บทที่ ๙

บทที่ ๙

นลธวัช

 

อเดลลายิ้มให้ทุกคน แต่ได้รับสีหน้านิ่งเฉยกลับคืน บางคนเหยียดริมฝีปากคล้ายเยาะหยัน แต่ที่ไม่ต่างกันคือแววตาไร้ไมตรี

“ไม่แนะนำตัวหน่อยเหรอ หรือว่าเป็นใบ้” หญิงสาวผมสั้นสีน้ำตาลแดงซึ่งนั่งตรงข้ามเธอถาม

“เอ้อ...ดิฉัน...ชื่ออเดลลาค่ะ” หญิงสาวนึกโกรธตัวเองที่ประหม่าจนพูดตะกุกตะกัก

“แหม! แนะนำตัวยังกะสอบสัมภาษณ์” สาวคนเดิมยักไหล่

“ชุดสวยเนอะ เหมือนอะไรน้า” สาวชุดสีครีมทำท่านึก ปรายตามองแล้วหัวเราะคิก “นึกออกละ เหมือนเด็กเสิร์ฟร้านไก่ย่างส้มตำแถวชานเมืองน่ะ เธอว่ามั้ย”

คนพูดหันไปขอความเห็นจากคนใกล้กัน เสียงหัวเราะขบขันดังรอบโต๊ะ อเดลลาก้มมองแก้วน้ำตรงหน้า บีบมือบนตักแน่น ถ้าไม่เกรงว่าเสียมารยาท จะลุกเดินออกไปทันที

“นี่ยังนึกอยู่ว่าพี่ฉัตรเชิญเมียกำนันมางานด้วยเหรอเนี่ย” ลดานาฏเอ่ยขึ้นบ้าง ครั้งนี้เสียงหัวเราะดังลั่น

“นี่น้ำหวาน ระวังแม่นี่จะโดดเกาะพี่ฉัตรนะจ๊ะ ยิ่งเป็นกาฝากสายพันธุ์นอกด้วย เกาะแน่นหนึบเชียวละ” สาวชุดสีครีมต่อคำทันควัน เรียกเสียงวี้ดว้ายชอบใจ

อเดลลาสูดหายใจแล้วระบายออกยาว เม้มปากแน่นอย่างอดกลั้น

“อุ๊ย! นั่น นางกำลังจะพ่นไฟแล้ว ทำไงดี” สาวผมสั้นสีน้ำตาลแดงแสร้งทำท่ากลัว

“ก็สาดน้ำใส่เลยสิ เดี๋ยวก็ไหม้ทั้งโต๊ะหรอก” อีกคนดัดเสียงล้อเลียน

“สวัสดีจ้าทุกคน” 

เสียงคุ้นหูดังมาจากด้านหลัง อเดลลาเงยหน้าขึ้นมองแล้วยิ้มโล่งใจ ดาริกายืนยิ้มแป้นเกาะพนักเก้าอี้ตัวที่เธอนั่งอยู่

“แหม เมื่อยจัง” ร่วงอวบท้วมก้าวเข้ามาทิ้งตัวลงนั่งเบียดสาวชุดสีครีม แล้วเอียงหน้าระรื่นมองเจ้าของเก้าอี้ “ขอนั่งด้วยคนนะจ๊ะ”

“ทุเรศ! ตาบอดหรือไงยะ” ผู้ถูกแย่งเก้าอี้ร้องลั่น ลุกพรวดพราด เดินกระฟัดกระเฟียดไปนั่งอีกฝั่ง จ้องดาริกาตาวาววับ

“อุ๊ย! ขอโทษค่า พอดีสายตาสั้น” ดาริกาลอยหน้าลอยตาพูดเสียงยานคาง

“นี่เธอ!” ลดานาฏหันไปตะคอก จ้องตาขวาง “คนเขานั่งคุยกันอยู่ดีๆ หัดรู้จักมารยาทบ้างสิยะ”

“คุยกันอยู่ดีๆ งั้นเหรอ” ดาริกาหันไปมองคนพูด เลิกคิ้ว เบิกตากว้าง “แล้วที่กำลังรุมยำเพื่อนฉันอยู่นี่ เขาเรียกมีมารยาทสินะ”

“ใครยำเพื่อนเธอ” ลดานาฏแสร้งตีหน้าเหลอหลา

“ก็เธอ! เธอ! เธอ! แล้วก็เธอ! นี่ไง” ดาริกาเสียงดัง ชี้นิ้วไล่ไปทีละคน ด้วยรูปร่างบวกกับท่าทางขึงขังทำเอาทุกคนหน้าเจื่อน “ฉันได้ยินทุกคำที่พวกเธอพูดล้อเลียนเหยียดหยามเพื่อนฉัน” เสียงดาริกาดังจนแขกโต๊ะติดกันเริ่มหันมามอง

“พอเถอะดา” อเดลลาจับแขนเพื่อนรัก แต่ดาริกาไม่ยอมหยุด

“หยุดเห็นเพื่อนฉันเป็นตัวตลกได้แล้ว ดูหน้าตาพวกเธอทุกคนสิ” ดาริกากวาดตามองรอบโต๊ะอย่างไม่หวาดหวั่นแล้วมาหยุดนิ่งที่ลดานาฏ “น่าจะเป็นคนมีการศึกษา ไม่น่าทำตัวไร้มารยาท มีสมองก็คิดอะไรดีๆ บ้าง อย่ายัดแต่ขยะสกปรกลงไป”

“แหม หยอกเล่นแค่นี้ ทำเป็น...” สาวชุดสีครีมท้วงขึ้นยังไม่จบประโยค ดาริกาก็สวนกลับทันควัน

“เธอนั่นแหละตัวดี เก็บปากไว้ทาลิปสติกเถอะ”

“แล้วเธอจะเอายังไง” ลดานาฏตวาดเสียงแข็ง สีหน้าบึ้งตึง

“ฉันไม่เอาอะไรให้หนักหัวหรอก แต่จะบอกว่าอย่ายุ่งกับเพื่อนฉันอีก” ดาริกาประสานสายตาอีกฝ่ายอย่างไม่สะทกสะท้าน

“กล้าเนอะ ไม่รู้เหรอว่าเพื่อนฉันเป็นใคร นี่หม่อมหลวงลดานาฏ กิรกานต์กุล รู้จักไว้ซะ” สาวผมสั้นเชิดหน้าพูด หวังเอาชาติตระกูลเข้าข่ม

“จะหม่อมจะเหมิ่มจากไหนฉันไม่สน ฉันเป็นลูกแม่ค้า ไม่ได้มีหน้าต้องแบกเหมือนพวกผู้ดีแปดร้อยสาแหรกอย่างพวกเธอ”

“แล้วแกจะเอายังไงกับฉัน!” หม่อมหลวงสาวตัวสั่นด้วยความโกรธ ลุกขึ้นยืนจ้องหน้าฝ่ายตรงข้ามเขม็ง ดาริกาลุกขึ้นช้าๆ เชิดหน้า จ้องตากลับอย่างไร้ท่าทีกลัวเกรง

“ดา...พอได้แล้ว ใจเย็นก่อนนะ” อเดลลากระวนกระวาย กลัวเรื่องจะบานปลาย ดึงเพื่อนรักให้นั่งลงเพราะแขกเริ่มหันมามองมากขึ้น

“อุ๊ย! พี่ฉัตรมา” ใครคนหนึ่งในกลุ่มร้องขึ้น

“พี่ฉัตร ทางนี้ค่ะ” ลดานาฏหันไปมอง ตะโกนด้วยความดีใจพลางโบกมือ ทิ้งเรื่องเผ็ดร้อนบนโต๊ะไปทันที บุรฉัตรเดินผ่านหน้าตึกมากับชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง ตรงมาทางโต๊ะที่กลุ่มหญิงสาวนั่งอยู่

“ต๊าย! พี่ฉัตรพาใครมาด้วยน่ะ หล่อยังกะพระเอกเกาหลีแน่ะ” สาวผมสั้นตาโตด้วยความตื่นเต้น

“สวัสดีครับทุกคน” บุรฉัตรเอ่ยทักด้วยรอยยิ้ม

“สวัสดีค่ะพี่ฉัตร” สาวๆ ตอบประสานเสียงกัน อเดลลาหันไปมองแวบหนึ่ง

“หิวกันหรือยัง ขอโทษด้วยนะครับที่ให้รอนาน” เจ้าของเสียงทุ้มนุ่มเอ่ย “พี่มีคนจะแนะนำให้รู้จัก นี่นลธวัช เพื่อนสนิทพี่ เป็นจิตแพทย์มือต้นๆ ของไทย”

“สวัสดีครับ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนครับ” อเดลลาได้ยินเสียงทุ้มกังวานชวนฟัง

“ตายแล้ว จิตแพทย์หล่อขนาดนี้ หนูยอมเป็นโรคทางใจเลยละค่ะ” สาวชุดสีครีมทำเสียงออดอ้อน

“อ้าว! หล่อนเป็นโรคจิตหลอนตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” ใครคนหนึ่งค่อนขอด กลุ่มเพื่อนหัวเราะเฮลั่น

“ก็แอดมิตพร้อมกับหล่อนไงยะ ทำเป็นลืม” สาวชุดสีครีมไม่ยอมแพ้ ต่อคำทันที

“เอาละครับ ผมยินดีรักษาให้ทุกคนนะครับ ไม่ต้องแย่งกัน”

นลธวัชไกล่เกลี่ยเสียงนุ่ม อเดลลานึกอยากหันไปมองเจ้าของเสียงว่าจะหล่อเหลาขนาดไหน ผู้หญิงพวกนี้ถึงได้ออกอาการกันนักหนา ได้ยินเสียงบุรฉัตรแนะนำทุกคน แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเขาเอ่ยชื่อเธอ

“ส่วนคนนี้อเดลลา นักศึกษาทุนจากอิตาลี เรียนในมหาวิทยาลัยที่ข้าไปสอน”

อเดลลาลุกขึ้น ส่งยิ้มให้บุรฉัตรและส่งเลยไปยังอีกคนใกล้ๆ

“Ciao, piacere.” ชายหนุ่มผิวขาวสะอาด หน้าตาสดใสด้วยรอยยิ้มเอ่ยทัก ยื่นมือขวามาตรงหน้า แต่อเดลลากลับยกมือไหว้นอบน้อม

“สวัสดีค่ะ ดิฉันอเดลลาค่ะ” 

นลธวัชอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วยิ้มเขิน

“ว้าว!” อเดลลาไม่แน่ใจว่าคำอุทานนั้นเป็นเพราะแปลกใจที่เธอพูดภาษาไทยหรือเพราะอะไร นลธวัชรับไหว้และเอ่ยต่อ “คุณพูดไทยได้ชัดจัง มาอยู่เมืองไทยนานแล้วเหรอครับ”

“ยังไม่ถึงเดือนเลยค่ะ” อเดลลาตอบ เค้าหน้านลธวัชคล้ายคนญี่ปุ่นมากกว่าคนไทย ดวงตาเรียวยาว แม้ชั้นตาไม่ชัดเจน แต่ขนตาดกหนากับคิ้วเข้มก็เสริมให้เขาดูหล่อคนละแบบกับบุรฉัตร

“อาจารย์บุรฉัตรดุไหมครับเวลาสอน” คนถามยิ้มกว้าง เอื้อมมือโอบไหล่เพื่อนรัก

“ไม่เลยค่ะ ใจดีมาก”

“แล้วมาเรียนที่นี่นานแค่ไหนครับ” 

อเดลลาเพิ่งสังเกตว่าจมูกของนลธวัชโด่งเป็นสันสูง รั้งริมฝีปากบนให้เผยอนิดๆ นั่นยิ่งเพิ่มให้เขาดูมีเสน่ห์ขึ้นไปอีก

“หนึ่งปีค่ะ” หญิงสาวเหลือบมองบุรฉัตร แว่วเสียงกระซิบกระซาบรอบตัว

“เรียนจบ แล้วคิดว่า...” นลธวัชถามต่อ ดวงตาเป็นประกาย แต่เสียงหัวเราะของบุรฉัตรดังขัดขึ้นก่อน

“เฮ้ย! จะสัมภาษณ์อีกนานไหมเนี่ย ข้าหิวแล้วไอ้ม่อน”

“เออ โทษที มัวคุยเพลิน นลธวัชหัวเราะเก้อ “ข้าก็หิวแล้วเหมือนกัน”

การสนทนาจบลง ทุกคนแยกย้ายไปตักอาหารบนโต๊ะซึ่งมีอาหารคาวหวานและผลไม้สดสำหรับบริการตนเอง ตลอดเวลาบนโต๊ะอาหาร อเดลลาเริ่มรู้สึกได้ว่านลธวัชลอบมองเธออยู่หลายครั้ง ครั้งหนึ่งที่สบตากันเข้าโดยไม่ตั้งใจ หญิงสาวหลบตา ก้มหน้ารับประทานอาหารงกๆ เงิ่นๆ 

“เอ็งอย่าเพิ่งกลับนะไอ้ม่อน นานๆ เจอกันที เย็นนี้อยู่คุยกันก่อน” บุรฉัตรเอ่ยกับเพื่อนหนุ่ม

“พี่ฉัตรจะมีปาร์ตีเหรอคะ น้ำหวานมาแจมด้วยนะคะ” ลดานาฏถือช้อนกับส้อมในมือค้าง หันมามองตาโต

“เปล่าครับ พี่แค่จะนั่งคุยกัน ไม่มีอะไรพิเศษหรอกครับ” บุรฉัตรบอก

“น้ำหวานอยู่แค่นี้เอง ขอมานั่งคุยด้วยนะคะ” หม่อมหลวงสาวใช้ช้อนเขี่ยอาหารในจานไปมา

“ได้สิครับ แต่อย่าเพิ่งเบื่อเสียก่อนล่ะ” 

คำตอบของชายหนุ่มเปลี่ยนสีหน้าลดานาฏให้แช่มชื่นขึ้นมาทันที

อเดลลาจำต้องค้างที่บ้านของบุรฉัตรอีกหนึ่งคืน แม้ในใจจะหวาดหวั่นความฝันประหลาดไม่น้อย สังหรณ์บางอย่างบอกว่า บ้านหลังนี้คล้ายจะมีส่วนทำให้ฝันของเธอน่ากลัวและรุนแรงขึ้น แต่เธอไม่อยากขัดใจดาริกาที่คะยั้นคะยอให้อยู่ต่อ อีกทั้งแม่เจียมก็ยินดีอย่างยิ่ง เพราะได้เพื่อนคุยถูกคออย่างดาริกา

“พรุ่งนี้วันอาทิตย์ กลับบ่ายๆ ก็ได้ ป้าจะได้เตรียมของให้หนูไปกินกันด้วย” แม่เจียมบอก รับจานที่เช็ดสะอาดแล้วจากสาวใช้สองคนมาจัดเรียงเป็นชั้น เตรียมเก็บเข้าตู้

“แม่เจียมไม่ต้องทำหรอกค่ะ หนูกับเดลช่วยกันเดี๋ยวเดียวก็เสร็จ ไปนั่งพักเถอะค่ะ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว” ดาริกาเสนอ

“ไม่เป็นไรค่ะ ป้าไม่เหนื่อย” หญิงสูงวัยปฏิเสธพร้อมรอยยิ้ม “คนเคยทำ ให้นั่งเฉยๆ ไม่ได้หรอก ทำไปคุยไป ไม่นานก็เสร็จ”

ดาริกากระเถิบเข้าไปใกล้แม่นมของบุรฉัตร เหลียวมองไปรอบตัวก่อนเอียงหน้าเข้าไปถามเสียงแผ่ว “เอ้อ...แม่เจียมคะ หนูถามอะไรหน่อยสิคะ”

“อะไรคะ อยากรู้อะไร ถามมาสิ” แม่เจียมตอบ แต่สายตาจับจ้องจานที่กำลังวางเรียง ทำปากขมุบขมิบนับจำนวน

“ผู้หญิงคนที่ชื่อน้ำหวานค่ะ เป็นใครคะ”

“อ๋อ คุณหนูน้ำหวาน” แม่นมของบุรฉัตรลากเสียงยาว “บ้านเขาอยู่ติดกันนี่แหละค่ะ บ้านสีขาวหลังใหญ่ๆ พ่อเขามีเชื้อเจ้าเชียวนา ชื่อหม่อมราชวงศ์อะไรป้าก็จำไม่ได้แล้วละ แต่ท่านเสียไปตั้งแต่ลูกสาวยังเล็ก” หญิงสูงวัยหยุดมือ หันมาถาม “มีอะไรหรือเปล่าหนูดา”

“อ๋อ...เปล่าค่ะ ดูเธอไม่ค่อยยิ้ม หน้าบึ้งตลอด” ดาริกาเอ่ยเสียงเรียบ ทำท่าไม่สนใจ แต่กางหูรอแล้ว

“เธอเป็นคนอย่างนั้นมาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ เอาแต่ใจตัวเอง” แม่เจียมเกริ่นเรื่อง เข้าทางที่ดาริกาเปิดไว้ “เธอสนิทกับคุณฉัตรมาก เล่นด้วยกันมาตั้งแต่ยังเล็ก ทางคุณแม่เธอก็อยากให้สองคนนี้ลงเอยกัน คงอยากให้เรือล่มในหนอง หลอมทองลงกำปั่นเดียวมั้งคะ” แม่เจียมลงท้ายด้วยเสียงหัวเราะ อเดลลาหูผึ่ง แต่ดาริกาถามขึ้นมา

“กำปั่นคืออะไรคะแม่เจียม”

“อ๋อ กำปั่นก็คือหีบเหล็ก เอาไว้ใส่เงินทองของมีค่า คงคล้ายตู้เซฟสมัยนี้แหละ” หญิงสูงวัยอธิบาย “ของโบราณ เด็กรุ่นใหม่ไม่ค่อยได้เห็นกันแล้วละ” 

อเดลลานึกภาพหีบเหล็กเก่าทรงสี่เหลี่ยมสีน้ำตาล ฝาปิดมีที่คล้องสำหรับล็อกกุญแจ อย่างที่เคยเห็นในร้านขายของเก่าที่เวนิส

“เฮ้อ! แล้วอาจารย์ต้องแต่งงานกับคุณน้ำหวานหน้าบูดนั่นจริงเหรอคะแม่เจียม” ดาริกาเปรยเสียงเหนื่อยอ่อน อเดลลาเขย่าแขนเพื่อนเป็นเชิงเตือน แต่ดาริกากลับชายตามองพร้อมกับส่งค้อนน้อยๆ ให้

“ไม่หรอกค่ะ” แม่นมของบุรฉัตรปฏิเสธ “คุณย่าก็ยังไม่ได้ตกลงปลงใจ บอกแค่ว่ารอให้คุณฉัตรโต มีงานมีการทำเสียก่อนค่อยว่ากันอีกที คุณย่าท่านก็ดีนะคะ ไม่เคยบังคับจิตใจหลานเลย คุณฉัตรอยากทำอะไร อยากเรียนวาดรูป ท่านก็ไม่เคยขัด แต่ท่านก็มีขอบเขตนะคะ ไม่ได้ให้พร่ำเพรื่อโดยไร้เหตุผล โชคดีที่คุณฉัตรของป้าเธอไม่ใช่คนเกเร” แม่เจียมยิ้มกว้าง ตาเป็นประกายด้วยความสุข แล้วหันมาทางสองสาว ลดเสียงลงพอให้ได้ยินในวงสนทนา “แต่ใจป้านะ สงสารคุณฉัตร ไม่อยากให้เธอได้ภรรยาแบบหนูน้ำหวานหรอก ตามใจยากค่ะ”

“แล้วคุณพ่อคุณแม่อาจารย์ล่ะคะ ท่านว่ายังไงบ้าง” ดาริกาซักต่อ อเดลลาลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท นึกสงสัยแต่แรกแล้วว่าไม่เห็นพ่อแม่ของชายหนุ่มเลย แต่ไม่กล้าถาม นึกชื่นชมดาริกาที่เข้าใจตั้งคำถามได้ถูกเวลา ไม่ดูเป็นการละลาบละล้วงเกินไป เธอเงี่ยหูฟังคำตอบจากแม่เจียมอย่างตั้งใจ

“เฮ้อ” หญิงสูงวัยถอนใจยืดยาว วางมือจากจาน สีหน้าเปลี่ยนเป็นหม่นหมอง น้ำตาคลอหน่วย 

“พูดแล้วก็สงสารคุณฉัตร คุณพ่อเธอเสียตั้งแต่เธอเพิ่งสามขวบกว่าเองค่ะ พอคุณพ่อเสีย คุณแม่ก็มาลาคุณย่า จะขอพาลูกชายกลับไปอยู่ต่างจังหวัด แต่คุณย่าไม่ยอม เพราะอยากให้หลานได้เรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ คุณแม่คุณฉัตรก็เลยกลับไปคนเดียว ไปค้าขายอยู่ที่โน่น เธอก็เทียวไปเทียวมา คุณฉัตรเธอรักและคิดถึงคุณแม่มาก ตั้งตาเฝ้ารอวันที่คุณแม่จะมาเยี่ยมเสมอ บางทีรอจนดึกจนดื่น แต่คุณแม่ก็ไม่มา...” 

แม่เจียมหยุดพูด ยกมือขึ้นแตะน้ำตาที่กำลังจะเอ่อท้น ดาริกาขยับเข้าไปกุมมือหญิงสูงวัย อเดลลามองแล้วแน่นอก ก้อนแข็งผุดขึ้นมาจุกที่ลำคอ แม่เจียมยิ้ม พยักหน้าให้ดาริกา เอ่ยต่อเสียงเครือ

“คุณย่าท่านก็สงสารหลานนะคะ แต่เพื่ออนาคตของคุณฉัตรก็ต้องใจแข็ง จนคุณแม่คุณฉัตรแต่งงานมีครอบครัวใหม่ ย้ายไปอยู่ทางใต้ ก็เริ่มห่างไป นานทีปีหนจะมาหาสักครั้ง คุณย่ากับป้าก็ช่วยกันเลี้ยงคุณฉัตรมาจนโตนี่แหละค่ะ” หญิงสูงวัยจบประโยคด้วยเสียงกระแอม

“เฮ้อ” ดาริกาถอนใจ “ฟังแล้วสงสารอาจารย์จังค่ะ แล้วคุณแม่ยังมาเยี่ยมอาจารย์บ้างไหมคะ”

“ก็มาบ้างค่ะ แรกๆ คุณฉัตรเธอก็เศร้าๆ ซึมๆ แต่พอนานไปเธอก็เข้าใจอะไรมากขึ้น ยิ่งตอนหลังไปเรียนต่อต่างประเทศกลับมาก็ดูเป็นผู้ใหญ่เข้มแข็งขึ้นมาก”

ภาพของเด็กชายนั่งเหม่ออย่างเดียวดาย เฝ้าชะเง้อมองประตูหน้าบ้านด้วยความหวัง ผุดขึ้นในความคิดอเดลลา เธอกลืนก้อนแข็งในลำคอลงไป กะพริบตาที่เริ่มร้อนผ่าว หันมองไปนอกหน้าต่าง เสียงแม่เจียมเหมือนลอยมาจากที่แสนไกล ใจเธอล่องลอยไปถึงเจ้าของดวงตาคมแต่แฝงรอยเศร้าคู่นั้น ภายใต้ท่าทางเข้มแข็ง เธอเพิ่งรู้ว่าบุรฉัตรผ่านเรื่องราวขมขื่นในชีวิตมาไม่น้อย ความรู้สึกขุ่นเคืองที่มีต่อเขาเลือนหายไปแล้ว เหลือเพียงความเข้าใจและเห็นใจ

‘นี่แหละ อเดลลา ใจเธอเป็นอย่างนี้นี่เอง โอนเอนอ่อนไหวกับทุกสิ่งได้ง่ายดายเหลือเกิน’


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น