บทที่ ๑

บทที่ ๑ 

ลางอัปมงคล

สิบเจ็ดปีต่อมา

ณ บ้านไม้ครึ่งปูนสีขาวหลังไม่ใหญ่แต่ก็ไม่เล็กด้วยห้องนอนสามห้อง บริเวณบ้านปลูกต้นไม้ร่มรื่นและมีสวนหย่อมเล็กๆ อยู่หน้าบ้าน เสียงไก่ขันประหนึ่งไก่สำลักน้ำดังมาจากนาฬิกาปลุกรูปไก่เพราะถ่านใกล้จะหมด มันดังอยู่อย่างนั้นอึดใจใหญ่ก่อนที่คนบนเตียงจะรู้สึกตัวตื่นและควานมือหาเสียงกวนประสาทนั่นเจอ แล้วกดปุ่มปิดเสียงที่อยู่บนหัวไก่ ก่อนจะปรือตาขึ้นมองหน้าปัดนาฬิกาอย่างเกียจคร้าน

“เจ็ดโมงแล้วเหรอเนี่ย...”

คนเพิ่งตื่นงึมงำขณะลุกขึ้นนั่ง นิ้วมือเรียวยาวสวยยกขึ้นเสยผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้ารูปไข่บูดบึ้งเมื่อหวนนึกถึงช่วงก่อนตื่นที่ดันฝันถึงเรื่องราวในอดีตที่อุตริไปสารภาพรักกับพี่ชายแถวบ้านเมื่อสิบเจ็ดปีก่อน มันเป็นรักแรกของวัยใสที่กลายเป็นความทรงจำที่ยากจะลืม เพราะหลังจากสารภาพรัก หล่อนก็ถูกหักอกทันที

“ฝันบ้าอะไรก็ไม่รู้”

เจ้าตัวบ่นก่อนจะสะบัดผ้าห่มลุกออกจากเตียง เดินงัวเงียไปเปิดม่านดูความสว่างด้านนอกเพื่อให้แน่ใจว่าเจ้านาฬิกาปลุกใกล้อวสานไม่ได้ปลุกผิดเวลา ก่อนจะเดินงัวเงียไปหยิบผ้าเช็ดตัวไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เพราะวันนี้หล่อนมีงานพิเศษที่ต้องไปทำ นั่นก็คือแฮนด์ทาเลนต์ หรือนางแบบมือ

พริตาหรือกุ้งเริ่มต้นการเป็นนางแบบมือเมื่อสองปีก่อน หลังจากสมัครเข้าคริสตัลโมเดลลิงโดยการชักชวนของพี่ปุ้ย พีอาร์สาวอารมณ์ดีของบริษัทโมเดลลิงซึ่งเป็นลูกค้าประจำของร้านกาแฟที่หล่อนเป็นเจ้าของ

ความจริงแล้วอาชีพหลักของหล่อนคือครูสอนศิลปะวาดรูปสีน้ำ หล่อนมีสตูดิโอสอนศิลปะชื่อซันไชน์สตูดิโอ เป็นสตูดิโอเล็กๆ อยู่ในตึกแถวให้เช่าห่างจากบ้านไปแค่สามกิโลเมตร ชั้นสองและชั้นสามเป็นห้องเรียน ส่วนชั้นล่างเป็นร้านกาแฟให้ผู้ปกครองนั่งรอ และมีเครื่องดื่มกับขนมให้นั่งกินระหว่างรอด้วย 

ร้านกาแฟนี้เองที่ทำให้หล่อนได้เจอพี่ปุ้ยซึ่งเป็นลูกค้า การได้คุยกันหลายๆ ครั้งทำให้พี่ปุ้ยสังเกตเห็นมือและนิ้วมือของหล่อนว่าเรียวยาวสวย จึงคะยั้นคะยอกึ่งเชียร์ให้ลองสมัครเข้าสตูดิโอโมเดลลิง

ตอนแรกพริตาปฏิเสธเพราะคิดว่าตนไม่เหมาะกับงานแบบนี้ แต่สุดท้ายก็ใจอ่อนยอมไปสมัครโมเดลลิง สามเดือนต่อมาหล่อนก็ได้งานนางแบบมืองานแรก มันเป็นงานเล็กๆ แต่พอได้ทำแล้วก็รู้สึกสนุก จึงทำต่อมาเรื่อยๆ แต่หล่อนไม่ใช่ตัวท็อป จึงไม่ได้มีงานเข้ามาถี่เหมือนคนอื่น 

งานส่วนใหญ่ของหล่อนจะเป็นงานเล็กๆ ถ่ายแบบมือให้ลูกค้าที่เป็นแบรนด์ธุรกิจขนาดกลางจนถึงขนาดเล็ก จำพวกผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับผิวพรรณ สบู่ เจลอาบน้ำ สปาและสมุนไพร ที่อยากสร้างความน่าสนใจให้ผลิตภัณฑ์ของตน จึงจำเป็นต้องใช้นางแบบมือเข้าช่วย

พริตาอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยก็เสียเวลาทาครีมบำรุงผิวทั้งมือ ทั้งแขน ทั้งตัวอยู่หลายนาที เพราะความชุ่มชื้นของผิวเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนางแบบมือ การใส่ใจดูแลสภาพผิวและทาครีมจึงถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของงานด้วยเช่นกัน

ทว่าระหว่างที่กำลังนั่งทาครีมอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง จู่ๆ ในกระจกก็พลันปรากฏร่างโปร่งแสงของผู้หญิงคนหนึ่งที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายกันกับหล่อน

“อุ๊ย! ตกใจหมดเลย”

หล่อนอุทานแล้วแยกเขี้ยวใส่กระจก แต่เจ้าของร่างในกระจกกลับยิ้มแฉ่งให้อย่างอารมณ์ดี แถมยังทักทายเลียนแบบนิทานชื่อดังเข้าให้

“กระจกวิเศษบอกข้าเถิด ใครงามเลิศในปฐพี”

พริตาส่ายหน้าขำๆ ก่อนจะเอานิ้วจิ้มกระจกตรงหน้าไปทีหนึ่งอย่างหมั่นไส้ 

“นี่แน่ะ นึกจะโผล่ก็โผล่มา ทำแบบนี้บ่อยๆ สักวันกุ้งได้หัวใจวายตายกันพอดี” 

“ก็เห็นยังอยู่ดีนี่นา แบร่”

ผู้หญิงในกระจกตอบแล้วแลบลิ้นใส่อย่างเย้าแหย่ ก่อนจะหายตัวออกจากกระจกมายืนอิงโต๊ะเครื่องแป้งข้างๆ คนที่นั่งทาครีมอยู่ ร่างของเจ้าหล่อนโปร่งแสง ดวงตาก็ไร้ชีวิต แต่ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ละม้ายคล้ายพริตาไปหมด แม้แต่รูปร่างและความสูงยังเท่ากัน เพราะเจ้าหล่อนคือฝาแฝดของพริตา!

พริตาเกิดมาพร้อมกับแฝดพี่ที่ชื่อพริมาหรือกลอย แม่ตั้งชื่อเล่นให้ทั้งสองคนว่ากลอยกับกุ้ง เพราะตอนท้องอยากกินแต่ข้าวเหนียวหน้ากุ้งกับข้าวเหนียวหน้ากลอย ทั้งสองคนโตมาด้วยกันและอยู่ด้วยกันมาตลอด โดยมีแม่ที่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวคอยเลี้ยงดู เพราะพ่อเสียชีวิตไปตอนที่ทั้งสองอายุได้สี่ขวบ 

แต่แม้จะขาดพ่อไป ครอบครัวก็ไม่เคยลำบาก เพราะพ่อรอบคอบทำประกันชีวิตไว้และมีเงินเก็บกับบ้านหลังนี้ที่คุณปู่กับคุณย่าซื้อให้เป็นของขวัญแต่งงาน จึงอยู่กันได้อย่างสบาย ไม่ขัดสนแต่ก็ไม่ได้ฟุ่มเฟือย

พริตาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับแม่และฝาแฝดมาโดยตลอด แต่แล้ววันหนึ่งเมื่อสิบสามปีก่อน โชคชะตาก็ใจร้ายพรากคู่แฝดไปจากหล่อน มีรถยนต์เฉี่ยวชนพริมาได้บาดเจ็บสาหัส ล้มอยู่ข้างถนน แต่ไม่มีใครเห็นเหตุการณ์และไม่มีกล้องวงจรปิด ที่รู้เพราะมีกระจกมองข้างหล่นอยู่ 

พริมาถูกส่งตัวไปโรงพยาบาล แต่เพราะบาดเจ็บสาหัส หมอจึงบอกให้ทำใจเพราะพริมาไม่ตอบสนองอะไรแล้ว แม่ไม่อยากให้ลูกสาวเป็นเจ้าหญิงนิทรา จึงปล่อยให้พริมาหลับไปอย่างสบายที่สุด

หลังจากพริมาตายไปได้สามเดือน จู่ๆ วิญญาณของเจ้าตัวก็กลับมาที่บ้าน ทั้งที่ช่วงเจ็ดวันแรกที่ใครหลายคนบอกว่าคนตายจะกลับมาหา พริมากลับไม่มาเลยแม้แต่น้อย 

แรกๆ พริตาก็กลัวอยู่บ้าง แต่เมื่อทำความเข้าใจและได้คุยกับพริมา จึงเข้าใจได้ว่าแฝดพี่ไม่ได้มาหลอกหลอน แต่เพราะยังเป็นห่วงหล่อนกับแม่จึงคอยมาอยู่ใกล้ๆ แล้วก็ไม่อยากให้บอกเรื่องที่สื่อสารกันได้ให้แม่รู้ด้วย เพราะกลัวแม่ทำใจไม่ได้ พริตาจึงเก็บเรื่องที่สื่อสารและมองเห็นพริมาไว้ แล้วค่อยๆ ชินกับการมีพริมาอยู่ด้วย แค่อยู่กันต่างภพภูมิเท่านั้น

ทั้งสองคนใช้ชีวิตแบบสองแฝดต่างภพภูมิมาได้ปีกว่า แล้ววันหนึ่งก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้ ระหว่างพริตาที่กำลังคุยกับพริมาตามปกติ แม่ก็มาเห็นเข้าโดยบังเอิญว่าพริตาเหมือนคุยกับใครอยู่ 

สองแฝดจนใจจะปิดบัง พริมาจึงยอมให้พริตาบอกความจริงกับแม่ว่า ตนที่เป็นวิญญาณอยู่ตรงนี้และยังคงอยู่ใกล้ๆ เสมอ ตอนแรกแม่ไม่ยอมเชื่อ จนพริมาต้องพิสูจน์ด้วยการบอกผ่านพริตาไปว่า ของที่แม่หาอยู่และยังหาไม่เจอตกอยู่หลังตู้เสื้อผ้า แล้วก็เข้าไปกอดแม่ให้ได้สัมผัสถึงไอเย็น ให้รู้ว่าหล่อนอยู่ตรงนี้จริงๆ 

แม่ถึงกับร้องไห้โฮ สงสารและคิดถึงลูกสาวฝาแฝดที่ตายจากไป เพราะการอยู่แต่ไม่ได้เห็นกันมันทรมานกว่าการจากลาเสียอีก แต่พริมาบอกผ่านพริตาว่ามันเป็นโชคชะตา อีกอย่างตนก็หลับไปอย่างสบายและเข้าสู่ภพภูมิที่ดี ไม่ได้เจ็บปวดทรมานใดๆ ตอนนี้ไม่ใช่วิญญาณที่ติดอยู่ในบ่วงทุกข์ด้วย แค่เป็นวิญญาณที่พอใจจะเฝ้ามองดูแม่และน้องสาวฝาแฝดต่อไป จนกว่าจะถึงวันที่คิดว่าสมควรแก่เวลาแล้วจึงจะจากไปจริงๆ แม่จึงยอมเข้าใจและทำใจได้ 

หลังจากนั้นหลายปีต่อมา พริตาก็โตเป็นสาวสะพรั่ง ส่วนพริมาก็ไม่ได้หยุดรูปลักษณ์ไว้ที่เด็กอายุสิบหกตอนที่ตาย กลับกลายเป็นผู้หญิงที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายพริตาไปพร้อมกัน แล้วก็อยู่กันมาแบบนี้ตลอด เป็นความคุ้นชินที่ไม่สามารถเล่าให้ใครฟังว่าคนบ้านนี้ยังพูดคุยกับคนที่ตายไปแล้วเหมือนเดิม โดยมีแค่พริตาเท่านั้นที่มองเห็นพริมา

“วันนี้ใส่สีชมพูนะ ถูกโฉลก รับรองว่ามีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นแน่” วิญญาณแฝดที่ตั้งตัวเป็นแม่หมอเจ้าสำนักประจำตัวบอกพลางยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างมีเลศนัย

“มีเรื่องดีๆ แน่เหรอ ทำไมยิ้มกรุ้มกริ่มชอบกล”

“ดีสิ ดีจริงๆ ดีมากด้วย” วิญญาณสาวยืนยัน 

พริตาหรี่ตามองอย่างไม่ไว้ใจ เพราะรู้ว่าฝาแฝดของตัวเองขี้เล่นระดับไหน ชอบแหย่ที่หนึ่ง แล้วก็ชอบปั่นหัวเล่นมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เพราะฉะนั้นเรื่องดีที่ว่าต้องคูณพันหารแสนถึงจะได้คำตอบที่แท้จริง

“เชื่อดีไหมเนี่ย”

“เชื่อสิดี ไม่เชื่อแหละไม่ดี อ้อ แล้วก็ต้องใส่ส้นสูงให้ดูสูงเพรียวด้วยนะ วันนี้ต้องให้ดูโดดเด่นหน่อย”

“หือ...นี่ไปถ่ายแค่มือเองนะ”

“ถ่ายแค่มือก็ต้องสวย เชื่อกลอยเถอะ วันนี้สีชมพูนำโชค!”

วิญญาณพริมากล่าวจบก็หายตัวไป พริตาได้แต่ส่ายหน้ากับการแวบไปแวบมาของฝาแฝด จากนั้นก็ทาโลชั่นบำรุงผิวต่ออีกพักใหญ่ เสร็จเรียบร้อยก็เสียเวลาเป่าผมและแต่งหน้าอีกเล็กน้อย แล้วเลือกชุดตามสีที่ฝาแฝดบอก 

หล่อนเลือกเสื้อไหมพรมแขนกุดสีชมพูอ่อน สวมทับด้วยเสื้อเบลเซอร์สีขาวให้ดูเป็นงานเป็นการเล็กน้อย แต่ไม่ได้เป็นทางการเสียทีเดียว เข้าคู่กับกางเกงยีนสีน้ำเงินเข้มดูเรียบร้อย ทำให้ดูผอมเพรียวมากขึ้น เพราะหล่อนไม่ใช่คนตัวสูง ก็ต้องพึ่งตัวช่วยเป็นธรรมดา

พริตาเดินลงมาชั้นล่างไปยังห้องครัวทำขนม มองผ่านประตูกระจกเข้าไปเห็นแม่ยืนอยู่ในนั้น เมื่อก่อนแม่ของหล่อนเคยเปิดร้านขายขนมปังที่ตึกแถวใกล้ๆ ตลาดเช้าที่อยู่ถัดไปสามซอย ขนมที่เป็นของแนะนำของร้านคือขนมปังไส้น้ำพริกเผา ขนมปังไส้กรอกไก่ และขนมปังไส้คัสตาร์ดครีม เน้นขายราคาไม่แพงสำหรับให้เด็กไปกินที่โรงเรียนหรือแม้แต่สำหรับให้คนทำงานเอาไว้กินตอนเช้าๆ ในวันที่รีบเร่ง แต่หลายปีผ่านไปตึกแถวบริเวณนั้นถูกรื้อทิ้ง บวกกับแม่อายุมากขึ้น จึงหันมาทำขนมที่บ้านและขายออนไลน์แทน โดยปรับเปลี่ยนเป็นทำขนมเค้กวันเกิดตามพรีออร์เดอร์ ควบคู่กับทำเค้กวางขายที่ร้านกาแฟของหล่อน 

“จ๊ะเอ๋ แม่ขา เช้านี้มีอะไรกินบ้าง ฮิ้วหิว” หล่อนส่งเสียงทันทีที่เปิดประตูห้องครัวทำขนมและชะโงกหน้าเข้าไป 

บ้านหลังนี้มีห้องครัวสองห้อง แยกกันชัดเจนระหว่างครัวอาหารกับครัวทำขนมเพื่อไม่ให้กลิ่นตีกัน ระหว่างห้องครัวสองห้องมีประตูกระจกบานเลื่อนแยกเป็นสัดเป็นส่วน 

“ลงมาก็หิวเลยลูกคนนี้” คนเป็นแม่ส่งเสียงมาก่อนจะบอก “มีข้าวมันไก่ แม่ให้ผิงไปซื้อที่ตลาดมาแล้ว กำลังจัดจานอยู่ในครัว เดี๋ยวแม่ดูของตรงนี้เสร็จแล้วจะไปกินด้วย กุ้งไปดูซิว่าผิงเตรียมข้าวใส่จานเสร็จหรือยัง”

“ค่าๆ”

พริตารับคำแล้วเดินเข้าไปในห้องครัวอีกห้อง เห็นสาวน้อยวัยรุ่นกำลังเอาข้าวมันไก่ที่ซื้อมาใส่จาน ผิงเป็นหลานของน้านวลซึ่งเป็นลูกมือช่วยทำขนมของแม่เมื่อหลายปีก่อน เรียนจบแค่ชั้นประถมปีที่หก พ่อแม่ของผิงแยกทางกัน ผิงเลยมาอยู่ในความดูแลของน้านวล ต่อมาน้านวลแต่งงานแล้วย้ายไปอยู่กับสามีที่เชียงใหม่ แต่ผิงไม่อยากไปอยู่ที่นั่นเพราะชอบอยู่กรุงเทพฯ มากกว่า เลยขอเป็นลูกมือของแม่หล่อนต่อจากน้านวล จนเป็นเหมือนลูกสาวคนเล็กของบ้านนี้ไปแล้ว 

“ผิง จัดจานเสร็จหรือยัง พี่หิวจะแย่แล้ว”

“เกือบแล้วพี่กุ้ง ถ้าพี่กุ้งหิวมีปาท่องโก๋บนโต๊ะ โซ้ยรองท้องก่อนได้เลยค่ะ”

ผิงร้องบอก แล้วจึงถือถาดที่มีข้าวมันไก่สามจานไปวางบนโต๊ะอาหารหน้าห้องครัวติดกับห้องรับแขก พริตาจึงเดินไปหยิบขวดน้ำในตู้เย็น แล้วเดินไปยังโต๊ะอาหารที่ผิงเตรียมแก้วไว้ให้ เมื่อทุกคนพร้อม มื้อแรกของวันก็กลายเป็นมื้ออร่อยและมื้อเมาท์มอยอีกเช่นเคย

“วันนี้มีถ่ายงานเหรอกุ้ง” คนเป็นแม่เดาได้จากการแต่งตัว เพราะปกติลูกสาวจะใส่เสื้อผ้าสบายๆ และแต่งหน้าอ่อนกว่านี้ ยกเว้นเวลาต้องไปทำงานพบปะคนอื่น จึงจะแต่งหน้าเข้มขึ้นมานิดหนึ่ง

“ค่ะ คราวนี้เป็นบริษัทผลิตและจัดจำหน่ายสบู่อรเนตรที่แม่ใช้อยู่นั่นเลย”

“โชคดีจังลูก แล้วใครเป็นพรีเซนเตอร์ล่ะ” บุษบาถามต่อ 

“พรีเซนเตอร์คือจีจี้ อภิสรา ที่กำลังเป็นกระแสอยู่ตอนนี้ค่ะ”

สิ้นเสียงตอบของหล่อนเท่านั้น ผิงก็ทำตาเป็นประกายวิ้งๆ สีหน้าตื่นเต้นสุดๆ พร้อมกันนั้นก็ออดอ้อนขอ

“พี่กุ้งช่วยขอลายเซ็นจีจี้ให้ผิงหน่อยสิคะ นะๆ” ไม่ขอเปล่ายังติดสินบนแถมให้อีกต่างหาก “ถ้าพี่กุ้งได้ลายเซ็นจีจี้มา ผิงจะเลี้ยงหมูกระทะพี่กุ้งกับป้าบุษเลย”

“อื้อหือ ใจป้ำนะเรา ทำไม ชอบดาราคนนี้มากเหรอ”

“หนูเป็นเอฟซีเขาอยู่ ถ้ามีลายเซ็นไว้จะได้เอาไปเมาท์มอยกับป้าสมข้างบ้านด้วยไง”

“อะไร นี่ป้าสมก็เป็นเอฟซีดารากับเขาด้วย” หล่อนเพิ่งรู้ข้อมูลใหม่ว่าป้าข้างบ้านที่สนิทกันก็ชอบดาราคนเดียวกับผิง แต่เพราะผิงพูดออกมา หล่อนจึงหันไปถามแม่ “ว่าแต่แม่เป็นเอฟซีจีจี้กับเขาด้วยหรือเปล่าเนี่ย”

“โอ๊ย แม่ไม่เป็นหรอก แค่เคยได้ยินว่ามีดาราชื่อนี้ แต่หน้าตายังไงแม่ยังจำไม่ได้เลย” บุษบาออกตัวเพราะไม่ได้สนใจดาราจริงๆ แต่มีหรือผิงจะพลาดแหย่ป้าอันเป็นที่รัก

“ป้าบุษไม่ได้เป็นเอฟซีดาราหรอกพี่กุ้ง แค่เอฟซีหมอฮิปโปคนเดียวก็ตามกดไลก์ไม่ทันแล้ว” ผิงแซว เลยโดนบุษบายื่นมือมาหยิกแขนหมับเข้าให้อย่างหมั่นไส้ 

“โอ๊ย ป้าบุษอะ” คนโดนหยิกลูบแขนป้อยๆ แต่แทนที่จะสลดกลับทำหน้าทะเล้นใส่

“ตัวดีนักนะเรา” บุษบาคาดโทษไม่จริงจังนัก 

พริตามองแล้วก็ได้แต่หัวเราะ เพราะรู้ว่าหมอฮิปโปที่ว่าคือหมอดูสุดหล่อชื่อดังทำนายแม่นเว่อร์ที่แม่ชอบแชร์ผลดวงชะตาลงในไลน์กลุ่มบ้านบ่อยๆ

“โอเคๆ พี่จะลองขอให้แล้วกัน แต่ไม่รับปากนะว่าจะสำเร็จหรือเปล่า ต้องดูหน้างาน ดูจังหวะดีๆ ด้วย แต่ถ้าเขาไม่ว่างหรือเหนื่อยจากงานแล้ว พี่ก็ไปขอให้ไม่ได้นะ”

“ยังไงก็ได้ค่ะ แล้วแต่พี่กุ้งเลย รักพี่กุ้งที่ซู้ด” 

ผิงยิ้มแฉ่ง บุษบากับพริตาได้แต่ส่ายหน้าขำๆ ทั้งสามคนกินอาหารไปคุยกันไป จนเมื่อมื้ออาหารใกล้จบ พริตาก็หยิบโทรศัพท์มือถือมาเรียกรถแท็กซี่ เพราะรถยนต์ของหล่อนเข้าอู่ไปทำสี เนื่องจากหลายวันก่อนเจอมอเตอร์ไซค์เฉี่ยวชนฝากรอยแผลไว้ 

เมื่อรถแท็กซี่มาถึงหล่อนก็ขึ้นรถออกไปทำงานพิเศษ โดยไม่รู้เลยว่าวิญญาณของพริมายืนยิ้มกริ่มมองลงมาจากห้องนอน เพราะรู้ว่าวันนี้จะเกิดเหตุการณ์พิเศษอะไรขึ้นกับฝาแฝดของตัวเอง

รถแท็กซี่สีเหลืองแล่นมาจอดหน้าอาคารสูงซึ่งเป็นสำนักงานของบริษัทอรเนตร จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสบู่อรเนตร สบู่สมุนไพรไทยที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดจากแนวโน้มของผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น กินอาหารสุขภาพ ดูแลผิวพรรณด้วยสารจากธรรมชาติ ทำให้ช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ ตลาดสมุนไพรได้รับความนิยมอย่างสูง และมีการแข่งขันสูงขึ้นเช่นเดียวกัน

ดังนั้นเมื่อการแข่งขันทางธุรกิจค่อนข้างสูง การทำให้ผลิตภัณฑ์เป็นที่จดจำได้ก็ต้องพึ่งการโฆษณาจากการจ้างคนดังหรือนักแสดงมาเป็นพรีเซนเตอร์ อรเนตรจึงหันไปคว้าดาราสาวอย่างจีจี้ อภิสรา ดาราดาวรุ่งที่กำลังเป็นกระแส ด้วยบุคลิกแบบสาวสมัยใหม่ มั่นใจในตัวเอง และวางตัวดี

แต่ดาราคนนี้เคยประสบอุบัติเหตุมีแผลเป็นที่ข้อมือมาก่อน เวลาแสดงละครอาจจะเลี่ยงการถ่ายซูมมือหรือให้มือเป็นส่วนประกอบน้อยสุดได้ แต่การโชว์สินค้านั้นเลี่ยงไม่ได้ จึงต้องใช้นางแบบมือเข้าช่วย ซึ่งหล่อนก็คือนางแบบมือที่ได้รับเลือกให้ทำงานในครั้งนี้

พริตาก้าวลงจากรถแท็กซี่ เรือนผมสีน้ำตาลคาราเมลที่มัดเป็นหางม้าพลิ้วไหวเบาๆ เพราะลมที่พัดผ่านซอกอาคารมา ใบหน้ารูปไข่สวยหวานแหงนมองป้ายอาคารอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ก่อนจะขยับเสื้อเบลเซอร์สีขาวที่สวมทับเสื้อไหมพรมสีชมพูแขนกุดให้เข้าที่ แล้วก้มดูท่อนล่างของตัวเองที่สวมกางเกงยีนสีน้ำเงินเข้ารูปกับรองเท้าส้นสูงตามคำแนะนำของวิญญาณฝาแฝด ทำให้จากเดิมที่สูงแค่ร้อยห้าสิบเก้าดูสูงโปร่งขึ้น 

หล่อนก้าวไปยังประตูทางเข้าของอาคาร แล้วตรงไปยังเคาน์เตอร์ต้อนรับด้านหน้า

“ขอโทษนะคะ ดิฉัน พริตา แสงสิริกานต์ เป็นนางแบบแฮนด์ทาเลนต์จากคริสตัลโมเดลลิง มาถ่ายแบบมือกับกองถ่ายคิวส์แอคเซสโพรดักชันเฮาส์ที่นัดไว้ค่ะ”

“รบกวนขอแลกบัตรสำหรับผู้มาติดต่อด้วยค่ะ”

พนักงานแผนกต้อนรับบอกและยิ้มให้อย่างสุภาพ พริตาจึงหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาแล้วส่งใบขับขี่ให้อีกฝ่ายเพราะหยิบง่ายที่สุด พนักงานรับไปจัดการเพียงชั่วครู่ก็ลงทะเบียนสำหรับคนมาติดต่อและยื่นบัตรสำหรับผู้มาติดต่อให้ 

“กองถ่ายของคิวส์แอคเซสอยู่ที่ห้องประชุมชั้นสาม ลิฟต์อยู่ทางนั้น คุณผู้หญิงบอกพนักงานหน้าลิฟต์ได้เลยค่ะ”

“ขอบคุณมากค่ะ”

พริตากล่าวขอบคุณและเก็บบัตรใส่กระเป๋า ก่อนจะเดินไปยังลิฟต์ตามที่พนักงานสาวบอก แต่ขณะเดินก็แว่วเสียงพนักงานที่อยู่ห่างออกไปบริเวณลิฟต์เอ่ยทักทายใครคนหนึ่ง

“สวัสดีครับท่านประธาน”

หญิงสาวมองคนที่ถูกเรียกขานว่าท่านประธาน เห็นเพียงแผ่นหลังของผู้ชายร่างสูงสวมชุดสูทสีเทาเข้มเรียบหรูที่เดินเลี้ยวไปยังโถงหน้าลิฟต์ หล่อนเห็นเขาไม่ชัดนักเพราะเขาอยู่ห่างไปมาก แต่ไม่รู้ทำไมหัวใจเจ้ากรรมกลับสะดุด เพราะด้านหลังของเขาทำให้หล่อนหวนนึกถึงใครคนหนึ่ง คนที่หล่อนฝันถึงก่อนตื่นเมื่อเช้านี้!

‘เลิกนึกถึงเขาเดี๋ยวนี้เลยยายกุ้ง นึกถึงคนที่หักอกเธอเนี่ยนะ ลางอัปมงคลชัดๆ’

หล่อนบอกตัวเองและพยายามไม่สนใจท่านประธานคนนั้น จนกระทั่งเดินมาถึงโถงหน้าลิฟต์ซึ่งมีลิฟต์อยู่หกตัว มีพนักงานผู้ชายสองคนคอยอำนวยความสะดวกและดูแลความเรียบร้อยให้คนที่จะขึ้นไปข้างบน

“ไปชั้นไหนครับ”

“ห้องประชุมชั้นสามค่ะ”

“เชิญทางนี้เลยครับ”

พนักงานว่าแล้วรีบเดินไปยังลิฟต์ด้านในสุด พริตาจึงเดินตามไป จังหวะที่หล่อนกำลังจะผ่านลิฟต์ตัวที่เห็นคนถูกเรียกว่าท่านประธานเดินเข้าไปนั้น ประตูลิฟต์ก็ค่อยๆ ปิดลง ใจหล่อนอยากมองเข้าไป อยากรู้ว่าประธานบริษัทแห่งนี้หน้าตาเป็นอย่างไร แต่กลัวเสียมารยาทจึงไม่ได้หันมอง

พริตาเดินมาถึงลิฟต์เป้าหมาย พนักงานเข้าไปกดเลขชั้นให้ ก่อนจะรอให้หล่อนเข้ามาในลิฟต์เรียบร้อย เขาจึงออกมาข้างนอก พอดีกับที่มีพนักงานสาวสองคนตามเข้ามาด้วย หล่อนเลยถอยไปยืนด้านในสุด แต่ดูเหมือนพนักงานสองคนนี้จะติดพันกับการนินทาเจ้านายอยู่ ขนาดเข้ามาในลิฟต์แล้วยังไม่หยุดพูดถึงเลย

“เมื่อกี้ที่เจอท่านประธานระยะประชิด โอ๊ย ใจละลายหมดเลย หล่อยังไงก็ยังเหมือนเดิม ไม่รู้ทำบุญด้วยอะไร ถ้าผัวที่บ้านหล่อได้ครึ่งของท่านประธานคงดีไม่ใช่น้อย” คนแรกพูด อีกคนหัวเราะและเห็นด้วย

“ก็จริง ใครจะหล่อเหมือนท่านประธานของเรา แต่น่าเสียดาย มีเรือพ่วงลำเบ้อเร่อ”

พริตาซึ่งยืนอยู่ด้านในทำเป็นไม่สนใจ แต่หูนี่ผึ่งเลยทีเดียว

‘อ้อ! ประธานบริษัทนี้หล่อมากแต่มีลูกแล้ว’

หญิงสาวเก็บข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ แล้วแวบหนึ่งก็นึกถึงแผ่นหลังและความเหมือนด้านหลังของท่านประธานคนนั้นกับผู้ชายที่เป็นรักแรกของตัวเองขึ้นมาอีกจนได้

‘โอ๊ย ลางอัปมงคล อย่ามาหลอกหลอนกันได้ไหม!’

หล่อนพยายามปัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป พอดีกับที่ลิฟต์เปิดที่ชั้นสาม หล่อนจึงขอทางออกมา เมื่อออกมาหน้าลิฟต์ก็เห็นป้ายบอกทางไปห้องประชุม จึงเดินไปตามป้ายนั้น แล้วก็เจอทางเข้าห้องประชุมที่มองเผินๆ เหมือนหน้าห้องบอลรูมขนาดใหญ่ในโรงแรมที่ไว้สำหรับจัดงานมากกว่า เพราะเพดานของชั้นนี้ค่อนข้างสูง พื้นปูพรมนุ่มสบายเท้า ผนังก็ตกแต่งบุนวมดูหรูหรา บรรยากาศจึงเหมือนอยู่ในโรงแรมอย่างไรอย่างนั้น

พริตามองซ้ายมองขวาแล้วจึงเข้าไปในห้องประชุม แล้วก็พบผู้กำกับและผู้ช่วยผู้กำกับ โชคดีที่หล่อนเคยร่วมงานกับโพรดักชันเฮาส์นี้มาแล้วสามครั้งจึงค่อนข้างคุ้นเคยกันดี

“สวัสดีค่ะพี่เอก พี่กอล์ฟ” หล่อนยกมือไหว้ทักทายผู้กำกับและผู้ช่วยผู้กำกับกองถ่ายทันทีเมื่อทั้งสองหันมาเห็น

“อ้าว น้องกุ้งมาแล้ว เป็นไงบ้าง เจอกันครั้งสุดท้ายน่าจะ อืม...สามเดือนที่แล้วใช่ไหม”

“ใช่ค่ะ งานซีเคส” พริตาเอ่ยถึงยี่ห้อสินค้าเป็นการเท้าความ เข้าใจดีถ้าผู้กำกับจะลืมว่าเจอหน้าหล่อนครั้งสุดท้ายเมื่อไร ก็วันๆ ต้องเจอนางแบบคนนั้นคนนี้เป็นว่าเล่น แค่จำหน้าจำชื่อกันได้ก็ถือว่าบุญแล้ว 

“ใช่ๆ งานซีเคส” เอกซึ่งเป็นผู้กำกับนึกออกแล้วถามไถ่ต่อ “ว่าแต่กุ้งเป็นไงบ้าง สบายดีไหม”

“สบายดีค่ะ แล้วพี่เอกกับพี่กอล์ฟล่ะคะ”

“เรื่อยๆ เหมือนเดิม แต่ช่วงนี้งานชุกนิดหน่อย เมื่อวานเพิ่งออกกองโฆษณาอีกตัวไป วันนี้ก็ต่อเลย” เอกตอบแล้วทำท่าเหนื่อยใส่ แต่ก็บอกเสริมว่า “แต่มีงานดีกว่าไม่มี นี่จะเป็นหมีแพนด้ากันทั้งกองแล้ว”

กอล์ฟซึ่งเป็นผู้ช่วยผู้กำกับได้ยินแล้วก็หัวเราะก๊าก ก่อนจะถามไถ่พริตา

“แล้วนี่กุ้งกินอะไรมาแล้วหรือยัง”

“กินมาเรียบร้อยแล้วค่ะ”

“ถ้าอยากได้กาแฟกับขนมกระตุ้นสมองหน่อยก็ไปเอาทางนู้นนะ” ผู้ช่วยผู้กำกับบอกพลางบุ้ยใบ้ไปด้านหลังห้องประชุมซึ่งตอนนี้ใช้เป็นสถานที่ถ่ายโฆษณา “ลูกค้าบริษัทนี้ใจดี เขาเตรียมของว่างให้ทีมงานด้วย นี่ยังพอมีเวลาอยู่ กำลังเช็กฉากเช็กไฟขั้นสุดท้ายกัน ถ้าจะกินก็ไปได้เลย”

“ขอบคุณค่ะ งั้นเดี๋ยวกุ้งรอสแตนด์บายแล้วกันค่ะ ไม่รบกวนพี่เอก พี่กอล์ฟแล้วค่ะ”

พริตาบอก แล้วขอตัวไปรอในจุดที่จะไม่เกะกะการทำงานของคนอื่นๆ รวมทั้งไปดูกระดานชูตติงบอร์ดเพื่อทำความเข้าใจบรีฟหน้างานอีกครั้ง จะได้เข้าใจคอนเซปต์งานไปในทิศทางเดียวกับที่ผู้กำกับต้องการ 

หลายนาทีต่อมาการถ่ายงานก็เริ่มต้นขึ้น พริตาถอดเสื้อเบลเซอร์พาดเก้าอี้ไว้ เหลือแค่เสื้อแขนกุดด้านใน แล้วก็เข้าหน้ากล้องตามปกติ หล่อนถ่ายทอดอารมณ์ออกมาด้วยการแสดงท่าทางของมือเพื่อให้คนดูรู้สึกถึงสิ่งที่ต้องการสื่อ ทั้งความเย้ายวน อ่อนหวาน และแรงดึงดูดที่ทำให้คนดูรู้สึกร่วมไปกับสินค้าได้ 

“ขอบิดมือขึ้นอีกนิด แล้วขยับมาข้างหน้านิดนึง นั่นแหละดี โอเค”

ผู้กำกับบอก ขณะที่ช่างภาพลั่นชัตเตอร์อย่างรู้มุมรู้จุดตามที่ได้วางแผนงานกันไว้ พอถ่ายส่วนแรกเสร็จ ส่วนต่อไปก็ตามมา พริตาต้องใช้การแสดงท่าทางของมือสื่อออกไปหลายอย่าง บางครั้งก็ต้องกระดกปลายนิ้วในลักษณะแตกต่างกันไปเพื่อให้ได้อารมณ์ตามที่ผู้กำกับต้องการ 

หล่อนถ่ายมือคู่กับสินค้าอยู่นาน ระหว่างนั้นในกองถ่ายโฆษณาซึ่งแบ่งเป็นสองส่วนก็ทำงานอื่นไปด้วย ในบริเวณที่เซตเป็นฉากถ่ายเอาไว้แล้ว ตอนนี้มีนางแบบที่เป็นพรีไลต์กำลังถ่ายอยู่ นางแบบที่เป็นพรีไลต์นี้จะมีส่วนสูงและสรีระใกล้เคียงกับพรีเซนเตอร์ตัวจริง เพื่อให้มาเป็นแบบทดสอบแสงไฟที่ตกกระทบ ทดสอบมุมกล้องตามที่วางแผนไว้ เพื่อให้การถ่ายโฆษณาออกมาดีที่สุด

พริตาถ่ายงานคู่กับผลิตภัณฑ์ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงคิวดาราสาวที่เป็นพรีเซนเตอร์หลักซึ่งมาถึงนานแล้วแต่ไปแต่งหน้าทำผมในห้องรับรองต้องมาเข้าฉาก เจ้าหล่อนสวยมากสมกับที่เป็นดาราดาวรุ่ง แล้วก็ยิ้มแย้มแจ่มใสทักทายทุกคนอย่างเป็นกันเอง จากนั้นการถ่ายทำกับพรีเซนเตอร์ตัวจริงก็เริ่มต้นขึ้น

ดาราสาวทำให้หล่อนเห็นว่าการเป็นนักแสดงมืออาชีพนั้นมีสปิริตในการทำงานแค่ไหน แม้จะถ่ายหลายเทก แต่ก็ไม่ทำหน้าเมื่อยหน้าเบื่อ สั่งคัตแล้วก็ยังยิ้มแย้มแจ่มใสดี มีบางเทกพริตาต้องสัมผัสลูบไล้ท่อนแขนของดาราสาว ทำประหนึ่งเป็นมือของเจ้าตัวที่กำลังลูบไล้ผิวกาย

หลายชั่วโมงผ่านไป การทำงานในส่วนนางแบบมือก็เสร็จสิ้น ดูเหมือนเป็นงานง่ายๆ แต่ก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด แล้วก็ใช่ว่ากองถ่ายโฆษณาจะเสร็จงานแค่นี้ เพียงแต่ในส่วนการถ่ายพรีเซนเตอร์และนางแบบมือนั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ที่เหลือคือการถ่ายเก็บชิ้นงานและถ่ายองค์ประกอบอื่นๆ ต่อไป

พริตาซึ่งตอนนี้สวมเสื้อเบลเซอร์เรียบร้อยยืนคุยอยู่กับผู้กำกับและผู้ช่วยผู้กำกับ ทั้งสองคนเรียกตัวหล่อนไว้ หล่อนจึงไปขอลายเซ็นอภิสราไม่ทัน เนื่องจากดาราสาวกับผู้จัดการแยกตัวกลับทันที ทำให้หล่อนไม่มีโอกาสเข้าไปหา

หลังจากคุยกับผู้กำกับและผู้ช่วยผู้กำกับเสร็จ หล่อนก็ขอตัวกลับบ้าง หญิงสาวไปยืนรอลิฟต์เพื่อลงไปชั้นล่าง เมื่อลิฟต์ก็มาถึง หล่อนก็ก้าวเข้าไปแล้วกดชั้นจี แต่พอประตูลิฟต์ปิด มันกลับหยุดนิ่งอึดใจใหญ่ ก่อนที่ไฟที่ตัวอักษรจีจะดับลง จากนั้นลูกศรที่ชี้ขึ้นชั้นบนก็สว่างขึ้นพร้อมกับที่ลิฟต์เคลื่อนตัวขึ้น

“เอ้า ไหงงั้นล่ะ สงสัยมีคนกดเรียก”

หญิงสาวพึมพำหน้ามุ่ยแล้วกดชั้นจีอีกครั้ง ลิฟต์เคลื่อนตัวขึ้นไปเรื่อยๆ จากชั้นสามไปจนถึงชั้นสิบหก จากนั้นลิฟต์ก็หยุดแล้วประตูก็เปิดออก

ทว่ากลับไม่มีใครเข้ามาเลยสักคน หล่อนจึงกดปุ่มให้ประตูลิฟต์ปิด แต่มันดันไม่ปิดเสียอย่างนั้น

“เป็นอะไรอีกล่ะเนี่ย”

หล่อนพยายามกดปุ่มให้ประตูปิดหลายรอบ แต่มันก็ยังไม่ยอมปิด แถมยังมีเสียงดังกึงๆ มาจากใต้ลิฟต์ด้วย แค่นั้นคนที่ไม่ค่อยไว้ใจลิฟต์ตั้งแต่แรกก็รีบก้าวออกจากลิฟต์ทันที ไม่อยากค้างอยู่ในนั้น

แต่ดูเหมือนลิฟต์เจ้ากรรมคงจะเกลียดหล่อน เพราะพอหล่อนออกมา เจ้าประตูที่ค้างอยู่เมื่อครู่ก็ปิดลง แล้วเปิดใหม่ แล้วก็ปิดอยู่อย่างนั้น บ่งบอกว่ามันกำลังมีปัญหา

“ดีนะว่าเป็นตอนกลางวัน ถ้าเป็นกลางคืนมีหวังได้คิดว่าผีหลอกแน่ๆ”

พริตาบ่น ทำหน้าเซ็ง แล้วจึงเดินไปจะกดลิฟต์อีกตัว แต่สายตาพลันปะทะกับป้ายที่อยู่เหนือปุ่มกดเรียกลิฟต์ 

ลิฟต์ตัวนี้จอดเฉพาะชั้นเลขคี่/

ส่วนลิฟต์ตัวถัดไปไม่มีไฟขึ้น และมีป้ายเล็กๆ ปิดไว้ที่ประตูลิฟต์ 

ปิดซ่อมบำรุง/

“เอาจริงอะ!”

หญิงสาวคราง แล้วเพิ่งเอะใจว่าตรงโถงรอลิฟต์ชั้นล่างมีลิฟต์อยู่หกตัวและหันหน้าเข้าหากัน แต่พอขึ้นมาถึงตรงนี้กลับมีแค่สามตัว แสดงว่ามีลิฟต์สามตัวที่ขึ้นมาไม่ถึงชั้นบน ขึ้นมาได้แค่ชั้นเตี้ยๆ 

“ก็ได้! ฉันลงบันไดก็ได้ ไม่ง้อหรอก เชอะ!”

คนดวงซวยบ่นอุบ มองลิฟต์อย่างแค้นๆ ก่อนจะมองหาบันได แล้วก็เพิ่งสังเกตว่าชั้นที่ยืนอยู่นี้เป็นโถงกว้าง มีห้องกระจกเล็กๆ สองห้องอยู่ด้านหนึ่ง แต่ปิดไว้ไม่ได้ใช้งาน บริเวณโถงกลางมีต้นไม้ประดับและมีม้านั่งยาวอยู่ใกล้ต้นไม้ ให้ความรู้สึกเหมือนพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจ อีกด้านเป็นผนังกระจกยาวที่มองออกไปเห็นทิวทัศน์ด้านนอก พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นระเบียงชั้นสิบเจ็ดซึ่งมองลงมายังโถงกว้างชั้นสิบหกนี้ได้

ทว่าสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของหล่อนกลับเป็นรูปปั้นหรืออะไรสักอย่างที่อยู่ในตู้กระจกขนาดใหญ่ที่วางอยู่บนฐานสีขาวกลางโถงกว้าง บริเวณฐานมีเสากั้นเชือกกำมะหยี่สีแดงล้อมรอบ

พริตาเดินเข้าไปดูอย่างสงสัย พอเข้าไปใกล้จึงเห็นว่ามันเป็นหงส์ที่แกะสลักจากสบู่ ลวดลายการแกะสลักละเอียดงดงามและประณีตมาก แถมไม่ได้แกะแค่หงส์อย่างเดียว ยังมีดอกไม้แกะสลักตกแต่งด้วย ทำให้เหมือนว่าหงส์ตัวใหญ่นี้เกาะอยู่บนต้นไม้

“สวยจัง ต้องใช้สบู่เท่าไหร่ถึงจะได้ออกมาขนาดนี้ ถ้าให้ฉันแกะสลัก จากหงส์คงกลายเป็นนกเป็ดน้ำ”

หล่อนพึมพำหัวเราะเบาๆ แล้วก็คิดว่าคงไม่ใช่แค่นกเป็ดน้ำธรรมดา ระดับหล่อนต้องเป็นนกเป็ดน้ำจมน้ำด้วย หรือไม่ก็ดูไม่ออกเลยว่าเคยเป็นนกเป็ดน้ำมาก่อน เพราะหล่อนเป็นคนที่ไม่เก่งงานฝีมืออย่างมาก ถึงขั้นที่แม่เคยเอ่ยปากว่า 

‘คนมือสวย นิ้วเรียวยาวเป็นลำเทียน เขาว่าเป็นพวกหัวศิลป์ แต่คนหัวศิลป์ที่วาดรูปสวยแต่งานฝีมือไม่ได้เรื่องก็มียายกุ้งของเรานี่แหละ’

ทว่าขณะยืนดูอยู่ หูก็แว่วเสียงครืดๆ เหมือนล้อถูกับพื้น พอหันไปมองก็เห็นเด็กผู้ชายวัยประมาณห้าขวบ สวมหมวกพร้อมสนับเข่าและสนับศอกป้องกันอันตราย ไถโรลเลอร์เบลดมาหยุดตรงหน้าหล่อน

ทั้งคู่สบตากันนิ่ง ก่อนที่พริตาจะยิ้มให้และเป็นฝ่ายทักทายก่อน

“สวัสดีค่ะ”

“สวัสดีครับ คุณน้าอยู่แผนกไหนครับ”

คุณน้าเลยเหรอ! หล่อนไม่ได้หน้าแก่ขนาดนั้นเสียหน่อย

เจ้าตัวคิดแล้วก็ได้แต่แอบทำหน้าเบ้ก่อนตอบ

“น้าไม่ได้ทำงานที่นี่ค่ะ แค่มาธุระที่นี่นิดหน่อย” พริตาตอบไปแค่นั้น เพราะรู้ว่าถ้าบอกไปตรงๆ ว่าหล่อนเป็นนางแบบมือมาถ่ายงานที่นี่ ท่าทางจะต้องอธิบายเพิ่มกันอีกยาว 

เด็กชายเอียงคอมอง ทำหน้างงกับคำตอบ แต่ก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ กลับชวนคุยเรื่องงานหงส์แกะสลักแทน 

“คุณน้าชอบหงส์ตัวนี้ไหมครับ”

“ชอบสิคะ สวยดี”

“พ่อของน้องวีเป็นคนวาดแบบเอง แล้วให้ลุงช่างแกะสลักเป็นหงส์ตัวนี้” เด็กชายอวดอย่างภาคภูมิใจ ระหว่างนั้นก็ยืนยุกยิกไม่อยู่นิ่ง จนมีจังหวะหนึ่งที่เจ้าตัวพลาดทรงตัวไม่ดี ทำให้ถลาไปด้านหน้าจนชนเข้ากับแท่นวางตู้โชว์

ปึ้ก!

แรงปะทะทำให้เจ้าตัวตกใจกลัวว่าจะทำของในตู้โชว์พัง ทั้งที่มันแทบไม่ขยับเลยสักนิด จึงรีบผงะถอยออก แต่เพราะไม่ทันตั้งหลักให้ดีเลยกลายเป็นหงายหลังแทน

พริตารีบเข้าไปคว้าตัวเด็กชาย แต่เพราะอีกฝ่ายใส่รองเท้าโรลเลอร์เบลด ทำให้ทรงตัวช่วยเหลือตัวเองได้ไม่ถนัด สุดท้ายเลยกลายเป็นการดึงลงไปกองด้วยกันบนพื้น เด็กชายล้มทับหล่อนเต็มๆ แถมข้อศอกยังถองใส่สีข้างหล่อนด้วย

“อึก!”

ร่างที่นอนเค้เก้อยู่บนพื้นหลุดเสียงครางออกมา เจ็บจนน้ำตาแทบเล็ด 

‘อูย...แม่เจ้า อีกนิดก็หักแล้วไหมเนี่ย’

เจ้าตัวคิด แต่ก็ยังพยายามยันตัวลุกขึ้นเพื่อดูเด็กชายทั้งที่ตัวเองเจ็บ เป็นจังหวะเดียวกับที่ใครคนหนึ่งวิ่งตรงมาทางนี้ พร้อมกับเสียงร้องตกใจของผู้หญิงอีกคนที่วิ่งตามมา

“น้องวี!”

หล่อนเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าคนที่วิ่งมาก่อนเข้ามาคุกเข่าข้างๆ แล้วพยุงเด็กชายที่ทับหล่อนอยู่ให้ลุกขึ้นยืน เขาตรวจสอบเด็กชายเพียงเล็กน้อยว่าบาดเจ็บหรือไม่ ก่อนจะส่งตัวเด็กให้ผู้หญิงที่วิ่งตามมา แล้วจึงหันมาช่วยประคองหล่อนพร้อมกับถามไถ่

“คุณเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

เสียงถามทุ้มนุ่มทำให้หล่อนเงยหน้าขึ้นมองเขาตอนที่ลุกขึ้นนั่งได้แล้ว แล้วก็ต้องชะงักเมื่อจดจำใบหน้านี้ได้ แม้ว่าเขาจะเปลี่ยนไปและดูเป็นผู้ใหญ่กว่าเมื่อสิบเจ็ดปีก่อน แต่หล่อนก็ไม่มีวันลืมใบหน้านี้ได้ลง

“พี่มิล!”

นี่ไม่ใช่แค่ลางอัปมงคลแล้ว แต่เป็นตัวอัปมงคลตัวเป็นๆ ต่างหาก ทำไมหล่อนต้องมาเจอคนที่เคยเป็นรักแรกที่หักอกหล่อนในสองนาที แถมยังเป็นในสภาพที่ตัวเองดูไม่จืดขนาดนี้ด้วย!

ส่วนคนที่เข้ามาช่วยประคองก็ชะงักไปเหมือนกันตอนที่เห็นหน้าหล่อนชัดๆ

“กุ้ง!”


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น