8
ผีในห้องเจ้าขา สิ้นปีนี้ขอลูกให้ได้กับพี่ภีม
วันต่อมาในช่วงเวลาโพล้เพล้ ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงลับขอบฟ้า เหลือเพียงแสงสีทองสลัวรางกับความมืดที่ค่อยๆ เข้ามาแทนที่ รถสัญชาติยุโรปสีดำราคาแพงแล่นมาตามถนนด้วยความเร็ว ก่อนจะชะลอตัวบริเวณแนวรั้วของคฤหาสน์อนันต์ธาดาหลังงาม
ประตูรั้วอัตโนมัติถูกเปิดออกโดยผู้รักษาความปลอดภัย รถคันหรูจึงได้แล่นเข้าไปภายในอาณาเขตกว้างขวาง สองข้างทางมีต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น ทั้งไม้ดอกไม้ประดับที่ดูแลรดน้ำจนผลิดอกออกช่อให้ได้ยลโฉม ใจกลางคฤหาสน์มีน้ำพุช่วยเสริมฮวงจุ้ยเพื่อให้คนในบ้านมีชีวิตที่อุดมสมบูรณ์พูนสุขตลอดเวลา
บรรดาสาวใช้ในชุดยูนิฟอร์มยืนเรียงหน้ากระดานคอยต้อนรับ ‘ลูกชาย’ ของคุณท่านหน้าทางเข้าคฤหาสน์ โดยมีนายหญิงของบ้านอย่างคุณเจนเนตรยืนอยู่หน้าแถว ใบหน้างดงามอิ่มเอิบแทบไม่มีริ้วรอยความชราปรากฏให้เห็น เพราะบำรุงรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างดี มีหรือจะยอมแก่ไปตามวัย
เมื่อรถยนต์ของคนเป็นลูกชายแล่นมาถึงและจอดสนิท สองหนุ่มสาวเปิดประตูก้าวเท้าลงมาจากรถพร้อมกัน หลังจากนั้นคนขับรถประจำคฤหาสน์จึงได้ขับรถนำไปจอดให้
“สวัสดีครับคุณแม่” ภาวัฒน์ยกมือไหว้สวัสดีมารดา วันนี้เขาสวมเสื้อยืดมียี่ห้อกับกางเกงขาสั้นในลุคสบายๆ
“จ้าไหว้พระเถอะลูก ว่าไงเจ้าวิวของอา” คุณเจนเนตรรับไหว้ลูกชายแล้วหันไปทักทายหลานสาวคนโปรดซึ่งกำลังกลายมาเป็นลูกสะใภ้
“สวัสดีค่ะอาเจน วิวคิดถึงอาเจนจังเลย” วาดฟ้าตรงเข้าไปกอดสตรีวัยกลางคนแน่น ออดอ้อนอย่างสนิทสนม
“ปากหวานนะเราเนี่ย วันนี้อาสั่งให้แม่บ้านทำขนมอาลัวของโปรดวิวไว้เยอะเลย” นางลูบศีรษะทุยเบาๆ ด้วยความเอ็นดู แม้จะขยับยิ้มมากไม่ได้เพราะตึงโบทอกซ์
“จริงเหรอคะ สงสัยวันนี้วิวต้องทานจนพุงกางแน่ๆ” ดวงตากลมโตเป็นประกายสุกใส เมื่อได้ยินชื่อขนมโปรด
“งั้นเดี๋ยววิวขอเข้าไปหาซูซี่ก่อนแป๊บหนึ่งได้ไหมคะ ไม่ได้เจอนานแล้ว”
“ได้สิ น่าจะเล่นอยู่ห้องรับแขก” คุณเจนเนตรพยักพเยิดไปทางด้านใน หลานสาวจึงค้อมตัวเดินผ่านเข้าไปโดยมีสาวใช้นำทาง
“ของภีมก็มีนะลูกไม่ต้องน้อยใจ ขนมตาลสดๆ ร้อนๆ จากซึ้งนึ่งเหมือนเดิม”
“ครับแม่” ภาวัฒน์พยักหน้ารับคำมารดายิ้มๆ “แล้วคุณพ่อล่ะครับ”
เขาถามถึงบิดาซึ่งกลับจากบริษัทก่อนหน้าเขาราวๆ หนึ่งชั่วโมง
“อยู่ในห้องทำงานน่ะลูก เข้ามาพักผ่อนก่อน เดี๋ยวแม่ขอไปดูเด็กๆ ตั้งโต๊ะหน่อย สักหนึ่งทุ่มค่อยมาทานข้าวกัน”
นางบอกถึงแผนการ ระหว่างเดินจูงมือลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวเข้าไปในบ้าน ก่อนจะแยกตัวไปจัดการธุระเรื่องมื้อเย็นที่ห้องอาหารต่อ
เหลือเพียงภาวัฒน์คนเดียว ร่างสูงใหญ่ก้าวเท้าเดินต่อมายังห้องโถงรับแขกอันโอ่โถง ตาคมทอดมองร่างเล็กบางในชุดเดรสสีขาวลายสับปะรดที่กำลังตั้งอกตั้งใจหยอกล้อกับเจ้าซูซี่อยู่บนพื้นพรม ใบหน้าสวยหวานยิ้มหัวเราะอย่างสนุกสนาน ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าถูกเขามอง
ชายหนุ่มคลี่ยิ้มมุมปากตาม แต่เป็นยิ้มที่ไม่ถึงดวงตาซึ่งฉาบไว้ด้วยความเย็นชา วาดฟ้าเป็นที่รักของทุกคนตั้งแต่ก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ไม่มีใครรังเกียจหรือตั้งแง่ที่เธอเป็นเด็กกำพร้า เธอกลายมาเป็นลูกรักของคุณลุงคุณป้า เป็นหลานสาวคนโปรดของคุณพ่อกับคุณแม่ และ ‘เคย’ เป็นน้องสาวที่เขารักและเอ็นดูหมดหัวใจ
ก็แค่เคยเท่านั้น...ยอมรับว่าตอนนี้ความรักความห่วงในแบบน้องสาวยังไม่หมดไปจากหัวใจเขาเสียทีเดียว แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่สามารถรู้สึกสนิทสนมหรือมองเธอเหมือนเดิมได้อีกเลยตั้งแต่เหตุการณ์เมื่อห้าปีที่แล้ว
วาดฟ้าในวัยสิบแปดปีสารภาพว่ารักภาวัฒน์มากกว่าพี่ชาย ซึ่งเขาช็อก ผิดหวังและรับไม่ได้จึงตีตัวออกหาก วางท่าทีเฉยเมยไม่สนใจ โดยหวังว่าสักวันยายจอมแสบคงจะเลิกรู้สึกอะไรแบบนั้นกับพี่ชายอย่างเขาเสียที
“พี่ภีมคะ มาเล่นกับซูซี่กัน” แม่คนล้ำเส้นตะโกนเรียกเขาเสียงใส ดวงตาและรอยยิ้มที่ส่งมาให้บ่งบอกว่าที่เขาพยายามทำมาห้าปีนั้นไร้ประโยชน์
เธอยังคงมั่นคงและเสมอต้นเสมอปลาย...
ภาวัฒน์ไม่เข้าใจ เหตุใดทำให้ยายจอมแสบรักเขาได้มากมายเช่นนี้ สายตาลึกซึ้งผูกพันที่มักมองเขาราวกับรู้จักกันมานานแสนนาน
“ไม่ละ พี่ว่าจะขึ้นไปห้องนอน แล้วจะแวะไปคุยกับคุณพ่อ”
“อ๊ะ วิวไปด้วยค่ะ!”
วาดฟ้าผุดลุกยืนเหมือนติดสปริง ออกวิ่งตามภาวัฒน์เข้าไปในลิฟต์อย่างรวดเร็ว ทิ้งบทบาทคนสวยรักสัตว์ให้เจ้าซูซี่นอนแกร่วงานค้างซะงั้น
บานประตูไม้หนาถูกดันให้เปิดออกกว้าง ผู้เป็นเจ้าของห้องเดินเข้ามา พบว่าทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม เตียงนอน โต๊ะทำงาน ทีวีกับชุดโฮมเทียเตอร์ รวมทั้งของตกแต่งเคยอยู่อย่างไรก็อยู่อย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง
“โห วิวไม่ได้เข้าห้องพี่ภีมนานเป็นสิบกว่าปีแล้วมั้ง”
หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงทึ่งๆ ขณะเดินตามหลังว่าที่สามี ดวงตากลมโตใคร่รู้มองสำรวจตรงโน้นทีตรงนี้ที
“ห้องหอมสะอาดไม่มีกลิ่นอับเลย พี่ภีมกลับมานอนที่บ้านบ่อยเหรอคะ”
“ไม่ได้กลับมานอนเกือบปีแล้ว แต่คุณแม่คงให้เด็กทำความสะอาดตลอด”
“ว่าแล้วทำไมอาเจนถึงบ่นคิดถึงพี่ภีมบ่อยๆ ที่แท้ก็ไม่ค่อยกลับบ้านนี่เอง”
วาดฟ้าทำปากยื่นพร้อมกับพยักหน้า ส่วนคนฟังขมวดคิ้วเล็กน้อยระหว่างเดินมาหยุดอยู่บริเวณโซนชั้นหนังสือ
“พี่ก็มาหาคุณแม่ทุกอาทิตย์นะ แต่แค่ไม่ได้นอนค้าง”
ด้วยความที่คอนโดมิเนียมอยู่ใกล้บริษัทมากกว่า เขาจึงเลือกกลับไปนอนที่นั่นเพื่อความสะดวกในการเดินทาง
“งั้นวันสิ้นปีเรามาค้างที่นี่กันดีไหมคะ จัดปาร์ตีเล็กๆ กับคนในครอบครัว”
“สิ้นปี?” ภาวัฒน์เงยหน้าจากสมุดในมือ ตวัดสายตามองยายจอมแสบ ซึ่งตอนนี้ขึ้นไปนอนกลิ้งบนเตียงของเขาแล้ว
“ใช่ค่ะ สิ้นปี” คนเสนอไอเดียยิ้มกริ่ม วาดแขนตีขาบนเตียงนุ่มอย่างสบายอารมณ์
“ตอนนี้เดือนพฤษภา ครบกำหนดสามเดือนเราก็จบกันพอดี อยู่ไม่ถึงสิ้นปีหรอก”
คำตอบของว่าที่สามีทำวาดฟ้าแทบกลิ้งตกเตียง ร่างเล็กบางดีดตัวลุกขึ้นนั่ง ยกแขนสองข้างเท้าสะเอวจ้องมองเขา ทว่าเขาไม่สนใจ เบนสายตากลับมาโฟกัสสมุดในมือดังเดิม
“เอ๊ะ พี่ภีมนี่ ชอบพูดจาไม่เป็นมงคลอยู่เรื่อยเลยนะคะ”
“พี่พูดความจริง”
“พี่ภีมรู้อนาคตเหรอ ถึงตอนสิ้นปีจริงๆ เราอาจจะนอนกอดกันอยู่บนเตียงนี่ก็ได้ค่ะ”
“หึๆ ฝันไปเถอะวิว”
ภาวัฒน์หัวเราะเสียงทุ้มต่ำในลำคอพลางส่ายหน้า เขาวางสมุดเล่มดังกล่าวลงบนชั้น ก่อนจะเดินไปเข้าห้องน้ำที่อยู่ในตัวห้องนอน เขาไม่หันมามองจึงไม่ทันเห็นว่ายายจอมแสบยกมือประนมท่วมศีรษะ
“สาธุ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผีในห้องเจ้าขา ช่วยดลบันดาลให้สิ้นปีนี้ลูกกับพี่ภีมได้กันด้วยเถิด”
ว่าเสร็จก็เป่าเพี้ยงเพื่อความขลัง ลูบๆ ตบๆ เส้นผมของตัวเอง กำลังจะเอามือลง วาดฟ้าดันเหลือบไปเห็นสมุดที่ภาวัฒน์วางไว้บนชั้นเสียก่อน
เห็นเขาอ่านมันอยู่นาน เธออยากรู้เหลือเกินว่าข้างในมีอะไร
ยังพอมีเวลาเหลือให้แอบดู หญิงสาวไม่รอช้า รีบกระโดดลงจากเตียง สับเท้าวิ่งมาตรงโซนชั้นหนังสือ คว้าสมุดดังกล่าวมาเปิดดูอย่างรวดเร็ว
“พี่ภีมเขียนไดอะรีด้วยหรือนี่...” ดวงตากลมโตเบิกกว้างเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ ข้างในไม่ได้เขียนพร่ำพรรณนาถึงเรื่องราวอะไรมากมายนัก มีเพียงข้อความสั้นๆ บอกเล่าเหตุการณ์สำคัญพร้อมกำกับวันที่
‘วันเกิดปีนี้คุณแม่ซื้อนาฬิกาให้ คุณพ่อให้ลองขับรถ คุณลุงกับคุณป้าซื้อเค้กมาให้ วิวให้พวงกุญแจตุ๊กตา บอกว่าเก็บตังค์ซื้อเอง’
‘คะแนนสอบมิดเทอมออกแล้ว ทั้งกลุ่มตกชีวะ มีไอ้เมผ่านคนเดียว ตอนเย็นไปบ้านคุณลุง ยายวิวก็เพิ่งสอบตกคณิต พี่น้องชะตากรรมเดียวกันเลย’
วาดฟ้าอมยิ้ม อดปลื้มใจไม่ได้ ในทุกเรื่องราวของเขามักมีเธออยู่ในนั้นเสมอ หากดูจากวันที่และสีกระดาษเหลืองซีดแล้ว เธอคะเนเอาว่ามันคงถูกจดบันทึกช่วงที่เขาอยู่มัธยมปลาย ส่วนเธอน่าจะอยู่ชั้นประถม
มือเรียวพลิกหน้ากระดาษไปเรื่อยๆ กระทั่งมาสะดุดกับรูปถ่ายใบเก่าที่แนบเอาไว้ เป็นรูปของเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา แต่งเครื่องแบบนักเรียนกางเกงสีน้ำเงินจากโรงเรียนชายล้วน ยืนเคียงข้างกับสาวสวยผมเปียจากโรงเรียนคอนแวนต์ ทั้งคู่ยิ้มแย้มมีความสุข ใต้ภาพเขียนตัวอักษรย่อภาษาอังกฤษ มีรูปหัวใจตามหลัง
‘P&N’
โอ้โฮ...ชัดเลย แฟนแหงๆ
วาดฟ้าหน้าซีดเผือด รู้สึกเจ็บจี๊ดในอก เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าพี่ภีมมีแฟนตอนสมัยเรียน แล้วตอนนี้ล่ะยังคบกันอยู่ไหม แต่ถ้าคบกันอยู่ พี่ภีมคงพามาเปิดตัวกับครอบครัวนานแล้ว และไม่น่าปล่อยให้เรื่องเธอเลยเถิดมาถึงขั้นนี้
“ทำอะไร”
“อุ๊ย!”
เพราะมัวคิดเรื่อยเปื่อยจึงไม่ทันสังเกตว่าร่างสูงของเจ้าของสมุดมายืนอยู่ข้างหลังนานแล้ว อารามตกใจ หญิงสาวเผลอทำสมุดในมือหล่นพื้นดังตุ้บ
“เอ่อ...คือว่า” เธอรีบเก็บมันขึ้นมาวางไว้ที่เดิม ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับชายหนุ่ม
“วิวแอบดูสมุดพี่ทำไมฮึ” ภาวัฒน์ถามเสียงดุ กอดอกจ้องหน้ายายจอมแสบเยือกเย็น
“วิว...วิวขอโทษค่ะ แค่สงสัยว่ามันคือสมุดอะไรก็เลยเปิดดูเฉยๆ ขอโทษนะคะ”
วาดฟ้าค้อมศีรษะขอโทษเขาลุกลี้ลุกลน ไม่รอให้เขาได้เปิดปากว่ากล่าว ชิงหาจังหวะก้าวถอยหลังกึ่งวิ่งกึ่งเดินหนีออกจากห้องไป
ภาวัฒน์มองตามพลางยกยิ้มมุมปาก นัยน์ตาฉายชัดถึงความร้ายกาจ
‘เห็นรูปนั้นแล้วก็ดี เผื่อจะตัดใจจากพี่ได้บ้าง’
เวลาหนึ่งทุ่ม การรับประทานอาหารมื้อค่ำในคฤหาสน์อนันต์ธาดาเป็นไปอย่างครึกครื้นกว่าทุกวัน เพราะความช่างพูดช่างคุยของวาดฟ้า เธอมักมีเรื่องเล่าตลกขำขันมากมายมาเล่าให้ทุกคนบนโต๊ะอาหารฟัง
วศินกับเจนเนตรที่เคยรับประทานอาหารกันสองคนเหงาๆ พลอยหัวเราะยิ้มแย้มไปด้วย เอ็นดูในตัวหลานสาวทบเท่าทวีคูณ แม้แต่ภาวัฒน์ที่ทำทีเคร่งขรึมยังมีหลุดขำบ้างในบางครั้ง
“สมัยเรียนมหา’ลัยนี่มีคนมาจีบวิวบ้างไหมเนี่ย”
“อืม...” หญิงสาวจิ้มชิ้นหมูทอดเข้าปาก ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบคำถามของคนเป็นอา
“ก็มีนะคะ น่าจะคนสองคน”
“ใช่เร้อเจ้าวิว อย่างเราเนี่ยอาว่าเกินสิบ” ประมุขใหญ่ของบ้านพูดยิ้มๆ หันส้อมจิ้มชี้ไปที่หลานสาว
“อูย ไม่ถึงหรอกค่ะ วิวไม่ได้ฮอตขนาดนั้น ส่วนใหญ่เขาจะมาจีบเพื่อนวิวมากกว่า”
เพื่อนที่วาดฟ้าหมายถึงคืออลิน เซเลบสาวสวยผู้กำลังก้าวเข้าสู่วงการบันเทิง
“แล้วหนุ่มๆ ที่มาจีบนี่ยังไง เล่าให้อาฟังหน่อยสิ” เจนเนตรซักต่อ ตาเหลือบมองทางลูกชายที่นั่งข้างวาดฟ้าเป็นระยะ หวังให้แสดงอาการออกมา
“ก็ตอนปีหนึ่งมีรุ่นพี่คณะบัญชีค่ะ รู้จักกันตอนออกค่ายอาสาของมหา’ลัย เขามาชวนวิวไปเที่ยวตามพิพิธภัณฑ์ ไปคาเฟ่บ้าง...”
“แล้วเป็นยังไงต่อล่ะ”
“เขาจีบแบบเนียนๆ น่ะค่ะ ซื้อของให้ พูดความในใจอ้อมๆ ตอนนั้นวิวซื่อบื้อมั้งคะเลยดูไม่ออก จนพี่เขายอมแพ้ไปแล้ว วิวเพิ่งมาเข้าใจทั้งหมดตอนหลัง”
หญิงสาวหัวเราะเบาๆ หลังเล่าจบ แม้ปัจจุบันจะแสบสันเปรี้ยวซ่าอย่างไร อดีตเธอก็คือคนซื่อบื้อคนหนึ่ง
“สรุปเรามีใจให้ไอ้หนุ่มคนนั้นหรือเปล่า”
คำถามของคนเป็นบิดาทำให้ภาวัฒน์ชะงักช้อนที่กำลังตักข้าวเข้าปาก เขาไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังตั้งอกตั้งใจฟังคำตอบของยายจอมแสบมากแค่ไหน
“วิวก็รู้สึกดีกับเขานะคะ” รู้สึกดีที่ไม่ได้แปลว่ารัก เพราะหัวใจของวาดฟ้าไม่ว่างเสียแล้ว
“งั้นทำไมไม่กลับไปง้อเสียล่ะ ป่านนี้คงได้ลงเอยกันแล้ว” ชายหนุ่มพูดเสียงเย็นชา ก่อนจะตักอาหารเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ
หญิงสาวเลือกกลอกตามองบนแทนการโต้ตอบ เขาควรจะรู้อยู่แก่ใจว่าเหตุใดเธอจึงไม่กลับไปง้อรุ่นพี่คนนั้น เพราะเธอรักเขาคนเดียวและรักมาตลอดอย่างไรเล่า ไอ้พี่ภีมบ้าเอ๊ย
วศินและเจนเนตรหันมองหน้ากัน เพียงแค่มองตาก็รู้ใจว่าต่างคนต่างกำลังสงสัยในท่าทีที่แสดงออกของคนเป็นลูกชายอยู่ จะว่าหวงก็ไม่แน่ใจ พวกเขาจึงได้แต่จับตาดูต่อไปแบบเงียบๆ รอวันที่อาการออกชัดกว่านี้
เหตุใดการจะพบคนรักของตัวเองแต่ละที จึงต้องลักลอบราวกับเป็นชู้ด้วยเล่า...
แสนกล้ากระโดดข้ามคูน้ำเล็กๆ มายังเนินดินอีกฝั่งอย่างง่ายดาย เขารีบย่ำเท้าก้าวต่อไปท่ามกลางลมหนาวที่พัดเย็นยะเยือกเคล้าแสงแดดยามสาย ไม่นานเขาก็มาถึงเรือนไม้ขนาดกลาง ข้างเรือนมีต้นมะขามต้นใหญ่แตกกิ่งก้านสาขาปกคลุมทั่วบริเวณ
สุนัขพันทางสีขาวลายจุดสีดำชื่อไอ้ด่างที่เจ้าของบ้านเลี้ยงไว้นอนอยู่ใต้ถุนบ้าน พอมันเห็นเขามันก็จำได้ทันที รีบวิ่งกระดิกหางส่งเสียงครางหงิงๆ เข้ามาโดยไม่ส่งเสียงเห่าแต่อย่างใด
ชายหนุ่มย่อเข่าลงบนพื้นหญ้าพร้อมกับใช้ฝ่ามือลูบหัวของมัน ส่วนไอ้ด่างจอมทะลึ่งบ้องก็พยายามจะตะกุยตะกายใส่ กระทั่งเขาต้องดันตัวมันออกห่าง
“ชู่ อย่าเอ็ดไปนะไอ้ด่าง เอ้านี่ ข้ามีของมาฝาก”
แสนกล้ากระซิบ ล้วงมือเข้าไปในย่ามหยิบชิ้นปลาตากแห้งโยนให้มันกิน เขาทำแบบนี้ทุกครั้งที่แอบมาที่นี่เป็นเวลาร่วมหลายเดือนจนมันสนิทสนมคุ้นเคยกับเขา เปิดทางให้เขาลักลอบเข้ามาในบ้านง่ายดาย
ชายหนุ่มควานหาก้อนกรวดเล็กๆ ขนาดพอเหมาะ ลุกเดินดุ่มไปต้นมะขาม ร่างสูงใหญ่กำยำปีนป่ายอย่างคล่องแคล่วจนถึงกิ่งหนึ่งของต้นที่ยื่นไปเกือบติดหน้าต่างห้องนอนของสาวคนรัก
เกิดเสียงดังกึก เมื่อเขาปาก้อนกรวดไปกระทบหน้าต่างไม้บานนั้น ไม่นานมันก็ถูกเปิดออกโดยหญิงสาวผู้มีหน้าตางดงามราวกับเทพธิดาลงมาจุติ
“พี่แสน” นวลตาเรียกชื่อชายหนุ่มพร้อมคลี่ยิ้มละมุน
“พี่เอง พี่คิดถึงเอ็ง” เจ้าของนัยน์ตาคมดุแปรเปลี่ยนเป็นหวานซึ้ง ไม่เคยมีสาวใดได้รับสายตาเช่นนี้จากเขายกเว้นเธอ
“เดี๋ยวฉันลงไปหานะจ๊ะพี่ พ่อกับแม่ฉันเพิ่งออกไปไร่ ยังไม่กลับมาหรอก”
“จ้ะ” ชายหนุ่มพยักหน้ารับคำ
บนแคร่ไม้ไผ่ใต้ถุนเรือน ทั้งสองนั่งพูดคุยเกี้ยวพาราสีตามประสาคนรักเป็นเวลานานสองนาน ส่วนใหญ่ไม่ได้มีเนื้อหาสาระใดๆ นอกจากหยอดคำหวานกันไปมา และมีเจ้าด่างผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่นอนเฝ้าดูอยู่ไม่ไกล
“สงกรานต์นี้พี่มาสู่ขอเอ็งดีไหมนวล” แสนกล้าถามเสียงทุ้มนุ่ม จดปลายจมูกลงบนเส้นผมสีดำยาวสลวยของสาวคนรัก
“เอ่อ ฉันว่าอย่าเพิ่งรีบดีกว่านะจ๊ะพี่”
“ทำไมล่ะ”
“ฉันยังไม่ได้คิดเรื่องแต่งงานออกเรือนน่ะจ้ะ ฉันยังอยากอยู่กับพ่อแม่แบบนี้ไปเรื่อยๆ ก่อน” นวลตาพยายามหาทางเลี่ยง
“แต่ถ้าขืนพี่ไม่รีบมาขอ ไอ้เศรษฐีนั่นคงจะมาตัดหน้าขอเอ็งไปก่อนน่ะสิ พ่อแม่เอ็งชอบมันออกปานนั้น”
“พี่หมายถึงพี่พลน่ะหรือ”
“อ้อ นี่เอ็งสนิทสนมกับมันถึงขั้นเรียกมันว่าพี่แล้วรึ”
“เปล่านะจ๊ะ พี่พลเขาอายุมากกว่า พ่อกับแม่ก็เลยให้ฉันเรียกเขาว่าพี่ ฉันไม่ได้ไปสนิทสนมกับเขาสักหน่อย เกลียดขี้หน้าออกจะตาย” เธอทำหน้างอง้ำตามปากว่า ก่อนจะนำเอามือหนาของชายหนุ่มมากอบกุมไว้ ช้อนสายตาเศร้าสร้อยขึ้นมองเขา
“พี่แสนเชื่อใจฉันเถอะ ฉันรักพี่แค่คนเดียว”
“แต่พ่อแม่เอ็งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเอ็งกับพี่รักกันอยู่ วันดีคืนดีเขาอาจจะยกเอ็งให้คนอื่นก็ได้” แสนกล้าขมวดคิ้ว ชักมือกลับจากสาวคนรักด้วยอารมณ์โกรธที่เริ่มคุกรุ่น ความอดทนของเขาเริ่มหมดลงแล้วตั้งแต่งานวัดครั้งนั้น
“พี่เป็นคนรักของเอ็งแท้ๆ แต่พี่กลับต้องหลบๆ ซ่อนๆ มาเจอเอ็งเหมือนชู้ ส่วนไอ้เฉลิมพลมันเข้านอกออกในบ้านเอ็งสบาย ไปไหนมาไหนตามเอ็งไปได้ พ่อแม่เอ็งไม่เคยขัด”
“แล้วพี่จะให้ฉันทำยังไงล่ะ” สาวสวยถอนหายใจหนัก
“พี่ไม่รู้หรอกนวล เอ็งย้อนถามตัวเองเถอะ”
“...”
“พี่ไม่อยากทนอยู่แบบนี้อีกแล้ว พี่สมเพชตัวเอง”
แสนกล้าแค่นยิ้มเยาะแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง สะบัดชายผ้าขาวม้าพาดบ่าเตรียมเดินจากไป แต่เสียงหวานอันสั่นเครือจากนวลตาหยุดเขาไว้เสียก่อน
“พี่แสนจะเลิกกับฉันหรือ”
“แล้วมันต่างกันตรงไหน ถ้าพี่กับเอ็งรักกันต่อไปแต่ไม่มีทางได้สมหวัง สู้ให้พี่ตัดใจจากเอ็งเสียตั้งแต่ตอนนี้ไม่ดีกว่าหรือนวล”
พูดไปก็ใช่ว่าชายอกสามศอกอย่างเขาจะไม่เจ็บ นวลตาคือผู้หญิงที่เขาหมายใจจะแต่งงานร่วมชีวิตด้วย แต่ถ้าเธอไม่ประสงค์เช่นนั้น เขาก็ไม่อยากทนอยู่แบบคนรักในเงาอีกต่อไป ในขณะที่เธอมีใครอีกคนที่คล้ายว่าจะเป็นตัวจริง
“คือฉัน...”
“เอ็งไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว พี่เข้าใจว่าเอ็งไม่ได้รักพี่มากพอ”
“พี่แสน” นวลตาพึมพำเรียกชื่อหนุ่มคนรักเบาๆ เอื้อมมือหมายจะไปแตะที่ต้นแขนแข็งแรง ทว่าเขากลับเบี่ยงตัวออกห่าง ก่อนจะเดินจากไปโดยไม่หันมามองเธออีก
สาวสวยทรุดนั่งลงบนแคร่ไม้ด้วยความอ่อนแรง แม้จะเสียใจ แต่ไม่ถึงขั้นหลั่งน้ำตาร้องไห้ฟูมฟาย
จริงอยู่ เธอรู้สึกรักและชอบพอในตัวแสนกล้า ชายหนุ่มผู้มีหน้าตาหล่อเหลา แม้จะมีฐานะปานกลางค่อนไปทางยากจน กระนั้นชายหนุ่มก็ยังขยันขันแข็งเอาการเอางาน นับว่าเป็นคนดีคนหนึ่ง
แต่เมื่อเทียบกับชายหนุ่มอีกคนที่มาจีบเธอ เฉลิมพล ลูกชายคนเดียวของเศรษฐีต่างตำบล หน้าตาไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร แถมพูดจาสุภาพน่าฟัง ติดนิสัยโอ้อวดไปสักหน่อย แต่พ่อกับแม่เธอปลื้มเขานัก และมีทีท่าว่าจะยกเธอให้หากเขามาสู่ขอ
เธอลังเลไม่แน่ใจอยู่นาน จึงไม่ยอมบอกพ่อกับแม่เรื่องแสนกล้า จนถึงตอนนี้เธอคงต้องเลือกแล้วจริงๆ ดวงตากลมโตฉายแววแน่วแน่ในการตัดสินใจ ชายใดที่คู่ควรกับเธอ
แสนกล้าเดินทางกลับมาบ้านพร้อมหัวใจอันเหี่ยวเฉา ทุกย่างก้าวที่เดินหนักอึ้งราวกับมีก้อนหินหนักถ่วง เช่นนั้นเขาก็ยังเดินต่อไปด้วยท่าทีเข้มแข็ง ใบหน้าหล่อเหลาไม่แสดงออกถึงความเศร้าใดๆ เพราะเขาคือเสาหลักเพียงหนึ่งเดียวของครอบครัว
“อ้าวแสน ลูกกลับมาแล้วรึ ไหนว่าไปดูนาเที่ยงๆ ถึงจะกลับไง” นางแก้วตะโกนถามลูกชายจากบนเรือน
“ฉันไปมาแล้วจ้ะแม่ พรุ่งนี้ถึงจะเริ่มเอาไอ้ทองไปไถ” เขาหมายถึงควายตัวเดียวที่มีอยู่ในคอกหลังบ้าน
“เอ้อ ขึ้นมากินขนมก่อนสิลูก ของชอบลูกทั้งนั้นเลย”
น้ำเสียงเจือความสุขของมารดาทำให้แสนกล้าประหลาดใจ เขาตักน้ำในตุ่มมาล้างเท้าก่อนจะเดินขึ้นบันไดเรือน คิดว่าวันนี้มารดาต้องลงครัวทำขนมตาลให้เขากินเป็นแน่
‘ยิ่งป่วยไข้ไม่สบายอยู่ยังต้องลำบากทำให้เรากินอีก แม่นะแม่’ เขาสั่นศีรษะ
แต่แล้วพอขึ้นเรือนมา มารดาเขาไม่ได้นั่งอยู่เพียงลำพัง ยังมีแม่ตัวดีที่เขารำคาญนักหนานั่งยิ้มหน้าแป้นอยู่ข้างๆ ด้วย
“แหะๆ พอดีที่บ้านฉันทำขนมตาลเยอะมาก ฉันก็เลยแบ่งเอามาฝากป้าแก้วกับพี่แสนด้วยน่ะจ้ะ”
“ขอบใจ แต่ทีหลังไม่ต้องลำบากหรอก” แสนกล้าว่าพลางเลื่อนสายตามองชิ้นขนมตาลมากมายในถาด
“แหม ลำบงลำบากอะไรกันจ๊ะพี่แสน บ้านอยู่ใกล้แค่ดงกล้วยคั่น ฉันเดินมาสิบก้าวก็ถึงแล้ว”
“แต่ยังไงป้าก็ขอบใจเอ็งอีกครั้งนะลำดวน มาทีไรก็มีของติดไม้ติดมือมาฝากตลอด ส่วนป้าน่ะไม่มีอะไรจะให้เลย” นางแก้วยิ้มบางๆ ลูบศีรษะหญิงสาวที่เห็นมาตั้งแต่เล็กด้วยความรักใคร่เอ็นดูประหนึ่งลูกหลาน
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะป้า ฉันมีความสุขที่ได้ดูแลป้ากับพี่แสนมากกว่า”
“อะแฮ่ม...” ชายหนุ่มกระแอมขัดแม่ตัวดี แล้วจึงเดินเข้าไปนั่งใกล้ๆ มารดา
“แล้วนี่แม่ดีขึ้นแล้วรึถึงได้ลุกมานั่ง เมื่อเช้ามืดยังบอกฉันว่าเวียนหัวอยู่เลย”
“ดีขึ้นแล้ว ได้แม่ลำดวนนี่แหละเอายามาต้มให้กิน แหม่ ดีขึ้นทันตาเห็นเชียว ลุกนั่งยืนเดินสบาย”
“อ้อ...”
“เอ่อ ฉันกลับก่อนดีกว่าจ้ะป้า”
ลำดวนรีบเอ่ยขอตัวกลับ เธอกลัวว่าแสนกล้าจะต่อว่าเธอที่เข้ามายุ่งเรื่องในบ้านของเขามากเกินไป แม้สิ่งที่เธอทำมันจะเป็นเรื่องดี แต่ทุกครั้งเขาไม่เคยมองเธอในแง่ดี ครั้งนี้ด้วยกระมัง...
“เอ้อๆ ไปดีมาดีนะแม่คุณ แสนเดินไปส่งแม่ลำดวนเขาไปลูก”
นางแก้วหันไปบอกลูกชาย ทำเอาบุตรสาวคนเล็กของเศรษฐีอยากจะร้องไห้ ป้าแก้วนะป้าแก้ว พี่แสนคงได้ดุว่าเธอก่อนกลับบ้านแน่
“ไม่เป็นไรจ้ะเดี๋ยวฉัน...” พอกำลังจะปฏิเสธ เสียงเข้มก็ดังแทรกขึ้นมา
“พี่จะเดินไปส่งเอ็งเอง ไปเถอะ”
“ก็ได้จ้ะ”
ในที่สุดลำดวนก็ยอมจำนน ร่างบางในชุดเสื้อสีชมพูตัดเย็บอย่างดีเข้าคู่กับผ้าซิ่นลุกขึ้นเดินนำหน้าออกไปโดยมีร่างสูงใหญ่เดินตามหลัง กระทั่งลงมาถึงข้างล่าง
“พี่แสนส่งฉันแค่ตรงนี้แหละ”
“เดี๋ยวก่อน” แสนกล้าเอ่ยเรียกแม่ตัวดี ที่วันนี้ดูเหมือนจะรีบชิ่งหนีแทนการหาเวลาอ้อยอิ่งอยู่กับเขานานๆ เหมือนทุกครั้ง
“ถ้าพี่แสนจะต่อว่าอะไรฉันก็รีบๆ เถอะจ้ะ”
หญิงสาวก้มหน้าคอตก รอฟังถ้อยคำร้ายๆ จากเขา ทว่าผิดคาด เขาทำในสิ่งที่ตรงข้ามกว่านั้น นั่นคือการเอื้อมมือมาแตะบ่าของเธออย่างอ่อนโยน
“แล้วทำไมพี่ต้องต่อว่าเอ็งด้วยล่ะ” คิ้วเข้มเลิกสูง
“ก็...พี่อาจจะไม่ชอบที่ฉันเข้ามายุ่งย่ามกับแม่ของพี่”
“ไม่เลย พี่ต้องขอบคุณเอ็งต่างหาก”
“เอ๊ะ?”
ลำดวนเงยหน้าขึ้นมอง ใบหน้าหล่อเหลาของผู้ชายที่เธอแอบรักที่กำลังส่งยิ้มอบอุ่นมาให้ท่ามกลางลมหนาวที่พัดมาวูบหนึ่ง เพียงเท่านั้นหัวใจดวงน้อยก็แทบหลอมละลาย เธอฝันไปหรือเปล่า...รอยยิ้มแบบนี้เห็นครั้งสุดท้ายก็ตอนที่เขาช่วยชีวิตเธอไว้จากพวกโจรป่า นับเป็นครั้งแรกที่เธอตกหลุมรักเขาหมดหัวใจ หลังจากแอบมองเขามาตั้งแต่เด็กในฐานะพี่ชายข้างบ้าน
“เอ็งดีกับพี่ ดีกับแม่พี่ขนาดนี้ จะให้พี่ไปต่อว่าเอ็งได้ยังไงฮึ”
“เรื่องนั้นไม่เป็นไรเลยจ้ะ ฉันบอกแล้วไงว่าอยากดูแลพี่แสนกับป้าแก้ว แล้วพรุ่งนี้ฉะ...ฉันจะเอากับข้าวไปส่งให้ตอนเที่ยงเหมือนเดิมนะจ๊ะ”
คนแก่นแก้วมาตลอดถึงกับทำตัวไม่ถูก ใบหน้างามคมขำแดงก่ำด้วยรู้สึกขวยเขิน รีบเดินเร็วๆ ฝ่าดงกล้วยกลับไปยังเรือนของตนเองทันที
“หึๆ”
แสนกล้าหัวเราะในลำคอเบาๆ มองแม่ตัวดีด้วยสายตาขบขันระคนเอ็นดู นึกฉุกใจขึ้นมาเมื่อคิดได้ว่าเป็นเวลาร่วมปีแล้วที่เธอรักเขา พยายามทำให้เขาและคนรอบข้างมีความสุข หรือจริง ๆ แล้วมันถึงเวลาที่เขาต้องมอง ‘คนที่รักเขา’ อย่างจริงจัง และเลิกพยายามไขว่คว้า ‘คนที่เขารัก’ เสียที
ภาวัฒน์รู้สึกตัวตื่นขึ้นจากความฝัน พบว่าเขานอนฟุบหลับอยู่บนโต๊ะทำงานภายในห้องนอน ชายหนุ่มขยับตัวเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ใช้ปลายนิ้วนวดคลึงขมับไล่อาการปวดหัว เมื่อหยิบสมาร์ตโฟนมาเปิดหน้าจอดูก็เป็นเวลาตีสองกว่าแล้ว
“ฝันแบบนี้อีกแล้ว” เสียงทุ้มห้าวพึมพำเบาๆ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน
ผ่านมาหลายวันหลังจากเขาและวาดฟ้าไปรับประทานอาหารที่คฤหาสน์อนันต์ธาดา เขาก็ไม่ได้ฝันถึงเรื่องราวประหลาดๆ นั่นอีกเลยจนกระทั่งคืนนี้
ก๊อกๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรียกความสนใจของภาวัฒน์ให้กลับมาโฟกัสกับปัจจุบัน
“วิวเองค่ะพี่ภีม”
“เข้ามา”
พอเขาเอ่ยอนุญาต ประตูที่ไม่ได้ล็อกจึงเปิดออกโดยร่างเล็กในชุดนอนเสื้อเชิ้ตตัวยาว ใบหน้าจิ้มลิ้มมีแผ่นมาสก์หน้าแปะอยู่ ในมือประคองถ้วยชากลิ่นหอมฉุยมาวางไว้บนโต๊ะทำงานเขา
“ขอบใจ แล้วทำไมวิวยังไม่นอนอีก”
“วิวนอนไม่หลับเลยหาซีรีส์เกาหลีดู ลุกมากินน้ำก็เห็นไฟห้องพี่ภีมเปิดอยู่ คิดว่าพี่ภีมต้องทำงานดึกอีกแน่ๆ เลยชงชามาให้ค่ะ ชานี่ดีมากเลยนะคะมีสรรพคุณช่วยให้ผ่อนคลายจากความเครียด”
วาดฟ้ารายงานยาวเหยียดด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยชัดเจนนัก เพราะแผ่นมาสก์หน้าแปะอยู่ทำให้ขยับปากมากไม่ได้ อันที่จริงชานั่นเธอตั้งใจชงดื่มเอง แต่ลองเสี่ยงดวงมาเคาะประตูดู บังเอิญว่าเขายังไม่ได้นอน เธอเลยยกชาให้เพื่อทำคะแนน เดี๋ยวไปชงแก้วใหม่เอาก็ได้...
“พี่ภีมดื่มชาแล้วก็เข้านอนนะคะ วิวเป็นห่วงสุขภาพ ทำงานถึงตีหนึ่งตีสองแบบนี้เกือบทุกวันเลย”
“อืมรู้น่า พี่ก็เพิ่งนอนดึกแค่ช่วงนี้แหละ บริษัทกำลังจะทำโครงการใหม่ร่วมกับจีน แล้วเอกสารมันเยอะ”
ภาวัฒน์บุ้ยปากไปทางเอกสารกองพะเนินที่เขาสะสางไปแล้วครึ่งหนึ่ง เหลือเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“โอเคค่ะ ไฟต์ติงนะคะคุณว่าที่สามี” หญิงสาวชูสองนิ้วให้กำลังใจรองประธานหนุ่ม
“เพ้อเจ้อ ไปนอนได้แล้วไป พี่จะนอนแล้ว” เขาโบกมือไล่
“โอเคค่า”
ยายจอมแสบเปลี่ยนจากสองนิ้วมาเป็นรูปโอเค ก่อนจะเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า ภาวัฒน์ได้แต่สั่นศีรษะ หยิบถ้วยชาอุ่นๆ ตรงหน้าขึ้นมาจิบ
ทำไมวาดฟ้าช่างเหมือนกับลำดวนที่เขาฝันถึงราวกับเป็นคนคนเดียวกัน หาใช่รูปร่างหน้าตา แต่เป็นบุคลิกนิสัยต่างหาก
เขาคงต้องไปพบจิตแพทย์จริงจังเสียแล้ว นี่เขาไปรู้อุปนิสัยใจคอคนในความฝันตั้งแต่เมื่อไหร่...ชายหนุ่มคิดพลางถอนหายใจ
เสียงแจ้งเตือนแอปพลิเคชันไลน์ดังขึ้น เขาวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ หยิบเครื่องมือสื่อสารราคาแพงมาเปิดดู พบว่าเป็นข้อความจากณัฐชานั่นเอง
Nat : ภีม
Nat : พรุ่งนี้แนทบินกลับถึงกรุงเทพฯ ตอนสี่โมงเย็น แล้วเจอกันที่ร้านเดิมนะ
เมื่อเธอกลับมาเท่ากับถึงเวลาต้องเคลียร์ใจ ภาวัฒน์จำเป็นต้องยุติความสัมพันธ์ดังกล่าวลง เพราะว่าช่วงสามเดือนนี้เขากลายเป็นคนมีพันธะ ไม่ใช่คนตัวเปล่าเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เขาจำเป็นต้องเคารพกฎในความสัมพันธ์ ทั้งในแง่ของ friend with benefits’ และในแง่ว่าที่สามีของใครบางคน
ความคิดเห็น |
---|