บทที่ ๘

บทที่ 

หม่อมหลวงลดานาฏ

อเดลลาทั้งดิ้นทั้งกรีดร้องเมื่อวงแขนของปีศาจร้ายโอบรัดเธอเอาไว้แน่น พยายามสะบัดตัวออก ขนลุกด้วยความขยะแขยงเมื่อนึกถึงภาพเนื้อเละล่อนแดงฉาน ไม่กล้าลืมตาเพราะกลัวจะเห็นใบหน้าสยดสยอง

“อเดลลา...” แว่วเสียงเรียกแผ่วเบาเหมือนลอยมาไกลลิบ

“กรี๊ด! ออกไป๊!” เธอแผดเสียงไม่หยุด สองมือดันต้านสุดแรง

“ตื่นสิ! อเดลลา” เสียงทุ้มคุ้นหูเรียกสติกลับมา ไม่ใช่เสียงเยือกเย็นของผู้หญิงคนนั้น จมูกสัมผัสกลิ่น ไม่ใช่กลิ่นเหม็นเน่าไหม้เกรียม แต่กลับหอมอ่อนฟ

“อเดลลา” แรงเขย่าเบาๆ กับไออุ่นที่เพิ่งจะรู้สึกทำให้เธอกล้าเผยอเปลือกตาขึ้น มองเห็นเนื้อผ้าสีเทาเข้ม สัมผัสได้ถึงกล้ามเนื้อแกร่งแน่น เริ่มรับรู้ว่ากำลังซบอกใครสักคน จึงเงยหน้าขึ้นมอง

“คุณ...” ใบหน้าคมสันอยู่เกือบชิดใบหน้าเธอ สายตาบุรฉัตรที่จ้องมองฉายแววห่วงใย

“ฉัน...กลัว” อเดลลาดีใจ น้ำตาไหลพราก สะอื้นเสียงสั่นเครือ ร่างบอบบางสั่นเทาเบียดซุกเข้าหาความอบอุ่น

“ไม่ต้องกลัว ผมอยู่นี่แล้ว” มือแข็งแกร่งโอบแผ่นหลังและศีรษะกระชับแนบอกกว้าง ไออุ่นระคนกลิ่นหอมไล่ความหวาดหวั่นไปเกือบสิ้น เพิ่งนึกออกว่ามาจากเรือนกายชายหนุ่มนี่เอง อเดลลาหลับตา ไม่อยากให้เขาคลายวงแขนออกเลย

‘อเดลลา เธอกำลังอ่อนไหวนะ ไม่อายบ้างหรือไง เป็นผู้หญิงปล่อยให้ผู้ชายยืนกอดอยู่อย่างนี้ได้ยังไง’

เสียงในใจกระตุ้นเตือน พร้อมกับที่ภาพเมลินกอดกระแซะบุรฉัตรผุดวาบขึ้นมา อเดลลาเกร็งตัว หดมือเข้ามาแนบอกของตน ค่อยๆ ดันตัวออกอย่างนุ่มนวล

“ปล่อยเถอะค่ะ ดิฉันดีขึ้นแล้ว” เธอเอ่ยเบาๆ ไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย รู้สึกถึงความร้อนที่แผ่ซ่านขึ้นหน้าเป็นริ้ว

“คุณไม่เป็นอะไรแล้วแน่นะ” บุรฉัตรถาม คลายวงแขนออก แต่ยังจับต้นแขนเธอไว้

“ค่ะ” หญิงสาวก้าวถอยออกมา วูบหนึ่งรู้สึกเสียดายอ้อมอกอบอุ่นนั้นยิ่งนัก “ดิฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ”

“ผมก็ไม่ทราบครับ ผมนอนไม่หลับเลยลงมาจะหาน้ำดื่ม ก็เลยเห็นคุณเข้า ยังสงสัยเลยว่าทำไมมาเดินอยู่ในสวนคนเดียวตอนตีสองกว่าแบบนี้”

“ตีสอง...เหรอคะ” อเดลลาทวนคำอย่างไม่เชื่อ งุนงงสับสน จับต้นชนปลายไม่ถูก “ฉันฝัน...เอ้อ...คงละเมอออกมาน่ะค่ะ” เธอไม่อยากเล่ารายละเอียดตอนนี้ ยกมือขึ้นกอดตัวเอง รู้สึกเมื่อยล้าและหนาวยะเยือกเหมือนจับไข้

“เข้าไปข้างในก่อนดีกว่า อากาศตรงนี้เย็นมาก เดี๋ยวจะไม่สบาย” บุรฉัตรเอ่ย เขาแตะต้นแขนหญิงสาวแล้วพาเดิน

เมื่อเข้าไปถึงห้องโถง พบดาริกากับแม่เจียมยืนรออยู่อย่างกระวนกระวาย ทั้งคู่ตกใจตื่นเพราะเสียงกรีดร้องยามดึก รวมถึงสาวใช้สองคนที่ยืนหน้าตาตื่นอยู่ห่างออกไป

“ตายแล้วเดล ออกไปไหนมาเนี่ย” ดาริกาวิ่งเข้ามาประคอง พาเธอไปนั่งบนโซฟายาว โอบกอดเพื่อนรักด้วยความห่วงใย “เมื่อคืนฉันเห็นเธอหลับไปแล้ว ว่าจะเรียกไปอาบน้ำ แต่คิดว่าเธอคงเหนื่อยก็เลยไม่ปลุก”

“ฉันไม่เป็นอะไร” อเดลลายิ้มแห้ง ไม่รู้จะเริ่มต้นอธิบายอย่างไร

“ป้าใจหายหมด นึกว่าเกิดเรื่องร้ายแรงเสียแล้ว” แม่นมของบุรฉัตรกล่าวเสริม สีหน้ายังไม่คลายความตระหนก “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วลูก”

“คุณฝันอะไรหรือเปล่า ถึงได้เดินออกไปแบบนั้น” บุรฉัตรถาม หย่อนตัวลงนั่งบนโซฟา 

อเดลลานิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ ระบายลมหายใจยาวก่อนตอบ

“ดิฉันไม่รู้ตัวว่าไปได้ยังไง คล้ายครึ่งหลับครึ่งตื่น แต่รู้สึกเหมือนมีใครสักคนดึงให้ออกไปที่สวนข้างหลังนั่น ดิฉันเห็น...บ้านเก่าหลังใหญ่มาก แล้วก็...” อเดลลาหยุดคำพูด ดวงตากลมโตฉายแววตื่นตระหนก

“แล้วอะไรเดล เธอเห็นอะไร” ดาริกาซักรัวพลางเขย่าแขนเพื่อนรัก

“ดิฉันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่บ้านหลังนั้น” เสียงอเดลลาแผ่วเนิบ แต่ทำเอาทุกคนเงียบกริบ “หน้าผู้หญิงคนนั้นคล้าย...”

“คล้ายอะไรครับ” บุรฉัตรเป็นฝ่ายซักบ้าง คิ้วเข้มขมวดมุ่น

“คล้ายย่าทวดของคุณค่ะ”

แม่เจียมอุทานเฮือก ยกมือทาบอก ตาเบิกกว้าง พร้อมกับครางเสียงสั่น “คะ...คุณ...”

“มีอะไรเหรอครับแม่เจียม” บุรฉัตรหันมาถามทันที 

หญิงสูงวัยอ้าปากค้าง สีหน้าเลิ่กลั่ก

“ปละ...เปล่าค่ะคุณฉัตร ป้าแค่อุทานผิดค่ะ เอ้อ...ป้าตั้งใจจะพูดว่า...เอ้อ...คุณพระน่ะค่ะ” แม่เจียมตะกุกตะกัก กะพริบตาปริบๆ แล้วลุกพรวดพราด “เดี๋ยวป้าไปหาอะไรร้อนๆ มาให้หนูเดลดื่มดีกว่านะคะ จะได้ดีขึ้น”

บุรฉัตรมองตามแม่นมซึ่งเดินลิ่วออกไปด้วยแววตางุนงง แล้วหันกลับมา

“คุณไปนอนพักก่อนดีกว่าครับ นี่ยังมืดอยู่เลย อีกหลายชั่วโมงกว่าจะเช้า ตื่นสายหน่อยก็ได้ กว่าแขกจะมาก็คงเก้าโมง ผมฝากดูแลอเดลลาด้วยนะครับดา” ประโยคหลังเขาหันไปกล่าวกับดาริกา

อเดลลากลับถึงห้อง แม้จะรู้สึกอ่อนล้า แต่ข่มตาอย่างไรก็ไม่หลับ ได้แต่ลืมตานิ่งในความสลัว ฟังเสียงหายใจแผ่วเบาของดาริกาอยู่ข้างๆ หวนคิดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งประสบมา รู้สึกหนาวเยือกจนต้องดึงผ้าห่มขึ้นคลุมกาย อยากให้เรื่องราวทั้งหมดเป็นเพียงความฝัน แต่ภาพชัดเจนกับความรู้สึกที่สัมผัสได้ในตอนนั้นช่างเหมือนจริงจนยากจะทำใจเชื่อได้

หญิงสาวหน้าตาคล้ายคลึงย่าทวดของบุรฉัตรคนนั้นคือใครกัน จะมีตัวตนจริงหรือเป็นเพียงภาพพรางในภวังค์ หรือว่านั่นจะเป็นย่าทวดของบุรฉัตรจริงๆ อเดลลาไม่อยากเชื่อ ถึงแม้ใบหน้าจะคล้ายคลึงกัน แต่สีหน้าของหญิงลึกลับคนนั้นแตกต่างกับสีหน้าเปี่ยมเมตตาที่เห็นในภาพถ่ายราวฟ้ากับดิน สิ่งที่สงสัยมากคือ เธอไปเกี่ยวพันอะไร ทำอะไรไว้กับผู้หญิงคนนั้น หล่อนถึงได้แสดงท่าทีอาฆาตมาดร้ายเหลือเกิน

‘ช่างเถอะ มันก็แค่ความฝัน พรุ่งนี้ทุกอย่างในคืนนี้จะกลายเป็นอดีต แล้วจะถูกลืมไปในที่สุด’ 

อเดลลาข่มใจตัดทุกอย่างออกจากสมอง พลิกตัวนอนตะแคง กอดตัวเองอยู่ใต้ผ้าห่ม แล้วผล็อยหลับไปเมื่อใกล้สว่าง

เช้าวันทำบุญแจ่มใสด้วยแสงแดดสว่างจ้า ทุกอย่างจัดเตรียมไว้เรียบร้อยครบถ้วน แม่เจียมตื่นแต่หัวรุ่งเพื่อดูแลอาหารคาวหวานให้พร้อมสำหรับพระสงฆ์และแขกรับเชิญของบ้าน ‘ราชพินิจ’ ย่าปรุงสีหน้าแช่มชื่น งามสง่าสมวัยในชุดเสื้อลูกไม้แขนยาวสีงาช้างกับซิ่นผ้าไหมทอลายเรียบหรู อเดลลาซาบซึ้งใจเมื่อท่านกรุณาให้แม่เจียมนำชุดเก่าของท่านที่เก็บรักษาอย่างดีมาให้เธอและดาริกาได้ลองเลือก เผื่อจะพอใช้สวมใส่ในงานได้

“ลองเลือกลองกันดูนะหนู แบบอาจจะเรียบเชยไปนิด เพราะย่าตัดไว้ใช้ตั้งแต่สมัยยังสาวแน่ะ ออกงานออกการแบบนี้ แต่งเนื้อแต่งตัวให้สุภาพเรียบร้อยไว้ก็ดี แขกผู้ใหญ่มากันหลายคน เดี๋ยวเขาจะค่อนขอดเอาว่าย่าไม่ดูแลลูกหลาน” 

ย่าปรุงบอกขณะนั่งมองสองสาวเลือกเสื้อผ้าบนราวแขวน ดาริกาสนุกกับการเลือกและลองสวมชุดโน้นชุดนี้อยู่นาน ที่สุดจึงเลือกชุดผ้าชีฟองสีฟ้าเข้มปล่อยชายยาวคลุมเข่า ผูกเอวด้วยเข็มขัดผ้าปักไหมเป็นเถาดอกไม้ละเอียดยิบ ส่วนอเดลลาสะดุดตาเสื้อสีฟ้าอ่อนตัดด้วยผ้าลูกไม้เนื้อบาง จับจีบพองเล็กน้อยตรงต้นแขน เก็บรวบตรงข้อศอกแล้วปล่อยชายลูกไม้บานคลุมแขน เธอชอบนุ่งผ้าถุงจึงเลือกผ้าถุงสีเปลือกมังคุด ตัดด้วยผ้าไหมเนื้อมันระยับ ทั้งคู่เลือกสวมชุดของย่าปรุงไม่ใช่เพราะความเกรงใจ แต่เป็นเพราะความสวยงามของเสื้อผ้าและการตัดเย็บละเอียดประณีต อีกทั้งเสื้อผ้าที่มีอยู่ก็เป็นเพียงชุดสวมใส่ทั่วไป ไม่เหมาะกับงานพิธีซึ่งมีแขกผู้ใหญ่มากมาย

อเดลลาเพิ่งรู้ว่าเพื่อนรักมีฝีมือแต่งหน้าทำผมเป็นเยี่ยมในวันนี้เอง ด้วยพื้นฐานจากการวาดภาพและความเป็นคนช่างแต่งตัว ดาริการะบายสีสันอ่อนหวานบนใบหน้าอเดลลาด้วยเฉดสีเข้ากันกับชุดได้อย่างคล่องแคล่ว ยิ่งเมื่อผมสีน้ำตาลถูกรวบเก็บเป็นมวยหลวมๆ ไว้ด้านหลัง เสียบประดับด้วยดอกไม้สด อเดลลายิ่งดูงามผุดผาดเป็นคนละคน

“ตายแล้ว เธอสวยมากเลยเดล” ดาริกายิ้มกว้าง ยกสองมือกรีดกราย “ฉันว่านะ เธอถอดแว่นออกเถอะ บดบังความสวยหมด มีคอนแทกต์เลนส์ติดมาด้วยไม่ใช่เหรอ”

อเดลลาทำตามคำแนะนำของดาริกา ยืนหันซ้ายหันขวาพินิจเงาสะท้อนในกระจกอยู่นาน แม้จะเคยแต่งตัวแบบนี้เมื่อครั้งเป็นพนักงานในร้านผ้าไหมมาแล้ว แต่คราวนี้อเดลลากลับเกิดความลังเล กังวลว่าจะมากเกินฐานะแขกของบ้านหรือเปล่า จนเมื่อได้พบบุรฉัตร ความมั่นใจจึงกลับคืนมา

“คุณสวยมาก ผมจำเกือบไม่ได้” 

อเดลลายิ้มอาย หน้าแดงซ่านเมื่อถูกจ้องมองด้วยแววตาชื่นชม 

“ชุดคุณย่าเหมาะกับคุณมาก แต่งตัวสวยแบบนี้ต้องออกมาช่วยงานหน้าบ้านแล้วละครับ แขกจะได้เห็นคนสวยกันทั่ว”

“ขอบคุณค่ะ คุณก็หล่อสมาร์ตมากค่ะ” เสื้อเชิ้ตสีเหลืองอ่อนขับผิวสีน้ำตาลของชายหนุ่มให้ดูใสกระจ่าง กางเกงสแล็กเข้ารูปกับสูทลำลองสีเทาเข้มยิ่งเสริมให้บุรฉัตรดูโดดเด่น ใจเกิดหวามไหวขึ้นมาด้วยกลิ่นหอมอ่อนที่โชยมากระทบจมูกอีกแล้ว

พิธีเลี้ยงเพลเสร็จสิ้นเมื่อเวลาใกล้เที่ยง ย่าปรุงกับบุรฉัตรวุ่นวายกับการรับแขกที่เพิ่งจะมาถึง ส่วนแม่เจียมก็สาละวนกับการจัดชุดของคาวของหวานใส่กล่องให้แขกที่ขอตัวกลับก่อน และอีกชุดสำหรับรับรองแขกซึ่งจะอยู่ร่วมรับประทานอาหารที่นี่

อเดลลายืนมองผู้มาร่วมงานส่วนใหญ่ซึ่งต่างรู้จักกันอยู่แล้วทักทายกัน บ้างก็ยืนจับกลุ่มพูดคุย ส่วนหนึ่งนั่งรอที่โต๊ะอาหารซึ่งจัดไว้ในสวน เว้นแต่เธอที่ไม่ค่อยรู้จักใคร ชะเง้อมองหาดาริกา แต่ไม่เห็น จึงตัดสินใจเดินเลี่ยงออกมาจากห้องโถงใหญ่ ออกประตูข้างเข้าสู่ระเบียงตึกฝั่งที่มองเห็นแม่น้ำเจ้าพระยา เดินเรื่อยมาตามทางเดิน จนมาถึงห้องหนึ่งซึ่งเปิดประตูกว้าง ชะเง้อมองเข้าไป สิ่งที่สะดุดตาทันทีคือภาพวาดหลายภาพแขวนเรียงรายบนผนัง ดุจมีมนตร์ฉุดให้เธอก้าวเข้าไปทันทีโดยไม่รีรอ

ทั้งห้องสีเขียวหม่น กว้างขวาง ไม่มีเฟอร์นิเจอร์แม้แต่ชิ้นเดียว สว่างด้วยแสงไฟดาวน์ไลต์สีขาวซึ่งฝังบนเพดานเป็นระยะ บนผนังทั้งสามด้านแขวนภาพวาดมากมาย มองปราดเดียวก็รู้ทันทีว่าเป็นฝีมือของบุรฉัตร บางภาพเคยเห็นในสูจิบัตรมาแล้ว แต่มีภาพใหม่หลายภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อน อเดลลาตื่นเต้นเหมือนพบขุมสมบัติล้ำค่า ห้องนี้น่าจะเป็นห้องที่ชายหนุ่มใช้เก็บและแสดงผลงาน ภาพเหล่านี้คงเป็นภาพที่เขาเคยเชื้อเชิญเธอให้มาชมนั่นเอง หญิงสาวดื่มด่ำกับงานจิตรกรรมงดงามจนลืมทุกสิ่งรอบกาย

“ใครน่ะ”

เสียงแหลมใสกระตุกความรู้สึกจนต้องหันไปมอง หญิงสาวร่างเพรียวในชุดกระโปรงสั้นสีชมพูอ่อนกำลังก้าวผ่านประตูตรงมาหาเธอ

“เธอเป็นใคร” หญิงสาวคนนั้นถามเป็นภาษาอังกฤษ เมื่อมองเห็นชัดเจนว่าอีกฝ่ายเป็นชาวต่างชาติ 

อเดลลามองหล่อนอย่างพินิจ หญิงสาววัยไล่เลี่ยกับเธอ ใบหน้ารูปไข่เกลี้ยงเกลาแต้มแต่งสีสันงดงาม แต่อเดลลารู้สึกขัดตากับสีชมพูอ่อนจางบนริมฝีปากอวบอิ่ม มองแล้วซีดเซียวเหมือนคนไม่สบาย หล่อนจะสวยขึ้นอีกมากถ้าตัดสีหน้าบึ้งตึงกับท่าทางเย็นชานั้นออกไปได้

“สวัสดีค่ะ ดิฉันชื่ออเดลลา” เธอตอบเป็นภาษาไทยชัดเจน

หญิงสาวชุดสีชมพูกวาดตามองใบหน้า ไล่ลงมายังเสื้อผ้า จบลงที่ปลายเท้า แล้วตวัดขึ้นมองหน้าอเดลลาอีกครั้ง

“พูดไทยได้นี่” หล่อนเอ่ยด้วยแววตาเฉยเมย “ฉันไม่ได้ถามชื่อ ฉันอยากรู้ว่าเธอเป็นใคร เป็นแขกของใคร ทำไมมาเดินยุ่มย่ามในห้องทำงานพี่ฉัตร” เสียงห้วนกระด้างแสดงอำนาจราวเป็นเจ้าของห้อง ตาดำขลับจ้องเขม็งรอคำตอบ

“ดิฉันเป็นนักศึกษาทุนจากอิตาลี เรียนในมหาวิทยาลัยที่คุณบุรฉัตรสอนค่ะ”

“อ๋อ พวกนักเรียนยากจน” น้ำเสียงนั้นบอกความดูแคลน

อเดลลาหน้าร้อนผ่าว เธอไม่รู้ว่าผู้หญิงตรงหน้านี้เป็นใคร มีความสำคัญแค่ไหน แต่น้ำเสียงและกิริยาที่หล่อนแสดงทำให้เธอตอบกลับโดยไร้หางเสียง

“ดิฉันสอบชิงทุนระดับประเทศมาด้วยความสามารถ ไม่ใช่ทุนบริจาค”

“ฮึ!” หญิงสาวชุดสีชมพูพ่นลมออกจมูก “อาศัยเงินคนอื่นมาเรียน ไม่เห็นต่างกันตรงไหน”

อเดลลาพยายามข่มใจ เหลือบมองจากหางตาเห็นร่างในชุดสีชมพูกำลังกรีดกรายไปรอบห้อง แว่วเสียงถามมา

“เธอไม่รู้จักฉันเหรอ”

อเดลลาเงียบ ไม่เห็นความสำคัญที่ต้องตอบ เสียงของหล่อนยังดังเจื้อยแจ้วต่อไป

“ฉันแปลกใจที่เธอไม่รู้จักฉัน ใครๆ แถวนี้ก็รู้จักหม่อมหลวงลดานาฏ กิรกานต์กุล ทั้งนั้น เมื่อเธอรู้จักพี่ฉัตรในฐานะอาจารย์ เธอก็ควรรู้จักฉันไว้ด้วยนะ”

อเดลลานิ่ง พยายามเพ่งสมาธิไปยังภาพวาดตรงหน้า แต่ใจกลับจดจ่ออยู่ที่เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นที่ดังเข้ามาใกล้ 

“เพราะฉันมีฐานะ...เป็นคนพิเศษของพี่ฉัตรเพียงคนเดียวเท่านั้น”

“คุณบอกฉันเพื่ออะไร” อเดลลาหมุนตัวมาประจันหน้า สบตาอีกฝ่ายนิ่ง

ลดานาฏยิ้มมุมปากน้อยๆ “บอกเพื่อให้รู้ไง ผู้หญิงสมัยนี้ไว้ใจได้ที่ไหน เห็นใสซื่อนั่นละตัวดี หน้าด้าน มือไวใจเร็ว”

อเดลลาเม้มปากแน่น หน้าชาทั้งแถบเหมือนโดนตบ 

‘ไงล่ะ อเดลลา อาจารย์หนุ่มแสนดีของเธอ ที่แท้ก็ไม่ต่างจากผู้ชายคนอื่นหรอก เมลินนั่นก็คนหนึ่งแล้ว นี่ยังจะมีหม่อมหลวงจอมเย่อหยิ่งโผล่มาอีกคน แล้วที่เธอยังไม่รู้ล่ะ จะมีอีกสักกี่คน’

ความขุ่นเคืองผุดขึ้นในใจ ทั้งที่พยายามห้ามสุดความสามารถ แต่ก็แพ้ความอ่อนไหวของตนจนได้ รู้สึกไม่อยากพบหน้าบุรฉัตรขึ้นมาทันที แต่คนที่อยู่ในความคิดกลับโผล่มาเหมือนแกล้ง

“มาอยู่นี่เอง อเดลลา” เธอจำเสียงได้แม่น แต่ไม่อยากหันไปมอง

“พี่ฉัตรว่างแล้วเหรอคะ น้ำหวานรอตั้งนานแน่ะ” ลดานาฏวิ่งเข้าไปเกาะแขนชายหนุ่ม

“ผมตามหาคุณจนทั่ว นึกว่าหายไปไหน คุณย่าให้มาเรียกไปกินข้าวครับ” บุรฉัตรเดินเข้ามาพูดกับเธอ

“แล้วน้ำหวานล่ะคะ พี่ฉัตรไม่เห็นชวนเลย” ลดานาฏทำเสียงกระเง้ากระงอด ทำเอาอเดลลานึกขันปนหมั่นไส้น้ำเสียงออดอ้อนเหมือนเด็ก

“ก็ไปพร้อมกันเลยไงครับน้ำหวาน เชิญครับอเดลลา” บุรฉัตรชวน เธอจึงหันไปสบตาชายหนุ่มเพื่อตอบรับคำเชิญ

“อ้าว แล้วนี่รู้จักกันหรือยังครับ” บุรฉัตรเอ่ยขึ้นอย่างนึกได้ 

ลดานาฏชิงตอบทันควัน “รู้จักแล้วค่ะพี่ฉัตร เราคุยกันตั้งเยอะเลย ใช่ไหมคะอเดลลา” ลดานาฏยักไหล่ ยิ้มหวาน แต่อเดลลามองออกว่าเป็นยิ้มยั่วยวนท้าทาย

“ดีเลยครับ ถ้าอย่างนั้นพี่ฝากน้ำหวานพาอเดลลาไปด้วยนะครับ พี่จะไปรับเพื่อนที่เพิ่งมาถึง เดี๋ยวเราเจอกันที่โต๊ะอาหารนะครับ”

“ด้วยความยินดีเลยค่ะพี่ฉัตร ไปกันค่ะอเดลลา” หญิงสาวฉวยมืออเดลลามาจับ พาก้าวเดินด้วยท่าทางร่าเริง ผิดเป็นคนละคนกับหม่อมหลวงลดานาฏคนเดิมเมื่อแรกเจอ “เดี๋ยวพบกันนะคะพี่ฉัตร น้ำหวานจะรอนะคะ”

บุรฉัตรเดินจากไป ขณะที่อเดลลาจำต้องยอมตามลดานาฏไป เพราะอีกฝ่ายจับมือเธอไว้แน่น หม่อมหลวงสาวจูงเธอไปยังสวนหน้าตึกซึ่งจัดโต๊ะปูผ้าสีขาวสะอาดสำหรับแขกเรียงรายรอบน้ำพุไว้หลายโต๊ะ ลดานาฏเดินตรงไปยังโต๊ะท้ายสุดใต้ร่มไม้ ที่นั่นมีหญิงสาวหลายคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว พวกหล่อนต่างหันมายิ้ม โบกมือส่งเสียงเกรียวกราว

“น้ำหวาน ทางนี้”

“อุ๊ย พาใครมาด้วย นี่หล่อนไปมีเพื่อนฝรั่งตั้งแต่ตอนไหนยะเนี่ย” หญิงสาวชุดสีแดงเข้มแต่งหน้าจัดจ้านเอ่ยทัก

ลดานาฏปล่อยมือ ทรุดนั่งลงบนเก้าอี้โดยไม่เอ่ยเชื้อเชิญ ปล่อยให้อเดลลายืนเก้ๆ กังๆ อยู่คนเดียว เธอเหลียวหาดาริกาแต่ก็ยังไม่เห็น

“ใครยะ เพื่อนใหม่เธอเหรอ” หญิงสาวคนเดิมถามต่อ

“เปล่า พวกกาฝากน่ะ” หม่อมหลวงสาวตอบเสียงเรียบ อเดลลาไม่เข้าใจความหมายของคำที่หล่อนพูด แต่เดาว่าน่าจะเป็นคำพูดเชิงล้อเลียนขบขัน เพราะเรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดจากกลุ่มเพื่อนสาวร่วมโต๊ะดังลั่น

“ต๊าย! ร้ายนะยะแม่น้ำหวาน” 

เสียงหัวเราะรื่นทำให้อเดลลาหน้าร้อน อึดอัดจนต้องบีบมือแน่น

“นั่งสิจ๊ะ หรืออยากจะยืนโชว์ตัว” ลดานาฏเอียงคอเหลือบขึ้นมอง

อเดลลาหย่อนกายลงบนเก้าอี้อย่างไม่ค่อยเต็มใจ กวาดตามองผู้นั่งร่วมโต๊ะ ทุกสายตาจับจ้องมาที่เธอเป็นจุดเดียว สีหน้าแต่ละคนบอกอารมณ์แตกต่างกันไป


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น