เด็กชายตัวป้อมที่กำลังคลานเล่นของเล่นอยู่กับพื้นคือจุดสะกดสายตาของหนุ่มใหญ่อย่างเอกอานนท์ ในขณะที่ตามองหลานชายในหัวของเอกชัยก็กำลังใคร่ครวญถึงเรื่องราวต่างๆ ไปพร้อมๆ กัน ภาพของปีย์วราที่ร้องไห้ฟูมฟายเสียใจเมื่อเช้านี้มันซ้อนทับอยู่ในสมองไม่ได้ต่างไปจากเมื่อสองปีที่แล้วเลยสักนิด ภาพในอดีตยังติดอยู่ในตา เลือดสีแดงฉานที่ไหลนองไปทั่วพื้นห้องน้ำ ถ้าวันนั้นเขาไม่กลับบ้านมาเร็วกว่าแกติ ป่านนี้เด็กชายตัวอ้วนกลมที่กำลังคลานอยู่ที่พื้นก็อาจจะไม่ได้เกิดมา
เขาเป็นพี่เขยของของปีย์วรา และถือว่าหญิงสาวคือคนในครอบครัวเดียวกันตั้งแต่นาทีที่เขาแต่งงานกับดวงหทัยหรือก่อนหน้านั้นด้วยซ้ำไป แต่ตอนนี้เขากลับดูแลช่วยเหลือปีย์วราไม่ได้สักนิด เหมือนเวลาหมุนย้อนกลับไปเมื่อสองปีก่อนนั้นก็ไม่ปาน
แล้วจะปล่อยให้มันเป็นไปแบบนี้หรือ เอกชัยเฝ้าถามตนเอง เขาจะทนเห็นน้องเมียต้องระทมทุกข์อยู่แบบนี้หรือ ทั้งๆ ที่เรื่องราวทั้งหมดเขาสามารถแก้ไขมันได้ พอคิดได้เช่นนี้คิ้วก็ยิ่งขมวดเข้าหากัน สีหน้าเคร่งเครียดยิ่งกว่าเดิมนัก
ไม่! เขาจะไม่ปล่อยให้ปีย์วราทนทุกข์อยู่แบบนี้อีกต่อไปแล้ว และน้องพัฟจะต้องมีพ่อ และต้องเป็นพ่อแท้ๆ ด้วย ถ้าครั้งนั้นเขากล้าที่จะออกหน้าแก้ไขปัญหาทุกอย่างให้กระจ่างทันเวลา เรื่องราวอาจจะไม่เป็นอย่างเช่นทุกวันนี้
เขาจะต้องทำมันให้ถูกต้อง และเร็วที่สุดด้วย!
การจะเป็นนักบินขับไล่นั้นไม่ใช่เป็นกันได้ง่ายๆ เมื่อจบจากโรงเรียนเตรียมทหารเหล่า ทอ. และไปต่อที่โรงเรียนนายเรืออากาศ เมื่อจบก็สอบคัดเลือกเข้าเรียนที่โรงเรียนการบินกำแพงแสน ซึ่งเป็นแหล่งผลิตนักบินของกองทัพอากาศ นักบินทุกคนที่สังกัดกองทัพอากาศ จะต้องจบมาจากที่นี่ เมื่อเรียนจบหลักสูตรก็ต้องแยกย้ายไปเรียนรู้เกี่ยวกับเครื่องบินแต่ละแบบ ตามลำดับคะแนนและแบบเครื่องบิน เช่น แบบเครื่องบินลำเลียง แบบเครื่องบินปีกหมุน และแบบเครื่องบินขับไล่ เหล่านักบินมีมากมายหลายแบบ แต่ถ้าจะเป็นนักบินขับไล่ ทุกคนจะต้องผ่านการอบรมที่ฝูงบิน 401 กองบิน 4 ตาคลี จ.นครสวรรค์ เพื่อทำการบินกับเครื่องขับไล่ฝึก แบบ 1 (บข.ฝ.1) L-39 ฝูงบินนี้เป็นฝูงบิน ที่เรียกกันว่า ฝูง Fighter Lead In ผู้ที่จะทำการบินกับเครื่องบินขับไล่แบบต่าง ๆ ที่กองทัพอากาศมีอยู่ เช่น F-16 F-5 หรืออนาคต Jas-39ไ ด้ต้องผ่านการปูพื้นฐาน เพื่อให้ทุกคนมีความเข้าใจในการเป็นนักบินขับไล่ จากฝูงบินนี้
ในยามปรกติ (Peace Time) ชีวิตนักบินที่ฝูงบิน xxx กองบิน x จะเริ่มตั้งแต่เช้าตรู่ ทุกคนต้องพักผ่อนเต็มที่มาอย่างน้อย 12 ชั่วโมงก่อนทำการบิน แอลกอฮอล์ไม่ว่ายี่ห้อดังเพียงไหนดีกรีอ่อนเพียงใดถือเป็นเรื่องต้องห้าม ด้วยเหตุผลของหน้าที่และความรับผิดชอบเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง
เจ็ดนาฬิกา พวกเขาจะรวมกันที่ห้องบรีฟ (Brief Room) เพื่อรับทราบสถานะเครื่องพร้อมรบ สถานะอาวุธ ตารางบินประจำวัน รายงานสภาพอากาศ ข่าวสารกองบิน ฯลฯ
นักบินที่มีภารกิจจะต้องทำการบินในช่วงเช้าจะแยกไปบรีฟอีกห้องหนึ่ง เพื่อลงรายละเอียดตั้งแต่จัดลำดับแท็กซี่ ลำดับการทะยานขึ้นไปในอากาศ จัดหมู่บิน น่านฟ้าที่ใช้ฝึก ฯลฯ จากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนเตรียมตัวออกปฏิบัติการหรือ “Step” ในขั้นนี้นักบินจะเปลี่ยนไปใส่ชุดจีสูท เดินทางไปที่โรงเก็บเครื่องบิน แท็กซี่เครื่องสู่รันเวย์แล้วทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เมื่อจบภารกิจจะกลับลงมา De-Brief ทบทวนการฝึกร่วมกัน กระบวนการนี้จะเริ่มอีกครั้งในช่วงบ่ายถึงเย็น เพื่อทบทวนทักษะและรักษาสภาพนักบินพร้อมรบ
หนึ่งเที่ยวบินจะใช้เวลาบนภาคพื้นดินและท้องฟ้าทั้งหมดห้าชั่วโมง เฉลี่ยเป็นชั่วโมงบนภาคพื้นดินสามชั่วโมง อยู่บนท้องฟ้าสองชั่วโมง แต่ละเดือนนักบินจะต้องฝึกกับเครื่องจำลองการบิน (Simulator) อย่างน้อย หกเที่ยวบิน ไม่นับการฝึกบินจริงประจำวันที่ผ่านการวางแผนแล้วว่าจะทำให้เขาดำรงสภาพพร้อมรบได้มากที่สุดเมื่อไปประจำการตามกองบิน ความท้าทายที่รออยู่คือช่วงฝึก “นักบินพร้อมรบ” (Combat Ready) ใช้เวลาราวหนึ่งร้อย ชั่วโมงที่จะทำให้พวกเขาต่างจากนักบินพาณิชย์ ด้วยเป้าประสงค์นั้นไม่ใช่แค่นำเครื่องไปให้ถึงจุดหมายหรือบินด้วยท่าที่สวยงาม หากเป็นการฝึกเพื่อรู้จักเขี้ยวเล็บของตัวเองเพื่อใช้ให้เต็มประสิทธิภาพการรบซึ่งตัดสินแพ้ชนะในเวลา “เสี้ยววินาที” บนท้องฟ้า
ผู้ที่จะทำการบินกับ F-16 นอกจากฝีมือดีแล้วยังต้องมีชั่วโมงบินสูง ประวัติการบินดีเยี่ยม ผ่านการบินกับเครื่องบินขับไล่สมรรถนะรองลงมา อาทิ F-5 มาแล้วหลายร้อยชั่วโมง[1]
“จะไปไหนหรือไง เอารถมาขับเองแบบนี้” เอกอานนท์ที่เดินตามปวิมออกมาจากห้องบรีฟ ถามอย่างแปลกใจเมื่อวันนี้เห็นชายหนุ่มนำรถยนต์ส่วนตัวออกมาใช้งานหลังจากที่จอดทิ้งให้ฝุ่นจับอยู่นมนาน ปกติปวิมมักจะอาศัยนั่งรถ ไปกับเพื่อนๆ โดยให้เหตุผลว่าไม่ชอบขับรถยนต์ แต่ก็ไม่สามารถกลับไปขับรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่เครื่องแรงแบบที่ชอบได้เหมือนก่อน เพราะเคยเกิดอุบัติเหตุมอเตอร์ไซค์พลิกคว่ำ ทางบ้านเลยออกคำสั่งห้ามอย่างเด็ดขาด
“ไปธุระ” ปวิมตอบกลับไปสั้นๆ ก่อนจะก้าวเข้าไปนั่งในรถยุโรปราคาแพงที่ทางบ้านจัดหามาให้แทนมอเตอร์ไซค์คันเก่งที่ปัจจุบันไม่รู้ว่าซากไปอยู่ที่ไหน
“ไปไหน” เอกอานนท์เดินเข้ามาประชิดตัวรถ
“มึงไม่ได้เป็นเมียกู อย่ามาถามจุกจิกน่าไอ้นนท์”
“มึงไม่อยู่ช่วยกูคิดแผนง้อน้องบีหน่อยหรือไง กูจนแต้ม คิดไม่ออกเลยว่ะ”
“มึงก็โทร.ไปขอโทษเขาซะ”
“เขาไม่รับสาย” เอกอานนท์ตอบกลับเสียงเบา
“ส่งข้อความ”
“เขาไม่อ่าน”
ปวิมถอนใจ เรื่องเขาเองก็ทำเอาหัวตันทึบ คิดอะไรไม่ออก แล้วนี่ต้องมาช่วยเอกอานนท์แก้ปัญญาหารักคุดอีกหรือ “ทางสุดท้าย ไปขอโทษเขาซะ”
“ไม่กล้าว่ะ” เอกอานนท์สารภาพออกไปตามตรง “ให้กูบินผ่านแดนข้าศึกยังง่ายกว่า”
“งั้นก็จนใจ เพราะกูก็คิดอะไรไม่ออกเหมือนกัน” ปวิมขยับเข้าไปนั่งภายในรถ พร้อมกับกดปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ที่แม้เสียงจะนุ่มแต่แรงม้าสูง
“ไปหาน้องปีย์ใช่ไหม”
ปวิมนิ่งไปก่อนจะพยักหน้ารับด้วยสีหน้าติดจะกังวลเมื่อเพื่อนเดาได้ถูกต้อง “อยากรู้ว่าเด็กที่มึงพูดถึงเป็น...ลูกกูหรือเปล่า”
เอกอานนท์พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ “กูว่าอาจมีการเข้าใจผิดกัน ไปพูดจากันเสียก็ดี”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับ “ใช่ เขาจะหนีไม่ยอมเจอหน้ากู ให้คนอื่นมาออกรับเหมือนครั้งก่อนไม่ได้แล้ว ถ้าเด็กคนนั้นเป็นลูกของกูจริงๆ”
“อืม...จะได้ไม่คาใจ ส่วนกูถ้ากล้าพอก็จะลองไปขอโทษน้องบี ไม่รู้เขาจะให้อภัยกูไหม” เอกอานนท์ก้าวถอยออกมาจากตัวรถของปวิมด้วยสีหน้าหนักใจพร้อมกับมองตามรถยุโรปมียี่ห้อแล่นออกไปจนลับสายตา แม้ปากจะบอกว่าอยากไปขอโทษ แต่ใจก็ยังเกรงๆ การที่ถูกคนที่ตัวเองรักปฏิเสธมันเจ็บน้อยเสียเมื่อไรกัน
รถคันหรูมาจอดนิ่งสนิทอยู่ในลานจอดรถเป็นเวลาพักใหญ่แล้ว แต่เจ้าของรถไม่มีทีท่าว่าจะก้าวลงไปจากรถแต่อย่างใด ปวิมเอนกายไปกับเบาะหนังเนื้อนิ่มพร้อมกับหลับตาลง นึกถึงห้วงเวลาหวานชื่นที่ผ่านมาเนิ่นนานเกือบสองปี...
เขามีประชุมติดพันกว่าจะเสร็จสิ้นการประชุมเวลาก็ล่วงไปเกือบสองทุ่ม แต่ใจของเขาล่องลอยไปอยู่กับปีย์วราตั้งแต่หัวค่ำแล้วตามเวลาที่เคยนัดหมายกันเอาไว้ ก่อนจะต้องยกเลิกไปในนาทีสุดท้าย วันนี้ปีย์วรามีงานแนะนำสินค้าที่ผับในโรงแรมใหญ่ชื่อดังในตัวจังหวัด เขาตั้งใจจะไปเฝ้าหญิงสาวระหว่างที่อีกฝ่ายทำงานเหมือนเช่นทุกครั้ง พร้อมทั้งคอยกันท่าพวกเหลือบไรที่คอยหาโอกาสจีบหญิงสาวด้วย แต่การประชุมด่วนที่เกิดขึ้นวันนี้ทำเอาแผนทุกอย่างพังไปไม่เป็นกระบวน
แต่ก็เป็นการดี เพราะเขาจะไปเซอร์ไพรส์โดยที่ไม่บอกให้ปีย์วรารู้ตัวก่อนล่วงหน้า อย่ารู้ว่าหญิงสาวจะดีใจขนาดไหน แค่คิดถึงตรงนี้รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากหนา นึกถึงใบหน้าที่จะแสดงความยินดี และรอยยิ้มหวานๆ ที่เขาจะได้รับในค่ำคืนนี้ ชายหนุ่มหยิบเสื้อผ้าที่เตรียมไว้สำรองเสมอภายในตู้ส่วนตัวออกมาผลัดเปลี่ยน ก่อนจะควบมอเตอร์ไซค์คู่ใจไปยังสถานที่ซึ่งผู้หญิงที่เขารักปานดวงใจทำงานอยู่
“ห้าแสนค่ะ หากเสี่ยอยากจะนอนกับน้องสาวของหทัย”
เพราะเสียงนี้ เลยทำให้ร่างสูงที่กำลังจะก้าวไปยังห้องน้ำต้องหยุดฟัง
“ห้าแสนไม่แพงไปหน่อยหรือไงอาหทัย แค่นอนกับเสี่ยคืนเดียวเอง”
“เสี่ยขา น้องสาวหทัยมันยังสาว ยังสดนะคะ ถ้าเสี่ยอยากได้ถูกๆ เสี่ยก็ไปจีบสาวเสิร์ฟในร้านละกัน”
“ขอเสี่ยคิดก่อนได้ไหม เงินมันไม่ใช่น้อยๆ นา”
“คนระดับเสี่ยกวง มีผู้หญิงล้อมหน้าล้อมหลังตั้งมากมาย จะมาสนใจอะไรกับน้องสาวของหทัยคะ”
แววตาของปวิมวาวโรจน์แทบลุกเป็นไฟขึ้นมาทันที เมื่อเห็นไอ้เสี่ยรูปร่างเตี้ยล่ำมีพุงพลุ้ยมองไปยังจุดที่ปีย์วรายืนอยู่ ก่อนที่สายตาคมจะหันกลับมาจับจ้องมองพี่สาวคนสวยของปีย์วรา เธอคนนี้แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ชอบขี้หน้าเขา ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยไปทำอะไรให้เลยสักนิด
“ก็สวยหวานขนาดนั้น ได้สักคืนเสี่ยคงเหมือนขึ้นสวรรค์”
“เดี๋ยวมึงได้ขึ้นสวรรค์แน่ ไอ้เสี่ย...” ปวิมพึมพำขบกรามแน่น แต่สิ่งที่ปวิมไม่คิดว่าจะได้ยินคือประโยคที่เพิ่งออกมาจากปากพี่สาวของคนรักเขาต่างหาก
“ห้าแสนเองค่ะเสี่ยขา ต่ำกว่านี้น้องสาวหทัยมันไม่สนใจหรอก เสี่ยรู้ไหมคราวก่อนพ่อเลี้ยงตะวันที่ทำฟาร์มวัวอยู่ปากช่องแค่ออกไปกินข้าวด้วยกันมื้อเดียว ยังให้ค่าเสียเวลาน้องสาวของหทัยตั้ง 3 แสน 3 แสนแบบไม่มีอิดออดเลยนะคะ แถมยังซื้อกระเป๋าซื้อเสื้อผ้ามาให้อีกกองใหญ่ 5 แสนที่หทัยเรียกเนี่ยไม่รู้ว่าน้องสาวหทัยจะยอมไหม...”
“เสี่ยก็ไม่มีเงินสดขนาดนั้นด้วย เฮ้อ...อาหทัยมีคนอื่นๆ ที่พอต่อรองกันได้อยากจะแนะนำให้เสี่ยไหม สักห้าหมื่นแสนหนึ่ง”
ดวงหทัยนิ่งไปสักครู่ ก่อนจะพยักหน้ารับ “มีน่ะมีอยู่หรอกค่ะเสี่ย งั้นเดี๋ยวหทัยให้น้องๆ มาคุยกับเสี่ยเองละกันนะ รออยู่ตรงนี้นะคะ”
ดวงหทัยเดินไปสมทบกับสาวๆ พริตตี้ที่แนะนำสินค้าอยู่ที่เคาน์เตอร์เครื่องดื่ม เดินเข้าไปกระซิบกระซาบกับหญิงสาวหน้าตาดีคนหนึ่งที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากจุดที่ปีย์วรายืนอยู่ หญิงสาวคนนั้นมองมาตามจุดที่ดวงหทัยชี้นำ ก่อนจะจะเดินออกมาหาไอ้เสี่ยบ้ากาม
ความคลางแคลงใจจากสิ่งที่ได้ยินมาย่อมเกิดขึ้นแก่ปวิมแน่นอน ปีย์วราเองก็มีของใช้หลายอย่างเป็นของแบรนด์เนมซึ่งขัดแย้งกับคำบอกเล่าของหญิงสาวว่าที่บ้านฐานะไม่ดี ที่มาทำงานพริตตี้ก็เพราะพี่สาวขอร้องให้มาช่วยงานช่วงขาดคนและหาเงินไปจ่ายค่าเทอม และของเหล่านั้นหญิงสาวก็บอกว่าเป็นของพี่สาว พี่สาวให้ยืมมาใช้เท่านั้น
ชายหนุ่มขยับตัวจากจุดที่ยืนหลบอยู่ ตั้งใจจะเดินไปหาปีย์วราและหาโอกาสพูดคุยถึงสิ่งที่เขาได้ยินมา ว่ามันจริงเท็จประการใด แต่ยังไม่ทันที่เขาจะก้าวไปถึงตัวของหญิงสาว ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้าไปประกบปีย์วราเสียก่อน ทั้งคู่กระซิบกระซาบอะไรกันอยู่เพียงครู่ ก่อนจะเดินหลบหายออกไปด้วยกันโดยที่ปวิมตามไปไม่ทัน
เมื่อคลาดกัน ปวิมก็ขับมอเตอร์ไซค์คันเก่งไปหลบอยู่ที่หน้าบ้านของปีย์วราด้วยใจที่ร้อนรนราวกับตกอยู่ในขุมนรก เขากำลังโมโหแล้วก็หงุดหงิดมากเสียด้วยเพราะไม่รู้ว่าคนทั้งคู่หายไปไหน แม้จะเพียรโทรศัพท์ไปกี่สายต่อกี่สาย ปีย์วราก็ไม่ยอมรับโทรศัพท์จากเขาเหมือนเช่นทุกครั้ง
จากที่ร้อนรนเพราะไฟที่กำลังสุมอยู่ในทรวง แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายชั่วโมงปวิมก็เริ่มควบคุมอารมณ์ของตนเองเอาไว้ได้ เกือบตีสามของวันใหม่นั่นเองเขาถึงเห็นรถญี่ปุ่นรุ่นยอดนิยมแล่นเข้ามาจอดภายในบ้านของปีย์วรา ก่อนที่ผู้ชายคนเดิมที่เขาเห็นในผับจะวิ่งอ้อมรถมาเปิดประตูรถ และพยุงร่างบอบบางที่แม้จะเห็นไกลๆ ก็รู้ว่าคือคนรักของเขาไว้ในอ้อมกอด ก่อนจะพากันหายเข้าไปในบ้านของปีย์วรา
“กากี!” ปวิมเอ่ยถามรอดไรฟัน
ปวิมสบถหยาบคาย ความโมโหพุ่งทะยาน ใจนึกจะบุกเข้าไปในบ้านเพื่อกระชากหน้ากากของผู้หญิงหลายใจคนนั้นให้รู้ดำรู้แดงกันไป แต่ถ้าเข้าไปตอนนี้เขาอาจจะได้เป็นฆาตกรโทษฐานฆ่าคนตายแน่ๆ สุดท้ายเขาก็นั่งอยู่บนอานรถมอเตอร์ไซค์จวบจนกระทั่งรุ่งสาง ประตูบ้านของปีย์วราถึงเปิดออกมาอีกครั้ง ก่อนที่ผู้ชายคนเดิมกับที่หายเข้าไปทั้งคืนจะก้าวออกมาจากบ้านในเสื้อผ้าชุดใหม่เอี่ยม โดยมีปีย์วราซึ่งอยู่ในชุดนอนมีชุดคลุมทับอีกชั้นออกมายืนส่งผู้ชายคนดังกล่าวถึงหน้าประตูบ้าน
ไหนปีย์วราบอกกับเขาว่า บ้านหลังนี้มีเธอและพี่สาวอยู่กันแค่เพียง 2 คนเท่านั้น แล้วไอ้ผู้ชายคนนี้คือใคร!
เมื่อนึกถึงตรงนี้คิ้วเข้มหนาก็ขมวดเข้าหากันแน่นจนรู้สึกปวดขมับ ความรู้สึกเจ็บในตอนนี้ไม่ได้เบาบางลงจากวันนั้นเลยสักนิด เด็กคนนั้นจะเป็นลูกของเขาได้อย่างไรกัน
ลมหายใจของความกลัดกลุ้มถูกระบายออกมาจากอก ปวิมตัดสินใจก้าวลงมาจากรถ
‘ในเมื่อยังคับข้องใจ ก็ต้องถามให้รู้กันไป’
ประตูห้องพักผู้ป่วยถูกเปิดออก หากบนเตียงกลับปราศจากร่างของคนป่วย ปวิมเดินเข้าไปภายในห้องดังกล่าวพร้อมทั้งใช้สายตามองหาหญิงสาวคนที่เขาหมายใจจะมาหา แต่หลังจากเดินไปทั่วห้องและเคาะประตูห้องน้ำดูแล้วไม่มีเสียงตอบรับ ชายหนุ่มก็เลยจำใจเดินออกไปถามพยาบาลที่เคาน์เตอร์ด้านหน้า
“คนป่วยห้องxxx ไปไหนครับ”
“คนไข้ไปทำเอ็กซเรย์ค่ะ อีกสักครึ่งชั่วโมงคงจะกลับมา”
“ทำไมครับ มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า”
น้ำเสียงร้อนใจของคนถามทำให้พยาบาลสาวถึงกับต้องรีบยิ้มปลอบใจอีกฝ่ายทันที
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ คุณหมอท่านอยากเอ็กซเรย์ให้มั่นใจก่อนที่คนไข้จะได้รับอนุญาตให้กลับบ้านเท่านั้นเองค่ะ เพราะว่าที่ศีรษะและลำตัวของคนไข้ยังมีรอยช้ำจากการกระแทกอยู่”
ความกังวลที่เกิดขึ้นในใจเบาบางลงแทบจะทันทีเมื่อได้ฟังในสิ่งที่พยาบาลพูดจบ ปวิมพยักหน้ารับ “ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มเอ่ยบอก เตรียมพร้อมจะหมุนตัวเดินกลับไปรอปีย์วราที่ห้องพักผู้ป่วยอย่างที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก แต่ก็ชะงักอยู่พียงแค่เคาน์เตอร์พยาบาลเท่านั้น เมื่อสายตาตวัดไปเห็นผู้ชายที่กำลังเดินเข้ามาใกล้เขาพร้อมกับเด็กชายที่อยู่ในอ้อมแขน
เมื่อครั้งที่ได้เจอกันหนก่อนเขาแทบจะไม่ได้เหลือบสายตามองเด็กคนนี้เลย แต่ครั้งนี้ปวิมถึงกับละสายตาจากใบหน้ากลมๆ พวงแก้มสุกปลั่งสีชมพู และแววตาใคร่รู้ที่จ้องมองตรงมาที่เขาเช่นกันไม่ได้เลย ชายหนุ่มยืนนิ่ง สีหน้าเรียบสนิทเมื่อละสายตาจากเด็กชายรูปร่างอวบอ้วนมายังผู้ที่อุ้มเด็กชายคนดังกล่าวอยู่
เขาจำได้ไม่เคยลืม ว่าชายคนนี้คือคนที่เดินโอบประคับประคองปีย์วรา และหายเข้าไปภายในบ้านของหญิงสาวด้วยกันทั้งคืน และกลับออกมาอีกครั้งในตอนเช้าตรู่ โดยที่ปีย์วรานั่นแหละเป็นคนเดินออกมาส่งผู้ชายคนนี้ด้วยตัวเองทั้งๆ ที่อยู่ในชุดนอน แล้วแบบนี้จะให้เขาคิดเป็นอื่นได้อย่างไรกัน แถมสิ่งที่เขาได้ยินมาจากปากพี่สาวแท้ๆ ของปีย์วราอีกเล่า
ปวิมเตรียมเดินผละไปเพราะคิดว่าเขาคงไม่มีอะไรอยากจะพูดกับผู้ชายคนนี้ แม้ผู้ชายคนนี้จะมีส่วนที่ทำให้เขาและปีย์วราต้องเลิกลากันไปก็ตาม
“เดี๋ยวครับผู้กอง”
ร่างสูงชะงัก แต่ไม่ได้หันกลับไปตามเสียงที่เรียกรั้งเขาไว้ ความรู้สึกเคืองแค้นเมื่อ 2 ปีก่อนกรุ่นขึ้นมาในใจอีกหน
“ผมคิดว่าเราสองคนมีเรื่องที่ต้องพูดกัน” เอกชัยเป็นฝ่ายเดินเข้าไปเผชิญหน้ากับปวิมเสียเอง เมื่ออีกฝ่ายยืนนิ่งไม่ขยับหรือหันมา
สายตาคมอ่อนแสงลงทันที เมื่อมือเล็กๆ ตวัดปัดแกว่งมาถูกที่แขนของเขา เหมือนเด็กชายพยายามจะให้เขาสนใจให้จงได้
“แต่ผมว่าเราไม่มีอะไรจะต้องคุยกัน” ปวิมก้าวเท้าเตรียมจะเดินต่อไป แต่เขาก็ไปไม่ได้ เพราะตอนนี้กำปั้นเล็กๆ นั้นคว้ากำชายแขนเสื้อของเขาเอาไว้แน่น
“ตาพัฟเป็นลูกชายของผู้กอง” เอกชัยพูดออกไปตามตรงแบบไม่มีอ้อมค้อม เรื่องนี้ควรได้รับการสะสางให้ถูกต้องเสียที หลังจากที่เขาเฝ้ารอคอยโอกาสนี้มาเนิ่นนาน
แต่คนที่ได้ยินถึงกับตะลึงงัน พูดอะไรแทบไม่ออก คิ้วหนาขมวดเข้าหากันบ่งบอกถึงอาการไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยินมา ก่อนเอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยความไม่มั่นใจ “คุณพูดใหม่อีกหนสิ ใครเป็นลูกของผม!”
“เด็กคนนี้ น้องพัฟแกเป็นลูกของคุณกับปีย์” เอกชัยมองไปรอบตัว ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่ควรมาคุยเรื่องส่วนตัว “เราไปคุยกันที่อื่นได้ไหมครับ เรื่องนี้ต้องอธิบายกันยาว”
ปวิมพยักหน้าออกไปแบบงงๆ คาดไม่ถึงกับสิ่งที่ได้รับรู้มา ชายหนุ่มเดินตามเอกชัยไปเรื่อยๆ ในขณะที่สายตาก็จับจ้องอยู่ที่เด็กชายซึ่งอยู่ในเป้อุ้มเด็ก เอกชัยพาปวิมออกมานั่งที่เก้าอี้ใต้ต้นไม้ใหญ่ซึ่งทางโรงพยาบาลจัดเอาไว้ให้เป็นสวนหย่อมสำหรับผู้ป่วยและญาติ
เอกชัยปลดเป้อุ้มเด็กออกจากลำตัว พร้อมกับวางกระเป๋าที่ใส่สัมภาระของน้องพัฟลงที่เก้าอี้
“ผู้กองคงเคยเห็นผมมาบ้างแล้ว ผมกลับมารับตำแหน่งที่กองซ่อมเครื่องยนต์พอดีกับที่ผู้กองกลับมาจากเมืองนอก”
ปวิมพยักหน้ารับ แต่สายตาไม่ได้ละไปจากเด็กชายตัวอ้วนกลมที่นั่งอยู่บนตักของเอกชัยเลยสักนิด แม้ว่าเขาจะเคยผ่านการทดสอบทางจิตวิทยาและการทดสอบทางกายภาพหลายอย่าง รวมถึงการฝึกหนักจากโรงเรียนนายเรืออากาศ หรือเป็นศิษย์การบินที่โรงเรียนการบินกำแพงแสน แต่ครั้งนั้นเขามีสติเต็มร้อย ไม่มีเรื่องของความรู้สึกเข้าไปเกี่ยวข้องเหมือนอย่างเช่นครั้งนี้ มันเทียบกันไม่ได้ มันเกินกว่าที่เขาจะรับได้เมื่ออยู่ๆ ก็ได้มารู้ว่าตนเองกลายเป็นพ่อของเด็กชายแก้มยุ้ยตัวอ้วนกลม จากผู้หญิงที่เลิกรากันไปแล้วร่วมสองปี
“ผมเป็นพี่เขยของปีย์”
“คุณเป็นพี่เขยของปีย์...” ปวิมถามซํ้าราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินด้วยอาการตกใจอย่างเห็นได้ชัด เงียบไปด้วยต้องใช้สมองครุ่นคิดอย่างหนัก
อาการนิ่งเงียบของปวิมกลับทำให้เอกชัยเป็นฝ่ายกังวลใจและรู้สึกไม่มั่นใจ เพราะเขากลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่เชื่อในสิ่งที่เขากำลังจะอธิบาย แต่ในที่สุดเอกชัยก็เลือกที่จะพูดต่อไป
“ผมพอจะรู้ว่าภรรยาผมพูดอะไรออกไปบ้าง แต่ผมมารู้เอาเมื่อตอนที่ผู้กองจะไปเมืองนอกแล้ว แถมปีย์เองก็เจ็บ... ต้องนอนโรงพยาบาลนานเกือบเดือน ทุกอย่างมันเลยคลาดกันไปหมด”
ความคิดเห็น |
---|