๒๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๒

“โห! เล่นอย่างนี้เลยเหรอ”

ภูมิภัทรพูดขึ้นด้วยความหงุดหงิด เมื่อสายตาสบเข้ากับข่าวแรกของคอลัมน์ธุรกิจในหนังสือพิมพ์รายวัน

‘เจ้าสัวณรงค์ชัยเตรียมทุ่มสองพันล้านฮุบเอ-เคเบิล หวังผูกขาดธุรกิจสายไฟ’

ใช่...เจ้าสัวณรงค์ชัย คือเจ้าของบริษัท ณรงค์ชัย ไวร์แอนด์เคเบิล จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสายไฟฟ้าที่มียอดขายเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ เป็นคนที่มีทั้งเงินและอำนาจ รู้จักกับคนใหญ่คนโตทั้งฝั่งตำรวจ ทหาร และข้าราชการ หากติดตามการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา บริษัทเอกชนที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่าฮั้วประมูล
 โครงการใหญ่กับรัฐมนตรีกระทรวงดัง ก็คือเอ็นซีเคเบิลนี่แหละ

และด้วยเส้นสายเหล่านี้ เอ-เคเบิลจึงอยู่ในอันดับที่สองเสมอมาทั้งที่ยอดขายทิ้งห่างเจ้าอื่นๆ อยู่หลายเท่า 
 แต่ก็ไม่เคยเอาชนะเจ้าสัวณรงค์ชัยได้เลยสักครั้ง

“แย่นะ แผนสกปรกแบบนี้ ถ้าลูกค้าเชื่อเขาอาจจะชะลอการซื้อขายกับเราก็ได้”

ไม่แปลกที่แผนการของเจ้าสัวณรงค์ชัยจะทำให้พนักงานฝ่ายการตลาดอย่างมลฤดีรู้สึกขุ่นเคือง เพราะต่อให้เป็นเพียงข่าวลือ แต่เมื่ออยู่ในหนังสือพิมพ์ที่มีคนอ่านทั่วประเทศ ย่อมส่งผลต่อบริษัทอย่างแน่นอน

ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านใดบ้างหลังจากเจ้าสัวเข้าซื้อกิจการ จึงอาจมีลูกค้าบางเจ้าระงับ
 คำสั่งซื้อไว้ชั่วคราวเพื่อรอดูท่าที รวมถึงลูกค้าที่เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ของเอ-เคเบิลเพราะมีปัญหากับเจ้าสัวก็คงจะสงสัย และเริ่มมองหาผู้ขายรายใหม่เช่นกัน

“สงสัยจะเอาให้ได้เลยละมั้ง”

อันที่จริง ความสนใจของเจ้าสัวณรงค์ชัยที่มีต่อเอ-เคเบิลไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับเขาและพี่มด เพราะผู้ถือหุ้น
 ทั้งสามคนอันประกอบไปด้วย คุณวิน คุณวรรณ และคุณพิเชษฐ์ ต่างได้รับข้อเสนอจากเจ้าสัวมาแล้วหลายครั้ง คงหวังว่าการซื้อหุ้นทั้งหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์จะช่วยให้ตัวเองครอบครองกิจการได้อย่างสมบูรณ์

แต่ด้วยข้อบังคับของบริษัทซึ่งถูกเขียนไว้ในช่วงเวลาที่คุณอนันต์ พ่อของคุณวินและคุณวรรณยังดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ผู้ถือหุ้นจะขายหุ้นของตนให้แก่บุคคลภายนอกได้ก็ต่อเมื่อได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นด้วยจำนวนเสียงมากกว่าสามในสี่ โดยคำนวณจากจำนวนหุ้นที่แต่ละท่านถืออยู่เป็นสำคัญ และต้องให้โอกาสผู้ถือหุ้นเดิมเป็นผู้ซื้อหุ้นนั้นก่อนในราคาที่จดทะเบียน ในขณะที่คุณวินซึ่งคัดค้านการขายกิจการให้แก่เจ้าสัวณรงค์ชัยมาโดยตลอดมีหุ้นอยู่ในมือถึงสี่สิบเปอร์เซ็นต์ จึงเพียงพอที่จะยับยั้งการขายหุ้นของทั้งคุณวรรณที่ถืออยู่สี่สิบเปอร์เซ็นต์ และคุณพิเชษฐ์ที่ถืออยู่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ได้ ไม่ว่าทั้งคู่จะต้องการมากเพียงใดก็ตาม

และแม้ว่าคุณวินจะพยายามโน้มน้าวใจให้ผู้ถือหุ้นอีกสองรายคิดเห็นในแบบเดียวกัน แต่กลับไม่ได้ผลมากนัก โดยเฉพาะกับคุณวรรณที่สนับสนุนการขายกิจการอย่างเห็นได้ชัด

“ฝ่ายประชาสัมพันธ์กำลังคุยกันอยู่ว่าจะทำอะไรได้บ้าง เดี๋ยวก็คงมาคุยกับคุณวินแหละ”

“ครับ” ภูมิภัทรพยักหน้า คิดว่าแผนกที่เกี่ยวข้องกับภาพลักษณ์ขององค์กรโดยตรงคงจัดการปัญหาได้

“แกว่า...จะมีวันที่คุณวินจะยอมปะ”

“ไม่อะ”

ในฐานะเลขานุการ เขาตอบได้ทันทีว่าเจ้านายไม่เคยสนใจข้อเสนอของเจ้าสัวเลยแม้แต่ครั้งเดียว และหากย้อนกลับไปหลายเดือนก่อนหน้า คณะกรรมการของบริษัทซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลที่มีประสบการณ์ด้านการบริหารและได้รับการยอมรับจากผู้ถือหุ้น ก็คงให้โอกาสคุณวินได้แสดงความสามารถโดยไม่คัดง้าง

แต่ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันที่ดูเหมือนว่าจะแย่ลงเรื่อยๆ จากการขาดทุนอย่างต่อเนื่องของโซลาร์เซลล์ กรรมการหลายท่านจึงเริ่มเอนเอียง และมองเห็นข้อดีของการขายกิจการให้แก่เอ็นซีเคเบิล

‘ต้นไม้ที่ใกล้ล้ม บางทีก็ต้องพิงกับไม้ยืนต้นที่ใหญ่กว่า’

กรรมการท่านหนึ่งเคยพูดไว้ในที่ประชุม

“แกก็เห็นด้วยกับคุณวินละสิ”

และจากคำตอบของคุณวินในวันเดียวกันนั้น...

‘แล้วถ้าต้นไม้ต้นนั้นงอกงามขึ้นมาได้อีกครั้ง ดอกผลที่ออกมาจะไปอยู่ที่ไหนล่ะครับ ถ้าไม่ใช่ใต้ต้นไม้ที่ใหญ่กว่า’

มันบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าเจ้านายของเขาไม่เคยถอดใจ

คุณวินยังคงเชื่อมั่นว่าบริษัทจะกลับมาแข็งแกร่งและมีผลประกอบการที่น่าพึงพอใจอีกครั้ง และถึงตอนนั้น คุณวินคงไม่ต้องการให้ผลกำไรตกไปเป็นของคนอื่น

ในช่วงเวลาที่ทุกคนยังมองไม่เห็นหนทางเติบโตของโซลาร์เซลล์ จุดมุ่งหมายของเจ้านายก็แทบจะไม่แตกต่างอะไรจากความฝันลมๆ แล้งๆ แต่เขายังคงมั่นใจ ว่าบริษัทจะฝ่าวิกฤติครั้งนี้ไปได้...

ด้วยการบริหารของคุณวิน

“ผมเชื่อว่าเขาทำได้”

๒๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๓

“คุณหนูนิด” พี่มดทักขึ้นขณะชะโงกหน้าเข้ามาด้านในห้องทำงาน “ยังไม่กลับเหรอคะ”

“นิดอ่านแผนการตลาดเก่าๆ อยู่น่ะค่ะ” ณิชาพูดพลางขยับกระดาษปึกหนาบนโต๊ะทำงาน

“มีอะไรให้พี่ช่วยไหมคะ”

“ไม่มีหรอกค่ะ” เธอรีบตอบและย้ำอีกครั้งเมื่อคิดว่ารุ่นพี่อาจเป็นกังวลจนไม่ยอมออกจากสำนักงาน “พี่มดกลับเถอะค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวอีกแป๊บหนึ่งนิดก็กลับแล้ว”

“ถ้างั้นเจอกันพรุ่งนี้นะคะ”

เธอพยักหน้าแล้วส่งยิ้มสดใสแทนคำล่ำลา แต่ทันทีที่มองเห็นว่าประตูถูกปิดลงจนสนิท มือกลับหยิบ
 สมุดบันทึกออกมาจากลิ้นชัก แล้ววางทับบนกองเอกสารตรงหน้า

ใช่... เธอตัดสินใจแล้วว่าจะลองติดต่อกับคุณภูมิในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ผ่านสมุดเล่มนี้อีกครั้ง

แต่ก่อนจะเลือกหน้ากระดาษเพื่อเขียนข้อความลงไป เธอต้องวิเคราะห์จนมั่นใจว่าคุณภูมิจะมองเห็นได้ในระยะเวลาอันสั้น

แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเธอไม่รู้เลยว่า ณ วินาทีนี้ คุณภูมิกำลังดำเนินชีวิตอยู่ในวันที่เท่าไร แต่หากมองตามความเป็นจริง คนทั่วไปคงไม่เปิดสมุดย้อนกลับไปในวันแรกๆ ถ้าไม่จำเป็น และคงไม่เปิดข้ามไปยังวันท้ายๆ ถ้าไม่มีการนัดหมายล่วงหน้าให้ต้องจดบันทึก

แต่ถ้าชายหนุ่มสามารถมองเห็นเลขหนึ่งและนำไปใช้ได้ภายในเวลาเพียงสิบนาที แสดงว่ามันต้องเป็นหน้าที่เขาเปิดค้างไว้อยู่แล้ว

เธอเหลือบมองหัวกระดาษในหน้าที่เคยเพิ่มเติมเลขหนึ่งลงไป ซึ่งมีวันที่ระบุไว้อย่างชัดเจน

18 / 09 / 2552

ก่อนจะเลื่อนสายตามายังวันและเวลาที่ปรากฏอยู่บนมุมขวาด้านล่างของหน้าจอคอมพิวเตอร์

18:42, 21/9/2563

วันนี้คือวันที่ ๒๑...

นั่นแปลว่าวันศุกร์ที่ผ่านมาคือวันที่ ๑๘ กันยายน

หรือว่า...ถ้าไม่นับ พ.ศ. ที่ต่างกันถึงสิบเอ็ดปี วันและเวลาของคุณภูมิก็เคลื่อนที่ไปพร้อมๆ กับวันและเวลาของเธอ ขณะที่เธอใช้ชีวิตอยู่ในวันที่ ๑๘ กันยายน คุณภูมิเองก็ใช้ชีวิตอยู่ในวันที่ ๑๘ กันยายนเช่นกัน

ถ้าเป็นอย่างที่คิดไว้ หน้าถัดไปที่ชายหนุ่มต้องใช้งานแน่ๆ

ก็คือหน้านี้...

22 / 09 / 2552

 

  • ติดตามข่าวจากฝ่ายประชาสัมพันธ์
  • 13.00 น. ประชุมด่วนกับคณะกรรมการ (ห้องประชุม 1)

 

ถ้าคุณภูมิมองเห็นข้อความนี้ได้โปรดตอบกลับมาหานิดด้วยนะคะ

 

๒๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๒

“อาหารมาแล้วครับ” ภูมิภัทรพูดขึ้นเบาๆ ดวงตาจดจ้องไปยังโต๊ะทำงานของเจ้านายซึ่งถูกห้อมล้อมด้วยทีมงานที่เกี่ยวข้องทั้งจากฝ่ายขายและฝ่ายประชาสัมพันธ์

“วางไว้ตรงโซฟาเลย” 

แม้จะหันมาตอบด้วยเสียงนุ่ม แต่สีหน้าของคุณวินกลับดูไม่สดใสนัก เข้าใจว่าคงกำลังเคร่งเครียดกับการคิดหาคำชี้แจงที่จะส่งให้แก่นักข่าว เพื่อกอบกู้ความเชื่อมั่นของลูกค้าให้กลับคืนมาอีกครั้ง

เขารู้ดีว่าเป้าหมายของคุณวินไม่ใช่แค่การสร้างผลกำไรเพื่อความยั่งยืนขององค์กร หรือต่อยอดทรัพย์สินของครอบครัวเท่านั้น แต่คือการผลักดันให้บริษัท เอ-เคเบิล จำกัดก้าวขึ้นไปเป็นผู้นำของตลาด หลังจากเล็งเห็นว่าธุรกิจสายไฟฟ้าไม่อาจเติบโตได้มากกว่านี้อีกแล้ว แต่บริษัทยังเป็นที่สองรองจากเจ้าสัวณรงค์ชัย คุณวินจึงเริ่มศึกษาและเลือกลงทุนในธุรกิจโซลาร์เซลล์ ด้วยเชื่อว่าการแตกยอดครั้งนี้จะทำให้บริษัทครองอันดับหนึ่งได้สำเร็จ

แต่เมื่อผลลัพธ์กลับตรงกันข้าม จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่หลายคนจะกล่าวโทษว่าเป็นเพราะการตัดสินใจที่ผิดพลาดของประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ยิ่งดึงดันไม่ยอมอนุมัติให้ผู้ถือหุ้นรายอื่นๆ ขายหุ้นให้แก่เจ้าสัว คนกลุ่มนั้นยิ่งมองว่าคุณวินยึดถือทิฐิจนหน้ามืดตามัว ไม่สนใจความเป็นความตายของบริษัท

แน่นอน ไม่มีใครอยากเสียหน้า หรืออยากโดนดูถูกว่าไม่มีความสามารถเพียงพอ...

แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลหลักที่เจ้านายใช้ตัดสินใจ

“เดี๋ยวพักทานข้าวก่อนไหม” คุณวินเอ่ยถามขณะมองนาฬิกาข้อมือ “ทุ่มครึ่งแล้ว น่าจะหิวกันแล้วเนอะ”

พนักงานต่างพยักหน้าหงึกๆ เจ้านายจึงชักชวนให้ทุกคนเดินไปยังโซฟาเพื่อร่วมรับประทานอาหารค่ำ

“คุณวินคะ” แต่ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์กลับเรียกไว้เสียก่อน “ตั๊กขอประโยคเด็ดๆ ไว้ใช้ตอกหน้าเจ้าสัวกลับไปสักประโยคได้ไหมคะ”

“ตอกหน้าเลยเหรอ” คุณวินทวนคำด้วยรอยยิ้ม “ผมก็ไม่ถนัดเสียด้วยสิ”

“เอาแบบที่ลูกค้าอ่านแล้วเชื่อว่าเราจะไม่ขายกิจการแน่ๆ ก็ได้ค่ะ”

เจ้านายขมวดคิ้วน้อยๆ คล้ายกำลังครุ่นคิด ก่อนจะหันหน้ามาทางภูมิภัทรแล้วถามขึ้น “เอาไงดีเรา”

จึงเป็นหน้าที่ของเลขานุการที่ต้องช่วยเหลืออีกแรง “ก็ในเมื่อเอย่อมาจากอนันต์ ถ้าไม่ใช่ลูกหลานของคุณอนันต์ ก็ไม่ควรจะเข้ามาบริหารไหมครับ”

“โห! แรง” 

จากเสียงกรีดร้อง ดูเหมือนว่าคำพูดเมื่อครู่จะถูกใจพี่ตั๊กอยู่ไม่น้อย ขณะที่คุณวินหัวเราะเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้น 

“เออๆ เอาแบบนี้แหละ”

“เอาเลยนะคะ” พี่ตั๊กกระชับปากกาและสมุดในมือเล็กน้อย “ถ้างั้นคุณวินช่วยพูดเป็นภาษาของตัวเองอีกทีได้ไหมคะ ตั๊กจะได้จดไว้”

คุณวินพยักหน้าอย่างเข้าใจว่า ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์คงอยากให้คนอ่านรู้สึกราวกับว่าได้ฟังประโยคนี้จากปากของคุณวินเอง จึงใช้เวลาเรียบเรียงอยู่สักครู่แล้วพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“บริษัทนี้มีชื่อว่าเอ-เคเบิล ตัวเอ ย่อมาจากชื่อของคุณอนันต์ พ่อของผม...ในเมื่อบริษัทก่อตั้งโดยคุณอนันต์ คนที่จะเข้ามาดูแลมัน ก็ควรเป็นทายาทของคุณอนันต์...ไม่ใช่คนอื่น”

“กลับได้แล้ว”

เมื่อพนักงานคนอื่นๆ ต่างแยกย้ายกันกลับที่พักหลังจากการประชุมเสร็จสิ้น ก็เหลือเพียงคุณวินที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องทำงานพร้อมกับกระเป๋าสตางค์และกุญแจรถยนต์สองพวง

“คุณวินเสร็จแล้วเหรอครับ”

“อืม” 

เจ้านายพยักหน้าก่อนจะยื่นกุญแจพวงหนึ่งให้ภูมิภัทรซึ่งเขาเข้าใจได้ทันที 

“ไม่เป็นไรครับคุณวิน ผมกลับได้ รถไฟฟ้ายังไม่หมดเที่ยว”

“แต่นี่สามทุ่มกว่าแล้วนะ คิดว่าไปถึงแล้วจะมีรถกลับเข้าหอเหรอ”

ต่อให้ปัญหาถาโถมเพียงใด เจ้านายก็ไม่เคยปล่อยปละเขาเลยสักครั้ง ไม่ใช่แค่ไว้ใจให้เขาหยิบยืมรถยนต์ แต่ยังจดจำได้ว่า หอพักย่านชานเมืองที่เขาอาศัยตั้งอยู่ในซอยเปลี่ยวที่ไม่มีรถโดยสารขับผ่านในเวลากลางคืน

และนั่นเองที่ทำให้เขาเผยรอยยิ้มกว้าง...

“หรือจะให้ผมไปส่ง แต่แบบนั้นน่ะ ทรมานคนแก่นะ”

“ไม่เป็นไรครับ” เขารับกุญแจไว้พลางพูดกลั้วหัวเราะ “ขอบคุณครับคุณวิน”

บทสนทนาของทั้งคู่จบลงเพียงเท่านั้น หลังจากมองเห็นว่าเจ้านายมุ่งหน้าไปทางโถงลิฟต์ ชายหนุ่มจึงหันกลับมาทางโต๊ะทำงานเพื่อเก็บของใช้ที่จำเป็นใส่กระเป๋า ก่อนจะถึงขั้นตอนสุดท้าย นั่นคือการจดบันทึกงานที่ต้องติดตามในวันถัดไป...

“เฮ้ย!” แต่เขากลับสะดุ้งตัวโยน ซ้ำยังหันไปทางซ้ายและขวาด้วยความตกใจ เมื่อพลิกหน้ากระดาษมาถึง
 วันที่ ๒๒ กันยายนและพบกับข้อความที่ปรากฏอยู่บนนั้น

ข้อความ...ที่เขามั่นใจว่าไม่ได้เป็นคนเขียน

ถ้าคุณภูมิมองเห็นข้อความนี้ได้โปรดตอบกลับมาหานิดด้วยนะคะ

๒๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๒

“เมื่อวานมึงกลับกี่โมง”

ไม่บ่อยครั้งนักที่ภูมิภัทรจะบุกมาถึงโต๊ะทำงานของชานนท์ซึ่งตั้งอยู่ด้านในสุดของแผนกการเงิน ซ้ำยังเอ่ยถามด้วยท่าทีขึงขัง

“หกโมงกูก็เด้งแล้ว” ชายหนุ่มตอบอย่างตรงไปตรงมา ทว่าคิ้วหนากลับเลิกขึ้นด้วยความสงสัย “มึงเป็นอะไรปะเนี่ย หน้าตาตื่นเชียว”

จะไม่ให้ตื่นได้อย่างไร ในเมื่ออยู่ดีๆ ก็มีข้อความปริศนาปรากฏขึ้นมาบนสมุดส่วนตัว อีกทั้งช่วงเวลาประมาณหนึ่งทุ่มถึงหนึ่งทุ่มครึ่งที่เขาทิ้งสมุดไว้บนโต๊ะเพื่อออกไปรับประทานอาหารเย็น ก็เป็นช่วงเวลาที่ไม่มีใครอยู่ในบริษัทแล้วนอกจากกลุ่มคนที่ร่วมประชุมกับคุณวิน นั่นเท่ากับว่าถ้าเพื่อนสนิทพูดความจริง เขาก็นึกไม่ออกแล้วว่าเรื่องนี้จะเป็นฝีมือของใคร

“แน่นะ” ภูมิภัทรทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ขนาดเล็กหน้าโต๊ะของชานนท์ “มึงไม่ได้อำกูใช่ปะ”

“อำอะไรวะ”

เมื่อไม่พบพิรุธในแววตา เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะเปลี่ยนผู้ต้องสงสัยให้กลายเป็นที่ปรึกษา ด้วยการเปิดกางหน้าสมุดค้างไว้แล้วยื่นให้เพื่อนสนิทแทนคำตอบ

“นิดไหนอะ” แต่ชานนท์กลับถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ราวกับไม่คิดว่าเหตุการณ์นี้เข้าข่ายเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติ “บริษัทเรามีคนชื่อนิดด้วยเหรอ”

“ก็ไม่มีอะสิ”

“หรือว่าคุณหนูนิด” คู่สนทนาร้องขึ้นทันทีที่นึกออก “ลูกคุณวิน”

“เขาไม่ได้มาเป็นปีแล้ว” แต่ดูเหมือนว่าจะยังไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องสำหรับเขา “แล้วนี่มันลายมือเด็กที่ไหนล่ะ”

“งั้นก็มีคนแกล้ง” ชายหนุ่มสวนคำแล้วเอ่ยถามเพื่อช่วยวิเคราะห์ “มึงเจอตอนไหนล่ะ”

“เมื่อคืน กูออกจากออฟฟิศเป็นคนสุดท้ายด้วย มึงนึกสภาพสิ”

“มึงคิดว่าผีเหรอ” ชานนท์ถามกลั้วหัวเราะ เพราะประโยคเมื่อครู่ของภูมิภัทรอัดแน่นด้วยความตื่นตระหนก “แล้วมึงอยู่ดึกทำไมวะ”

“รอคุณวินประชุมไง ที่กูบอกอะ”

“อ๋อ! เรื่องแก้ข่าว กูจำได้” ชายหนุ่มเงียบลงสักครู่ ก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้งเมื่อไม่เห็นคำตอบอื่น “งั้นก็คุณวินนั่นแหละ”

“ฮะ!?...” แต่นั่นไม่ใช่หนึ่งในตัวเลือกของเขาเลยด้วยซ้ำ

“ก็พวกที่อยู่กับมึงเมื่อวานอะ มึงสนิทกับใครอีกเหรอนอกจากคุณวิน” คนพูดชี้ไปที่หน้ากระดาษ “แล้วเนี่ย...ชื่อลูกด้วย ถ้าไม่ใช่เขาใครจะกล้าเขียนวะ”

“เหรอวะ” เสียงร้องถามเบาลงเล็กน้อย ดวงตาหลุบต่ำแสดงถึงความไม่มั่นใจ

ภูมิภัทรรู้ว่าคุณวินเป็นคนอารมณ์ดี และมักมีมุกตลกมาหยอกเย้าคนอื่นๆ อยู่เสมอ แต่การแกล้งอำด้วยวิธีนี้...บอกตามตรงว่าเขาไม่เคยเห็นจากคุณวินมาก่อน และไม่ใช่นิสัยของคุณวินเลยสักนิด

แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อจากนั้น คู่สนทนากลับตัดบทด้วยสีหน้านิ่งเฉย

“กูว่ามึงเลิกหลอนแล้วเอาเวลาไปช่วยเจ้านายเถอะ บ่ายนี้จะโดนรุมแล้ว”

และนั่นทำให้เขาถามขึ้นทันที “โดนรุมอะไรวะ”

ก่อนจะได้รับคำตอบที่น่าหวาดกลัวยิ่งกว่าข้อความประหลาดเสียอีก

“อ้าว! นี่มึงยังไม่รู้เหรอ”

“คุณวินครับ”

อาจจะดูไร้มารยาทสักหน่อย แต่ความร้อนใจสั่งให้ภูมิภัทรผลักประตูเข้าไปทั้งที่ยังไม่ได้เคาะ ก่อนจะพบว่านอกจากคุณวินแล้ว ยังมีพี่ตั๊กอีกหนึ่งคนที่นั่งอยู่ภายในห้อง

“ขอโทษครับ ไม่ทราบว่าคุณวินมีแขก”

“ไม่เป็นไร คุยเสร็จแล้ว” คุณวินตอบอย่างเรียบง่าย แล้วหันไปทิ้งท้ายกับพี่ตั๊กไว้เพียงสั้นๆ “ตามนั้นนะ 
 แคนเซิลไปก่อน”

จากสีหน้าที่ไม่สู้ดีนักของพี่ตั๊ก และคำว่าแคนเซิลที่เจ้านายเอ่ยถึง ก็พอจะคาดเดาได้ว่าคงหนีไม่พ้นบทสัมภาษณ์เพื่อตอบโต้ข่าวลือของเจ้าสัวณรงค์ชัยที่ทุกคนช่วยกันคิดจนดึกดื่น

“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ”

“ก็คณะกรรมการน่ะสิ” คุณวินตอบพลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้รอยยิ้มแห้งๆ บ่งบอกถึงความตึงเครียดได้
 เป็นอย่างดี “เห็นข่าวในหนังสือพิมพ์เมื่อวาน ก็เลยขอประชุมด่วน”

นั่นคงเป็นผลให้คุณวินขอระงับการเผยแพร่คำสัมภาษณ์ไว้ชั่วคราว ด้วยไม่ต้องการเปิดศึกกับทั้งเจ้าสัวณรงค์ชัยและคณะกรรมการของบริษัท

แต่ถ้าเป็นแบบนั้น เท่ากับว่าความเชื่อของคุณวิน...

กำลังถูกสั่นคลอนใช่หรือไม่

๒๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๓

“มันไม่น่าเชื่อเลยใช่ไหม” ณิชาส่งเสียงอ่อน เมื่อมองเห็นสีหน้าของเพื่อนสนิทผ่านโปรแกรมวิดีโอคอล

เป็นเวลาสามวันแล้วที่เธอเฝ้ารอการตอบกลับของคุณภูมิ ทว่าสมุดยังคงว่างเปล่า ซ้ำยังไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงใดให้รู้สึกผิดสังเกต เธอจึงตัดสินใจเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฝ้ายฟัง ด้วยหวังว่าจะได้รับคำปรึกษาที่ช่วยให้เธอมองเห็นหนทางใหม่หรือคลายความกังวลลงไปได้บ้าง

แต่เธอคงลืมไปว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่ฝ้ายจะเชื่อถือเธอในทันที เพราะแม้แต่ตัวเธอเองยังใช้เวลาไตร่ตรองเรื่องนี้อยู่พักใหญ่

“ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากเชื่อแกนะนิด...แต่เรื่องแบบนี้ ฉันเคยเห็นแต่ในหนังอะ”

ฝ้ายส่งเสียงออดอ้อน คงไม่อยากให้เธอรู้สึกเสียใจ

“ไม่เป็นไรแก ฉันเข้าใจ” ณิชาตอบพลางส่งยิ้มให้เพื่อนสนิท และคิดว่าบทสนทนาคงจบลงเพียงเท่านั้น

“แต่ถ้าสมมุติว่าฉันเป็นคุณภูมิ แล้วฉันเห็นข้อความของแก...”

สายตากลับเบนมาทางหน้าจอโน้ตบุ๊กอีกครั้งเมื่อได้ยินประโยคเกริ่นนำของปลายสาย รู้สึกตื่นเต้นระคนยินดีที่เพื่อนสนิทเข้ามาช่วยเหลือ

“ฉันก็ไม่ตอบนะ”

“อ้าว!” ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความงงงันภายในไม่กี่อึดใจ “ทำไมล่ะ”

“เอาจริงๆ นะแก สถานการณ์นี้มันใกล้เคียงกับคำว่าผีมากเลยนะ”

นั่นสิ...หากอยู่ดีๆ มีข้อความแปลกตาปรากฏขึ้นมาบนของใช้ส่วนตัวของเธอ ภูตผีปีศาจคงเป็นสิ่งแรกที่เธอนึกถึงเช่นกัน

“หรือต่อให้เขาไม่คิดว่าเป็นผี เขาก็อาจจะเดินไปหาคนอื่นที่มีชื่อว่านิดเหมือนกับแก...” ฝ้ายยังคงคิดวิเคราะห์ “เออ! ไม่แน่นะ... เขาอาจจะไปคุยกับแกตอนอายุสิบเอ็ดแล้วก็ได้ ก็แกไม่ได้บอกนี่ว่าแกคือหนูนิดในอนาคต”

“แต่มันจะไม่น่ากลัวกว่าเดิมเหรอ ถ้าบอกว่ามาจากอนาคตอะ” หัวคิ้วย่นเข้าหากัน ด้วยเริ่มไม่แน่ใจนักว่าวิธีนี้จะได้ผล

“เอ้ย! แกคิดอย่างนั้นไม่ได้” ฝ้ายร้องท้วงด้วยเสียงแหลม “แกต้องทำให้เขาเชื่อว่าแกรู้อนาคตจริงๆ เขาจะได้ทำตามที่แกบอก หนังทุกเรื่องมันก็เป็นแบบนั้น”

หากมองข้ามประโยคสุดท้ายไป ก็นับว่าคำแนะนำของเพื่อนสนิทมีประโยชน์มากทีเดียว...

เธอจะไม่มีวันได้รับความช่วยเหลือจากคุณภูมิเลย ถ้าเขาไม่เชื่อว่าทุกประโยคของเธอคือเรื่องจริงที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้

เพราะฉะนั้น เธอต้องพิสูจน์ให้เขาเห็นเสียก่อน...

นั่นทำให้สมองเริ่มคิดหาเรื่องราวใหม่ที่จะนำมาใช้เป็นเครื่องยืนยัน ซึ่งแน่นอนว่าต้องเกิดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๕ ถึง ๒๙ กันยายน อันเป็นช่วงเวลาก่อนที่พ่อของเธอจะเสียชีวิต และต้องมีความเกี่ยวข้องกับคุณภูมิโดยตรง เพื่อให้เขาสัมผัสได้ด้วยตัวเองเหมือนกับที่เธอเคยรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของคุณอาดิเรกและหนูหน่อย หรืออย่างน้อยก็ต้องเป็นเรื่องที่ชายหนุ่มเข้าถึงและรับรู้ได้ ไม่ว่าจะตั้งใจค้นหาหรือพยายามหลบเลี่ยง...

“ข่าว...” เธอเปรยกับตัวเองเมื่อมองเห็นคำตอบที่เข้าเค้า เพราะเหตุการณ์สำคัญที่กลายเป็นข่าวดังจะถูกเผยแพร่ผ่านสื่อโทรทัศน์ วิทยุ หรือแม้แต่หนังสือพิมพ์ที่ยังได้รับความนิยมในยุคนั้น

“อะไรนะแก”

ก่อนที่เสียงของเพื่อนสนิทจะปลุกเธอจากภวังค์

“ฉันนึกออกแล้ว แป๊บหนึ่งนะ” เธอตอบด้วยดวงตาที่บรรจุความหวังไว้แน่น ก่อนจะลดขนาดหน้าต่างวิดีโอคอลแล้วเข้าสู่เว็บไซต์เพื่อค้นหาข้อมูลที่ต้องการ

ท่ามกลางอุบัติเหตุ การเมือง อุทกภัย และเหตุการณ์สำคัญอีกมากมายที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ มีเพียงไม่กี่เรื่องที่เธอสามารถนำมาใช้ได้...

“ฉันลองหาในวิกิพีเดีย เจอข่าวของนักมวยที่ชื่อ พูนสวัสดิ์ กระทิงแดงยิม เขาได้ตำแหน่งแชมป์โลก
 รุ่นซูเปอร์แบนตั้มเวทเพราะชนะคู่แข่งชาวไอร์แลนด์ในคืนวันที่ยี่สิบหก...ถ้าตามเวลาในบ้านเราก็น่าจะออกข่าววันที่ยี่สิบเจ็ดพอดี” เธอหันกลับมาทางเพื่อนสนิทเพื่ออธิบายความคิดอย่างตั้งใจ “ถ้าฉันบอกได้ว่าเขาจะชนะน็อกในยกที่สาม แกว่าคุณภูมิจะเชื่อฉันไหม”

“ปกติเขาต่อยกันกี่ยกอะ”

“ไม่รู้สิ สิบสองมั้ง”

“สิบสอง ก็เท่ากับเลขหนึ่งถึงสิบสอง...” ฝ้ายทวนคำ กลอกตาไปมาอย่างครุ่นคิด “มันก็ยังมีโอกาสที่เขาจะคิดว่าแกแค่เดาสุ่มๆ แล้วดันถูกอยู่นะ”

นั่นสิ...

แม้จะมีความเป็นไปได้เพียงแปดเปอร์เซ็นต์ แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ข้อเท็จจริงกลายเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ หากชายหนุ่มไม่เคยเชื่อถือในเรื่องราวเหนือธรรมชาติ

ต้องเจาะจงกว่านั้น...

“งั้นเอาอันนี้...” หญิงสาวเหลือบมองข้อมูลที่ปรากฏบนหน้าจออีกครั้ง “พายุไต้ฝุ่นกิสนา พัดขึ้นฝั่งที่ฟิลิปปินส์
 วันที่ยี่สิบแปดมีผู้เสียชีวิตร้อยสี่สิบคน สูญหายอีกสามสิบสอง วันที่ยี่สิบเก้า ผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็นสองร้อยสี่สิบคน”

“เรื่องเศร้าจัง แต่พวกตัวเลขก็ดูเดายากอยู่นะ”

กรมอุตุนิยมวิทยาประกาศเตือนคนไทยให้จับตาดูพายุลูกนี้อย่างใกล้ชิด ประกอบกับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้เธอเชื่อว่าข่าวดังกล่าวจะได้รับความสนใจไม่มากก็น้อย

ดวงตาเหลือบมองสมุดบันทึกที่วางอยู่ไม่ไกล ในใจเริ่มวางแผนการว่าจะคัดลอกข้อมูลลงไปให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้

แต่ยังไม่ทันได้เตรียมการอะไรต่อจากนั้น ปลายสายกลับเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“แต่พ่อแก...”

เธอเข้าใจความหมายเป็นอย่างดี แม้ว่าเพื่อนสนิทจะไม่ได้พูดต่อ...

พ่อของเธอเสียชีวิตในวันที่ ๒๙ กันยายน นั่นแปลว่าเธอไม่มีเวลามากพอสำหรับโอกาสที่สอง ถ้าแผนการนี้ผิดพลาดไม่ว่าด้วยเหตุผลใด เธอจะไม่มีทางนำพ่อกลับมาได้อีก

“ฉันรู้...”

แต่เธอไม่มีทางเลือกอื่น...

นอกจากจะภาวนาให้คุณภูมิเชื่อ และช่วยเหลือพ่อได้สำเร็จ

“แต่ฉันจะลองเสี่ยงดู”

๒๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๒

“มึงแปะเหี้ยอะไรมากมายเนี่ย”

ภูมิภัทรเหล่มองเจ้าของคำถาม คิดว่าเพื่อนสนิทคงเอ่ยทักทายตามปกติ ถ้าไม่เห็นกระดาษโน้ตนับสิบแผ่นที่ติดอยู่ทั่วโต๊ะทำงานของเขาเสียก่อน

“วันก่อนกูเห็นแค่แผ่นสองแผ่น วันนี้แม่งอย่างกับโรงงานผลิต”

“ก็งานเยอะอะ” เขาตอบอย่างตัดพ้อ แต่ก็อดหัวเราะกับประโยคของชานนท์ไม่ได้

“แล้วสมุดไปไหนอะ”

ก่อนที่รอยยิ้มจะค่อยๆ หุบลงเมื่อคำถามต่อมาเกี่ยวข้องกับสมุดบันทึกของตัวเอง...

หลังจากคาดคั้นจนมั่นใจว่าไม่ใช่ฝีมือของชานนท์ เขาก็ทิ้งสมุดไว้ในลิ้นชักข้างโต๊ะทำงานและเปลี่ยนมาใช้กระดาษโน้ตชั่วคราวด้วยยังรู้สึกหวาดหวั่น ก่อนที่ความตึงเครียดจากงานจะทำให้เขาค่อย ๆ ลืมเลือนไป โดยไม่ได้เอ่ยถามใครอีกแม้กระทั่งคุณวินที่เพื่อนสนิทกล่าวหาว่าเป็นเจ้าของข้อความปริศนา

แต่ทันทีที่เขาหยิบสมุดขึ้นมาอีกครั้งในวันศุกร์ที่ผ่านมา...

24 / 09 / 2552

 

สวัสดีค่ะคุณภูมิ

หนูนิด ลูกสาวของคุณพ่อวินชัย กำลังเขียนข้อความนี้ในปี พ.ศ. 2563 นะคะ

นิดรู้ว่าคุณภูมิเห็นข้อความนี้แล้วต้องตกใจมากแน่ๆ

แต่เชื่อนิดเถอะค่ะ ว่าเราติดต่อกันข้ามเวลาได้จริงๆ

นิดมีเรื่องสำคัญมากๆ ที่อยากขอร้องให้คุณภูมิช่วย แต่ก่อนจะถึงตรงนั้น

นิดมีเรื่องมายืนยันกับคุณภูมิ เพื่อให้คุณภูมิเชื่อว่านิดพูดความจริงค่ะ

 

ช่วงเช้ามืดของวันที่ 27 จะมีการแข่งขันมวยสากลชิงแชมป์โลก รุ่นซูเปอร์แบนตั้มเวท

ระหว่างพูนสวัสดิ์ กระทิงแดงยิม กับ เบอร์นานด์ ดันน์ ใช่ไหมคะ

ผลการแข่งขันคือ พูนสวัสดิ์ชนะน็อกในยกที่ 3 และคว้าแชมป์ไปค่ะ

 

ส่วนพายุไต้ฝุ่นกิสนา กรมอุตุฯ จะเริ่มประกาศเตือนวันที่ 28

แต่พายุจะพัดเข้าสู่ประเทศฟิลิปปินส์ก่อน ทำให้เกิดฝนตกหนักและน้ำท่วมสูง

จนมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 140 คน สูญหาย 32 คน

และไร้ที่อยู่อาศัยมากกว่า 450,000 คน ในวันที่ 28

ก่อนที่ผู้เสียชีวิตจะเพิ่มขึ้นเป็น 240 คน ในวันที่ 29 ค่ะ

 

ถ้าข้อมูลทั้งหมดเป็นไปตามที่นิดบอก ช่วยตอบกลับนิดด้วยนะคะ นิดจะรอค่ะ

“อย่าบอกนะ ว่ามึงยังกลัวสมุดผีสิงอยู่อะ”

ไม่มีใครเข้ามาขีดเขียนได้ เพราะเขามั่นใจว่าล็อกกุญแจลิ้นชักไว้อย่างแน่นหนา จึงเหลือเพียงเรื่องเหนือธรรมชาติเท่านั้นที่กลายเป็นข้อสันนิษฐาน และนั่นทำให้เขาโยนสมุดกลับลงไปด้วยความตกใจทั้งที่ยังไม่ได้อ่านให้ละเอียด

“มันเฮี้ยนกว่าเดิมอีกมึง” เขาอยากเล่าให้ยาวกว่านี้ ทว่าสายตามองเห็นแม่บ้านประจำบริษัทที่กำลังเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับหนังสือพิมพ์ในมือ “แต่ขอทำงานก่อน เดี๋ยวกูเล่าให้ฟัง”

“อ้าว! ไอ้ห่า มาทำให้อยาก” คู่สนทนาบ่นอุบอิบ “แล้วตอนบ่ายมึงไปกับคุณวินปะ”

“ไม่ กูไปอีกงานหนึ่ง” เขาตอบพลางสะบัดมือไปมา “มึงไปได้แล้ว”

“เออๆ” ชานนท์จึงเดินออกไปแต่โดยดี “รีบมาเล่านะมึง”

เขาพยักหน้ารับคำ ก่อนจะหันกลับมาทางแม่บ้านที่หยุดฝีเท้าลงข้างโต๊ะทำงาน

“ของคุณภูมิค่ะ”

“ขอบคุณครับ” มือหนารับหนังสือพิมพ์ไว้ แล้วตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีครบทั้งฉบับที่บรรจุข่าวสารทั่วไป ฉบับที่มุ่งเน้นด้านเศรษฐกิจ และฉบับที่เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับหุ้นโดยเฉพาะ

แต่ยังไม่ทันได้รวบทั้งสามฉบับไว้ด้วยกันเพื่อนำเข้าไปให้คุณวินในห้องทำงาน ภูมิภัทรกลับเห็นพาดหัวข่าวหน้าหนึ่งที่ระบุถึงภัยธรรมชาติไว้อย่างชัดเจน

‘อุตุฯ เตือน ‘กิสนา’ เข้าไทยทางอีสานวันนี้’

สองมือหยุดชะงัก เมื่อดวงตาสะท้อนชื่อพายุที่ปรากฏอยู่ในข้อความปริศนา

“คุณภูมิก็คนอีสานเหมือนกันเหรอคะ”

ก่อนที่เสียงของแม่บ้านจะปลุกเขาจากภวังค์ “อะ...อะไรนะครับ...”

“ป้าเห็นคุณภูมิดูข่าวพายุน่ะค่ะ เลยคิดว่าเป็นห่วงที่บ้านหรือเปล่า”

“อ๋อ...” เขาเผยยิ้มน้อยๆ แล้วตอบอย่างเรียบง่ายด้วยไม่ต้องการให้คนตรงหน้ารู้สึกผิดสังเกตไปมากกว่าเดิม“บ้านผมอยู่อยุธยาครับ แต่ไม่รู้จะโดนด้วยหรือเปล่า”

“ก็ไม่แน่นะคะ” คู่สนทนาบอกเล่าอย่างออกรส “เพราะป้าฟังข่าวเมื่อวาน ประเทศเพื่อนบ้านเราโดนกันหมดแล้ว ตายเป็นร้อยเลยค่ะ”

ยิ่งนึกถึงตัวเลขที่เพิ่งผ่านสายตา เขายิ่งรู้สึกหวาดหวั่น...

“ว่าแล้วเดี๋ยวป้าไปโทร. หาพี่สาวก่อนดีกว่า ไม่รู้ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง”

“ครับ” เขารับคำเพียงสั้นๆ แล้วรีบหันกลับมาทางหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อค้นหาข้อมูลทันทีที่แม่บ้านคล้อยหลัง

ก่อนจะพบกับข่าวสารบนหน้าเว็บไซต์ที่ส่งผลให้น้ำลายอึกใหญ่ถูกดันลงคออย่างยากลำบาก...

‘๒๘/๙/๒๕๕๒ - จากเหตุพายุโซนร้อนกิสนาพัดถล่มกรุงมะนิลา เมืองหลวงของฟิลิปปินส์ ทำให้เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่สุดในรอบกว่า ๔๐ ปี รัฐบาลฟิลิปปินส์เปิดเผยวันนี้ว่ายอดผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็นอย่างน้อย ๑๔๐ คน สูญหาย ๓๒ คน และไร้ที่อยู่อาศัย ๔๕๓,๐๓๓ คน...’

‘๒๙/๙/๒๕๕๒ - นายกิลเบิร์ต ทีโอโดโร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของฟิลิปปินส์กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ยอดผู้เสียชีวิตพุ่งขึ้นเป็น ๒๔๐ ราย...’

แน่นอนว่าหัวใจเต้นรัวแรงจนแทบจะหลุดออกมาด้านนอก แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจะกระชากลิ้นชักให้เปิดออกกว้างแล้วหยิบสมุดขึ้นมาเพื่อพลิกไปยังหน้าที่ต้องการ

จนมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 140 คน สูญหาย 32 คน

และไร้ที่อยู่อาศัยมากกว่า 450,000 คน ในวันที่ 28

ก่อนที่ผู้เสียชีวิตจะเพิ่มขึ้นเป็น 240 คน ในวันที่ 29 ค่ะ

ใช่...รายละเอียดในข่าวตรงกับข้อความที่เขาได้รับจริงๆ แต่นั่นยังไม่ทำให้ความตื่นตระหนกพุ่งสูงเท่ากับการได้ยินบทสนทนาของพนักงานที่กำลังเดินผ่านโต๊ะของเขา...

“แชมป์โลกเลยนะเว้ย โคตรเก่งอะ”

เพราะยังมีอีกหนึ่งข้อมูลที่ต้องได้รับการพิสูจน์

“พี่พงษ์...” เขาลุกขึ้นจากที่นั่งก่อนจะพูดต่อเมื่อเจ้าของชื่อหันกลับมาตามเสียงเรียก “หมายถึงพูนสวัสดิ์เหรอครับ”

“เออ! ใช่...” ดูเหมือนว่ารุ่นพี่จะไม่รู้สึกแปลกใจที่คนนอกวงสนทนาอย่างเขาโพล่งถามออกไปแบบนั้น จากการตอบด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “เดี๋ยวนี้ดูมวยกับเขาด้วยเหรอ เห็นปกติดูแต่บอล”

“อ๋อ...ก็สนใจอยู่ครับ” เขาจึงรีบเข้าสู่ประเด็นสำคัญ “พี่ได้ดูตอนแข่งไหมครับ”

“ไม่ได้ดู รอบนี้ไม่มีถ่ายทอดสด” คู่สนทนาส่ายหน้าแล้วอธิบายต่อ “แต่ข่าวบอกว่าชนะน็อกตั้งแต่ยกสาม คู่แข่งเลือดออกหูออกจมูกเลย”

...

ไม่มีอะไรที่ต้องสงสัยอีกต่อไปแล้ว...

ผลการแข่งขันคือ พูนสวัสดิ์ชนะน็อกในยกที่ 3 และคว้าแชมป์ไปค่ะ

เขาสื่อสารกับคนที่อยู่ในอนาคตได้จริงๆ

และคนนั้นคือคุณหนูนิด ลูกสาวของคุณวินในอีกสิบเอ็ดปีข้างหน้า

ยอมรับตามตรงว่ารู้สึกวูบโหวงคล้ายหายใจไม่ทั่วท้อง แววตายังคงสะท้อนภาพสมุดที่อีกฝ่ายใช้งานจนเต็มพื้นที่ ก่อนจะพลิกกระดาษอย่างรวดเร็วเมื่อสังเกตเห็นรอยกดของปากกาที่แสดงถึงการขีดเขียนในหน้าถัดมา

และพบว่าการติดต่อข้ามมิติเวลาที่เขาคิดว่าน่าสะพรึงกลัวแล้ว เทียบไม่ได้เลยกับข้อความที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า...

25 / 09 / 2552

 

คุณภูมิคะ นิดรู้ว่าคุณภูมิเห็นข้อความนี้

เรื่องที่นิดอยากขอความช่วยเหลือจากคุณภูมิ

คือคุณวินชัย พ่อของนิดจะเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ

ในวันที่ 29 กันยายน เวลาประมาณ 2 ทุ่ม

ระหว่างทางกลับจากโรงงานของคุณอาดิเรก

แต่ถ้าคุณภูมิไปด้วย คุณภูมิก็จะเสียชีวิตเช่นกัน

นิดไม่รู้ว่าคุณภูมิจะใช้วิธีไหน ไม่รู้จริงๆ ว่าจะต้องทำอย่างไร

แต่ได้โปรด ช่วยให้นิดได้มีโอกาสอยู่กับพ่ออีกสักครั้งนะคะ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น