8

คร่ำครวญ

 8

คร่ำครวญ

 

มันตราตื่นนอนแต่เช้าตรู่ ด้วยเพราะเมื่อวานฤทธิ์ยาแก้ไข้กับยาลูกกลอนรสขมจนติดคอทำเอาสลบไสลไปตลอดทั้งวัน มิหนำซ้ำหลังจากกินข้าวเย็นไปแล้วก็ม่อยหลับต่อทันที โดยไม่สนใจเสียงเจี๊ยวจ๊าวภายนอกห้องเลยแม้แต่น้อย เช้านี้จึงเหมาะแก่การออกมายืดเส้นยืดสายให้หายปวดเมื่อยเนื้อตัวเสียก่อน ด้วยอากาศตอนเช้าที่เย็นจนบาดเนื้อกาย หญิงสาวจึงไม่ลืมที่จะคว้าผ้าคลุมไหล่ลายพื้นเมืองติดไม้ติดมือออกมาด้วย

ถ่านไม้ลำไยในเตาอั้งโล่ใหญ่แตกเปรี๊ยะๆ ข้าวเหนียวที่เพิ่งสุกใหม่ๆ ถูกคดใส่กั๊วะข้าว หรือถาดทำจากไม้ขนาดใหญ่ ใช้สำหรับคลุกข้าวไม่ให้ข้าวเหนียวแฉะจนเกินไป และป้องกันข้าวเสียเร็วอีกด้วย ไม้พายเล็กปาดเป็นจังหวะช้าๆ อย่างที่น้าสาวทำในทุกๆ เช้า 

หญิงสาวผมยาวเดินลงจากเรือนผ่านทางกระไดซี่เล็กหลังเรือน ซี่บันไดทำจากไม้เย็นเฉียบจนเธอต้องรีบใช้ผ้าคลุมไหล่ห่อตัวเอาไว้ เท้าเล็กสอดเข้าไปในรองเท้าแตะที่วางไว้บนชั้นเตี้ยๆ ก่อนจะเดินมายังโรงครัวไฟที่แผ่ความอบอุ่นออกมาขับไล่ความหนาวเหน็บไปได้มากทีเดียว

“น้าสาวตื่นเช้าจังเลยค่ะ” หญิงสาวเดินเข้ามาในโรงครัว เลือกนั่งใกล้ๆ เตาอั้งโล่นั้นเพื่อคลายหนาว 

น้าสาวหันมองก่อนจะรีบเอ็ดเธอเสียงดัง “ตายแล้ว! ลงมาทำไม ไข้ลดแล้วเหรอลูก” แกรีบเดินมาดูหลานสาว มืออุ่นเพราะเพิ่งจะคดข้าวเหนียวเสร็จจับเนื้อจับตัวมันตรา 

สัมผัสอุ่นนี่ช่างดีเหลือเกิน หญิงสาวหลับตาพริ้มแม้จะถูกเอ็ดอยู่ก็ตาม “หนูรู้สึกดีขึ้นแล้วค่ะน้าสาว ไม่เป็นไรแล้ว” มันตราตอบอย่างมั่นใจ

“ไม่ได้หรอก เกิดไข้กลับมา ยายแปงด่าน้าตาย” คนเป็นน้านั่งลงข้างๆ สาวเจ้า เท้าเอวว่ากล่าวสั่งสอนเธอ 

ดูเหมือนมันตราจะไม่ได้เกรงกลัวน้าสาวคนนี้สักเท่าไร เธอฉีกยิ้มหวานขณะมองหน้าน้าสาว

“ไม่ต้องมาทำหน้าทำตาแบบนี้เลย” น้าสาวถึงกับถอนหายใจ ด้วยบ่นไป อีกฝ่ายก็ดูจะไม่มีทีท่าเกรงกลัวอะไร

“เฮ้อ~~” หญิงวัยกลางคนถอนหายใจระหว่างกวาดสายตาไปรอบๆ แกมองครัวไฟเก่าๆ ที่ใช้หุงหาอาหารกับยายทวดมาตั้งแต่แกจำความได้

“เพราะอยู่กันมานานมาก พอถึงเวลาที่แกไปแล้วมันก็โล่งๆ ยังไงก็ไม่รู้” น้าสาวว่า

ด้วยแม่ของน้าสาวเสียไปก่อนที่แกจะอายุได้หนึ่งขวบเสียอีก แถมยายทวดยังสอนวิธีทำอาหารต่างๆ ให้เป็นวิชาติดตัวแกมาจนถึงตอนนี้ แต่สามีน้าสาวแกนี่แลตัวดี ชอบเหลือเกินการพนัน เหล้ายาปลาปิ้ง จนเงินที่น้าสาวหามาได้ในแต่ละวันพร่องหายไปกับค่าเหล้าค่ายาของสามี ยายทวดก็สงสาร แต่จะให้เงินไปตลอดก็ดูจะไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา ในทุกๆ วันแกจึงบอกให้น้าสาวมาทำกับข้าวให้แกและยายกิน และแบ่งไว้ให้เป็นกับข้าวกับปลาจุนเจือครอบครัวน้าสาวด้วย จะได้ไม่ต้องเสียเงินเสียทองไปซื้อของมาทำกับข้าวกิน โดยทุกเช้าๆ คนที่จะเดินลงมาดูแกทำอาหารก็เป็นยายทวดเอง หรือไม่บางทีหญิงชราสองคนบนเรือนก็จะพากันเดินลงมาช่วยกันดู ช่วยกันชิม นี่เป็นช่วงเวลาที่น้าสาวคิดถึงเป็นที่สุด

“พอแกไปแล้วกับข้าวกลับปลาก็คงต้องทำน้อยลงพอให้ยายกินคนเดียวสินะ”

ประโยคนี้ทำเอาความรู้สึกอึดอัดจุกขึ้นมาจนถึงลิ้นปี่ มองภายนอกน้าสาวดูจะเป็นคนที่เข้มแข็งเอามากๆ แต่มันตรารับรู้ได้ในทันทีว่าภายในของแกตอนนี้เศร้าสลดเสียใจไม่แพ้ใครเลย ทั้งๆ ที่ต่อหน้าคนอื่นๆ แกจะพูดจาตลกขบขัน แต่พออยู่คนเดียวก็หลุดแสดงความเสียใจออกมาแบบนี้ ครั้นจะให้ร้องไห้ต่อหน้าลูกและสามีของแก แกก็คงไม่ทำ

มันตราคลายผ้าคลุมออกจากตัวที่เริ่มอุ่น สองแขนโอบกอดน้าสาวของเธอเอาไว้เบาๆ กระชับอ้อมกอดน้อยๆ พลางลูบแผ่นหลังเจ้าเนื้อของแก น้าสาวถึงกลับกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ สองมือยกขึ้นเกาะแขนเล็กของมันตรา ร้องห่มร้องไห้ออกมาเสียงดัง ความเสียใจที่ถูกเก็บเอาไว้ปะทุออกมาอย่างพรั่งพรู ไม่มีครั้งไหนเลยที่รู้สึกว่าน้าสาวอ่อนแอได้ขนาดนี้

“ไม่เป็นไรนะคะ...น้าสาว...หม่อน...”

“หม่อน...”

“หม่อนไปดีแล้ว ไม่...ไม่เป็นไรแล้ว”

หญิงสาวหลุดสะอื้นออกมาตาม น้ำตาไหลหยดแล้วหยดเล่า สองน้าหลานกอดกันร่ำไห้อยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน ความเจ็บปวดภายในค่อยๆ ทุเลาลงช้าๆ สองมือของมันตรากอดปลอบประโลมน้าสาวจนสงบ

“ดูสิ ร้องไห้อย่างกับเด็ก”

มือหยาบอย่างคนทำงานมาทั้งชีวิตยกขึ้นปาดน้ำตาตัวเอง หลังจากนั่งปล่อยโฮอยู่กับมันตรามาได้หลายสิบนาที มุมปากหนายิ้มออกมาอย่างเขินอาย ด้วยเพราะไม่เคยบอกใครมาก่อนว่าตัวเองอ่อนไหวเพียงใด 

หลานสาวค่อยๆ คลายอ้อมกอดอุ่นออก แขนของเธอเปียกปอนไปด้วยน้ำตาของน้าสาว ก่อนแกจะคว้าแขนไปมาเช็ดคราบน้ำตาออกให้

“มะ...ไม่เป็นไรค่ะน้า...” มันตราบอกพลางปาดผ้าสะอาดเช็ดหยดน้ำตาให้น้าสาวเรียบร้อย

“เอาละๆ พอแล้ว มา! เดี๋ยวน้าต้องทำกับข้าวต่ออีก” น้าสาวบอกแก้เขิน ก่อนจะตบที่หน้าขาของมันตราเบาๆ เชิงเร่งให้หล่อนไปล้างหน้าล้างตาเสีย 

หญิงสาวพยักหน้ารับน้อยๆ แล้วจึงเดินออกไปยังก๊อกน้ำข้างโอ่งปูนใหญ่ เปิดน้ำเย็นฉ่ำวักล้างหน้าล้างตา ผ้าคลุมไหล่ผืนนี้แลที่ถูกใช้เช็ดหยดน้ำที่เกาะตามใบหน้าหวาน จมูกเล็กของเธอยังแดงใสอยู่เลย

“เออ ยายออกไปเดินออกกำลังกาย อีกเดี๋ยวน่าจะกลับมาแล้ว หนูน่าจะรีบขึ้นไปบนเรือนนะ” น้าสาวบอกระหว่างยกถังน้ำใหญ่เพื่อเทลงในหม้อตั้งไฟ เสร็จแล้วแกจึงเดินออกมาล้างหน้าล้างตาบ้าง

“น้าสาวไม่เป็นไรแล้วใช่มั้ยคะ” หญิงสาวถามอย่างเป็นห่วง 

แกพยักหน้าตอบ รอยยิ้มเปื้อนแก้มอิ่มคู่นั้นทำให้มันตรารู้สึกดีขึ้นตามไปด้วย เธอขยับไปกอดหน้าสาวอีกครั้ง ครั้งนี้กระชับอ้อมกอดอุ่นอย่างแนบแน่น น้าสาวกอดตอบเธอเบาๆ

“ขอบใจนะลูก...มันตรา”

          

ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นเล็กน้อยแล้ว แต่ยังคงต้องใช้แสงไฟจากหลอดไฟยาวอยู่ หญิงสาวเดินลอดผ่านใต้ถุนบ้านเพื่อมายังบันไดหน้าบ้าน เสียงกรนครืดๆ ของญาติๆ ที่กำลังหลับใหลอยู่ที่เติ๋นดังลงมาจนได้ยิน มันตรากระชับผ้าคลุมไหล่อีกครั้ง ด้วยเพราะพอเดินออกมาจากโรงครัวแล้วความอบอุ่นก็จางหายไป ตอนนี้ความหนาวเย็นเข้ามาเกาะกุมอีกครั้ง

หญิงสาวผมยาวยืนอยู่กลางลานดินหน้าเรือนไม้ใหญ่ แสงสีขาวจากหลอดไฟนีออนที่ผูกไว้ตามเสาของเต็นท์ผ้าใบหลายหลังส่องสว่างทั่วบริเวณ ถัดมาเป็นที่จอดรถลากศพที่ถูกเตรียมไว้ประกอบในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้ ปราสาทสีทองหลังใหญ่แบบโบราณเตรียมพร้อมไว้สำหรับวันนี้ วันที่จะส่งยายทวดไปสู่สุคติ

“มันตรา ลงมาหยังบะเดวนี้อิหล้า” (มันตรา ลงมาทำอะไรตอนนี้ลูก)

เสียงเล็กแหลมที่คุ้นเคยดังขึ้นจากทางประตูรั้ว ยายแปงเดินมาหลังจากออกไปเดินออกกำลังกายตอนเช้ากับเด็กรับใช้และเพื่อนบ้านรุ่นราวคราวเดียวกับแก

“ยาย...” หญิงสาวรีบเดินไปหา 

ยายรีบคว้าตัวหล่อนเอาไว้แล้วสำรวจไข้ ในมือข้างหนึ่งของแกมีห่อผ้าสีขาวอยู่ ยายแปงส่งต่อมันให้เด็กรับใช้ก่อนจะหันมาจับหน้าจับตาหลานสาวของเธอ กลิ่นหอมของผลไม้ชนิดหนึ่งลอยมาเตะจมูก

“น้อยหน่าเหรอคะ” มันตราถามขึ้นทันที 

ยายแปงถึงกับหัวเราะร่วน ก็เพราะมันตราชอบกินน้อยหน่ามาก ตอนแกเดินออกกำลังกายอยู่เห็นผลน้อยหน่าของเพื่อนบ้านกำลังสุกงอม จึงขอมันกลับมาสองสามลูก ก็ห่อมาในผ้าสีขาวผืนนั้นแล

“แม่นละก่า อิหล้าจะปิ๊กวันนี้ละลู่ ยายไปป๊ะใส่ก่อเลยขอเปิ้นมาหื้อ” (ใช่แล้ว ก็หนูจะกลับวันนี้แล้ว ยายไปเจอมาก็เลยขอเขามาให้)

มันตรามองยายอยู่ตลอด เพราะความใจดีของยายทำให้มันตรายิ้มออกมาไม่หุบ มันอบอุ่นเข้าไปจนถึงหัวใจเลยทีเดียว แต่พอคิดว่าเธอจะต้องเดินทางกลับภายในบ่ายวันนี้แล้ว ความรู้สึกแปลกๆ ก็โถมเข้ามาจนรอยยิ้มหวานค่อยๆ หุบลงในทันที

“ละตั๋วมายืนหยังนี่” (แล้วหนูมาทำอะไรที่นี่)

“ก็...เมื่อวานนอนมาทั้งวันเลย ก็เลยอยากออกมาเดินบ้างน่ะค่ะ เห็นน้าสาวบอกว่ายายออกไปเดินออกกำลังกาย หนูก็เลยเดินมายืนรอ” มันตราตอบ มุมปากยิ้มน้อยๆ เพื่อไม่ให้อีกคนรู้ว่าเธอรู้สึกอะไรอยู่ 

มือเล็กของยายค่อยๆ คว้าแขนหลานสาวเอาไว้ และพาเดินกลับขึ้นไปยังเรือนนอนเช่นเดิม นาฬิกาเรือนเก่าแก่ที่แขวนไว้บนผนังห้องนอนบอกเวลาว่าใกล้จะหกโมงเช้าแล้ว ท้องฟ้าเริ่มมีแสงจากดวงตะวันฉาบขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ยายนั่งลงหาผ้าซิ่นผืนงามพอให้มันตรานุ่งแทนตัวเก่าเมื่อวานนี้

“ยายจ๋า พรุ่งนี้หนูจะกลับแล้ว หนูสวมชุดของหนูก็ได้ค่ะ” มันตราบอกอย่างเกรงใจ 

มือเล็กของยายถือซิ่นค้างอยู่อย่างนั้น ก็ด้วยเพราะลืมตัวคิดว่าหลานจะได้อยู่กับแกต่อ จนเผลอดีใจเตรียมชุดให้สวมเสียนี่ มันตราเห็นแบบนั้นก็รู้สึกผิด เธอลุกเดินเข้าไปหายายก่อนที่จะค่อยๆ กอดแกเบาๆ ร่างเล็กของยายนุ่มนิ่มเพราะผิวหนังเสื่อมสภาพไปตามวัย กลิ่นหอมอ่อนๆ ของแป้งที่ยายมักทาประจำยังทำให้จดจำได้ตลอด

“ผ้าซิ่นตัวนี้สวยดีนะคะ งั้นวันนี้หนูเปลี่ยนใจแล้ว นุ่งผ้าซิ่นดีกว่า” มันตราเอ่ยเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ 

พอหลานพูดแบบนั้นออกมา ยายแปงก็ยิ้มกว้าง แกส่งผ้าซิ่นผืนงามให้สาวเจ้าดูใกล้ๆ

“ผืนนี้อิแม่เปิ้นซื้อมาหื้อ ต๋อนเปิ้นไปแอ่วเมืองน่านสมัยซาวสามซิบปี๋ก่อน” (ผืนนี้แม่ท่านซื้อมาให้ ตอนที่ท่านไปเที่ยวเมืองนานสมัย 20-30 ปีก่อน)

มือเล็กค่อยๆ ลูบไปบนเนื้อผ้าฝ้ายทอมือผืนงาม สมชื่อผ้าซิ่นคำเคิบของเมืองน่าน ซึ่งเป็นผ้าทอชนิดหนึ่ง โดย คำ แปลว่าทอง และ เคิบ แปลว่า หลายๆ คืบหรือหลายๆ ชั้น ผ้าซิ่นคำเคิบจึงเป็นผ้าที่ใช้ไหมเงินหรือไหมทองทอในตัวซิ่นเป็นจำนวนมาก ส่วนผ้ามีลายเส้นพุ่งสลับเส้นไหมเงินผืนนี้มีราคาสูงทีเดียว ด้วยด้ายสีดำทอตลอดทั้งผืนขับสีเงินของดิ้นเงินให้เปล่งประกายระยิบระยับ ตีนซิ่นต่อด้วยตีนจกดิ้นเงินรับตัวซิ่นสวย หญิงสาวมองเนื้อผ้าลื่นสวยผืนนี้อย่างหลงใหล

“แม่เปิ้นเกยว่าไว้ว่าถ้าตั๋วได้ใส่ซิ่นผืนนี้ ท่าจะเปิงขนาด” (แม่ท่านเคยพูดเอาไว้ว่า ถ้าหนูได้สวมซิ่นผืนนี้แล้วคงจะเหมาะเอามากๆ)

“บะกึ๊ดว่าจะได้มาใส่วันเผาเปิ้นเนาะ” (ไม่คิดว่าจะได้มาใส่วันที่เผาท่าน)

ริมฝีปากบางของยายแม้กระดกยิ้มน้อยๆ แต่นัยน์ตาแฝงไปด้วยความเศร้า ยายแปงรีบหันหน้าไปมองทางอื่น ด้วยว่าแกไม่อยากให้หลานสาวเห็นว่าแกร้องไห้อีกแล้ว แต่พอมันตราเห็นแบบนั้นก็รีบขยับไปกอดร่างเล็กไว้ในทันที ทั้งสองอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน มือเหี่ยวๆ ของยายยกขึ้นปาดน้ำตาครั้งแล้วครั้งเล่า มันตราเองก็สะอื้นหนัก เธอไม่อยากปล่อยมือจากอีกฝ่ายเลย

 

พิธีต่างๆ ดำเนินไปอย่างปกติ กระทั่งตะวันคล้อยเข้ายามบ่าย ท้องฟ้าวันนี้ใสกว่าทุกๆ วัน เป็นสีครามใสไร้ซึ่งเมฆหมอก  เบื้องหน้าเรือนไม้บะเก่ามีรถลากศพคันสีดำจอดอยู่ รอบรถทั้งสี่ด้านถูกวาดเป็นลายไทยสีขาว เหนือขึ้นไปคือโลงศพไม้ปิดทองตั้งอยู่ภายในปราสาทหลังใหญ่สูงเสียดฟ้า มีผ้าลูกไม้สีขาวห้อยลงมาคลุมโลงใหญ่ ร่างไร้วิญญาณของยายทวดอายุกว่า 106 ปี นอนสงบนิ่งอยู่ภายใน 

ดอกไม้สีขาวถูกจัดช่อเข้ากับใบเฟิร์นสีเขียวสดวางประดับไว้โดยรอบ พิณพาทย์ราชตะโพนบรรเลงขึ้นช้าๆ เชือกยาวพันด้วยสายสิญจน์สองเส้นเชื่อมรถลากศพกับต้นขบวน ญาติและแขกเหรื่อยืนเรียงแถวตามแนวเชือก ต้นขบวนเป็นพระสงฆ์และเณรน้อยรอช่วยกันลากจูงปราสาทหลังใหญ่ให้ค่อยๆ เคลื่อนไปอย่างช้าๆ ระหว่างทางเดินเล็กที่จะนำขบวนนี้ไปยังป่าช้าของหมู่บ้านที่ห่างออกไปประมาณ 2 กิโลเมตร

มันตราเป็นหนึ่งในลูกหลานหลายๆ คนที่ร่วมเดินไปกับขบวนยาวนี้ด้วย ระหว่างทางญาติๆ และเพื่อนบ้านคอยช่วยกันหยิบยื่นน้ำเย็นและผ้าเย็นให้ผู้ที่ร่วมจูงปราสาทหลังใหญ่ไม่ให้เป็นลมเป็นแล้งไปก่อนจะถึงป่าช้าใหญ่ ส่วนผู้เฒ่าผู้แก่นั้นรุดหน้าไปก่อนแล้วด้วยรถยนต์ แม่ของมันตราเองก็เช่นกัน

“ร้อนมั้ยลูก มันตรา”

น้าสาวเอ่ยถามเป็นระยะๆ เพราะกลัวว่าหลานจะเป็นลมเป็นแล้งไป ด้วยท้องฟ้าเปิดโล่งแบบนี้ แสงแดดที่สาดลงมานั้นส่งความร้อนมาแบบเต็มๆ และตอนนี้ก็เดินมาจนครึ่งทางแล้ว

“ไม่เป็นไรค่ะน้าสาว สบายมาก” มันตราตอบพลางยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อเม็ดโตที่ผุดขึ้นมาเต็มหน้าผาก แม้แดดจะแรงสักแค่ไหน เธอก็ตั้งใจว่าจะจูงพายายทวดไปส่งถึงที่ให้จงได้ 

เมื่อเริ่มเข้าสู่เขตป่าแล้ว ต้นไม้ใหญ่โค้งขึ้นบังแสงแดดเกิดเป็นร่มเงา ทำให้เย็นสบายขึ้น สายลมเอื่อยๆ เหมือนเป็นใจ พัดจนใบไม้ไหวไปมาเบาๆ ทำให้ผู้ร่วมขบวนคลายร้อนไปได้มากทีเดียว

ไม่นานต้นขบวนก็เข้าสู่ฌาปนสถานในลานป่าช้ากว้างที่ถูกจัดเตรียมไว้อย่างสะอาดสะอ้าน ที่นั่งสำหรับแขกเหรื่อและถังน้ำมีไว้บริการ ทุกคนจูงเชือกพาปราสาทสูงของยายทวดเข้ากลางลานพิธี ญาติๆ ที่รุดหน้ามาก่อนแล้วคอยช่วยกันโปรยทานตั้งแต่ต้นขบวนยาวไปจนจบขบวน ผู้คนที่ลากจูงศพเข้ามาต่างพากันปล่อยมือจากเชือก และแห่กันเข้าเก็บเหรียญที่พันด้วยริบบิ้นสีสันสดใส

มันตราซึ่งไม่เคยไปร่วมงานแบบนี้มาก่อนถึงกับยืนตัวแข็งเมื่อทุกคนรีบก้มลงไปคว้าของชิ้นเล็กๆ เหล่านั้นกันหมด ร่างเล็กหันซ้ายทีขวาที พลันก็มีวัตถุกลมๆ ลูกหนึ่งกลิ้งมาหยุดที่เท้าของเธอ เธอจึงก้มลงไปหยิบขึ้นมา

“ใครที่เก็บอันที่มีลูกแก้วอยู่ข้างในได้ให้เอามาให้ฉันนะ ฉันรับซื้อหนึ่งหมื่นบาท!” ผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนขึ้น ด้วยเพราะเธอคือต้นคิดในเรื่องนี้ การโปรยทานครั้งนี้หล่อนใช้เหรียญสิบไปหลายพันเหรียญ หนำซ้ำยังมีชิ้นพิเศษที่บรรจุลูกแก้วกลมไว้ภายในอีกด้วย อย่างที่เธอบอก และเธอจะจ่ายให้คนที่นำสิ่งนั้นมาให้เธอ เธอคนนั้นก็คือแม่ของมันตรานั่นเอง

“เอ๋?...” หญิงสาวเอียงคอก่อนจะปล่อยเชือก และเดินไปหาน้าสาวที่กำลังก้มเก็บเหรียญโปรยทานอยู่อย่างขะมักเขม้น มือเรียวยื่นของที่เธอเก็บได้ให้น้าสาว 

น้าสาวรับของมาพลางขอบอกขอบใจ ด้วยเพราะเหรียญเหล่านั้นก็เป็นของแม่เธอ ไม่มีประโยชน์ถ้าเธอจะเก็บมันเอาไว้

เมื่อการโปรยทานจบลงแล้ว มันตราจึงรีบเดินไปหายายที่นั่งรออยู่ในศาลาใกล้ๆ เก้าอี้ข้างๆ ยายถูกเว้นไว้ให้สำหรับมันตราโดยเฉพาะ หญิงสาวค่อยๆ ค้อมศีรษะลงเมื่อต้องเดินผ่านหน้าญาติคนอื่นๆ ก่อนจะมานั่งยังตำแหน่งนั้น มือเรียวของมันตราคว้ามือเล็กของยายมาจับไว้ ก่อนที่ยายแปงจะยื่นเหรียญโปรยทานที่แกเก็บได้ให้หลานสาวอีกอัน มันตรารับไว้แล้วจึงเก็บมันเข้ากระเป๋าเสื้อเล็กๆ ข้างตัว

“อิ๋ดก่อ...” (เหนื่อยมั้ย?) เสียงเล็กเอ่ยถามพลางลูบหลังมือนุ่มของหลานเล่นเบาๆ 

มันตราส่ายหน้าน้อยๆ เป็นการปฏิเสธ 

แล้วพิธีต่างๆ ก็เริ่มต้นขึ้น ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเป็นขั้นเป็นตอน บรรยากาศของงานเงียบสงบท่ามกลางเสียงพระสวด มันตราพนมมือพลางหวนระลึกถึงยายทวดในทุกๆ อิริยาบถของแก จนกระทั่งสิ้นสุดพิธีสงฆ์

              “ปะ ไปผ่อหน้าหม่อนเป๋นเตื้อสุดท้าย” (ปะ ไปดูหน้ายายทวดเป็นครั้งสุดท้าย) ยายแปงบอก 

              มันตราค่อยๆ พยุงยายเดินไปยังฐานเชิงตะกอน โลงของยายถูกเปิดอยู่ตรงนั้น ท่อนไม้ใหญ่ถูกขัดขึ้นเหนือเชิงตะกอนปูน ร่างบางสั่นระรัว แม้ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าอยากจะส่งยายทวดจนวินาทีสุดท้าย 

              ยายแปงหันมองหญิงสาวที่ไม่กล้าก้าวขา แกกุมมือหลานสาวเอาไว้อย่างปลอบโยน “ไหวก่อ บะไหว อิหล้าท่านี้ก่อได้หนา” (ไหวมั้ย ถ้าไม่ไหวรอตรงนี้ก็ได้)

มันตรายังคงยืนยันว่าเธอไหว สองขาเรียวก้าวขึ้นไปดูยายทวดพร้อมๆ กับยายและญาติคนอื่นๆ ใบหน้าของเธอสงบนิ่ง ทว่านัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนไหววูบ เธอไม่ได้กลัวที่จะเห็น แต่สาวเจ้ากลัวว่าจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ร่างไร้วิญญาณนอนอยู่ตรงนั้น ยายทวดดูแตกต่างไปจากที่มันตราคิดเอาไว้ ท่านดูสงบ ไม่รู้สึก ไม่เจ็บปวด แต่คนที่เจ็บปวดกลับเป็นตัวเธอเอง คิ้วเรียวขยับย่นเหยเก ริมฝีปากเล็กขบเม้ม สะกดกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ มือเล็กยกขึ้นปิดริมฝีปากสั่นเทา ร่างบางเหนื่อยล้าเกินกว่าที่จะเก็บความเสียใจเอาไว้ เธอปล่อยโฮและร้องห่มร้องไห้ออกมาจนยายตกใจ

“หม่อนจ๋า...” เสียงหวานสะอื้นหนัก 

คนเป็นพ่อรีบเข้ามาพยุงลูกสาวเอาไว้ เธอซบลงบนอกกว้างของคนเป็นพ่อนิ่งนาน การสูญเสียใครบางคนไปจากชีวิตไม่ใช่เรื่องที่จะทำใจได้ง่ายเลย

คุณพ่อพยุงมันตรากลับมานั่งที่เดิม ร่างเล็กยังสะอึกสะอื้น ยายแปงก็เร่งฝีเท้ากลับมาดูหลาน มือเล็กที่เต็มไปด้วยรอยยับย่นปาดลงที่แก้มขาว ดวงตาเล็กของยายแปงแดงขึ้นด้วยความเสียใจและสงสารหลานอย่างสุดหัวใจ

“ไม่ร้องนะมันตรา ทวดไปดีแล้วลูก” คนเป็นพ่อปลอบ

“หนู...หนูเข้าใจ...ค่ะ” สาวร่างบางตอบเสียงสะอื้นเป็นพักๆ

มือเรียวของมันตราขยับไปคว้ามือยายมาจับไว้แน่น ยายแปงกอดปลอบเธอเบาๆ ก่อนที่พิธีจะดำเนินต่อไป

เสียงหนึ่งโหยหวนขึ้นมา ควันมากมายถาโถมขึ้นปกคลุมเชิงตะกอนไปทั่ว ประทัดหลายแบบถูกจุดขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งมาถึง ‘บอกไฟช้างร้อง’ เสียงคร่ำครวญของประทัดชนิดนี้โหยหวนราวกับช้างโขลงใหญ่ร่ำไห้ด้วยความโศกเศร้า บีบคั้นหัวใจดวงเล็กของมันตราจนหล่อนปล่อยโฮออกมาอีกครั้ง ผ้าเช็ดหน้าของพ่อถูกยื่นให้มันตรา เธอยกขึ้นซับน้ำตาอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า แขนเธอโอบร่างเล็กของยายที่สั่นเทาและน้ำตาไหลอาบแก้มเอาไว้ มันตราคิดไม่ออกเลยว่าขนาดยายทวด เธอยังเจ็บปวดขนาดนี้ แล้วถ้าเป็นคนสำคัญของเธอมากๆ อย่างยาย มันตราคงรับความรู้สึกเหล่านี้ไม่ไหวแน่ๆ 

“กรรรรรรรรรร!!~~~~~~”

“!! ”

“กรรรรรรรรรรรรรรร!!~~~~~~~~~”

เสียงหนึ่งดังคลอขึ้นกับเสียงโหยหวนของประทัด ทุกคนในงานต่างพากันแตกตื่น ด้วยเพราะเสียงนี้ไม่มีทางเป็นเสียงของประทัดเป็นแน่ มันตราเงยหน้าขึ้นมองหาต้นเสียง แต่เสียงนั้นดังมาจากสถานที่หนึ่งที่อยู่ห่างออกไปจากจุดนี้มาก หญิงสาวกระชับกอดยายเอาไว้แน่น ในขณะที่ผู้คนที่มาร่วมงานเริ่มระแวดระวังตัว แต่เมื่อสิ้นเสียงของประทัดลงแล้ว เสียงนั้นก็เงียบไป

แขกเหรื่อต่างไม่มีใครกล้าออกปากถามถึงเสียงปริศนาที่ดังขึ้นเมื่อครู่ ญาติบางคนบอกว่าอาจจะเป็นเสียงของประทัดนั้นแล ในขณะที่บางคนก็บอกว่าเป็นเสียงของเสือที่ประกาศอาณาเขตบ้างละ หรือเสียงตามความเชื่อต่างๆ บ้างละ มีเพียงมันตราเท่านั้นที่รับรู้ได้ว่าสมิงก็คงจะมาส่งยายเช่นกัน...


เวลาผ่านไปจนกระทั่งบ่ายแก่ๆ ทุกคนกลับมายังบ้านเรือนไม้บะเก่าหลังเดิม คนงานช่วยกันเก็บข้าวเก็บของบริเวณลานหน้าบ้านจนสะอาดเรียบร้อย เต็นท์และเก้าอี้ที่ยืมมาจากวัดถูกพับซ้อนกองไว้แต่ละจุด เพื่อรอรถบรรทุกคันใหญ่ขับกลับมาเอา กลุ่มของมันตราตอนนี้มีพ่อ แม่ และพี่สาวคนโตของเธอที่ตามมาร่วมงานทีหลัง หล่อนขอติดรถกลับไปด้วย ข้าวของของมันตราถูกเก็บลงในกระเป๋าเดินทางใบโตเรียบร้อยแล้ว น้าดำช่วยขนขึ้นไปเก็บไว้บนรถ ในขณะที่มันตรายังไม่ยอมปล่อยมือจากมือเล็กของยายเลย

“เอาละ ถึงเวลากลับแล้วลูก มันตรา” คุณพ่อของเธอบอก

หญิงสาวหันมองยาย แต่ยังไม่ยอมปล่อยมือเสียที สีหน้าเธอไม่ดีเลย

“ไว้มาแอ่วหายายพ่องเน่อ” (ไว้มาเที่ยวหายายบ้างนะ) ยายแปงตัดใจพูดก่อน แม้ในใจแกก็ไม่อยากให้หลานกลับไปเหมือนกัน แต่แกก็คงทำอะไรไม่ได้ มือเล็กของแกผละออกจากมันตรา พลางโบกมือให้อย่างเช่นที่เคยทำทุกที

“ค่ะยาย” มันตราตอบ แต่ก็ไม่ยอมก้าวเท้าไปขึ้นรถเสียที

“เร็วเถอะมันตรา ฉันไม่อยากไปถึงบ้านตอนมืดนะ” พี่สาวเธอตะโกนเร่ง 

หญิงสาวจำใจเดินไปขึ้นรถ คุณพ่อและคุณแม่ของมันตรากราบยายแปงก่อนจะตามมา ไม่นานรถคันงามก็ถูกขับออกไปอย่างเงียบเชียบ

เพลงบนรถถูกเปิดขึ้นเพื่อไม่ให้บรรยากาศเงียบเหงาเกินไป มันตรานั่งซึมหันมองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่แม้แต่จะพูดจากับใครเลย นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเหม่อมองออกไปอย่างไร้จุดหมาย ก่อนเธอจะเหลือบไปเห็นร่างหนึ่งในชุดขาวยืนอยู่ใต้ต้นมะขามใหญ่ข้างทาง แต่รถหรูก็ขับผ่านร่างนั้นไปอย่างรวดเร็ว มันตรายังไม่ทันแม้แต่จะกะพริบตาด้วยซ้ำ ร่างนั้นก็หายไปจากระยะสายตาเสียแล้ว หญิงสาวรีบเอี้ยวตัวหันไปมองหาคนคนนั้นในทันที ร่างที่ยืนอยู่ตรงนั้นคือสมิงร่างใหญ่ นัยน์ตาสีแดงเพลิงมองอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งรถหรูขับผ่านไปจนลับตา

“มีอะไรเหรอลูก” คนเป็นพ่อเอ่ยถาม

“...” มันตราเม้มริมฝีปากแน่นเหมือนกับมีเรื่องอยากจะบอก

“หนู...ขออยู่ต่อ...ได้มั้ยคะ...” เอ่ยอย่างลังเล ดวงตากลมมองสบตาผู้เป็นพ่อผ่านกระจกมองหลัง

“อะไรนะ??!!” คนเป็นแม่โวยวายขึ้นในทันที เธอเอี้ยวตัวไปมองหน้าลูกสาวที่ก้มหน้านิ่ง

“อะไรกันมันตรา! เราอยู่เป็นอาทิตย์แล้ว คุณพ่อก็หยุดงานนานกว่านี้ไม่ได้แล้ว” แม่มาลัยบ่นออกมาเสียงดัง

“หนูอยู่ที่นี่คนเดียวก็ได้นะคะ ทุกคนกลับกันไปก่อน ยังไงที่นี่ก็บ้านของคุณยายอยู่แล้ว...” มันตราตอบ

“หนูจะอยู่รบกวนคุณยายทำไมล่ะ!” แม่เริ่มเสียงดังขึ้น

“คุณ...เบาๆ หน่อยสิ” คุณพ่อปราม เพราะดูเหมือนคนเป็นแม่จะเสียงดังขึ้นมากแล้ว

“ทำไมหนูถึงอยากอยู่ที่นี่ล่ะลูก” คุณพ่อถามหาเหตุผล

“...หนู...ชอบที่นี่น่ะค่ะ...อีกอย่าง ก็อยากอยู่กับยายด้วย”

“อยากอยู่กับยาย? หนูก็ไปๆ มาๆ อยู่แล้ว บ้านเราอยู่ที่นู่น จะมาอยู่รบกวนยายทำไม” คุณแม่พูดแทรก

“หนูไม่ได้รบกวนนะคะ หนูก็พอช่วยการช่วยงานยายได้” หญิงสาวเริ่มขึ้นเสียง

“มันตรา!” คนเป็นแม่ตะคอกแรงอย่างหมดความอดทน 

ร่างบางถึงกับสะดุ้งและนั่งเงียบ นัยน์ตาคู่เดิมของคุณพ่อจ้องผ่านกระจกมองหลังมายังลูกสาวที่นั่งหงอเหมือนสำนึกผิด นับว่านี่เป็นครั้งแรกเลยที่เธอขึ้นเสียงกับแม่ พ่อคิดว่าสถานการณ์เริ่มไม่ดีแล้วจึงพูดด้วยเหตุผลอีกครั้ง

“คุณก็ใจเย็นๆ”

“คุณชอบตามใจลูกตลอด!” ฝ่ายแม่เถียงขึ้น

“ผมจะเป็นคนตัดสินใจเอง” พ่อตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสุภาพ เพราะไม่อยากให้เธอคิดว่าเขากำลังขึ้นเสียงกับเธออีกคน

“เอาที่คุณว่าก็แล้วกัน!” หล่อนว่าพร้อมใบหน้าบึ้งตึง 

พ่อถึงกับถอนหายใจ “มันตรา พ่อรู้ว่าหนูอยากอยู่กับคุณยาย แต่ว่ามันจะไม่ลำบากทั้งตัวหนูและคุณยายจริงๆ เหรอ เวลาที่หนูจะออกไปไหนมาไหน หนูจะไปยังไง” 

“...” 

หญิงสาวคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “หนู...เดินเอาก็ได้ค่ะ ไม่ก็...ขอให้น้าสาวไปส่งก็ได้” มันตราตอบ แม้เหตุผลนั้นจะฟังดูแปลกๆ ก็ตาม

“แล้วถ้าน้าสาวไม่ว่างล่ะ”

“...”

มันตรานั่งเงียบ เธอหาคำตอบมาตอบพ่อของเธอไม่ได้ ด้วยเพราะบ้านของยายอยู่ในซอยที่ค่อนข้างลึก อีกทั้งรอบๆ ก็ไม่มีร้านสะดวกซื้อเลย จะต้องขับรถมายังตัวอำเภอถึงจะมีร้านสะดวกซื้อและตลาดใหญ่

“อีกอย่าง บ้านของยายเองก็ไม่ได้รั้วรอบขอบชิด ใครจะเดินเข้าเดินออกก็ได้ พ่อคิดว่ามันอันตราย” คนเป็นพ่อบอกด้วยเหตุและผล นั่นคือสิ่งที่เขาคิดว่าสำคัญที่สุดสำหรับลูกสาวของเขาแล้ว 

มันตรายังคงเงียบอยู่อย่างนั้น ใบหน้าหวานหันออกด้านนอก นิ้วเรียวปาดน้ำตาน้อยๆ นั่นเองทำเอาดวงใจของพ่อแทบแตกสลาย เพียงแต่เขาก็ทำได้แค่ค่อยๆ ขับรถไปเท่านั้น 

รถหรูขับออกมาจนถึงปากซอยเล็ก เบื้องหน้าของพวกเขาคือถนนใหญ่ เพียงแค่เลี้ยวขวาแล้วขับตามทางไปไม่กี่ชั่วโมง พวกเขาก็จะถึงเชียงใหม่โดยสวัสดิภาพ แต่คนเป็นพ่อกลับขับเลี้ยวไปทางซ้ายเพื่อมุ่งหน้าเข้าไปยังตัวอำเภอ

“อ่าวคุณ นี่มันไม่ใช่ทางกลับบ้านนะ คุณเลี้ยวผิดรึเปล่า” คนเป็นแม่ท้วงขึ้น

“ผมอยากแวะไปหาเพื่อนหน่อย” คนเป็นพ่อตอบ ดวงตาคู่เดิมมองผ่านกระจกมองหลัง เฝ้าดูลูกสาวคนเล็กของท่านอยู่แทบตลอดเวลา 

กินเวลากว่าครึ่งชั่วโมงรถคันงามจึงเข้าจอดยังลานจอดรถของตึกรูปทรงแปลกตา เบรกมือถูกชักขึ้นในทันที แต่รถเองยังติดเครื่องอยู่อย่างนั้น

“มันตรา มากับพ่อหน่อย” พ่อบอกระหว่างหันมาหา 

ลูกสาวคนเล็กพยักหน้าน้อยๆ สีหน้ายังคงดูเศร้าหมอง 

คนเป็นแม่ที่นั่งอยู่ที่เบาะหน้าถึงกับถอนหายใจ

“ค่ะคุณพ่อ...” มันตราตอบเสียงค่อย

ประตูรถยนต์ถูกปิดลง พ่อยืนรอเธออยู่แล้ว แขนใหญ่ข้างหนึ่งอ้าออกให้มันตราเดินเข้ามาซบ ลูกสาวเดินเข้ามาเกาะเขาอย่างว่าง่าย มืออุ่นของพ่อโอบลงที่บ่าเล็กพลางบีบเบาๆ

“ไม่เอาน่า ลูกสาวพ่อร้องไห้ที่งานศพไม่พออีกเหรอ หือ?” พ่อแซวด้วยน้ำเสียงที่เป็นกันเองมากขึ้น แล้วสองพ่อลูกก็ค่อยๆ เดินไปตามทางเดินเล็ก ก่อนจะเข้าไปในอาคารสีขาว สถานที่แห่งนี้ก็คือโชว์รูมรถยุโรปแห่งหนึ่ง แต่มันตราไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะสนใจอะไรอย่างอื่นอีกแล้ว

“สวัสดีค่ะ คุณผู้ชายสนใจดูรุ่นไหนเป็นพิเศษมั้ยคะ” หญิงสาวคนหนึ่งเดินมาสอบถาม 

นั่นเองที่ทำให้มันตราเงยหน้ามองหน้าหล่อน เข็มกลัดที่ติดอยู่ที่หน้าอกของพนักงานสาวบ่งบอกว่าเธอคือพนักงานขายของบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เป็นตัวแทนจำหน่ายรถยุโรปชื่อดังหลายยี่ห้อ มันตราแปลกใจมากขึ้น สาวเจ้ากวาดสายตาไปรอบๆ ก่อนจะมาหยุดที่พ่อของเธอ

“หมายความว่ายังไงคะ” หญิงสาวถามด้วยความสับสน 

คนเป็นพ่อถอนหายใจแล้วจึงตอบ “หนูคิดว่าพ่อจะให้หนูเดินออกมาซื้อของข้างนอกคนเดียว หรือซ้อนมอเตอร์ไซค์น้าสาวออกมาซื้อของที่ตัวอำเภอเหรอ” ชายที่โอบไหล่เธออธิบายพร้อมกับเผยรอยยิ้มที่แสนจะใจดี 

ดวงตากลมกะพริบถี่เหมือนกำลังประมวลผลตามคำพูดของพ่อ “คุณพ่อ... ให้หนูอยู่ต่อได้เหรอคะ” หญิงสาวเอ่ยพร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง สีหน้าของเธอสดใสขึ้นทันทีทันใด โผกอดคนเป็นพ่อแน่นไม่ยอมปล่อย มันตรากอดอยู่อย่างนั้นจนน้ำตาที่ซึมออกมาเพราะความดีใจเปียกเสื้อเชิ้ตขาวของพ่อเป็นวงคราบน้ำตา

“แต่ต้องตกลงกับพ่อสามข้อนี้ก่อนนะ” คุณพ่อเจรจาพร้อมกับยกมือขึ้นชูนิ้วสามนิ้ว

“หนึ่ง หนูจะต้องอยู่กับยายและดูแลท่านให้ดี ห้ามทำให้ท่านหนักใจเด็กขาด”

“สอง หนูต้องดูแลตัวเองดีๆ อย่าให้พ่อกับแม่เป็นห่วงหนูแบบนี้อีก” มือใหญ่ของพ่อบีบจมูกเล็กของมันตราอย่างมันเขี้ยว

“ส่วนข้อสามก็คือ...หนูรู้ใช่มั้ยว่าคุณแม่รักหนูมาก...นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ลูกขึ้นเสียงกับคุณแม่” คนเป็นพ่อมองใบหน้าสวยของลูกสาว 

เธอพยักหน้าตอบอย่างสำนึกผิด “หนูเสียใจที่ขึ้นเสียงแบบนั้นค่ะ” มันตราว่า

“ถ้าอย่างนั้นก็อย่าลืมไปขอโทษแม่ด้วยล่ะ ตกลงมั้ย” พ่อยื่นข้อเสนอข้อสุดท้าย

“ค่ะ คุณพ่อ” ริมฝีปากเล็กขยับยิ้มอย่างเข้าใจ

“เอาละ เลือกรถกันดีกว่า” คุณพ่อเอ่ยชวน ก่อนจะพาลูกสาวสุดที่รักไปเดินดูรอบๆ ร้าน แต่ด้วยราคาแล้วมันตราก็ต้องถึงกับคิดหนัก เพราะแต่ละมันแพงเหลือเกิน

“คุณพ่อ...เลือกให้หนูดีกว่าค่ะ” หญิงสาวว่า 

คนเป็นพ่อพยักหน้าตกลง เขาเดินไปหยิบโบรชัวร์ที่พนักงานยื่นให้มาเปิดดู ก่อนจะชี้เลือกคันที่เขาถูกใจแต่แรกอยู่แล้วให้หล่อนไป พ่อตัดสินใจออกรถคันนั้นให้มันตราในทันที

“อะไรกันคุณ นี่ถึงกับพามาซื้อรถเลยเหรอ” แม่ที่เดินตามเข้ามาทีหลังโวยขึ้น แต่ด้วยความที่เป็นคนหน้าบาง เสียงยามหันมาเหวี่ยงใส่พ่อนั้นจึงเป็นเสียงกระซิบที่เหมือนจะย้ำคำเพื่อให้อีกคนสำนึกเสียมากกว่า แต่ทำอะไรไม่ได้แล้ว เพราะคนเป็นพ่อได้สั่งรถคันหนึ่งให้มันตราไปแล้ว

“รถยุโรปเลยเหรอคะพ่อ!!” เสียงของพี่สาวคนโตไล่มาตามหลัง

พ่อขยับตัวป้องมันตราน้อยๆ เพื่อไม่ให้เธอถูกคุณแม่และพี่สาวต่อว่า

“ทีหนูทำไมได้รถเอเชียล่ะคะ” พี่สาวท้วงขึ้น

“ก็พ่อให้หนูเลือกแล้ว หนูก็เลือกคันนั้นเองนี่นา” พ่อตอบไปตามตรง

“ก็หนูไม่รู้ว่าเลือกรถยุโรปได้อ่า พ่อไม่ยุติธรรมเลย” พี่สาวเริ่มงอแง

คุณพ่อไหวไหล่ก่อนจะหันไปเจอกับคนรู้จักเข้าพอดี “อ้าวคุณสงวน” พ่อเอ่ยทัก

ชายวัยหกสิบในชุดสูทสีดำหันมาทางพ่อของมันตรา ก่อนจะเดินเข้ามาทักทาย “สวัสดีครับคุณวิษณุ ลมอะไรหอบมาถึงที่นี่ คุณวิษณุสบายดีมั้ย”

ทั้งคู่ทักทายกันอย่างสนิทสนม ก่อนคนเป็นพ่อจะแนะนำลูกสาวทั้งสองคนให้รู้จักกับคุณสงวน เพื่อนสนิทของเขาตั้งแต่สมัยยังจีบแม่ของพวกเธอใหม่ๆ หญิงสาวทั้งสองสวัสดีท่านอย่างมีมารยาท ส่วนแม่ของมันตราก็ต้องฝืนฉีกยิ้มให้เขา ทั้งๆ ที่ก็ยังงอนสามีของตัวเองที่จู่ๆ ก็ซื้อรถให้มันตรา ทั้งสองพูดคุยกันอยู่นาน ธุรกรรมต่างๆ ทำขึ้นอย่างไม่ต้องตรงตามขั้นตอนมากนัก ด้วยเพราะคุณพ่อของมันตราเป็นถึงนักธุรกิจใหญ่ เครดิตดี มิหนำซ้ำยังเป็นคนสนิทกับเจ้าของที่นี่อีกด้วย

เนื่องด้วยเวลามีค่อนข้างจำกัด พอทำธุรกรรมเสร็จแล้วก็ถึงเวลาจะต้องบอกลากันเสียที พนักงานสองสามคนเดินมาส่งลูกค้าชั้นยอดที่กำลังจะเดินทางกลับแล้ว ทั้งสี่คนเดินขึ้นรถไปก่อนที่จะกลับเข้าสู่บรรยากาศที่คึกคักมากกว่าตอนแรก ด้วยเพราะตัวพี่สาวงอแงกับพ่อจนท่านซื้อรถอีกคันให้เธอ สร้างความชอบใจให้เธอเป็นอย่างยิ่งจนยิ้มร่าทีเดียว แต่คนเป็นแม่ก็ยังคงกอดอกมองออกไปนอกหน้าต่างไม่พูดไม่จา 

รถเอสยูวีคันสวยขับออกมาจากโชว์รูมก่อนจะเลี้ยวกลับเข้าซอยเล็กข้างโรงเรียนเดิมเพื่อพามันตรากลับไปส่ง


ทางฝั่งของยายที่พอแยกจากลูกหลานแล้วก็นั่งเหงาอยู่บริเวณเติ๋นชั้นสอง แกมองทางเดินหน้าบ้านที่ตอนนี้พวกคนงานขนข้าวขนของที่ยืมมาจากวัดไปคืนจนแทบจะหมดแล้ว บริเวณบ้านเงียบลงถนัดตา หญิงชราถอนหายใจอยู่อย่างนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนคันเดิมจะขับเข้ามายังลานหน้าบ้านอีกครั้ง มือเล็กยกขึ้นขยี้ตาด้วยไม่เชื่อในสายตาตัวเอง แกลุกขึ้นเดินมาดูให้แน่ใจว่ารถคันนั้นเป็นรถของลูกเขยแกจริงหรือไม่

“ยายจ๋าาา!”

เมื่อรถจอดสนิท มันตรารีบเปิดประตูและวิ่งขึ้นไปบนเรือนไม้เก่าทันที ยายอ้าแขนรอรับอ้อมกอดของหลานสาวสุดรัก ทั้งคู่กอดกันเหมือนไม่ได้เจอกันมานานมาก ทั้งที่เพิ่งจากกันไปเมื่อครู่นี่เอง

“แกยังไม่อยากกลับน่ะครับ” คุณพ่อเดินขึ้นเรือนมาบอก

“ละแม่มันเหลาะ” (แล้วแม่ของแกล่ะ) ยายเอ่ยถาม ด้วยรู้ว่าลูกสาวของแกต้องไม่พอใจกับเรื่องนี้แน่ๆ 

คุณพ่อเองทำได้เพียงแค่หันไปมองคนเป็นแม่ที่ยืนกอดอกไม่พูดไม่จารออยู่ที่ข้างล่างเรือน

“ไปง้อแม่เค้าหน่อยปะมันตรา” คนเป็นพ่อเสนอ

“มันตึงยะตั๋วอย่างกับละอ่อนนี่หนา แม่ตั๋วหนะ” (นางน่ะชอบทำตัวเป็นเด็กแบบนี้แหละ แม่หนูน่ะ) ยายว่าพลางตบๆ แผ่นหลังเล็กเบาๆ เชิงเร่งให้เธอไปง้อแม่ จะได้หายงอนกันเสียที 

มันตราเองก็เห็นด้วยกับทั้งคุณพ่อและยาย จึงเดินลงกระไดเพื่อมาหาแม่ แน่นอนว่าคุณมาลัยจะต้องงอนไปให้ถึงที่สุดเสียก่อน ไม่อย่างนั้นคงเสียฟอร์มแย่ จึงหันหลังหนี ไม่ยอมแม้แต่จะมองหน้าลูกสาวสุดที่รัก

“แม่คะ...หนูขอโทษค่ะ...” มันตราบอก มือเล็กขยับไปจับชายเสื้อตัวสวยของแม่เบาๆ เหมือนกับเด็กน้อยที่กำลังสำนึกผิด แน่นอนว่าจริงๆ แล้วแม่ของเธอเริ่มใจอ่อนตั้งแต่ลูกสาวเดินลงมาแล้ว แต่ยังคงฟอร์มจัดอยู่

“ขอโทษทำไม” ตอบเสียงแข็งกลับมา

“...” มันตรายิ่งรู้สึกผิดเข้าไปใหญ่

“ขอโทษที่...ขึ้นเสียงใส่คุณแม่ค่ะ...แล้วก็เถียงคุณแม่ว่าอยากอยู่ที่นี่...” หญิงสาวบอกเสียงเบา เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องตอบออกไปแบบไหน คุณแม่ถึงจะหายโกรธเสียที

“หนูน่ะรักยายมากอยู่แล้วนี่ แม่มันก็...แค่แม่ละมั้ง” เอ่ยเสียงเชิงน้อยใจออกมา 

หญิงสาวรีบส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่ใช่แบบนั้นนะคะ หนูรักยาย แล้วหนูก็รักคุณแม่ด้วย ทั้งคู่สำคัญกับหนูจริงๆ...” เสียงมันตราสั่นเครือ 

คุณนายมาลัยเริ่มหวั่นไหว น้ำตาคลออยู่ที่เบ้าตาเสียแล้ว แกเชิดหน้าขึ้นเชิงเพื่อกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา เดี๋ยวจะเสียฟอร์มไปหมด “หึ! ถ้าเป็นอย่างงั้นจริงๆ ละก็ แม่จะคอยดู...” คนเป็นแม่ตีหน้าบึ้งตึง

“คอยดูเถอะ ถ้าหนูไม่โทร. หาแม่ทุกวันเราได้เห็นดีกันแน่ๆ” คุณนายมาลัยพูดออกมาอย่างใจอ่อน แต่ประโยคก่อนหน้านั้นทำเอาลูกสาวน้ำตาร่วงเผาะออกมาเสียแล้ว มันตราร้องไห้โฮกอดคุณแม่ขี้แกล้งของเธออยู่อย่างนั้น ดูแล้ววันนี้จะเป็นวันที่เธอร้องไห้หนักมากจริงๆ ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงต้องใช้เวลาอีก 15-20 นาทีในการปลอบมันตราให้หยุดร้อง แล้วรถเอสยูวีคันหรูถึงจะได้กลับออกไป

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น