดการเอง

เจ้าสาวคนสวยจึงทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แล้วระบายยิ้มอ่อนหวานส่งให้แขกเหรื่ออย่างเฉื่อยชา ปากก็กำลังจะชาตาม เพราะฉีกปากยิ้มมาตั้งแต่เช้าจดค่ำ จนกระทั่งคนข้างกายโน้มศีรษะเข้ามาชิด พร้อมกับเสียงติดขรึมที่ลอยมากระทบหู

“ช่วยพี่จัดการหน่อย เรายังมีแขกคนอื่นต้องต้อนรับอีกมาก พี่รู้ว่าปัณทำได้”

ปวีรามองหน้าเขา เป็นนัยว่าคนแบบเธอจะจัดการอะไรได้ ทว่าอังกูรก็ยังหน้านิ่งไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น มีเพียงแววตาคมขรึมซึ่งเขาใช้มองมาที่เธออย่างกดดันและคาดหวัง

บทบาทหน้าที่ภรรยาของอังกูร ธาดาพิพัฒน์ เริ่มต้นขึ้นแล้วสินะ

เดี๋ยวจะหาว่าเลี้ยงเสียข้าวสุก จัดให้เบาๆ ก่อนก็แล้วกัน!

“เชิญคุณลัลเข้างานตามสบายเลยนะคะ ด้านในมีบริการอาหารทั้งอาหารไทยและอาหาร...” ปวีรายังไม่ได้สาธยายถึงบรรดาเมนูอาหารที่ทางเจ้าภาพจัดไว้คอยบริการแขกกิตติมศักดิ์ทั้งหลาย ‘คุณลัล’ ก็เอ่ยแทรกขึ้นมาทันควัน

“อุ๊ย เรียกพี่ลัลเถอะค่ะน้องปัณ อีกหน่อยเราคงได้เจอกันบ่อยขึ้น พี่ว่าเราควรจะทำความคุ้นเคยกันไว้” เจ้าหล่อนยิ้มน้อยๆ อย่างมีเลศนัย แลดูไม่ค่อยน่าไว้ใจสักเท่าไร

คำถามคือ ยางอายของคุณเธอไปตกอยู่แห่งหนใด ทั้งๆ ๆ ที่เห็นอยู่กับตาว่าเธอกับพี่พร้อมกำลังจะร่วมเรียงเคียงหมอน ร่วมหอลงโรงกันอยู่รอมร่อ แหวนเพชรเม็ดเป้งบนนิ้วนางข้างซ้ายไม่อยู่ในสายตาคุณดอกเตอร์บ้างหรือ

“อย่าเข้าใจผิดนะคะ พี่หมายถึงพี่กำลังจะทำโพรเจกต์ร่วมกับพร้อมน่ะค่ะ เลยอาจจะต้องเจอกันบ่อย แค่เรื่องงานจริงๆ ค่ะ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น” 

แม่คุณย้ำยิ้มๆ ๆ แต่ประเด็นคือ เธอยังไม่ได้ถามออกมาสักคำ และไม่ได้อยากรู้ด้วย 

เชื่อขนมกินได้เลยว่า แม้แต่เด็กอนุบาลยังมองออกว่าคุณดอกเตอร์ลลนาหวังอะไรจากสามีเธอ แต่ดูเหมือนพี่พร้อมจะไม่ให้ความร่วมมือ ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่ถูกต้อง

“ค่ะพี่ลัล ไว้เจอกันนะคะ” ปวีรายิ้มละไม พยายามส่งสายตาและผายมือให้ดอกเตอร์สาวเข้าไปในห้องบอลรูมสักที ทว่าแม่คุณยังคงชำเลืองมองสามีของเธอตาละห้อย

“ลัลไปนะคะพร้อม”

“ตามสบายครับ” แววตาคนพูดเฉยเมย หาได้สนใจแววตาอาลัยอาวรณ์นั้นไม่ 

น่าสงสาร น่าสงสารจริงๆ ปวีรารำพันในใจ

“พี่ไปก่อนนะคะ” อีกฝ่ายเอื้อมมาแตะหลังมือเธอเบาๆ 

ปวีรายิ้ม ในใจก็คิดว่าไปได้สักทีนะแม่คุณ

ดวงหน้าหมดจดซึ่งเจือแววอ่อนหวานเป็นเนืองนิจ บัดนี้เผยให้เห็นแววรำคาญปนระอาใจเล็กน้อย ทว่าเมื่ออังกูรหันกลับมาสบตา

เวรล่ะ...

ชิ้งงงง!!

สิ่งเหล่านั้นก็อันตรธานหายไปราวกับภาพมายา ประหนึ่งไม่มีอะไรเกิดนั้น เธอยังเป็นปวีราคนดีคนเดิม 

“พี่พร้อมจะพูดอะไรกับปัณรึเปล่าคะ” เธอเอียงคอถามอย่างเจี๋ยมเจี้ยม

“เปล่า พี่คงจะตาฝาดไปเอง”

“แขกเยอะจังเลยนะคะ ปัณเมื่อยขา เพิ่งรู้นะคะว่าเป็นเจ้าสาวมันเหนื่อยขนาดนี้ แค่ครั้งเดียวก็เกินทน” คนที่เพิ่งรอดตัวมาหยกๆ ๆ บ่นยาวเหยียดอย่างลืมตัว

กว่าสองชั่วโมงที่คู่บ่าวสาวยืนต้อนรับแขกเหรื่อซึ่งทยอยมาอย่างไม่สิ้นสุดด้วยความขันแข็งระคนขาแข็ง โดยเฉพาะเจ้าสาว ตอนนี้ปวีรารู้สึกเหมือนร่างกายเธอกำลังจะปริร้าว น่องขาบวมตึงไปหมด ตั้งแต่เกิดมาเธอไม่เคยต้องทนยืนขาแข็งนานขนาดนี้มาก่อน ทั้งยังไม่เคยต้องยิ้มจนเมื่อยปากถึงเพียงนี้ มันไม่ยุติธรรมเลยสักนิด 

ในขณะที่เธอต้องคอยส่งยิ้มเรี่ยราดให้ผู้คนมากมาย ทว่าเจ้าบ่าวกลับเอาแต่ทำหน้านิ่งเฉย ไม่ช่วยกันทำมาหากินบ้างเลย ตกลงเขาคือพี่พร้อม หรือ โฮโลแกรมของพี่พร้อมกันแน่

“แล้วจะมีครั้งไหนอีก นอกจากพี่ยังมีใครทนเราได้อีกงั้นหรือ”

โอเค นี่คือพี่พร้อมตัวจริงเสียงจริง

“แหม พี่พร้อมละก็...”

นั่นปากหรือใบมีด เชือดเฉือนเก่งอะไรเบอร์นั้น

ทำเป็นพูดดีไปเถอะ ถ้าไม่ได้แต่งกับเธอ ทำอย่างกับเขาจะแต่งกับใครได้อีก นอกจากเธอจะมีใครทนเขาได้ พนันได้เลยว่าไม่เกินสองวัน เจ้าสาวต้องวิ่งป่าราบออกจากบ้านที่อุดมไปด้วยหมาแมวของเขาแน่นอน 

นี่เธออุตส่าห์ยอมเสียสละตัวเองเชียวนะ ไม่คิดจะขอบคุณกันหน่อยหรือไร

“เงียบไปแบบนี้คงไม่ได้แอบนินทาพี่อยู่หรอกนะ”

เสียงทักเหมือนรู้ทันของเขา ทำเอาคนมีชนักติดหลังสะดุ้งเล็กน้อย

“นินทงนินทาอะไรล่ะคะ ปัณหรือจะกล้า พี่พร้อมน่ะชอบใส่ร้ายน้องอยู่เรื่อย” ปวีราแกล้งเขย่าแขนล่ำอย่างแง่งอน

อังกูรส่ายหัว แววตาคมขรึมฉายชัดถึงความระอาแบบไม่ปกปิด

ปวีราในภาคน้องว่าน่ารำคาญแล้ว ภาคเมียจะน่ารำคาญเลเวลไหน แค่คิดว่าจะต้องฟังเสียงงุ้งงิ้งเหมือนยุงบินว่อนอยู่ริมใบหูไปตลอดชีวิต เขาก็ปวดกบาลล่วงหน้าไปหลายสิบปี

แต่ช่างเถอะ แต่งกับเธอดีที่สุดแล้ว  

“ยายปัณ!”

ปวีราหันตามเสียงเรียกของหญิงสาวร่างสูงโปร่ง ภายใต้เดรสเกาะอกพิมพ์ลายลูกไม้สีเขียวมรกต เรียบหรูดูแพงราวกับเกิดมาเพื่อคนใส่อย่างไรอย่างนั้น เนื่องด้วยปวีราไม่ค่อยมีเพื่อนสนิท แก๊งเพื่อนเจ้าสาวของเธอจึงมีแค่พี่สาวอย่าง ‘เปรมวรา’ ‘พริ้ง’ หรือ ‘อาณดา’ น้องสาวของเจ้าบ่าวซึ่งอายุไม่ต่างจากเธอมาก ทั้งยังเป็นเพื่อนเล่นร่วมวงหมากเก็บกันมาตั้งแต่เด็กๆ ๆ และคนสุดท้ายที่ขาดไม่ได้คือคนที่เพิ่งมาถึงนั่นเอง

เมื่อสาวไฮโซระดับเอลิสต์ปรากฏตัวขึ้น จึงไม่แปลกที่หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่จะพากันเมียงมอง จนคนที่มาด้วยกันเกิดความไม่พอใจและตั้งตัวเป็นศัตรู ทั้งที่เจ้าตัวยังไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ

“ชลลี่!” ในที่สุดคนที่เธอรอคอยก็มาถึง ชลลี่ เบสต์เฟรนด์ ฟอร์เอฟเวอร์หนึ่งเดียวของเธอนั่นเอง

“ฉันนึกว่าแกจะไม่มาซะแล้ว ยืนรอจนขาแข็งไปหมดแล้วเนี่ย” 

น้ำตาเอ่อคลอง่ายดายเหมือนมีคนมาเปิดสวิตช์ ทำพิธีกับเขามาค่อนวัน ปวีราไม่เห็นจะร้องออกมาสักแอะ กะอีแค่เพื่อนมาหา ถึงกับต้องซึ้งขนาดนี้ นี่เจ้าบ่าวอย่างเขาไร้ความสำคัญขนาดนั้นเลยหรือ...

“โอ๋ๆ ฉันจะไม่มาได้ยังไงงานแต่งเพื่อนเลิฟทั้งที นี่ลงจากเครื่องแล้วรีบบึ่งรถมาหาแกเลยนะ หน้าก็โบกมาตอนติดไฟแดง ยังสวยไม่เสร็จเลยเนี่ย”

“ขนาดไม่สวย คนยังมองแกขนาดนี้ ถ้าสวยกว่านี้จะขนาดไหน”

“โฮะๆ อันนี้ก็ช่วยไม่ได้อะนะ ฮืออออ แกนะแก แกแต่งงานไปแบบนี้แล้วต่อไปฉันจะไปแฮงก์เอาต์ ไปชอปปิง ไปกินข้าวกับใคร นังเพื่อนบ้า เห็นกันอยู่หลัดๆ ๆ แท้ๆ ”

“เดี๋ยวๆ ฉันแค่แต่งงาน ไม่ได้ไปตาย”

“เออๆ ฉันก็พูดเกินเบอร์ไปงั้นแหละ ยังไงฉันก็จะตามเกาะแกะแกเหมือนเดิม เราแยกกันได้ที่ไหน” ดรามาควีนหัวเราะกิ๊ก

“กูว่าที่แยกจากกันไม่ได้เพราะไม่มีใครคบมากกว่า” ตุลธร เพื่อนสนิทของเจ้าบ่าวและพี่ชายเจ้าสาวที่เพิ่งกลับมาจากห้องน้ำกอดอกพูด

อังกูรพยักหน้าเสริมอย่างเห็นด้วย ก่อนจะถูกเรียกให้มารับคำอวยพรของเพื่อนเจ้าสาว เจ้าหล่อนพูดพล่ามเสียยาวเหยียด

“พี่พร้อมต้องดูแลปัณดีๆ นะคะ ชลลี่รักเพื่อนคนนี้มาก เรามีกันอยู่แค่สองคน ไว้ว่างๆ ชลลี่จะขอไปนอนกับยายปัณบ้าง พี่พร้อมคงไม่ว่าอะไร ถึงยังไงชลลี่ก็มาก่อนพี่ ที่สำคัญห้ามนอกกายนอกใจยายปัณเป็นอันขาด ไม่งั้นชลลี่จะยุให้ยายปัณฟ้องหย่าเอาให้พี่หมดตัวไปเลย”

“ชลลี่ พอได้แล้ว” ปวีราปรามเพื่อน เพราะรู้สึกเพื่อนชักจะพล่ามมากไปแล้ว 

“ไม่เกินไปหน่อยเหรอแม่คุณ เป็นแค่เพื่อน หาใช่ผัวไม่” ตุลธรพูดขึ้นลอยๆ ๆ 

“ชลลี่ถามพี่เหรอคะ” คิ้วงามงอนเลิกขึ้นสูง หญิงสาวพลันปรายตามองคนที่เอ่ยสอดขึ้นมาอย่างไม่พอใจ

“ปากเสียแบบนี้ถึงไม่มีผัวเป็นตัวเป็นตนสักที” ตุลธรงึมงำไม่เจาะจง แต่จี้ใจดำคนฟังอย่างจัง ชลิดาได้ยินก็โกรธควันออกหู

“ชลลี่ได้ยินนะ พูดยังกับตัวเองมีอย่างนั้นแหละ ปากปีจอจนหมาเรียกพ่ออย่างพี่จะมีใครเอาไม่ทราบ ให้ฟรีแถมข้าวสารสองถังยังคิดหนัก” คนสวยตอกกลับเสียงดังฟังชัดชนิดไม่ไว้หน้า

“อ้าว พูดแบบนี้ก็สวยสิครับ”

“ไม่ต้องบอกก็พอทราบค่ะ ชลลี่สวยกว่าบรรดากิ๊กของพี่สิบคนมัดรวมกันเสียอีก”

ชลิดาสะบัดผมพลางเชิดหน้าอย่างมั่นใจในความสวย ทำเอาผมยาวสลวยแทบบาดหน้าคนพูด

กลิ่นหอมอ่อนๆ ให้ความรู้สึกอ่อนหวานและเซ็กซี่ ทำเอาตุลธรซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมากับเธอมาตลอด ใจสั่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

“เงียบไปเลยละสิ ฮึ! ชลลี่พูดแทงใจใช่มั้ยล่ะ พี่ก็ดีแต่เฟลิร์ตผู้หญิงไปทั่ว ระวังเถอะ สักวันกรรมจะตามสนอง”

ฟากอังกูรและปวีราก็หันมองกันด้วยความรู้สึกเดียวกัน คือหมดคำจะพูดกับสถานการณ์ตรงหน้า   

หมดจากลลนา นึกว่าจะหมดเวรหมดกรรม แต่ที่ไหนได้... 

ชายหนุ่มกลอกตามองเพื่อนเจ้าบ่าวและเพื่อนเจ้าสาวที่เถียงกันไฟแลบอย่างไม่มีใครยอมใครด้วยความเหนื่อยหน่าย

“คุณพร้อม คุณปัณคะ ด้านในพร้อมแล้วค่ะ”

หลังแขกกลุ่มสุดท้ายเข้าไปในงาน หนึ่งในทีมออร์แกไนซ์ก็เดินออกมาตามเจ้าบ่าวและเจ้าสาว อังกูรกับปวีราจึงพากันเข้าไปในห้องจัดงานเพื่อเตรียมตัวสำหรับพิธีฉลองมงคลสมรส ซึ่งจะเริ่มในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ทิ้งให้สองหนุ่มสาวเถียงกันต่อไปอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว จนกระทั่งนุชนาถซึ่งทำหน้าที่เป็นสักขีพยานการเถียงมาพักใหญ่ทนไม่ไหว

“เอ่อ ขอโทษนะคะ คุณยักษ์ คุณชลลี่ นุชไม่ได้ตั้งใจจะขัดจังหวะนะคะ แต่ทุกคนเข้างานไปหมดแล้วค่ะ พิธีจะเริ่มในสิบนาทีข้างหน้าค่ะ”

“เพราะพี่คนเดียวเลย ดูสิยายปัณเลยหายไปไหนไม่รู้” ดวงตาสวยวาววับตวัดมองคนที่ชวนทะเลาะด้วยความโกรธเกรี้ยว เพราะไอ้พี่ยักษ์คนเดียว! ทำเอาเธอหมดอารมณ์สนุกตั้งแต่งานยังไม่เริ่มเลยด้วยซ้ำ

“เพราะชลลี่ต่างหาก เถียงคำไม่ตกฟาก พี่อายุมากกว่าชลลี่ตั้งกี่ปี” ตุลธรเอาอายุเข้าข่ม

“โตแต่ตัวละสิไม่ว่า พนันได้เลยว่าไอคิวของพี่ต้องต่ำกว่ามาตรฐานคนวัยเดียวกัน อย่างน้อยก็ต่ำกว่าพี่พร้อมหลายเท่า ถึงเป็นได้แค่เจ้าของบริษัทก่อสร้างต๊อกต๋อย”

ชลิดาพูดไม่ให้เกียรติ สุรเกียรติ คอนสตรัคชั่น ทุนจดทะเบียนพันหกร้อยล้าน มูลค่างานรวมกันมากกว่าสองหมื่นล้านแม้แต่น้อย

“ถอยไปเลยนะ ชลลี่จะเข้าด้านใน”

“พี่ก็จะเข้า”

“เชอะ!”

“เหอะ!”

คู่กัดตลอดกาลสามัคคีกันสะบัดหน้าแล้วเดินเข้าด้านในไปคนละทิศคนละทาง

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น