12

บทที่ 12


                “แล้วมันจริงไหม” เอกชัยเร่งเร้าเอาคำตอบ สองมือยึดต้นแขนของดวงหทัยไว้มั่นจนเจ้าของต้นแขนรู้สึกเจ็บจากแรงบีบรัด 

“แต่สิ่งที่ผมเห็นมันไม่ใช่อย่างที่คุณพูด” แม้ปากจะเอ่ยปฏิเสธสิ่งที่ได้ยิน แต่ใจก็เชื่อในสิ่งที่เอกชัยพูดไปแล้วมากกว่าครึ่ง

“ผมไม่รู้ว่าผู้กองเห็นอะไร ถ้าผู้กองไม่เชื่อ ผมสามารถนำทะเบียนสมรสของผมกับหทัยมาให้ผู้กองดูก็ได้ ผมกับหทัยจดทะเบียนกันเงียบๆ ก่อนเป็นปี แล้วถึงมาจัดงานเลี้ยงใหญ่เมื่อปีก่อนนี่เอง ผู้กองถามใครๆ ดูก็ได้”

ดวงตาคมหรี่มองผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงหน้าด้วยอาการชั่งใจ “มีอยู่คืนหนึ่งผมเห็นคุณไปรับปีย์ออกมาจากผับ แล้วก็หายไปด้วยเป็นนานสองนาน ผมตามพวกคุณไปไม่ทันเลยไปดักรอคุณกับปีย์อยู่หน้าบ้าน และผมก็เห็นว่าพวกคุณหายเข้าไปในบ้านนั้นกันทั้งคืนจนกระทั่งเช้าของอีกวัน”

เอกชัยนั่งคิดอยู่พักใหญ่ ก่อนจะพยักหน้ารับ “คงเป็นคืนที่แม่ของปีย์และหทัยเสีย เพราะมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่ผมไปรับปีย์ออกมาจากผับ” เอกชัยคาดเดา

“อะไรนะ!” ปวิมมองเอกชัยด้วยอาการตกตะลึง เขาลืมมารดาของปีย์วราไปเสียสนิท เพราะได้พบเจอกันแค่หนเดียวเมื่อครั้งที่หญิงสาวพาไปตามคำขอของเขา

“คืนนั้นแม่ของปีย์อาการทรุดหนัก ทางโรงพยาบาลติดต่อทั้งหทัยและปีย์ไม่ได้ เขาเลยโทร.ไปแจ้งกับผม ผมไปบอกหทัยแต่หทัยคุมงานคุมเด็กอยู่ เธอเลือกที่จะดูแลงานต่อแทนที่จะไปดูใจแม่ของเธอเอง ผมเลยไปกับปีย์แทน และคืนนั้นท่านก็จากไปอย่างสงบ คืนนั้นปีย์เสียใจหนักมากร้องไห้ไม่ยอมหยุด”

“แต่คุณก็ไม่ควรไปนอนค้างอ้างแรมที่บ้านหลังนั้น”

“ผู้กองคงไม่รู้ ผมอยู่ที่บ้านหลังนั้นมาสักพักแล้วครับ ถ้าผู้กองจะลองสังเกต บ้านหลังนั้นอยู่ในซอยที่เปลี่ยวเอาเรื่อง การที่ผู้หญิงหน้าตาดีอยู่ด้วยกันตามลำพังแบบนั้นมันอันตราย ผมห่วงหทัยเลยย้ายเข้าไปอยู่ด้วยหลังจากที่เราจดทะเบียนกันแล้ว”

“ผมไม่เคยรู้มาก่อน” ชายหนุ่มพูดแทบเป็นเสียงคราง

“เพียงเพราะสิ่งนี้หรือครับ ผู้กองถึงทิ้งปีย์ไป”

ปวิมส่ายหน้าไปมา สีหน้าซีดเผือดลงไปทุกทีๆ “ไม่ใช่ทั้งหมด ผมยอมรับว่าหลังจากที่เห็นแบบนั้น ผมทั้งโมโหทั้งโกรธคุณทั้งสองคนมาก มากจนแทบฆ่าคุณทั้งสองได้เลยทีเดียว ถ้าคุณเป็นผมคุณจะเข้าใจยามที่เห็นคนรักหายเข้าไปในบ้านกับผู้ชายที่ไหนไม่รู้ทั้งคืนก่อนจะจะออกมาด้วยกันอีกทีตอนรุ่งเช้า”

เอกชัยพยักหน้าเหมือนยอมรับ “พอผู้กองหายไป ปีย์พยายามติดต่อผู้กองทุกทาง แต่ผู้กองก็หลบหน้าเธอ”

“ผมทำใจที่จะพบกับปีย์ไม่ได้... ไม่ได้จริงๆ เพราะยังโมโหอยู่ ผมกลัวว่าผมจะผลั้งมือทำร้ายเธอเข้า แต่หลังจากที่ผมสงบสติอารมณ์ลงได้แล้ว ผมก็คิดได้และกลับไปหาปีย์อีกหนเพราะอยากจะถามปีย์ว่าเธอนอกใจผมจริงๆ เหมือนอย่างที่สองตาของผมเห็นในคืนนั้นไหม”

“แต่ปีย์ไม่เห็นเคยบอกว่าได้คุยกับผู้กอง”

“ผมไปจริง แต่ไม่ได้เจอปีย์ แต่เจอกับพี่สาวเธอ” ปวิมหยุดพูดก่อนจะสบตากับเอกชัยเหมือนกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง “คืนที่คุณหายไปกับปีย์ ก่อนหน้านั้นผมได้ยินพี่สาวของปีย์คุยกับผู้ชายคนหนึ่งในทำนองว่าปีย์มีค่าบริการหากต้องออกไปกับลูกค้า”

ดวงตาของเอกชัยเบิกกว้างขึ้นทันทีพร้อมกับส่ายหน้าไปมา “ไม่จริง หทัยไม่มีทางทำแบบนั้นแน่ๆ หทัยรักและห่วงปีย์มาก ทำตัวราวกับแม่เสียด้วยซ้ำไป”

“แต่ผมได้ยินมาแบบนั้น พอผมกลับไปหาปีย์อีกครั้งผมก็ได้เจอกับภรรยาของคุณ เธอบอกผมว่าปีย์มีผู้ชายคนใหม่แล้ว รวยกว่า ฐานะดีมากกว่าผม หน้าที่การงานก็ใหญ่โต ซึ่งตอนนั้นผมคิดว่าคือคุณ แถมเธอยังเรียกเงินจากผมด้วย บอกว่าถ้าอยากพบกับปีย์ให้เอาเงินไปให้เธอ 3 แสน... เธอบอกเป็นราคามาตรฐานปกติยามที่ปีย์วราออกไปกินข้าวกับใครๆ เหมือนกับที่ผมได้ยินมาไม่ผิด และไม่ว่าผมจะขอร้องอย่างไร เธอก็ไม่ยอมให้ผมพบปีย์ สุดท้ายผมเลยโอนเงินให้เธอ แต่ผมกลับไม่ได้เจอปีย์ ภรรยาคุณโทร.มาบอกผมว่าปีย์ไม่อยากพบผม จนอีกอาทิตย์หนึ่งผ่านไปปีย์ไปหาผมที่ที่พัก นาทีนั้นถ้าเป็นคุณ คุณจะยังอยากเจอหน้าปีย์อีกไหม แต่สำหรับผม...ว่าแม้แต่หน้าคนที่ผมรักมากที่สุดผมก็ไม่อยากจะเห็น”

                “ไม่จริง! ผู้กองโกหกผม หทัยเมียผมไม่มีทางพูดและทำแบบนั้นแน่ๆ หทัยบอกกับผมและปีย์แค่ว่าเธอพูดจาขับไล่ไสส่งผู้กองเพราะคิดว่าผู้กองเป็นพวกหนุ่มเจ้าสำอาง เที่ยวขับมอเตอร์ไซค์อวดสาวลอยไปวันๆ ไม่ทำงานทำการ และคิดจะมาเกาะปีย์กินก็เท่านั้น กว่าผมจะรู้ว่าผู้กองเป็นใครและยืนยันกับดวงหทัยว่าเธอเข้าใจผู้กองผิด เรื่องก็เกิดไปแล้ว มันสายไปแล้ว”

                “หลักฐานการโอนเงินคงไม่โกหกหรอกมั้ง ผมเองก็ชายชาติทหารเหมือนคุณ ผมไม่โกหกอะไรกับเรี่องพวกนี้หรอก อีกอย่าง วันนี้ผมไม่จำเป็นต้องมานั่งฟังคุณพูดแบบนี้ก็ได้ แต่ผมก็ทำ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเด็กคนนี้ ผมเกิดสงสัยว่าเด็กคนนี้คือลูกของผม”

                “ใช่ครับ น้องพัฟเป็นลูกของผู้กอง ปีย์ไม่เคยมีใครหรือเป็นอย่างที่ผู้กองได้ยินมาจากปากของคนอื่น ผมเอาเกียรติทั้งหมดที่มีเป็นประกัน และปีย์ก็...ไม่ได้ทำอะไรๆ แบบที่ภรรยาผมพูดเลยแม้แต่ครั้งเดียว เรื่องแบบนี้ผู้กองเป็นผู้ชายผู้กองคงทราบ เพราะเท่าที่ผมรู้ผู้กองคือคนแรก และยังคงเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวของปีย์”

                ปวิมพยักหน้ารับ “ความโกรธมันบังตาผมเสียมิด รักมากก็แค้นมาก แล้วถ้า...ถ้าผมจะขออุ้มแก” ชายหนุ่มหันมาถามอย่างเกรงๆ แต่มือเอื้อมออกไปลูบคลำมือและแขนของน้องพัฟไปแล้ว ซึ่งเอกชัยก็อุ้มส่งน้องพัฟให้แก่ปวิมแต่โดยดี

                ปวิมกระชับอ้อมกอดของตนเองแน่น รู้สึกถึงความเป็นเจ้าของ ความรู้สึกแรกที่ได้สัมผัสกับร่างอวบอ้วนของลูกชาย ทำเอาน้ำตาลูกผู้ชายอย่างเขายังแทบไหลรินออกมา มันตื้อในอกจนพูดไม่ออก ยิ่งน้องพัฟไม่มีท่าทีรังเกียจรังงอน ยินยอมพร้อมใจให้อุ้ม แถมยังส่งยิ้มพิมพ์ใจมาให้แก่เขาก็ทำเอาหัวอกคนที่รู้ดีว่าตนเองได้กลายเป็นพ่อคนแล้วตื้นตันจนพูดอะไรไม่ออก รู้สึกว่าลำคอมันตีบมันตันไปเสียหมด ปวิมค่อยๆ ดึงร่างเล็กๆ หากเต็มไม้เต็มมือมาสวมกอดเอาไว้แนบอก พร้อมทั้งพยายามกอดรัดเด็กชายเอาไว้ให้แนบแน่นที่สุดเท่าที่สามารถจะทำได้ เสมือนพยายามทดแทนห้วงเวลาที่เขาไม่เคยได้ดูแล ไม่เคยได้อุ้มชูเด็กชายมาก่อน

                “ลูกผม... ปีย์ลำบากมากไหมครับตอนเลี้ยงลูกผม”

                เอกชัยส่ายหน้าไปมา “น้องพัฟเป็นเด็กช่างรู้ แกคงรู้ว่าแม่เลี้ยงแกคนเดียว เลยเลี้ยงง่ายไม่ดื้อไม่ซนเท่าไหร่”

                ปวิมพูดอะไรไม่ออก ได้แต่จ้องมองและกอดรัดเด็กชายที่อยู่ในอ้อมแขน

                เอกชัยมองหน้าปวิม สีหน้ามีริ้วรอยเคร่งเครียด ในหัวของเขาตอนนี้มีแต่เรื่องของภรรยาที่เพิ่งได้ยินมาจากปากของปวิมบวกกับความหลังอันแสนเจ็บปวดของน้องเมีย “ผมจะพูดให้ผู้กองฟังทั้งหมด ผู้กองจะได้ไม่สงสัยอะไรอีก” หนุ่มใหญ่สูดลมหายใจเข้าปอดเหมือนเป็นการเรียกขวัญและกำลังใจให้ตนเองได้พูดในสิ่งที่ถูกต้องออกไป “ปีย์เสียใจมากตอนที่แม่เสีย ประจวบกับช่วงนั้นผู้กองมาหายหน้าไป ติดต่อไม่ได้ ไปหาก็ไม่ออกมาเจอ...” เอกชัยหยุดพูดอีกครั้งพร้อมกับหันมองไปทางอื่น “ปีย์เลยกรีดข้อมือตัวเอง”

                ปวิมกอดลูกชายเอาไว้แน่น สีหน้าแสดงความตกใจออกมาอย่างที่สุด อยู่ๆ ในหัวของชายหนุ่มก็ว่างเปล่า คิดและนึกคำพูดอะไรไม่ออก ทุกอย่างในหัวมันดับไปหมด

                “ผู้กองครับ ผู้กอง” เอกชัยเรียกปวิมเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนิ่งงันไปทันที

                “คุณ คุณว่าอะไรนะ ปีย์ทำอะไร” น้ำเสียงแห้งแหบตะกุกตะกักถามออกไป

                “ปีย์กรีดข้อมือตัวเอง เธอฆ่าตัวตายเพราะทนรับความสูญเสียที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กันสองทางไม่ได้ ดีว่าผมกลับมาบ้านเร็วกว่าปกติ ไม่อย่างนั้นเราคงไม่ได้เห็นปีย์หรือน้องพัฟเหมือนอย่างทุกวันนี้ ผมรีบพาปีย์ไปโรงพยาบาลและตอนนั้นนั่นแหละพวกเราทั้งหมดถึงรู้ว่าปีย์ท้อง ช่วงนั้นคงเป็นช่วงที่ยากลำบากที่สุดของปีย์เลยก็ว่าได้ในแง่การปรับตัวให้เข้ากับสังคมบ้านนอก ผู้กองคงเดาได้ใช่ไหมครับ ปีย์กลายเป็นหัวข้อการสนทนาของคนละแวกนี้ แต่ในเรื่องของจิตใจหลังจากที่ปีย์ฟื้นขึ้นมาปีย์ดูมีกำลังใจขึ้นแม้จะต้องใช้เวลาอยู่นาน แต่ก็ใช่ว่าปีย์จะผ่านมันไปได้ง่ายๆ เพราะปีย์ยังเรียนไม่จบ เธอต้องแบกหน้าไปเรียนทั้งๆ ที่หลายคนรู้ว่าเธอท้องอ่อนๆ ทุกคนตราหน้าว่าเธอท้องไม่มีพ่อ เหลวแหลกสารพัด หทัยเองก็ไม่ได้ช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นเท่าไหร่เพราะเธออายที่ปีย์ท้องโตขึ้นมาประจานตัวเอง ผมต้องไปกราบขอให้ผู้การท่านออกหน้า ไปพบอธิการบดีเพื่อขอความกรุณาให้ท่านเห็นแก่อนาคตของปีย์ เพราะปีย์เป็นเด็กที่เรียนดี ความประพฤติดีมาโดยตลอด สุดท้ายปีย์ก็เรียนจนจบแต่ไม่ได้ไปรับใบประกาศเหมือนเพื่อนคนอื่นเขาเพราะตอนนั้นท้องแก่ใกล้คลอดมากแล้ว ส่วนผมเคยอยากจะไปหาผู้กอง ไปถามว่าเพราะอะไรถึงทำกับเด็กผู้หญิงดีๆ คนหนึ่งได้ แต่พอเรารู้ว่าครอบครัวของผู้กองเป็นใครผมก็ไม่กล้า อีกทั้งภรรยาผมก็สารภาพว่าเธอพูดขับไล่ผู้กองจนผู้กองโมโหและทิ้งปีย์ไปอย่างที่เธอต้องการ พวกเราเลยพูดอะไรไม่ออก ปีย์เองก็คาดไม่ถึงว่าพี่สาวของเธอจะเป็นคนทำให้ผู้กองไปจากเธอ เพราะแบบนี้ทันทีที่ปีย์มีงานทำถึงย้ายออกมาอยู่ข้างนอกกับลูกสองคนเท่านั้น”

                เอกชัยหันกลับมาหาปวิมอีกครั้ง ยิ่งเห็นแววตาของชายหนุ่มที่ทอดมองไปยังน้องพัฟ เขาก็รู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาทันทีพร้อมคิดว่าตนเองได้ทำสิ่งที่ดีที่สุด ทดแทนสิ่งเลวร้ายที่ภรรยาเขาได้เคยทำลงไปแล้ว “แล้วผู้กองจะทำยังไงต่อไปครับ”

                “ผมก็จะชดเชยให้ปีย์ทั้งหมด สำหรับห้วงเวลาเลวร้ายที่เธอได้เจอมา” สีหน้าและดวงตาที่ฉายแววมุ่งมั่นของปวิมทำให้เอกขับยิ้มออกมาในที่สุด แม้จะเป็นยิ้มที่ยังยิ้มได้ไม่เต็มที่เพราะยังมีเรื่องค้างคาใจเกี่ยวกับภรรยาอยู่ แต่นาทีนี้เขาก็รู้สึกยินดีแทนปีย์วราที่กำลังจะหมดทุกข์หมดโศก มีครอบครัวที่อบอุ่นสมบูรณ์อย่างที่ควรจะเป็นเสียที

               

                เมื่อกลับมาจากการไปเอ็กซเรย์แล้วปีย์วราก็มายืนทอดอารมณ์อยู่ที่หน้าต่างภายในห้องพัก ในหัวของหญิงสาวมีเรื่องราวมากมายวิ่งวนอยู่ภายในจนไร้ซึ่งสมาธิจะหาทางปลดปล่อยหรือปล่อยวางมันลงได้ ไม่ว่าจะพยายามกี่ครั้งต่อกี่ครั้งทุกอย่างก็ยังตีกันวุ่นวายอยู่ภายในหัวของเธอ ต้นเหตุหลักที่ทำให้เธอคิดมากจนหัวแทบแตกคงเป็นสิ่งใดไปไม่ได้นอกเสียจากปวิม ผู้ชายคนเดียวที่อยู่ในห้วงคำนึงของเธอมานานหลายปี

                เสียงเปิดปิดประตูห้องทำให้หญิงสาวที่ยืนอิงผนังอยู่ต้องหันมามอง ก่อนจะมอบรอยยิ้มสดใสให้แก่ผู้ที่เดินเข้ามา

                “พี่เอก น้องพัฟล่ะคะ” ปีย์วรามองหาลูกชายที่เธอสุดแสนจะคิดถึงทันที คิ้วบางขมวดเข้าหากัน รู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ ขึ้นมาทันที “น้องพัฟอยู่ไหนคะพี่เอก”

                ปีย์วราเริ่มร้อนใจหนักขึ้นเมื่อเอกชัยหลบสายตาของเธอ แถมยังไม่ตอบคำถามเหมือนทุกครั้ง

                “น้องพัฟล่ะคะพี่เอก น้องพัฟอยู่ไหน” หญิงสาวเดินดุ่มเข้าไปหาเอกชัย “ลูกของปีย์อยู่ที่ไหน” ปีย์วราถามเร็วเพราะไม่คิดว่าลูกชายของเธอจะอยู่กับดวงหทัย พี่สาวเธอชังน้องพัฟพอๆ กับที่ชังพ่อของน้องพัฟ ถึงขนาดไม่อุ้มไม่ดูแลมาตั้งแต่ไหนแต่ไร

                “พ่อเขามาเอาไปแล้ว”

                “พ่อ?” เสียงแหบเบาที่หลุดออกมาจากลำคอของหญิงสาวมีแต่ความกังขา “พ่อ...” ก่อนที่ดวงตาคู่สวยหวานจะเบิกกว้างเมื่อชื่อของใครคนหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของเธอ “พะ พี่เอก อย่าบอกนะคะ ว่า...” หญิงสาวพูดตะกุกตะกักราวกับคนติดอ่าง หน้าตาซีดแทบไร้สีเลือด

                “พี่ขอโทษด้วยปีย์ ผู้กองรู้เรื่องทุกอย่างหมดแล้ว แล้วเขาก็เอาน้องพัฟไปแล้วด้วย...ปีย์” คำสุดท้ายของเอกชัยนั้นแทบตะโกนลั่น เมื่อร่างบอบบางของปีย์วราอยู่ๆ ก็ทรุดฮวบลงไปนอนหมดสติอยู่ที่พื้นห้อง “ปีย์ ปีย์” เอกชัยรีบเข้าไปอุ้มช้อนร่างบอบบางนั้นขึ้นไปไว้บนเตียงผู้ป่วย ก่อนที่จะวิ่งหน้าตื่นออกไปตามพยาบาลและแพทย์มาดูแลปีย์วราต่อไป

 

                หลังจากฟื้นคืนสติขึ้นมาได้ ปีย์วราก็ได้แต่นอนร้องไห้เงียบๆ ไม่พูดไม่จาอะไรสักคำ

                “พี่ขอโทษนะปีย์ แต่ผู้กองยืนยันจะเอาน้องพัฟไป เขาว่าปีย์เจ็บอยู่อาจดูแลลูกไม่ไหว” เอกชัยพยายามอธิบายทุกอย่างเพื่อให้ปีย์วราเข้าใจ จนเริ่มอ่อนใจเนื่องจากพยายามอธิบายมาร่วม 20 นาที แต่หญิงสาวก็ยังไม่ใจอ่อนยอมเอ่ยปากพูดจากับเขาสักคำ หนุ่มใหญ่ส่ายศีรษะไปมาระหว่างมองไปที่หญิงสาวที่นอนหันหลังสะอื้นเบาๆ จนไหล่สะท้าน

                “เขาไม่มีสิทธิ์มาเอาลูกของปีย์ไป” ในที่สุดปีย์วราก็ยอมเอ่ยปากพูดจาออกมา “เขาไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่า ว่ามีน้องพัฟอยู่บนโลกนี้ ลูกคนนี้ปีย์ฟูมฟักเลี้ยงดูมาคนเดียว พี่เอกก็รู้ แล้วทำไมพี่เอกถึงยอมให้เขาเอาลูกของปีย์ไปง่ายๆ แบบนั้นคะ” หญิงสาวขยับลุกขึ้นนั่ง ส่งสายตาที่มีแต่ความเจ็บปวดไปให้เอกชัยพร้อมๆ กับน้ำตาที่ยังไหลรินลงไปตามข้างแก้ม “แล้วทีนี้ปีย์จะอยู่ยังไง น้องพัฟคือแรงใจแรงเดียวที่ทำให้ปีย์อยากอยู่ต่อไป แล้ว แล้วปีย์จะทำยังไง ปีย์จะเอาลูกคืนมาได้ยังไง ปีย์จะไปสู้รบตบมืออะไรกับเขาได้ พี่เอกก็รู้ว่าเขาเป็นใคร ครอบครัวเขาเป็นใคร ปีย์จะทำยังไงต่อไป พี่เอกบอกปีย์สิ ไม่มีน้องพัฟแล้วปีย์จะอยู่ยังไง อยู่ไปเพื่ออะไร น้องพัฟของแม่ น้องพัฟ”

                คิ้วหนาของเอกชัยเริ่มขมวดเข้าหากันก่อนจะเดินเข้าไปดึงปีย์วรามากอดเอาไว้ แม้ช่วงแรกหญิงสาวจะขัดขืน ดื้อดึงเบี่ยงหลบ แต่สุดท้ายปีย์วราก็ซบใบหน้าลงกับอกของเอกชัย คนที่เธอเคารพไม่ต่างจากพี่ชายคนหนึ่ง

                “ฮือๆ...ยอมให้เขาเอาลูกของปีย์ไปได้ยังไง”

                “พี่ขอโทษปีย์ พี่ขอโทษ แต่ปีย์เชื่อพี่เถอะว่าทุกอย่างมันต้องดีขึ้น ผู้กองเขาเห็นว่าปีย์ยังเจ็บอยู่ อาจดูแลลูกไม่ไหว เขาเลยพาไปให้ครอบครัวของเขาดูแลแทน เดี๋ยวพอปีย์ดีขึ้น เขาก็จะเอามาคืน”

                “เขาไม่คืนน้องพัฟให้ปีย์แน่ๆ”

                “ปีย์เป็นแม่ของน้องพัฟนะ ทำไมผู้กองเขาจะไม่เอาลูกมาคืน เขาไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำเสียหน่อย”

                “เขาใจดำ ใจดำยิ่งกว่าอีกาเสียอีก เขาทิ้งปีย์ไป แล้วตอนนี้ก็มาเอาลูกของปีย์ไปอีก ฮือๆ...”

                “ปีย์หยุดร้องไห้ก่อนเถอะ แล้วตั้งสติให้ดีๆ พี่กับผู้กองคุยกันอยู่นาน เรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นเพราะ....” เอกชัยพูดไม่ออกไปชั่วขณะ “เพราะ....ความเข้าใจผิดทั้งนั้น”

                “ผิดยังไงคะ ไม่มีใครเข้าใจอะไรผิดทั้งนั้น ปีย์มันใจง่าย ไปนอนกับเขาง่ายๆ เอง พอเขาเบื่อเขาก็หนีห่าง พอโดนพี่หทัยด่าว่าเข้าหน่อยก็หาเรื่องทิ้งปีย์ไป เรื่องมันก็มีแค่นี้เอง เหมือนที่พี่หทัยเคยตราหน้าปีย์เอาไว้... มันก็เท่านี้ ไม่ได้เข้าใจอะไรผิดกันสักนิดเลย”

                “ปีย์ใจเย็นๆ สิ เรื่องมันไม่ได้เป็นแบบนั้น” เอกชัยจับไหล่ของปีย์วราเอาไว้แล้วดันออกไปจนสุดแขน “หยุดโวยวายแบบหทัย แล้วฟังพี่ พี่คนนี้หวังดีกับปีย์มาตลอด พี่ไม่เคยทำร้ายปีย์ ปีย์ต้องใจเย็นๆ แล้วฟังพี่”

                หญิงสาวสะอื้นพร้อมกับปาดน้ำตาออกจากใบหน้า ก่อนจะพยักหน้ารับกับคำพูดของพี่เขย

                “จำคืนที่แม่ปีย์เสียได้ไหม”

                แม้อยากจะลืมแต่ปีย์วราก็ยังจำได้ไม่ลืมเลือน คืนนั้นเป็นคืนที่เธอสูญเสียซึ่งเขาหลักแห่งชีวิต หญิงสาวพยักหน้ารับแววตาฉายความโศกเศร้าที่ยังคงอยู่

                 “คืนนั้นผู้กองเขาไปหาปีย์ที่ผับ และเขาเห็นว่าเราออกจากผับไปด้วยกันสองคน”

                “พี่พายไปที่ผับหรือคะ”

                “พอผู้กองเห็นเราออกไปด้วยกัน เขาก็ไปดักรอเราที่บ้าน แต่ผู้กองไม่รู้ว่าพี่เป็นสามีของหทัย เขาเห็นเราหายเขาบ้านไปด้วยกันสองคน ผู้กองบอกพี่ว่าเขานั่งอยู่อย่างนั้นทั้งคืน จนกระทั่งรุ่งสางเห็นพี่ออกมาจากบ้านและปีย์ก็ออกมาส่ง ผู้กองว่าเขาแทบฆ่าเราได้เลยทีเดียว”

                จากที่มีอาการตกใจที่ได้รู้เรื่องราวความเข้าใจผิดแต่หนหลัง ความรู้สึกของปีย์วราก็แปรเปลี่ยนไปเป็นน้อยใจ

                “แล้วเขาไม่คิดจะมาถามไถ่ปีย์หรือไงคะ ไหนว่ารักกัน รักแบบไหนถึงไม่เชื่อใจกัน ทิ้งกันไป ไม่ให้โอกาสปีย์ได้พูดสักนิด” น้ำตาใสๆ ไหลออกมาอีกครั้ง

                “ฟังก่อนสิปีย์ ทำไมอยู่ๆ ก็กลายเป็นคนขี้โวยวายแบบนี้ไปเล่า ฟังนะ...พอผู้กองเขาหายโมโห เขากลับมาหาปีย์ ตั้งใจว่าจะมาคุยกับปีย์ให้รู้เรื่อง แต่ผู้กองเขาเจอหทัย...” มาถึงตรงนี้ก็ทำเอาเอกชัยพูดไม่ออกอีกหน “แล้ว...แล้วหทัยก็ไปซ้ำเติมเขาอีกว่าปีย์มีผู้ชายคนใหม่ไปแล้ว ผู้กองเขาเลยเอาเรื่องที่เจอเราสองคนมาบวกกับคำพูดของหทัย เรื่องมันก็เลยเถิดเข้าใจผิดไปกันใหญ่”

                ใบหน้าสวยก้มต่ำก่อนเสียงสะอื้นจะเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะที่ออกมาพร้อมกับน้ำตา “เขาพูดว่ารักปีย์ เขาสัญญาว่าจะอยู่กับปีย์ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่พอมีเรื่องขึ้นมาจริงๆ เขากลับฟังคนอื่นโดยไม่คิดจะพูดกับปีย์สักคำ แม้แต่คำลาเขาก็ไม่เคยพูด วันที่ปีย์บุกไปหาเขาถึงที่แฟลต พี่เอกรู้ไหมเขาหันหลังใส่ปีย์ทันทีที่เห็นหน้า ปีย์แทบทรุดลงไปอ้อนวอนขอให้เขาพูดกับปีย์สักคำ แต่เขาปิดประตูใส่หน้าปีย์ ปีย์นั่งร้องไห้อยู่หน้าห้องเขาเป็นชั่วโมงๆ เขาก็ไม่สนใจ แถมยังให้ลูกน้องมาพาปีย์ออกไป ปีย์หมดสิ้นทุกอย่าง ไม่เหลืออะไรเลย พี่เอกจำได้ไหมคะ” ปีย์วรายื่นแขนที่ยังมีรอยจางของแผลให้เอกชัยได้ดู สิ่งนี้มันย้ำเตือนความโง่ของปีย์ ย้ำให้ปีย์ไม่ลืมความใจดำของเขา”

                เอกชัยมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความลำบากใจ เขาไม่กล้าพูดรายละเอียดทั้งหมดที่ได้รู้มาให้ปีย์วรารู้ เพราะอย่างไรเสียดวงหทัยก็เป็นพี่สาวของของปีย์วรา เป็นภรรยาของเขา เขาไม่อยากให้พี่น้องบาดหมางกันไปมากกว่านี้

                “แล้วเขาก็ไม่มีสิทธิ์มาเอาน้องพัฟไป เขาทิ้งปีย์ไปแล้ว ตัดขาดกันแล้ว ระหว่างเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน เขาจะเอาน้องพัฟไปจากปีย์ไม่ได้” ปีย์วราก้าวลงจากเตียงก่อนจะเซน้อยๆ จนเอกชัยต้องมาประคับประคองเอาไว้

                “นี่คิดจะเป็นพญาเทครัวหรือไง!”

                เสียงตวาดแหลมของดวงหทัยทำให้เอกชัยและปีย์วราหันขวับไปมองผู้ที่มาใหม่ด้วยอาการของคนตกใจทั้งคู่

                “ฉันก็ว่าผัวฉันหายไปไหนทุกวันๆ ไม่ไปดูแลกิจการ ที่แท้ก็มาดูแลน้องเมียอยู่นี่เอง”

                “พูดอะไรหทัย เห็นไหมว่าปีย์เจ็บอยู่”

                “คงเจ็บหนักมากสินะ ถือต้องประคองกันถึงเนื้อถึงตัวแบบนั้น หรือไงนังปีย์ แกคิดจะงาบผัวพี่สาวแกหรือไง”

                “พี่หทัย!” ปีย์วรารีบขยับออกห่างจากเอกชัยทันที

                “พูดบ้าๆ ไร้สาระกันไปใหญ่แล้วหทัย”

                “จะไม่ให้หทัยคิดบ้าๆ ได้ไง ก็พี่เอกเล่นหายมาอยู่ที่นี่ตลอด อู่ก็ไม่เข้า จะไม่ให้หทัยคิดบ้าๆ ได้ไง”

                “พี่ไม่ได้มาที่นี่ตลอด หทัยอย่ามาพาล และที่นี่เป็นโรงพยาบาล อย่ามาทำเอะอะให้คนเขาแตกตื่นกันเหมือนคนไม่มีการศึกษาแบบนี้”

                “ใช่สิ หทัยมันจบแค่ ปวส. ไม่ได้จบปริญญาแบบใครเขานี่ จะได้รู้ดีว่าอะไรมันควรหรือไม่ควร” ดวงหทัยปรายตามามองน้องสาว ยิ่งเอกชัยเอ็นดูปีย์วรามากแค่ไหนเธอก็ยิ่งไม่วางใจมากขึ้นเท่านั้น แม้จะเป็นน้องแท้ๆ ของเธอเองก็ตามที

                “ไปกันใหญ่ละ” เอกชัยถอนใจออกมาอย่างหนักอก “นี่มาเยี่ยมปีย์ถึงโรงพยาบาล ไม่คิดจะถามน้องมันหน่อยหรือไงว่าเป็นยังไงบ้าง”

                “ก็เห็นแล้วนี่ว่ามันสบายดี”ดวงหทัยยักไหล่ ความรักและความเอ็นดูในตัวน้องสาวหมดไปตั้งแต่ปีย์วราท้องป่องขึ้นมาประจานตัวเอง ทำประวัติพื้นหลังของเธอแปดเปื้อนไปด้วย โดยเฉพาะกับไอ้เด็กไม่มีพ่อคนนั้น แม้แต่ตาเธอยังไม่อยากแล แต่เอกชัยก็รักและเอ็นดูราวกับเป็นลูกแท้ๆ ยิ่งเอกชัยคอยให้ความช่วยเหลือดูแลปีย์วรากับลูกไม่ได้ขาดเธอก็ยิ่งเพิ่มความหมั่นไส้ขึ้นทุกที

                เอกชัยได้แต่ส่ายหน้าไปมา ดวงหทัยที่เขาเคยหลงรักได้หายไปทันทีหลังจากที่แต่งงานกันมาแล้วพักหนึ่ง เอกชัยได้แต่อดทนและทำใจเรื่อยมาเพราะถือว่านี่คนที่เขาได้เลือกแล้ว...

                “แล้วนี่เยี่ยมกันเสร็จหรือยังละ จะชวนไปทำธุระที่บ้านผู้การถั่ว” ดวงหทัยสะบัดตัวไปนั่งไขว่ห้างอยู่ที่เก้าอี้ด้วยท่าทางเฉิดฉาย เช่นเดียวกับเสื้อผ้ากระเป๋าที่ล้วนเป็นของแบรนด์เนมทั้งสิ้น

                “ทำไม มีอะไร ท่านเรียกหรือ” เอกชัยเดินเข้าไปยืนอยู่ไม่ไกลจากภรรยา

                “ถามจุกจิก หทัยบอกให้พี่ไปก็ไปเถอะ รู้จักไปให้นายเห็นหน้าเห็นตาบ้าง เผื่อจะได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งไวขึ้น” ดวงหทัยมองไปที่เครื่องแต่งกายของสามีก่อนจะเบะปาก “กลับไปอาบน้ำแต่งเนื้อแต่งตัวใหม่ด้วยนะคะ เดี๋ยวหทัยจะเตรียมให้”

                เอกชัยพยักหน้ารับเนือยๆ เหมือนเช่นทุกครั้ง เพราะเขาเรียนรู้การใช้ชีวิตคู่กับดวงหทัยแล้วว่าถ้าอยากอยู่อย่างสงบ ไร้การทะเลาะเบาะแว้ง ก็ต้องเออออห่อหมกตามความต้องการของดวงหทัยไป

                “พี่กลับก่อนนะปีย์ แล้วอย่าคิดมาก พรุ่งนี้มะรืนนี้ผู้กองเขาคงกลับมาคุยกับ...”

                “ผู้กองอะไร ผู้กองไหน” เสียงของดวงหทัยแทรกขึ้นมาด้วยความอยากรู้อยากเห็นและสงสัย ก่อนที่เอกชัยจะพูดจบ

                เอกชัยหันกลับมาจ้องหน้าใบหน้าที่ตกแต่งไว้ด้วยเครื่องสำอางจนแทบไม่เห็นผิวหน้าแท้จริง อยากรู้นักว่าสิ่งที่ปวิมพูดนั้นจริงเท็จอย่างไร และดวงหทัยจะรู้สึกอย่างไรถ้ารู้ว่าปวิมกลับมาหาปีย์วราแล้ว “ก็ผู้กองปวิม พ่อน้องพัฟไง เขากลับมาจากเมืองนอกแล้ว นี่ก็มาเจอกับปีย์แล้วด้วย”

                ใบหน้าที่ซีดเผือดลงทันตาของภรรยาทำให้เอกชัยหน้าสลดลงไปทันทีเช่นกัน นั่นแสดงว่าสิ่งที่ปวิมบอกเล่าให้เขาฟังนั้นย่อมมีความจริงปนอยู่แน่นอน

                “ละ แล้ว แล้ว มันเชื่อหรือ  ว่าแกท้องกับมัน”

                “เอ๊ะ! หทัยนี่ยังไง ทำไมพูดจาแบบนั้นกับปีย์ ผู้กองเขาไม่เคยสงสัยเลยด้วยซ้ำไป นี่เขาก็เอาน้องพัฟไปให้ที่บ้านช่วยดูเพราะเห็นว่าปีย์เจ็บอยู่”

                ดวงหทัยถึงกับพูดไม่ออก จริงอยู่ที่ตอนนั้นเธอทำทุกอย่างลงไปก็เพราะหวังดี และคิดว่าตัวเองทำสิ่งที่ดีที่สุดแล้วเพื่อปีย์วรา หวังอยากจะให้น้องสาวได้คนที่ดีกว่าในตอนนั้น แต่กลับกลายเป็นว่าน้องสาวเธอมันกลับโง่คิดสั้น แถมยังท้องป่องออกมาประจานตนเองและครอบครัวอีก และที่หนักกว่าก็คือเธอดันมารู้เอาทีหลังว่าปวิมนั้นดีงามทั้งหน้าที่การงาน รวมถึงฐานะทางบ้านอีกด้วย

                แต่เธอก็ไม่ยอมรับว่าตนเองผิดหรอก ก็ใครมันจะไปรู้เล่าว่าไอ้รูปหล่อที่แต่งตัวโทรมๆ สวมเสื้อยืดตัวเก่า คีบรองเท้าแตะ ขี่มอเตอร์ไซค์โฉบไปโฉบมาไปวันๆ จะกลายเป็นนักบิน F-16 ไปได้ แถมเธอยังขำและไม่เชื่อน้องสาวที่พยายามพร่ำบอก ด่าปีย์วราว่า “โง่” ดูคนไม่ออก แต่คนที่ดูคนไม่ออกกลับกลายเป็นเธอเสียเองเมื่อเอกชัยเป็นคนยืนยันว่าปวิมคือนายทหารอากาศของจริง แถมยังเป็นนักบินรบมือฉมังเสียด้วย

                มาถึงตรงนี้ดวงหทัยก็เกิดวิตกเกี่ยวกับเงินแสนที่หลอกมาได้จากปวิมขึ้นมา หากเรื่องนี้แดงขึ้นมาทั้งสามีทั้งน้องสาวคงไม่ปล่อยเธอไว้แน่ๆ ที่สร้างเรื่องราวใหญ่โตเอาไว้ แต่จะทำอย่างไรเล่าเมื่อตอนนั้นจำเป็นต้องใช้เงิน ไหนจะค่าโรงพยาบาลที่ค้างจ่ายเอาไว้ ไหนจะค่าจัดงานศพอีก แถมเงินที่เหลือเธอก็เอามาลงทุนเปิดอู่ให้สามีไปแล้วด้วย

                “เป็นอะไรหทัย หน้าซีดๆ” แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าภรรยาเป็นอะไร แต่เอกชัยกลับแกล้งถามออกไป

                “ปะ เปล่า แล้วนี่จะไปกันได้หรือยังล่ะ”ดวงหทัยแกล้งเสียงดังกลบเกลื่อน ก่อนจะหมุนตัวเดินดุ่มออกไปจากห้องพักผู้ป่วยของปีย์วราไปทันที แสดงอาการพิรุธเพิ่มขึ้นไปอีก

                “พี่ไปก่อนจะปีย์ มีเรื่องต้องสะสางเยอะแล้ว แล้วปีย์ก็พักผ่อนเสีย เชื่อพี่เถอะว่ายังไงเสียผู้กองเขาก็ต้องเอาน้องพัฟมาคืนปีย์หลังจากที่คุยกันแล้ว”

                หญิงสาวที่นั่งหน้าซีดอิงเตียงผู้ป่วยอยู่พยักหน้าไปอย่างนั้น ทั้งๆ ที่ไม่เชื่อสักนิดว่าปวิมจะนำลูกมาคืนเธอ ทันทีที่ได้อยู่คนเดียวในห้องพัก คิ้วเรียวบางก็ขมวดเข้าหากันทันที ภายในใจมีแต่ความกังวล นึกห่วงลูกสารพัด เธอและน้องพัฟไม่เคยได้แยกจากกันเลย นี่คงเป็นครั้งแรกกระมังที่ห่างกัน

                ‘ถ้าพี่พายไม่เอาลูกมาคืนล่ะ จะทำยังไง’

                ปีย์วราถามตนเองพร้อมทั้งพยายามคิดหาทางแก้ไขเอาไว้ล่วงหน้า แม้ว่าไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นอีก เธอทนเจ็บได้ แต่เธอจะไม่ยอมให้น้องพัฟต้องสัมผัสความเจ็บแม้แต่เพียงปลายก้อย

               

                กระเป๋าถือราคาแพงถูกโยนโครมลงบนโซฟาหนังเนื้อดีด้วยกิริยามารยาทราวกับคนไม่ได้รับการอบรมก่อนที่เจ้าตัวจะนั่งตามลงไปติดๆ

                “ทำหน้าทำตาให้มันดีกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไงคะพี่เอก แบบนี้ใครๆ เขาก็จะนึกเอาว่าเราไม่อยากไปงานของเขา”

                “ก็ไม่ได้อยากไปจริงๆ นี่” เอกชัยสวนกลับ หากน้ำเสียงราบเรียบ

                “ก็เพราะพี่เป็นแบบนี้ไง เลยไม่ได้ตำแหน่งใหญ่โตกับเขาเสียที” เสียงแหวๆ ของดวงหทัยสวนกลับมาทันควัน

                ชายรูปร่างสัดทัดถอนใจ “เมื่อไหร่จะเข้าใจหา หทัย ว่าตำแหน่งบางตำแหน่งนายทหารปริญญาแบบพี่ไม่สามารถไปนั่งได้”

                “อะไรมันก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นแหละ ถ้าพี่เชื่อหทัย หมั่นไปมาหาสู่นายเขาบ่อยๆ เมียนายก็หาข้าวของมีราคาไปฝากเสียหน่อย ขี้คร้านตำแหน่งที่มองๆ ไว้ไม่นานก็จะได้มา”

                “ไร้สาระ” เอกชัยทำท่าจะลุกเดินหนี เขาเบื่อเต็มทีกับความทะยานอยากของภรรยา ที่อยากจะให้เขามีตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โตกว่าที่เป็นอยู่ อัตราตำแหน่งในกองทัพอากาศนั้นมีกฎระเบียบข้อบังคับอยู่แล้ว แต่ดวงหทัยกลับคิดเองเออเองไปว่าหากนายเมตตาจะไปนั่งตำแหน่งไหนก็ได้ แม้จะอธิบายอยู่หลายรอบแต่ดูเหมือนสมองของเธอจะไม่รับฟังเอาเสียเลย

                “จะไปไหนล่ะ พูดเรื่องนี้ทีไรทำไมต้องเดินหนีหทัยด้วย” ดวงหทัยลุกขึ้นเดินไปกระชากแขนของสามีที่กำลังจะเดินหนีเธอไป “กลับมาพูดกันก่อน พี่เอกจะเดินหนีไปแบบนี้ไม่ได้นะ รู้ไหมหทัยเหนื่อยแค่ไหนกับการวิ่งเต้นสารพัดเพื่อหาตำแหน่งดีๆ ให้พี่ ทำไมชีวิตของหทัยจะต้องทำเพื่อคนอื่นแบบนี้ด้วยหา”

                เอกชัยส่ายหน้าไปมา “พี่ว่าหทัยทำเพื่อตัวเองต่างหาก อยากชูหน้าชูคอแข่งกับคุณนายทั้งหลายพวกนั้น ถามจริงๆ เถอะนะ มันทำให้ชีวิตของหทัยดีขึ้นตรงไหน วันๆ ไม่เห็นได้ทำอะไรกันจริงจัง ไปนั่งจับกลุ่มกันอยู่ที่สมาคม นินทาลูกเมียชาวบ้านเขาไปทั่ว หรือไม่ก็คิดกิจกรรมสารพัด หาเงินช่วยการกุศล เกณฑ์คนมาหัดทำโน่นทำนี่ หทัยเคยรู้บ้างไหมว่าพวกแม่บ้านพวกนั้นเขาไม่ได้อยากจะมาเลย เขาอยากออกไปทำงานหาเงินมาเลี้ยงปากท้องครอบครัวเขา แต่พอโดนเกณฑ์มานั่งฟังนั่งทำงานเขาก็พูดไม่ได้ น้ำท่วมปากเพราะถ้าไม่มาก็กลัวผัวจะโดนตำหนิ เพราะไอ้คนที่เจ้ากี้เจ้าการเกณฑ์คนมา เป็นบรรดาเมียนายทั้งนั้น”

                “พี่เอกรู้ได้ไง”

                “รู้แล้วกัน” เอกชัยหมุนตัวเตรียมจะเดินหนีอีกรอบ แต่ดวงหทัยก็รั้งไว้ไม่ยอมให้ไปไหน

                “เอ๊ะ! ยังพูดกันไม่จบ จะเดินหนีไปไหน”

                คราวนี้อารมณ์ของเอกชัยก็เริ่มกรุ่นๆ หนุ่มใหญ่หันกลับมาจ้องหน้าของภรรยา “อยากคุยกันนักใช่ไหม ได้ พี่เองก็มีเรื่องอยากถามหทัยเหมือนกัน” เอกชัยก้าวเข้าไปประชิดร่างภรรยา จ้องนัยน์ตาคู่สวยที่ครั้งหนึ่งทำเอาเขาหลงจนโงหัวไม่ขึ้น “จริงไหมที่เมื่อก่อนหทัยไปบอกไอ้พวกเสี่ยกระเป๋าหนักทั้งหลายว่าถ้าอยากออกไปกินข้าวกับปีย์จะต้องจ่ายสามแสน”

                ดวงตากลมโตที่ถูกตกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางอย่างบรรจงเบิกกว้าง ท่าทางตกใจสุดขีด “พะ พี่เอกพูดอะไร ใครมาเล่าอะไร”

                “แล้วจริงไหม ที่ว่าหากใครอยากนอนกับปีย์ต้องจ่ายห้าแสน” เอกชัยภาวนาขอให้ตนเองไม่เห็นท่าทีมีพิรุธมากไปกว่านี้จากภรรยา แต่แค่เขาพูดจบดวงหทัยก็หลบสายตา หันหนีไปทันที

                “พี่เอกไปได้ยินอะไรมา” ดวงหทัยเดินหนีห่างออกไป หวังจะไปตั้งหลักสักนิด แต่เอกชัยกลับเดินตามมาติดๆ คว้าต้นแขนของภรรยาให้หันมาเผชิญหน้ากัน ก่อนถามเสียงเครียด

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น