บทที่ ๑๐
ภพชาติ
“คืนนี้เอ็งค้างบ้านข้าละกันไอ้ม่อน จะได้อยู่คุยกันยาวเลย” บุรฉัตรเอ่ย บรรจงเจาะสกรูกลางจุกคอร์กของขวดไวน์แล้วหมุนอย่างเบามือ “พรุ่งนี้ก็วันหยุด ว่าไงล่ะเพื่อน”
“ได้ แต่ต้องโทร. บอกแม่ก่อน เดี๋ยวแกเป็นห่วง” นลธวัชบอก มองฝ่ายอีกดึงฝาจุกคอร์กออก ใช้ผ้าสะอาดเช็ดรอบคอขวดเสร็จจึงเทไวน์เนื้อใสลงในแก้วเล็กน้อยก่อนยกขึ้นจิบชิม บุรฉัตรรินไวน์หอมกรุ่นใส่แก้วก้านยาวเนื้อบางส่งให้เพื่อนรัก
“ย้ายมาตรงนี้ค่อยสบายขึ้นหน่อย”
นลธวัชรับแก้วมา ยกขึ้นสูดกลิ่นหอมละมุนก่อนจิบ เหลียวมองไปรอบตัวอย่างพอใจ อากาศปลอดโปร่งใต้ร่มไม้กลางสวนยามค่ำคืน ประดับด้วยแสงเหลืองนวลตาจากโคมที่ห้อยตามกิ่งไม้ ฟังเสียงน้ำพุเคล้ากลิ่นหอมของดอกไม้ราตรี เขาทนอยู่ในห้องที่เย็นฉ่ำด้วยเครื่องปรับอากาศมาหลายชั่วโมง เพราะลดานาฏซึ่งขอมาร่วมนั่งด้วยตั้งแต่เย็นอิดออดไม่ยอมออกจากห้อง อ้างว่าร้อน ไม่ชอบตัวเหนียวเหนอะหนะ เขารู้สึกสบายใจเมื่อหล่อนขอตัวกลับไปตอนหัวค่ำ
ลดานาฏเป็นคนสวย รูปร่างโปร่งระหงกับการแต่งกายหรูสะดุดตาเมื่อแรกเห็น แต่บางอย่างทำให้หล่อนไม่น่าสนใจ อาจจะด้วยกิริยาและวาจาที่ไม่ตรงใจนลธวัช ผิดกับอีกคน แม้เขาจะเห็นอเดลลาเพียงครู่เดียว แต่น่าแปลก กลับสัมผัสถึงความนุ่มนวลอ่อนหวานจากหญิงสาวได้
“อเดลลาเรียนกับเอ็งกี่วันวะ” นลธวัชถาม โคลงแก้วในมือ มองน้ำใสแจ๋วกระทบแสงไฟเป็นประกายวับ
“วันศุกร์ หกชั่วโมง” บุรฉัตรตอบ เหลือบขึ้นมองผู้ถาม “ถามทำไมวะ”
“เปล่า” นลธวัชปฏิเสธ อมยิ้ม “เขาน่ารักดี ผมสีเข้ม คิ้วเข้ม ตาสีน้ำตาล ผิวขาว แต่ไม่ซีดเหมือนคนยุโรปทั่วไป”
“นี่เอ็งเก็บรายละเอียดได้เร็วขนาดนั้นเลยเหรอ” บุรฉัตรยิ้ม มองหน้าอีกฝ่ายนิ่ง
“เอ็งอย่าลืมสิ ข้าเป็นจิตแพทย์ ต้องสังเกตเก่ง เก็บข้อมูลรวดเร็วแม่นยำ โดยเฉพาะคนที่ข้าสนใจ” บุรฉัตรเห็นนัยน์ตานลธวัชเป็นประกาย “แล้วไม่คิดจะชวนเขามานั่งคุยกับเราด้วยเหรอ”
“คงหลับไปแล้วมั้ง วันนี้เหนื่อยมาทั้งวัน” บุรฉัตรตอบโดยไม่เงยหน้าเพราะกำลังรินไวน์ลงในแก้วของตน “แล้วเอ็งหายไปไหนมา ไม่มาบ้านข้านานแล้ว โทร. ไปก็ให้ฝากข้อความตลอด ไลน์ก็ไม่อ่าน” เจ้าของบ้านเปลี่ยนเรื่อง ขยับเอนหลังพิงพนัก
“ข้าไปอเมริกา” นลธวัชตอบสั้นๆ
“ไปเที่ยวเหรอวะ แล้วเอ็งไม่ทำงานเหรอ” บุรฉัตรสงสัย เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายทำงานประจำในโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง
“ข้าขอลาไปเรียนต่อ แค่แปดเดือนเอง”
“เรียนอะไรของเอ็งวะ ทำไมสั้นจัง มีแต่เขาไปกันเป็นปี” บุรฉัตรขมวดคิ้ว
“ข้าไปเรียนสะกดจิตระลึกชาติ”
“ฮ้า!” บุรฉัตรร้อง ถือแก้วไวน์ที่กำลังจ่อปากค้างไว้ “มีด้วยเหรอวะ สะกดจิตระลึกชาติ ชื่อประหลาดว่ะ” ตบท้ายด้วยเสียงหัวเราะ
“ไม่ตลกนะเว้ย มีจริงๆ” สีหน้านลธวัชดูจริงจัง “ข้าเรียนมาเพื่อบำบัดคนไข้”
“แล้วการระลึกชาติมันเกี่ยวอะไรกับการบำบัดคนไข้ ข้านึกว่าเอ็งรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์อย่างเดียวเสียอีก”
“คนไข้บางราย มันรักษาแค่ทางกายด้วยการใช้ยาไม่ได้หรอก เพราะต้นเหตุสำคัญอยู่ที่จิตใจ” นลธวัชมองหน้าเพื่อนหนุ่ม แล้วเอ่ยต่อ “ข้าสนใจวิธีการบำบัดคนไข้ด้วยการสะกดจิตระลึกชาติของดอกเตอร์ไบรอัน แอล. ไวส์ มานานแล้ว เคยอ่านหนังสือ Only love is real ที่เขาเขียน แล้วทึ่งมาก ข้าเลยค้นข้อมูลแล้วติดต่อขอไปศึกษากับเขา”
“เอ็งเชื่อเรื่องพวกนี้ด้วยเหรอ” บุรฉัตรมองหน้าอีกฝ่ายอย่างสงสัย นลธวัชเป็นชายหนุ่มรุ่นใหม่ ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะมาสนใจเรื่องแนวนี้ จิตแพทย์หนุ่มขยับตัวเอนหลัง
“ไม่ได้เชื่อเต็มร้อย แต่ข้าสนใจ มันเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการบำบัดคนไข้ที่มีปัญหาด้านจิตใจ จนได้ไปศึกษาจริงๆ ได้เห็นคนไข้หลายรายที่มาปรึกษากับดอกเตอร์ไวส์ มันมหัศจรรย์มากเลยนะเอ็ง ถ้าเอ็งได้เห็นก็ต้องรู้สึกเหมือนข้า” จิตแพทย์หนุ่มหยุดพูด มองหน้าคู่สนทนาครู่หนึ่งก่อนพูดต่อ
“มีอยู่รายหนึ่ง เป็นผู้หญิงอเมริกัน อายุสี่สิบกว่า เขามีปัญหาเพราะถูกสามีทำร้ายเป็นประจำ อยากหย่าแล้วย้ายกลับไปอยู่บ้านเกิดที่แอริโซนา แต่ก็ตัดใจไม่ได้ซะที เพราะยังรักผู้ชายคนนั้น ก็ต้องทนอยู่อย่างทุกข์ทรมาน ปล่อยให้สามีทำร้ายอยู่อย่างนั้น ดอกเตอร์ไวส์ใช้วิธีสะกดจิตย้อนไปในอดีต พบว่าชาติที่แล้วผู้หญิงคนนี้เกิดเป็นผู้หญิงจีน แต่งงานกับพ่อม่ายมีลูกชายติดมาด้วยคนหนึ่ง ซึ่งก็คือสามีของเขาในปัจจุบันนั่นแหละ เธอบอกว่าเกลียดลูกเลี้ยงคนนี้มาก ใช้ให้ทำงานสารพัด แอบทำร้ายทุบตีเป็นประจำเวลาสามีไม่อยู่บ้าน จนเด็กคนนั้นเสียชีวิต เธอจึงเข้าใจว่าเพราะอะไรสามีจึงชอบทำร้ายเธอในชาตินี้ มันเหมือนการเวียนว่ายตายเกิด กลับมาชดใช้กรรมที่เธอเคยทำกับลูกเลี้ยงไว้”
“แล้วเอ็งคิดว่าเป็นเรื่องจริงเหรอ ผู้หญิงคนนั้นอาจจะฟุ้งซ่านจนสร้างภาพขึ้นมาเองแล้วก็เล่าเป็นตุเป็นตะ” บุรฉัตรแย้ง ไม่อยากเชื่อว่าการย้อนกลับไปในอดีตจะเป็นไปได้จริง
“ตอนแรกข้าก็ไม่เชื่อ” นลธวัชหันมามอง “แต่ตอนที่ผู้หญิงคนนั้นถูกสะกดจิต เขาก็พูดภาษาจีนออกมาทั้งที่ไม่เคยเรียนมาก่อน ญาติพี่น้องต้นตระกูลก็ไม่มีเชื้อสายจีนเลย นี่ยังไม่นับอีกหลายรายที่ข้าได้เห็น วันหลังจะเล่าให้ฟัง”
“อือ...แปลก” บุรฉัตรพึมพำ ตรึกตรองและชั่งใจสิ่งที่ได้ฟัง
“ดอกเตอร์ไวส์บอกว่า คนเราเคยเกิดมาแล้วหลายชาติ คนที่ได้พบกันในปัจจุบันต่างก็เคยเจอกันมาแล้วในชาติที่ผ่านมา เพียงแต่ว่าจำกันไม่ได้ บางครั้งความทรงจำเก่าๆ อาจจะมีหลงเหลือติดค้างมาบ้าง” นลธวัชขยับกายขึ้นนั่งโน้มตัวมาข้างหน้า พักสองแขนบนหน้าขา ประสานมือทิ้งลง “เอ็งเคยมั้ยล่ะ เจอใครสักคนแล้วประทับใจทันที รู้สึกคล้ายๆ เคยพบเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่นึกไม่ออก”
บุรฉัตรนิ่ง ภาพใครคนหนึ่งฉายขึ้นในความคิด จึงเอ่ยต่อ “ก็เคยนะ ข้าฝันถึงคนคนหนึ่งบ่อยมาก”
“ใครวะ สาวๆ ชัวร์ สวยเปล่าเพื่อน” นลธวัชอมยิ้ม ยกแก้วขึ้นจิบ
“เปล่า ผู้ชาย” บุรฉัตรปฏิเสธเสียงเรียบ
“เฮ้ย!” นลธวัชร้อง “อย่าบอกนะว่าเอ็งเปลี่ยนของชอบไปแล้ว” ตบท้ายด้วยเสียงหัวเราะชอบใจ
“บ้าน่า เอ็งก็พูดไป” บุรฉัตรยิ้ม ก่อนจะเบนสายตาไปข้างหน้า “ข้าฝันถึงผู้ชายฝรั่งคนหนึ่ง หน้าตาคมคาย จมูกโด่ง ผมหยักศก ข้าเริ่มฝันตั้งแต่อายุสิบกว่าขวบ” ตาคมเศร้ามองเหม่อไปในความสลัวกลางสวน
“ฝรั่งเหรอวะ ใช่เพื่อนเอ็งที่อเมริกาหรือเปล่า” อีกฝ่ายแย้ง
“ไม่ใช่แน่นอน” บุรฉัตรยืนยันหนักแน่น “ข้าไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน อีกอย่าง เท่าที่เห็น ไม่ใช่วัยเดียวกับข้าแล้ว”
“เอ็งฝันบ่อยแค่ไหน ปีละครั้งหรือว่าห้าหกปีครั้ง” จิตแพทย์หนุ่มถาม
“นับไม่ไหวว่ะ เอาเป็นว่าข้าฝันบ่อยแล้วกัน ฝันทีไรก็เหมือนเดิม ซ้ำไปซ้ำมา”
“ยังไง เล่าให้ข้าฟังหน่อยสิ” นลธวัชเริ่มสนใจ วางแก้วลง ขยับเก้าอี้เข้ามาใกล้
“ในฝัน...ข้าเห็นเขายืนอยู่ในห้องห้องหนึ่ง” บุรฉัตรเล่า ตาเหม่อลอยคล้ายกำลังทบทวน “อ้อ ผนังห้องเป็นหินสีเขียว บนผนังแขวนรูปวาดหลายรูป ทุกครั้งเขาจะจ้องหน้าข้าเหมือนอยากพูดอะไรสักอย่าง”
“บางที...เขาอาจจะอยากสื่ออะไรกับเอ็งก็ได้”
“สื่อกับข้า...” บุรฉัตรเลิกคิ้ว “เรื่องอะไรวะ แล้วทำไมต้องเป็นข้า”
“ข้าไม่รู้ แต่เขาอาจจะเคยรู้จักเอ็งมาก่อน อาจจะเป็นจิตที่เชื่อมโยงข้ามภพข้ามชาติมาจนถึงปัจจุบันก็ได้”
“พูดเป็นนิยายไปได้เอ็งนี่” บุรฉัตรโคลงศีรษะ ยิ้มขำ
“อ้าว เรื่องจริงนะเว้ย เอ็งไม่รู้อะไร จิตมนุษย์ละเอียดอ่อนมาก โดยเฉพาะความรู้สึกรัก ผูกพัน โกรธเกลียด มันเหมือนคลื่นพลัง ถ้าแกร่งกล้าพอ มันจะคงอยู่ ไม่สลายไปง่ายๆ ยิ่งถ้าจิตนั้นยึดติดกับสิ่งใดหรือใครสักคนมากๆ ก็จะยิ่งวนเวียนอยู่ใกล้ ไม่จากไปไหน” น้ำเสียงนลธวัชดูจริงจัง
“ฟังแล้วน่ากลัวว่ะ เหมือนมีวิญญาณติดตามตัวไปทุกที่แบบหนังผีที่เคยดู” บุรฉัตรยังคงความคิดเดิม ไม่ปักใจเชื่อว่าความฝันซ้ำซากของเขาจะไปเกี่ยวโยงกับเรื่องราวในอดีตได้
“แต่ที่ข้าคิด บางทีเจ้าของจิตอาจจะมาเกิดใหม่แล้ว แต่รอยความทรงจำยังตกค้างในภพที่แล้ว บางเรื่องอาจจะยังไม่ได้แก้ไขให้เสร็จ รักที่ไม่สมหวัง ความทุกข์ ความพยาบาทเหมือนตะกอนที่ตกค้างอยู่ มันจะตามติดร่างที่มาเกิดใหม่ให้นึกถึงตลอด บางทีก็สื่อออกมาในรูปของความฝันได้นะเอ็ง”
“เออ ไอ้ม่อน” บุรฉัตรทำท่าเหมือนเพิ่งนึกอะไรได้ “ผู้ชายคนนั้นหน้าตาคล้ายอเดลลามาก ถ้าจะบอกว่าเป็นพ่อลูกกันก็ได้เลย โครงหน้าแทบจะถอดพิมพ์เดียวกันออกมา โดยเฉพาะ...ตาคู่นั้น” ภาพดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนฉายขึ้นในห้วงคิด
นลธวัชจ้องหน้าบุรฉัตรนิ่งอย่างใช้ความคิด
“คนที่เคยพบเจอ มีชีวิตร่วมภพเดียวกัน เมื่อตายไป ความทรงจำจะเลือนหายไปพร้อมกับร่างที่สลายไปแล้ว เมื่อได้มาเกิดใหม่ในชาตินี้ ต่างก็ไม่รู้จักกัน แต่สิ่งที่ยังเหลืออยู่คือความรัก ความเศร้าโศก ความโกรธเกลียดเคืองแค้นของจิตที่ยังฝังแน่นอยู่ในร่องรอยกาลเวลา ซึ่งจะดึงคนทั้งคู่เข้ามาหากัน เมื่อถึงเวลาได้เจอกัน จะมีบางสิ่งช่วยระลึกให้ทั้งสองคนจำกันและกันได้”
“ฟังแล้วโรแมนติกเป็นบ้า ยังกะ Somewhere in Time เลยว่ะ” บุรฉัตรยิ้ม หวนนึกถึงหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งเคยอ่านนานมาแล้ว เรื่องราวของชายหนุ่มที่เดินทางข้ามกาลเวลากลับไปหาหญิงคนรักในอดีต ครั้งนั้นเขาคิดว่าเป็นเพียงจินตนาการเพ้อฝันของ ริชาร์ด แมทเธอสัน ผู้แต่งนิยายเรื่องนี้เท่านั้น
“ทำเป็นเล่นไป ไม่แน่นะเว้ย เอ็งกับฝรั่งคนนั้นอาจจะเคยพบกันมาก่อนเมื่อชาติที่แล้วก็ได้”
“ข้านึกไม่ออก ผู้ชายสองคนจะมาผูกพันลึกซึ้งกันในฐานะอะไร” บุรฉัตรสงสัย
“เอ็งก็อย่าเอาบรรทัดฐานในปัจจุบันมาวัดสิ เขาอาจจะเคยเกิดเป็นพ่อเอ็ง เป็นลูก หรืออาจจะเคยเป็นเมียเอ็งมาก่อนก็ได้”
“เฮ้ย! มีด้วยเหรอวะ ผู้หญิงมาเกิดใหม่เป็นผู้ชาย ผู้ชายเกิดมาเป็นผู้หญิง ข้าเห็นแต่ในละคร นางเอกเกิดมาก็เป็นนางเอกเหมือนเดิม แถมหน้าตาไม่เปลี่ยนสักนิด” บุรฉัตรหัวเราะเบาๆ
“นั่นมันละครเว้ย ชีวิตจริงมันต่างกัน คนเราเกิดใหม่มาเป็นอะไรก็ได้ บางคนก็เกิดมาสวยหล่อ สมบูรณ์ทุกอย่าง เกิดมาพิการ หูหนวกตาบอดก็มี ไอ้ที่ไปเกิดเป็นหมูหมากาไก่ก็ไม่น้อย มันขึ้นอยู่กับบุญกรรมที่สั่งสมมา ไม่อย่างนั้นทุกคนก็เกิดมาสมบูรณ์พร้อมเหมือนกันหมดสิวะ” นลธวัชบอก “บางที...ผู้ชายคนนั้นอาจจะกลับชาติมาเกิดเป็นอเดลลา”
“เป็นไปได้เหรอวะ” บุรฉัตรหันมาถามเพื่อนรัก เขาเริ่มลังเล เพราะครั้งแรกที่ได้เห็นหน้าอเดลลา เป็นเพียงแค่ความสงสัย แต่ก็ตอบตัวเองว่าคนบนโลกนี้มีโอกาสหน้าตาคล้ายกันได้ตั้งมากมาย บางคนมีใบหน้า รูปร่างเหมือนคนมีชื่อเสียงราวกับเป็นฝาแฝด เขาไม่เคยฉุกใจเรื่องนี้มาก่อนจนวันนี้
“ก็อย่างที่ข้าบอกไง ทุกอย่างมันเป็นไปได้ เอ็งอาจจะเกิดเป็นใครสักคนมาก่อนและผูกพันกับผู้ชายฝรั่งคนนั้นมาก ชาตินี้เลยได้มาพบกันอีกครั้ง”
“อ้อ ข้าฝันเห็นบ้านหลังหนึ่งด้วย” บุรฉัตรบอก ทอดตาไปข้างหน้าคล้ายกำลังรำลึกภาพในหัว “ข้ารู้สึกผูกพันกับบ้านหลังนี้มาก มีความสุขทุกครั้งที่ได้ฝันถึง บ้านชั้นเดียว สีเขียว ตั้งอยู่กลางสวน มีต้นลั่นทมปลูกอยู่ล้อมรอบ”
“ถ้ารู้สึกผูกพัน ก็แสดงว่าเอ็งคงเคยใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังนั้นมาก่อนแน่ๆ หรือไม่ก็อาจจะมีบางสิ่งที่เอ็งรักและสำคัญมากอยู่ในบ้านหลังนั้น”
นลธวัชยกแก้วขึ้นดื่มหลังพูดจบ ทั้งคู่นั่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่ก่อนนลธวัชจะถามขึ้น
“แล้วเอ็งไม่อยากรู้เหรอว่าชาติที่แล้วของเอ็งเป็นยังไง มีใครบ้างที่เคยพบเจอ ได้ใช้ชีวิตร่วมเวลาเดียวกันในอดีต”“ไม่ ข้าไม่อยากรู้” บุรฉัตรส่ายหน้า ตอบเสียงหนักแน่น “ถ้าชีวิตในปัจจุบันดีอยู่แล้ว ไม่เห็นจำเป็นต้องไปขุดคุ้ยอดีตให้วุ่นวาย จะทำไปเพื่ออะไร”
“ถูกต้องเลยเพื่อน” นลธวัชตบไหล่อีกฝ่าย ยิ้มด้วยความพึงพอใจ “เราต้องมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน เรื่องที่ผ่านมาไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว เอ็งเชื่อมั้ย บางคนพอได้เข้าไปรู้อดีตชาติของตัวเอง รู้ว่าคนใกล้ตัวคือคนที่เคยคดโกงและทำร้ายตัวเองจนเสียชีวิต กลับโกรธแค้น แล้วคิดจะเอาคืนก็มีนะเว้ย”
บุรฉัตรถอนใจ มองนลธวัชด้วยแววตากังวล “แต่มีเรื่องหนึ่ง ข้าอยาก...”
“เฮ้ย! เดี๋ยว” นลธวัชยกมือขึ้น วางแก้วลงอย่างแผ่วเบา “ฟังสิ” ชายหนุ่มเอียงศีรษะไปข้างหนึ่ง ย่นคิ้วสงสัย
“อะไรของเอ็ง” บุรฉัตรถาม สงสัยท่าทีของเพื่อน
“ข้าได้ยินเสียง...เหมือนคนร้อง” จิตแพทย์หนุ่มบอกเสียงแผ่วเกือบเป็นกระซิบ สายตาจับนิ่งไปข้างหน้า
บุรฉัตรพยายามตั้งใจฟัง นอกจากเสียงน้ำพุและเสียงลมพัดยอดไม้แล้ว เขาไม่ได้ยินเสียงผิดปรกติอะไรเลย
“ไม่เห็นมีอะไร เอ็งหูแว่วหรือเปล่าวะ”
“ไม่นะเว้ย ข้าได้ยินจริงๆ” นลธวัชขมวดคิ้วฉงน เขาได้ยินเสียงเหมือนคนร้องขอความช่วยเหลือ ที่สำคัญเสียงนั้นเป็นเสียงผู้หญิง
“ไม่มีอะไรหรอกน่า ถ้ามีจริงข้าก็ต้องได้ยินสิวะ” บุรฉัตรสรุป
“เฮ้ย! นั่นไง เอ็งฟังสิ” นลธวัชร้องขึ้น ประสาทตื่นตัวเต็มที่ ชี้ไปทางต้นเสียง “เสียงมาจากทางโน้น”
บุรฉัตรเอียงศีรษะไปตามทางที่อีกฝ่ายชี้ ใช่จริงด้วย เสียงกรีดร้องของผู้หญิงดังแว่วมาในความมืด เขาลุกพรวดพราด
เสียงนั้นดังมาจากบริเวณศาลาริมน้ำ
“อเดลลา...” บุรฉัตรคราง จู่ๆ ก็ขนลุกซู่ สังหรณ์บางอย่างทำให้ฉุกคิดถึงหญิงสาวขึ้นมา เขาวิ่งตรงไปยังต้นเสียงทันที
“ไอ้ฉัตร! รอก่อน” นลธวัชร้องเรียก ลุกขึ้นวิ่งตามไป
บุรฉัตรผลักเก้าอี้ล้มระเนระนาด วิ่งลิ่วตัดสวน กระโดดข้ามแนวไม้พุ่มเตี้ยซึ่งปลูกเป็นแถว เข้าสู่ลานหญ้ากว้างอีกฟากหนึ่ง เห็นศาลาตั้งเป็นเงาตะคุ่ม ไกลออกไปคือผืนน้ำกว้าง มองเห็นเป็นทางยาวสีเทาหม่นในความสลัว ชายหนุ่มพุ่งตรงไปที่นั่นด้วยใจเต้นระทึก อาศัยแสงไฟจากบ้านเรือนริมน้ำข้างเคียงพอช่วยให้มองเห็นรอบบริเวณได้บ้าง
บุรฉัตรขนลุกเกรียวเมื่อสายตาสบเข้ากับร่างใครคนหนึ่งที่กำลังดิ้น ยกมือขึ้นคล้ายปัดป่ายบางสิ่งให้พ้นตัว เสียงกรีดร้องดังฝ่าความสงัดเงียบขึ้นอีกครั้ง
“กรี๊ด! ออกไป๊!” เห็นชัดว่าร่างนั้นยืนหมิ่นเหม่อยู่ตรงขอบชานไม้ซึ่งอยู่ต่ำลงไปอีกขั้นหนึ่งจากพื้นศาลา แต่ที่น่าหวาดหวั่นกว่าสิ่งใดคือ มันยื่นออกไปในน้ำ
“อเดลลา ระวัง!” บุรฉัตรเผลอยกมือขึ้นห้าม ทั้งที่อยู่ห่างหลายเมตร ได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้สิ่งที่กำลังหวาดกลัวเกิดขึ้นเลย แต่คำขอกลับเป็นหมัน เมื่อร่างหญิงสาวร่วงลงสู่ผืนน้ำพร้อมกับเสียงกรีดร้องโหยหวน
“อเดลลา!” ชายหนุ่มตะโกนก้อง วิ่งสุดกำลังตรงไปยังศาลา ทันทีที่เท้าเหยียบลงแตะพื้นชาน เขาก็พุ่งตัวลงสู่สายน้ำเย็นเยือกทันที
ความคิดเห็น |
---|