8

ตอนที่ 7


เสียงคุยอย่างสนุกสนานดังมาจากโต๊ะอาหารฝั่งตรงข้ามกับที่เลนนอนนั่งกินอาหารอยู่

อาหารเที่ยงของเขาผ่านไปอย่างเงียบเหงา ผิดกับหญิงสาวผู้มาใหม่ โต๊ะอาหารของเธอเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะด้วยความเพลิดเพลินของ ‘เด็ก’ สามคนที่นั่งรับประทานด้วยกัน

ช่างสนิทกันได้รวดเร็วดีแท้ มาอยู่ที่นี่ยังไม่ถึงสี่สิบแปดชั่วโมง แต่กลับเข้ากันได้ดีกับทุกคน เขาเองทำงานกับเด็กหนุ่มสาวสองคนนั่นมากว่าสามเดือน ยังไม่เคยนั่งกินข้าวด้วยกันเลยสักครั้ง

แต่ทำอย่างกับเขาจะสน

เขาไม่ได้อิจฉาใครทั้งนั้น

ไม่ได้อิจฉาเลยจริงๆ...

เลนนอนลุกขึ้นยืน ทิ้งแก้วกาแฟที่ดื่มหมดแล้วลงถัง แล้วเดินกลับมาหาข้อมูลต่อที่ห้องทำงานตามลำพัง ในระหว่างที่อ่านข้อมูลเรื่องอักขระโบราณของชนเผ่าต่างๆ ก็ได้แต่คิดว่าวันนี้ทั้งวันคงผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์

แต่ทว่าเขากลับคิดผิด เมื่อเอ็นเดินเข้ามาหาตั้งแต่เขายังไม่ได้เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ พร้อมกับกระโปรงสั้นสีสายรุ้งของเธอ และกระดาษในมือ

หญิงสาววางกระดาษแผ่นบางลงบนโต๊ะทำงานของเขา พยายามระมัดระวังไม่แตะข้าวของบนโต๊ะอีก อาจเพราะกลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยกับเมื่อตอนสาย คงไม่มีใครอยากถูกดีดลูกเหล็กเคลือบเคมีใส่สองครั้งต่อวันเป็นแน่ นิ้วเรียวชี้ไปที่บรรทัดแรกในกระดาษ แล้วอธิบายเสียงจริงจัง

“อักขระพวกนี้ น่าจะมีอักขระโบราณของหกชนชาติเป็นอย่างน้อย ฉันรู้จักราวๆ สามชนชาติ คือ ตรงนี้ ตรงนี้ และตรงนี้”

‘ตรงนี้’ ที่เธอพูดถึงคือส่วนที่เป็นสีสะท้อนแสงแสนแสบตาที่เธอขีดไว้สามสี ซึ่งแต่ละสีน่าจะบ่งบอกถึงชนชาติที่แตกต่างกันของอักขระ

เลนนอนเลิกคิ้ว เอ่ยถาม

“รู้จัก...หมายถึง...คุณอ่านออก”

“ไม่ใช่ ฉันแค่รู้จักว่ามันคืออักขระของชนชาติไหน”

หญิงสาวบอกเสียงเรียบ เธอไม่ได้กะพริบตาด้วยซ้ำตอนที่อธิบายอย่างต่อเนื่อง

“ฉันพิจารณาดูแล้วเห็นว่า...ถึงจะมีอักขระเต็มพรืดทั้งหน้า แต่ก็มีย่อหน้าอยู่ราวห้าย่อหน้า แต่ละย่อหน้าใช้การผสมผสานของอักขระที่แตกต่างกัน แต่ก็แยกจากกันอย่างเด็ดขาด ไม่เกี่ยวข้องกัน มีการเขียนทั้งแบบซ้ายไปขวาและขวาไปซ้าย”

เลนนอนมองตามปลายนิ้วที่ลากไล่ไปเรื่อยๆ พยายามทำความเข้าใจ แต่อย่างไรเสียก็ยังเห็นเพียงอักษรยึกยือ กับสัญลักษณ์หน้าตาพิกลพิการ

หญิงสาวจิ้มนิ้วเรียวลงตรงย่อหน้าที่สอง

“ย่อหน้าที่สองตรงนี้ ใช้อักขระของชาวซูเมอร์ทั้งหมด ชาวซูเมอร์จัดเป็นชนเผ่าแรกในอารยธรรมเมโสโปเตเมีย โดยอักขระของชาวซูเมอร์จะแบ่งได้ราวๆ สี่ยุค คือ สามพันสองร้อยปีก่อนคริสตกาล สามพันปีก่อนคริสตกาล สองพันสี่ร้อยปีก่อนคริสตกาล และในช่วงหนึ่งพันปีก่อนคริสตกาล”

“แล้วในรหัสพวกนี้ใช้อักขระกี่ยุค”

“แค่สองยุคเท่านั้น คือ สามพันสองร้อย กับสามพัน ซึ่งเรียกได้ว่าง่ายที่สุดแล้วในการแปลความหมาย เพราะอักขระในสองยุคนี้แตกต่างกันไม่มาก หลักๆ คือทำเพียงการหมุนอักขระเก้าสิบองศา จากแนวตั้งสู่แนวนอน”

“งั้นก็ง่ายสิ”

“อาจจะยากตรงที่ยุคแรกเขียนจากขวามาซ้าย ส่วนอีกยุคเขียนจากซ้ายไปขวา แต่ก็ไม่เกินความสามารถของฉันหรอก”

เป็นครั้งแรกที่เลนนอนรู้สึกทึ่งกับความสามารถของหญิงสาวอย่างจริงจัง แม้เธอจะดูเลื่อนลอยและเฉื่อยชาไปบ้างในบางเวลา แต่ก็สามารถอธิบายเรื่องยากๆ ได้เป็นเรื่องเป็นราวผิดกับท่าทางของเธอ

หรือนี่คือบุคลิกของพวกอัจฉริยะ

ชายหนุ่มยอมให้ตนเองมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างเต็มสายตาเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่พบกัน

เอ็นมีผมมีดำสนิทแบบคนเชื้อสายเอเชียทั่วไปที่ไม่ได้ผ่านการทำสี ใบหน้าของเธอเล็กเรียว มองเผินๆ คล้ายหัวใจดวงน้อย คิ้วเรียวได้รูปรับกับดวงตาคมสีดำสนิท จมูกของหญิงสาวรั้นขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากบาง

แต่ที่น่าหลงใหลมากที่สุดคงเป็นผิวสีน้ำผึ้งนวลเนียนแปลกตากระมัง

เอ่อ...เดี๋ยวนะ...

เขาไม่ได้หมายความว่าเขากำลังหลงใหลผิวของเธอหรอกนะ

แอลทูลอบกลืนน้ำลายเมื่อเผลอคิดนานไปหน่อย และตอนนี้ดวงตาสีดำสนิทของเอ็นกำลังจ้องมองมาที่เขาราวกับจะจับผิด เธอเอียงคอเล็กน้อย ก่อนจะถามเบาๆ

“คุณเข้าใจที่ฉันกำลังอธิบายใช่ไหม”

“เข้าใจสิ ทำไมจะไม่เข้าใจ ที่พูดมาทั้งหมดนั่นหมายความว่า คุณอ่านย่อหน้าที่สองของกระดาษแผ่นนี้ออกแล้วใช่ไหม”

“ฉันอ่านได้ แต่ไม่เข้าใจความหมายของมันสักนิด”

“หมายความว่ายังไง อ่านได้ แต่ไม่เข้าใจความหมาย”

“ก็หมายความว่าอักขระพวกนี้ถูกเรียงกันขึ้นมา โดยใช้ตัวอักษรในแต่ละยุคสลับสับเปลี่ยนกันไป แต่ไม่สามารถประสมเป็นคำที่มีความหมายได้ยังไงล่ะ”

“หรือจะเป็นตัวเลข ไอ้แท่งแหลมๆ นี้มองเป็นเลขได้นะ”

หญิงสาวส่ายหน้า บอกด้วยความมั่นใจ

“ไม่ใช่ สัญลักษณ์พวกนี้ไม่ใช่ตัวเลขแน่นอน เลขหนึ่งของยุคนี้ จะใช้ก้านอ้อกดให้เป็นรูปคล้ายเล็บ ส่วนเลขสิบจะเป็นวงกลม”

“แต่ยังไงก็ถือว่าเรามาถูกทาง และมีความคืบหน้ามากขึ้นละนะ แม้เราจะยังถอดรหัสไม่ออกก็ตาม ผมจะรายงานความคืบหน้านี้ให้เชอร์ชิลฟัง” เลนนอนสรุป

ชายหนุ่มกำลังจะยิ้มน้อยๆ ให้เธออยู่แล้วเชียว ถ้าสายตาจะไม่เหลือบไปเห็นภาพการ์ตูนที่มุมกระดาษ ซึ่งเป็นภาพปลาหน้าตาบูดบึ้งกำลังนอนอ้าปากพะงาบๆ เหมือนใกล้ตายอยู่ในภาชนะบางอย่าง มิหนำซ้ำเจ้าปลาตัวนี้ยังแต่งตัวด้วยชุดสีดำสนิทเหมือนเขาอย่างกับแกะ

เชื่อได้เลยว่านี่จะต้องเป็นฝีมือวาดภาพของเธออย่างไม่ต้องสงสัย

เมื่อเขากำลังจะอ้าปากถาม หญิงสาวก็ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ คว้ากระดาษกลับคืนไป แล้วพับมุมลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะก้าวยาวๆ กลับไปยังโต๊ะทำงานของเธอโดยไม่เหลียวหลัง

                                                                      

หลังจากอธิบายข้อมูลเกี่ยวกับอักขระโบราณที่ตนเองรู้ให้แอลทูฟังแล้ว ลลนาก็กลับมายังโต๊ะทำงานของตน เธอเห็นบีเด็กหนุ่มเกาหลีกำลังคร่ำเคร่งเขียนอะไรบางอย่าง ก็นึกสนใจ จึงเดินเข้าไปดู

เมื่อเห็นตัวเลขถูกเขียนขึ้นชุดละห้าตัวเรียงต่อกันเป็นแถวยาวก็อดสงสัยไม่ได้

“ทำอะไรน่ะบี จะเสี่ยงโชคซื้อล็อตโตหรือยังไง”

เด็กหนุ่มชาวเกาหลีหันมาตามเสียง ก่อนจะหัวเราะร่างเริงจนดวงตาเรียวเกือบจะเป็นเส้น พลางส่ายหน้าขำๆ

“เปล่าครับพี่ ผมเขียนรหัสแบบที่พวกซีไอเอในสมัยก่อนใช้ติดต่อกันต่างหาก ผมชอบส่งรหัสพวกนี้ให้เอ็นเค้าแกะเล่นแก้เบื่อเวลาที่ไม่มีอะไรทำ”

หญิงสาวพยักหน้าหงึกหงัก มองตัวเลขยาวเหยียดเต็มหน้ากระดาษด้วยความทึ่ง

ไม่เข้าใจพวกเด็กอัจฉริยะสองคนนี้เลยจริงๆ ทำไมไม่เล่นอะไรให้มันง่ายกว่านี้นะ แต่จะว่าไปตัวเธอเองก็เข้าข่าย ‘เด็กอัจฉริยะ’ กับขาเหมือนกันไม่ใช่หรือ

“แล้วมันอ่านยังไง” ลลนาลากเก้าอี้อีกตัวมานั่ง แล้วถามด้วยความสนใจ

“ง่ายๆ ครับ”

“เหรอ งั้นอธิบายให้ฟังหน่อยสิ”

บีพยักหน้ารับ ยิ้มใจดีพร้อมอธิบาย

“ตัวเลขทั้งหมดจะแทนด้วยตัวอักษรในภาษาอังกฤษ 01 ก็คือ ตัวเอ 02 ก็คือตัวบี เรียงไปเรื่อยๆจนถึงอักษรตัวสุดท้าย ถ้าผมเขียนว่า 010203 ก็คือ เอบีซี”

“อ้อ คือแทนค่าตัวอักษรด้วยตัวเลขสินะ”

“ใช่ครับ สายลับในสมัยก่อนจะเขียนประโยคขึ้นด้วยตัวเลขที่ได้รับการแทนค่าแล้ว สมมติว่าผมอยากจะเขียนคำว่า I love you ผมก็จะเขียนว่า 09 12152205 251521 ก่อน แล้วค่อยแยกออกมาเป็นเลขชุดแบบนี้”

เด็กหนุ่มเขียนข้อความนั้นลงในกระดาษ...

09 12 15 22 05 25 15 21

“ถ้าอย่างนี้ก็ยิ่งอ่านง่ายสิ ไม่ต้องเป็นซีไอเอก็ถอดได้ง่ายๆ ถ้ารู้หลักการแทนค่าง่ายๆ”

หญิงสาวประท้วงเคร่งเครียดเรียกรอยยิ้มสดใสจากบีได้อีกครั้ง ราวกับเรื่องรหัสตัวเลขที่แสนปวดหัวเป็นเรื่องสนุกสำหรับเขา

“แต่มันจะยากก็ตรงที่จะมีเลขลวงอยู่ด้วยไงครับพี่ เพราะตามปกติพวกสายลับจะไม่ส่งข้อความกันโต้งๆ แบบนี้หรอก”

“อ้าว อย่างงั้นหรอกเหรอ แล้วเขาทำยังไงล่ะ”

“เขาจะเอารหัสที่ต้องการส่งมาเรียงแบบที่ผมบอก แล้วเขียนตัวเลขอีกหลายชุดลงไปในกระดาษแผ่นนั้นเพื่อเป็นรหัสหลอก แล้วจะสร้างเลขรหัสอีกชุดหนึ่งขึ้นมาเพื่อใช้ในการเปิดล็อกรหัสพวกนี้ ต้องเป็นพวกเดียวกันถึงจะรู้ว่าเลขชุดไหนใช้สำหรับเปิดล็อกเพื่ออ่านข้อความ ไม่อย่างนั้นก็ได้ถอดรหัสกันหูตูบแน่”

เมื่อบีเห็นว่าเธอยังทำหน้างง ก็เลยเขียนรหัสขึ้นมาอีกชุดหนึ่ง

“อย่างรหัสที่จะส่งคือ 09 12 15 22 05 25 15 21 ที่แปลว่า I love you ใช่มั้ยครับ”

“ใช่”

“ในกระดาษแผ่นนี้ผมก็จะเขียนเลขลงไปอีกหนึ่งชุด อาจจะเป็นบรรทัดสุดท้ายของกระดาษโดยเรียงให้เป็นแนวเดียวกันก็จะเป็น 09 12 15 22 05 25 15 21 กับ 56 29 64 17 31 57 26 11 แล้วเราก็เอาตัวเลขทั้งสองชุดมาบวกกันทีละคู่จะได้คำตอบเป็น 65 41 79 39 36 82 41 32”

ลลนาพยักหน้ารับ พลางบวกเลขตามที่เด็กหนุ่มอธิบาย

“คือเอา 09 12 15 22 05 25 15 21 บวกกับ

             56 29 64 17 31 57 26 11

จะได้    65 41 79 39 36 82 41 32 ใช่มั้ย”

“ใช่ครับ จากนั้นเราก็เอาเลขชุดสุดท้ายที่ได้มาเรียงใหม่ ทำให้เป็นเลขชุดๆ ละห้าตัว เศษที่เหลือก็เติมเลขสุ่มเข้าไปจนครบกลายเป็น 65417 93936 82413 20000 ส่วนรหัสปลดล็อคก็คือตัวที่เราเพิ่งบวกมันเข้าไปเมื่อกี้เอามาเรียงใหม่ให้เป็นเลขชุดห้าจำนวน 56296 41731 57261 10000 เวลาจะถอดรหัสก็เอามันมาลบกันก็จะได้รหัสตั้งต้นที่เราจะส่ง แล้วค่อยถอดเป็นภาษาอังกฤษอีกที เห็นไหมครับง่ายจะตายไป”

ลลนาพยักหน้ารับ “เพียงแต่เราจะต้องรู้กันว่าเลขชุดที่จะถอดรหัสอยู่บรรทัดไหนใช่มั้ย”

“ใช่ครับ ต้องเป็นพวกเดียวกันหรืออยู่ฝ่ายเดียวกันเท่านั้น จึงจะรู้ แต่ก่อนพวกสายลับส่งรหัสกันแบบนี้”

“แล้วมันมีแบบเดียวหรือเปล่า หรือมีแบบอื่นด้วย อ่านแบบอื่นได้ไหม”

“มีหลายแบบครับพี่ ทั้งแบบอ่านเฉพาะตัวหน้า อ่านบรรทัดเว้นบรรทัด หรืออ่านเป็นรูปสามเหลี่ยม แต่ผมกับเจชอบเล่นถอดตัวเลขแบบนี้มากที่สุด”

บีตอบด้วยรอยยยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายซุกซน เด็กหนุ่มหันไปมองเจเพื่อนสนิทว่าอยู่ห่างในระยะที่ไม่ได้ยิน ก่อนจะป้องปาก บอกเสียงเบาลงจนเกือบเป็นกระซิบ

“แต่บางทีผมก็ไม่บอกเจเค้าหรอกนะพี่ ให้เค้าควานหาเอาเอง เอาตัวมาลบทีละบรรทัดไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอ สนุกดี”

“ร้ายนักนะเรา ชอบแกล้งเพื่อน” ลลนาหยอก

“ผมแค่เห็นเขาเบื่อๆในบางทีที่แอลวันไม่อยู่น่ะครับ เลยหาอะไรให้เขาทำแก้เหงา คนอย่างผมคงทำให้เค้าได้แค่นี้ จะพาเขาออกไปผจญภัยแบบแอลวันก็คงเป็นไปไม่ได้”

คราวนี้ดวงตาเรียวที่เคยสดใสเมื่อนาทีที่แล้ว ทอประกายหม่นแสงลงอย่างเห็นได้ชัด จนลลนาอดวางมือลงบนไหล่แกร่งของเด็กหนุ่มไม่ได้

“เอาน่า อย่าเพิ่งทำเป็นหงอยสิ พี่เชื่อว่าซักวันหนึ่งเอ็นคงจะมองเห็นบางอย่างในตัวบีแน่นอน เรื่องแบบนี้บางทีมันก็ต้องใช้เวลา เรายังเด็ก ต้องใจเย็นๆ”

เด็กหนุ่มหน้าแดงไปจนถึงใบหู รีบปฏิเสธละล่ำละลัก

“เดี๋ยวพี่...พี่พูดอะไรน่ะ ผมไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นกับเขานะ เขาจะเห็นอะไรในตัวผมรึเปล่าก็ช่างเขาสิ ไม่เกี่ยวกันซักหน่อย กระโดกกระเดกอย่างกับผู้ชาย ใครจะไปชอบ”

“พี่ก็ยังไม่ได้ว่าอะไรนี่ หรือบีคิดอะไร” ลลนาย้อนแถมยังพยายามตีหน้าตาย

“ผมไม่ได้คิดอะไรจริงๆ นะพี่”

“จริงเร้อ”

“จริงสิพี่”

“ไม่จริงม้าง”

ยังไม่ทันที่สงครามจริงหรือหลอกของลลนาและหนุ่มน้อยชาวเกาหลีจะรู้ผลแพ้ชนะ เสียงของเชอร์ชิลก็ดังผ่านเครื่องขยายเสียงมาขัดจังหวะไว้พอดี

“เอ็น มาคุยกับฉันที่ห้องทำงานส่วนตัวหน่อย เอากระดาษรหัสมาด้วยนะ”

ลลนาหลิ่วตาให้เด็กหนุ่มพลางเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานของตนเอง จำต้องยุติสงครามไว้ชั่วคราว

บีมองกลับมาด้วยสายตาไม่ไว้ใจนัก ก่อนจะยกมือขึ้นลูบใบหูแดงจัดของตนเองแรงๆ หลายครั้ง แล้วก้มหน้าก้มตาลงเขียนรหัสลับของเขาต่อไป

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น