7

ตอนที่ 6

 “พวกเธอก็เหมือนกันบีกับเจ กลับไปทำงานเสียที แล้วก็เลิกปาเครื่องบินกระดาษได้แล้ว”

ลลนาทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะทำงานใหม่เอี่ยมซึ่งยังไม่มีข้าวของหรือเครื่องใช้สำนักงานมากนัก มีเพียงคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่หนึ่งเครื่องวางอยู่ ยังไม่ทันได้สำรวจอะไรมากไปกว่านั้น ก็ได้ยินเสียงห้าวห้วนอยู่ใกล้ๆ

“นี่คืองานของคุณ”

กระดาษแผ่นหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยตัวอักษรแปลกตาเต็มเป็นพรืดกับสัญลักษณ์ที่ไม่เห็นถูกวางลงตรงหน้าหลังสิ้นคำสั่ง

หญิงสาวก้มลงมองกระดาษตรงหน้าก่อนจะเงยหน้ามองคนนำมาวางราวกับจะถาม แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีคำอธิบายใดๆ นอกจากความเงียบงัน และในที่สุดเธอก็ทนไม่ไหว ต้องเปิดปากถาม

“นี่มันคืออะไรคะ”

“รหัสที่คุณจะต้องไขปริศนา”

แอลทูตอบแบบที่ไม่ได้ให้ความกระจ่างแก่เธอเลยแม้แต่น้อย เสียงห้วนห้าวบ่งบอกความรำคาญโดยไม่ปิดบัง ก่อนที่ร่างสูงใหญ่เกินหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตรจะก้าวกลับไปยังบริเวณที่ลลนาเดาว่าน่าจะเป็นโต๊ะทำงานส่วนตัวของเขา ซึ่งเต็มไปด้วยเอกสาร คอมพิวเตอร์และเครื่องมืออิเล็กโทรนิกทันสมัยต่างๆ ที่น่าเวียนหัว

“ฉันรู้แล้วค่ะว่ามันคือรหัส แต่ใจคอคุณจะไม่อธิบายอะไรหน่อยเลยเหรอ ว่ามันคืออะไร ได้มายังไง และต้องการให้ฉันทำอะไรกับมัน”

ใบหน้าแกร่งกระด้างยังคงบึ้งตึงไร้รอยยิ้ม ดวงตาคมสีเทาควันบุหรี่ไม่มองมาทางเธอสักนิดยามที่อธิบายว่า

“กระดาษที่อยู่บนโต๊ะของคุณคือข้อความที่ทางเราได้มาจากเจ”

“เจน่ะเหรอคะ? เด็กสาวคนเดียวกับที่นั่งอยู่ในห้องประชุมเมื่อวาน” ลลนาถาม

“ใช่ เราส่งเธอปลอมตัวเข้าไปสอดแนมในวิลลาของนักค้าอาวุธสงครามที่ชื่อว่าคอนสแตนติน แบร์นาร์ด และเราเชื่อกันว่าอักขระโบราณในกระดาษแผ่นนั้นคือรหัสลับ เพื่อบอกใบ้บางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการหายไปของภาพเขียนหลายภาพจากพิพิธภัณฑ์ชื่อดังที่เป็นข่าว”

ลลนาอ้าปากค้าง มองตัวหนังสือละลานตาด้วยความทึ่ง

“โอ้โฮ! แล้วเจจดกลับมาได้ยังไง ยาวเหยียดขนาดนี้”

“เจเป็นอัจฉริยะด้านความจำ แม้จะเห็นเอกสารเพียงแวบเดียวก็สามารถจดจำรายละเอียดทุกตัวอักษร และกลับมาถ่ายทอดให้พวกเราฟังได้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน ราวกับสมองของเธอเป็นเครื่องบันทึกภาพ”

“ว้าว น่าตื่นเต้นจัง แล้วบีล่ะคะ เด็กหนุ่มชาวเกาหลีน่ะ”

ยังไม่ทันที่แอลทูจะตอบคำถาม เสียงโหวกเหวกก็ดังมาจากหน้าห้อง ประตูด้านหน้าถูกผลักเข้ามา พร้อมๆ กับใบหน้าขาวใสแบบหนุ่มเกาหลีแท้ๆ ที่โผล่เข้ามาตามรอยแง้มของช่องประตู

“ผมเชี่ยวชาญด้านถอดรหัสครับพี่ ขอแค่พี่อ่านไอ้ตัวยึกยือพวกนั้นออก ผมก็สามารถถอดรหัสได้ว่ามันหมายถึงอะไร”

“เยี่ยมไปเลยจ้ะบี” ลลนายกนิ้วโป้งทั้งสองนิ้วชูให้เด็กหนุ่ม

“ขอบคุณมากครับ และยินดีที่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการนะครับพี่เอ็น ตอนแรกผมนึกว่าพี่จะไม่ร่วมทีมกับพวกเราซะแล้ว”

“ฉันบอกแล้วไงว่าพี่เขาต้องช่วยพวกเราแน่นอน” เด็กสาวชาวไทยที่ชื่อเจซึ่งเดินตามมาบอกเบาๆ ก่อนจะหันมาส่งยิ้มน่ารักให้เธอ ลลนาจึงส่งยิ้มกว้างกลับไป

หญิงสาวเห็นแอลทูกวาดตามองพวกเธอทีละคน แล้วลอบถอนใจออกมา ก่อนจะบอกเสียงหนักคล้ายๆ กับกำลังอดทนอย่างที่สุด

“พวกเธอมาทำงานสายอีกแล้วนะเจ บี”

“ก็ไม่เห็นจะมีอะไรให้ทำซักหน่อยนี่คะพี่แอลทู ไม่เห็นต้องซีเรียสเลย” เจบอกเสียงเบา

“อย่าแก้ตัว ไปทำงานได้แล้ว”

“ค่ะ”

“ครับ”

เด็กสาวและเด็กหนุ่มตอบรับแทบจะพร้อมกัน

เมื่อแอลทูจัดการสองเด็กได้แล้ว ก็หันมาจัดการลลนาต่อ

“เจทำหน้าที่ของเธอแล้ว ตอนนี้เป็นหน้าที่ของคุณที่จะต้องอ่านรหัสพวกนี้ให้ออก หรือแปลออกมาเป็นภาษาสากล เพื่อส่งต่อให้บีเป็นคนถอดรหัสต่อไป”

ลลนากลอกตาขึ้นด้านบน ถามเสียงเหนื่อยหน่าย

“ฉันมีเวลากี่เดือนที่จะทำงานนี้คะ”

“นานที่สุดแค่สองสัปดาห์”

“สองสัปดาห์ คุณจะบ้าไปแล้วหรือ รู้บ้างไหมว่าอักขระพวกนี้มันไม่ใช่มีแค่ชนชาติเดียวนะ มันมีหลายชนชาติปนกันอยู่”

ดวงตาคมสีเทาควันบุหรี่ฉายแววแปลกใจแวบหนึ่งกับคำพูดของเธอ ก่อนจะกลับไปสงบราบเรียบเหมือนเดิม ชายหนุ่มพยักหน้าง่ายๆ บอกสั้นๆ

“ใช่ เราได้รับการยืนยันมาแล้วว่ามีหลายอักขระปนกันอยู่”

“แสดงว่ามันยาก”

“แสดงว่าทำไม่ได้”

“แสดงว่าเวลามันน้อยเกินไปต่างหาก” ลลนาโวย

“ก็ไหนบอกเองว่าเป็นอัจฉริยะ”

“อัจฉริยะก็คนนะคะคุณ ไม่ใช่คอมพิวเตอร์ จะได้ประมวลผลได้เร็วขนาดนั้น จิ้มปุ๊บ ได้คำตอบปั๊บ”

แอลทูหรี่ตาลงเล็กน้อย ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วเดินส่ายอาดๆ มาหา ก่อนจะบอกอย่างเป็นต่อ

“คุณรู้ไหมว่าบีสามารถถอดรหัสสิบหกหลักได้เร็วกว่าคอมพิวเตอร์ถึงสามเท่าตัว...เพราะเขาเป็นอัจฉริยะตัวจริงเสียงจริง ไม่ได้แอบอ้าง”

“ฉันไม่ได้แอบอ้าง”

“พิสูจน์สิ”

“ได้ แล้วเราจะได้เห็นดีกันนายแอลทู ไม่ใช่สิ นายปลาทู”

“อะไรคือ...ปลาทู”

“ก็หน้าตาอย่างคุณไง เหมือนปลาทู ไม่ใช่ปลาทูธรรมดาด้วยนะ แต่เป็นปลาทูแม่กลอง หน้างอ คอหัก”

ลลนาพูดจบก็สะบัดหน้าหนี ‘ปลาทู’ คว้ากระดาษแผ่นเดียวที่มีมาอ่านดูด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน ปล่อยให้คนที่ถูกปรามาสว่าหน้าเหมือนปลาทูยืนงงอยู่เพียงลำพัง

เลนนอน สวอร์ด หรือที่ใครๆ เรียกว่าแอลทู เดินกลับมาที่โต๊ะทำงานของตนเองด้วยความหงุดหงิด มือหนาดึงลิ้นชักชั้นบนสุดออก หยิบขวดยาลดกรดในกระเพาะเนื่องจากความเครียดมาโยนใส่ปาก แล้วกระดกน้ำจากขวดตามจนหมด

ใบหน้าคร้ามเข้มส่ายไปมาอย่างเหลืออด กรามแกร่งขบกันจนเป็นสันนูนเพื่อลดทอนความหงุดหงิดที่เกิดขึ้น

เขาลอบเห็นหญิงสาวผู้มาใหม่ถอนใจเฮือกๆ เป็นระยะ ก่อนจะทิ้งคางเกยลงบนโต๊ะทำงานในส่วนของเธอ มือเรียวคว้าปากกาสะท้อนแสงหลากสีขึ้นมาขีดๆ เขียนๆ อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอีกพักใหญ่ แล้วจึงเปลี่ยนไปหัวเราะคิกคัก

ให้ตายเถอะ...ผู้หญิงคนนั้นเป็นอัจฉริยะจริงๆ ใช่ไหม

หญิงสาวก้มหน้าก้มตาเขียนอะไรขยุกขยิกใส่กระดาษอยู่อีกสักพัก เลนนอนได้แต่หวังว่าเธอคงไม่ได้วาดรูปการ์ตูนเล่นเป็นพอ

สายลับหนุ่มหันไปมองอีกทางก็เห็นเด็กหนุ่มกับเด็กสาวบีและเจ กำลังสุมหัวกับพับกระดาษขนาดเอสี่ให้เป็นรูปเครื่องบิน และแข่งกันปาไปรอบห้องว่าของใครจะไปได้ไกลกว่ากัน

มิหนำซ้ำเครื่องบินลำหนึ่งยังลอยมาตกอยู่แทบเท้าของเขาเสียด้วย ปีกของมันถูกระบายด้วยสีฟ้าสะท้อนแสง ตกแต่งด้วยรูปหัวกะโหลกสีแดงเข้มและเครื่องหมายต่างๆ ราวกับเครื่องบินรบ

โอ...นี่เขากำลังทำงานกับพวกอัจฉริยะในองค์กรลับจริงๆ ใช่ไหม หรืออันที่จริงเขากำลังอยู่ในโรงเรียนอนุบาลกันแน่

เลนนอนพยายามใช้สมาธิในการอ่านเอกสารเกี่ยวกับข่าวกรองที่เพิ่งได้รับอยู่ได้ไม่นาน คนตัวเล็กซึ่งชายหนุ่มถือว่าเป็น ‘เด็ก’ อีกคนก็กลับมาป้วนเปี้ยนอยู่ข้างเขา

“นี่คุณ ถึงเวลาพักเที่ยงหรือยัง”

“ยัง” ชายหนุ่มตอบไม่มองหน้า

อันที่จริง ในองค์กรนี้มีแค่เวลาเริ่มงาน แต่ไม่มีเวลาพักเที่ยงหรือเวลาเลิกงาน เชอร์ชิลให้อิสระกับทุกคนอย่างเต็มที่ ทว่าไม่มีวันเสียหรอกที่เขาจะบอกแม่ตัวดีให้รู้

“อีกนานไหม” หญิงสาวยังวนเวียนถาม

“ไม่นาน ราวๆ ครึ่งชั่วโมง” เขาโกหก

“เหรอ นานจัง”

“กลับไปโต๊ะคุณได้แล้ว”

“นี่อะไร” เสียงใสถามเจื้อยแจ้ว ก่อนที่มือเรียวจะคว้านาฬิกาของเขาซึ่งถอดวางอยู่ตรงมุมโต๊ะขึ้นดู

“ระวัง!!!”

เลนนอนกดหัวกลมๆ เล็กๆ ของเธอให้แนบลงกับบ่าเขาในจังหวะที่สปริงจากนาฬิกาดีดตัว ส่งลูกเหล็กเม็ดกลมจิ๋วแต่อานุภาพร้ายกาจพุ่งออกมาเฉียดใบหน้าของแม่จอมยุ่งไปเพียงนิดเดียว

ลูกเหล็กนั้นพุ่งตรงไปกระทบกับกำแพงอีกฝั่งหนึ่งก่อนจะแตกกระจายแล้วร่วงลงสู่พื้นห้อง ได้ยินเสียงฟู่คล้ายกับสารเคมีกำลังทำปฏิกิริยากับพรมที่พื้นห้องจนเป็นรู บีกับเจรีบวิ่งมาดูเหตุการณ์อย่างตื่นเต้น ในมือยังคงมีเครื่องบินกระดาษสีแสบตาอยู่

“ให้ตายเถอะ” เลนนอนสบถออกมายาวที่สุดในชีวิต “คุณอยู่เฉยๆ เป็นไหม”

“ฉันขอโทษ ก็แค่อยากรู้ว่ามันคืออะไร”

ใบหน้าเล็กรูปหัวใจหดเหลือสองนิ้วอย่างรู้สึกผิด ไม่เหลือร่องรอยถือดี เถียงเขาฉอดๆ อย่างเมื่อตอนสายเลยสักนิด

“แล้วทีนี้รู้หรือยังว่าของทุกอย่างมีอันตราย ไม่ใช่จะจับสุ่มสี่สุ่มห้าได้”

“ก็บอกแล้วไง...ว่าขอโทษ”

สายลับหนุ่มชี้นิ้วไปที่โต๊ะทำงาน

“กลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานของคุณแล้วลงมืออ่านและแปลอักขระพวกนั้นให้เสร็จ พิสูจน์ให้ผมเชื่อหน่อยว่าคุณไม่ใช่เด็กอมมือ แต่เป็นอัจฉริยะอย่างที่เชอร์ชิลพูดจริงๆ”

หญิงสาวค้อนขวับ ลุกขึ้นก้าวฉับๆ กลับไปยังพื้นที่ในส่วนของเธอ กระโปรงสั้นเป็นชั้นๆ สีสายรุ้งสะบัดส่ายตามแรงกระแทกกระทั้นของเจ้าของ เผยให้เห็นเรียวขาเพรียวกระชับกับผิวกายสีน้ำผึ้งนวลเนียนลออตา

เมื่อคิดว่าเขาไม่ได้มอง ก็ขยับปากขมุบขมิบ แลบลิ้นปลิ้นตาใส่

“แล้วไม่ต้องมาทำปากยื่นปากยาวใส่ผมด้วย ผมไม่ใช่เพื่อนเล่นของคุณ”

เลนนอนบอกเสียงเข้มก่อนจะหันมาหา ‘เด็ก’ อีกสองคนที่เหลือซึ่งกำลังแอบหัวเราะกันเบาๆ

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น