๑๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๓

“แต่แกไม่ได้โทร. หาฉันจริงๆ นะเว้ย”

ความสับสนเข้าตีรวนจนรู้สึกปวดตุบทั่วศีรษะ เมื่อเพื่อนสนิทยังคงยืนยันอย่างหนักแน่น ณิชาจึงยกมือข้างหนึ่งขึ้นนวดวนบนหน้าผาก

ถ้าไม่ได้สอบถามฝ้าย เธอจะมีเบอร์โทรศัพท์ของคุณอาดิเรกได้อย่างไร...

“นิด...แกเป็นอะไรหรือเปล่าวะ”

ยิ่งปลายสายถามขึ้นด้วยความห่วงใย ยิ่งทำให้เธอรู้สึกเป็นกังวล

กังวล...ว่าจะเป็นตัวเองที่มีอาการผิดปกติ

“ไม่เป็นไรแก...แค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวค่อยคุยกัน”

แต่เพราะรู้ดีว่าไม่มีใครช่วยเหลือได้ เธอจึงตอบเพียงเท่านั้น ก่อนจะกดปุ่มวางสายแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้เพื่อปล่อยให้สมองได้คิดทบทวนอีกครั้ง

เธอมั่นใจว่าได้พูดคุยกับฝ้าย และมั่นใจว่าคุณอาดิเรกไม่ได้ใช้โซลาร์เซลล์ของบริษัท แต่เมื่อเธอต่อสายไปหาคุณอาดิเรก ก็ดูเหมือนว่าเรื่องราวจะกลับตาลปัตรไปหมด

ถ้าไม่ได้คิดฝันไปเอง จุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลงน่าจะอยู่ในช่วงเวลาระหว่างการวางสายจากฝ้าย จนถึงการกดปุ่มโทร. ออกเมื่อได้รับเบอร์โทรศัพท์

ใช่...เบอร์โทรศัพท์

เธอโทร. หาฝ้าย เพราะหมายเลขที่คุณภูมิจดไว้มีไม่ครบสิบตัว

ดวงตาวิบไหวสะท้อนภาพสมุดสีแดงเลือดหมูที่อยู่ไม่ไกล สมองย้อนนึกไปยังเหตุการณ์ในนาทีนั้น

‘ได้แก...ขอเบอร์พ่อแกอีกทีได้ปะ’

‘ศูนย์ แปด เก้า เจ็ด แปด หนึ่ง ศูนย์ สี่ สี่ เจ็ด’

สติสัมปชัญญะของเธอยังสมบูรณ์อยู่หรือไม่...คงต้องให้เลขหนึ่งที่เขียนไว้เป็นตัวตัดสิน

มือเรียวจึงพลิกกระดาษอย่างไม่รีรอ เพื่อให้ข้อความในวันที่ ๑๘ กันยายนปรากฏขึ้นตรงหน้าก่อนจะพบว่า...

เบอร์โทรศัพท์ 0897810447

มีเลขหนึ่งอยู่ในเบอร์โทรศัพท์จริงๆ แต่เธอคงรู้สึกใจชื้นกว่านี้แน่ ถ้าสายตาไม่สบเข้ากับบางประโยคที่เพิ่มเติมขึ้นมาอย่างน่าประหลาด...

18 / 09 / 2552

  • คุณดิเรกสนใจติดโซลาร์เซลล์ที่โรงงาน (ชลบุรี)

     เบอร์โทรศัพท์ 0897810447 ?? อย่าลืมถามคุณวินว่าโทร. ติดไหม

ที่ใช้คำว่าประหลาด เพราะทั้งเครื่องหมายปรัศนีที่แสดงถึงความงุนงง และประโยคสุดท้ายที่บ่งบอกว่าผู้เขียนไม่มั่นใจในความถูกต้องของเบอร์โทรศัพท์มากนัก...

เธอไม่เคยเห็นมาก่อน

ที่สำคัญ สมุดเล่มนี้อยู่ข้างๆ เธอมาตลอด...

แล้วใครจะเข้ามาขีดเขียนได้

บอกตามตรงว่าเริ่มรู้สึกหวาดหวั่น แต่เพราะไม่ได้ถูกเลี้ยงมาให้เชื่อในเรื่องผีสางหรือสิ่งลี้ลับ จึงรีบสำรวจบันทึกของวันถัดมาเพื่อค้นหาคำตอบที่สมเหตุสมผล แต่นั่นกลับทำให้เธอเห็นชื่อของคุณอาดิเรกที่ถูกเขียนไว้อีกหลายครั้ง ราวกับว่าการติดต่อธุรกิจเป็นไปด้วยความราบรื่น

24 / 09 / 2552

  • 10.00 น. ประชุมฝ่ายผลิต (โรงงาน)
  • คุณวินขอคุยกับพนักงานขายที่ดูแลโครงการของคุณดิเรก

เรื่องใบเสนอราคา - อยากลดพิเศษ

ยิ่งอ่านข้อความอย่างละเอียด ประโยคที่เพิ่งได้ยินก็ยิ่งดังขึ้นในสมอง...

‘ต้องขอบคุณพ่อหนูมาก ๆ เลยนะ ที่ช่วยแนะนำอาทุกอย่าง แถมยังลดราคา และพาคนมาดูหน้างานให้ตั้งหลายรอบ’

แต่จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ในเมื่อเบอร์โทรศัพท์ที่คุณภูมิจดไว้ยังไม่ถูกต้องเลยด้วยซ้ำ

หรือต้องยอมรับจริงๆ ว่ากำลังเผชิญหน้ากับสิ่งเหนือธรรมชาติ เพราะถ้าความผิดแปลกของเรื่องราวเกิดขึ้นจากเบอร์ติดต่อของคุณอาดิเรกตามที่คาดการณ์ไว้ เธออาจตอบคำถามที่ค้างคาใจได้จากบันทึกหน้านั้น

มือจึงพลิกกระดาษกลับไปยังวันที่ ๑๘ กันยายนอีกครั้ง แล้วเพ่งมองทุกตัวอักษรตรงหน้าอย่างตั้งใจ

เบอร์โทรศัพท์ 0897810447 ?? อย่าลืมถามคุณวินว่าโทร. ติดไหม

เป็นไปได้ไหม ว่าทุกเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงไป...

เพราะการขีดเขียนของเธอ

๑๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๒

“ฉิบหาย!”

ใช่...ฉิบหายแน่ๆ เพราะหมายเลขที่ภูมิภัทรเขียนไว้มีเพียงเก้าตัวเท่านั้น

แค่การจดเบอร์โทรศัพท์ให้ถูกต้องตามคำบอกเล่าของคุณอิงอร ภรรยาของคุณดิเรก เลขานุการที่ทำงานมามากกว่าสามปีอย่างเขายังทำไม่ได้เลยเหรอ

ยังไม่พูดถึงการทำงานที่เชื่องช้า เพราะกว่าจะรู้ว่าเกิดความผิดพลาด เวลาก็ล่วงเลยมาเกินหนึ่งเดือนแล้วนับจากงานวันแม่แห่งชาติ...

สมองเริ่มทบทวนถึงเหตุการณ์ คุณวินชัยเดินทางไปร่วมกิจกรรมของโรงเรียนด้วยความรีบร้อนจนลืมทั้งโทรศัพท์มือถือและกล่องนามบัตรไว้ที่สำนักงาน ยิ่งมั่นใจว่าเจ้านายไม่ได้พกสมุดบันทึกติดตัว และไม่มีทางจดจำหมายเลขสิบหลักได้ด้วยตัวเอง คิ้วหนาก็ยิ่งย่นยู่เข้าหากันจนเกือบชิด

ไม่ใช่เพราะความกลัวเกรง แต่เพราะรู้ว่าคุณวินใจดีเกินกว่าจะดุด่าเขาต่างหาก

ตั้งแต่ทำงานมา เขาไม่เคยเห็นว่าคุณวินแสดงท่าทีหงุดหงิดใส่พนักงานคนใดเลยสักครั้งทั้งยังดูแลลูกน้องทุกคนราวกับเป็นสมาชิกในครอบครัว

โดยเฉพาะกับเขา เด็กต่างจังหวัดที่ไม่ได้เรียนจบด้วยเกรดสวยหรูจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง ถ้าคุณวินไม่ให้โอกาสในวันนั้น เขาก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าชีวิตในวันนี้จะเป็นอย่างไร

“เฮ้อ!” ภูมิภัทรถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นจากสมุดคู่ใจแล้วมองเลยพาร์ติชันออกไปทางด้านหน้า นั่นทำให้สายตาสบเข้ากับชานนท์ที่ยืนอยู่ไม่ไกล มือจึงโบกไหวๆ เพื่อชักชวนให้เพื่อนสนิทเดินมารับกาแฟเย็นที่ฝากซื้อ ทว่าสีหน้าของชายหนุ่มดูเคร่งเครียด ซ้ำยังส่ายหน้าน้อยๆ คล้ายกับจะส่งสัญญาณว่ายังไม่สะดวกนัก

เขาเข้าใจได้ทันทีเมื่อพบว่าชานนท์กำลังพูดคุยกับคุณวรรณพร ผู้อำนวยการฝ่ายบัญชีและการเงินที่มีท่าทางดุดันและน่าเกรงขาม ต่างจากน้องชายแท้ๆ อย่างคุณวินโดยสิ้นเชิง

แต่ถึงแบบนั้น เธอก็ยังเป็นที่รักของลูกน้องทุกคน รวมถึงชานนท์ซึ่งเป็นหนึ่งในพนักงานฝ่ายการเงินที่น่าจับตามอง

“ติ๊ด! ติ๊ด!”

เสียงเรียกเข้าที่ดังขึ้นเพียงสั้น ๆ ดึงดูดให้ภูมิภัทรหันกลับมาบนโต๊ะทำงานอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันได้หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาสำรวจ เขากลับสังเกตเห็นว่าชุดตัวเลขในสมุดตรงหน้าดูแปลกตาไปจากเดิม

“เฮ้ย!” ก่อนจะร้องขึ้นด้วยความตกใจ เพราะหมายเลขโทรศัพท์ที่เคยคิดว่าขาดหาย ขณะนี้มีครบทั้งสิบตัว

เป็นไปได้อย่างไร...

ปลายนิ้วค่อยๆ ชี้ไปตามตัวเลขที่เขียนไว้ด้วยตั้งใจว่าจะนับดูอีกสักรอบ แต่ดวงตาเบิกโพลงกลับสะดุดที่
เลขหนึ่งซึ่งแทรกอยู่ระหว่างเลขแปดกับเลขศูนย์

เมื่อครู่มีหมายเลขนี้ด้วยเหรอ...

แต่เขานั่งอยู่ตรงนี้มาตลอด แล้วใครจะเข้ามาเพิ่มเติมได้

มือหนาเกาศีรษะอย่างงงงัน ไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะไร้สติถึงขั้นนั้น แต่ด้วยไม่มีหลักฐานใดมาพิสูจน์ เขาจึงเอนเอียงไปทางอาการตาฝาดอย่างเลี่ยงไม่ได้

และใช่...ถ้าเป็นแบบที่คิดไว้ เขาก็ควรจะคัดลอกเบอร์โทรศัพท์ลงในกระดาษโน้ตแล้วนำไปให้เจ้านายได้แล้ว

“ก๊อก! ก๊อก!”

ห้องทำงานของคุณวินอยู่ด้านหลังโต๊ะนี่เอง ภูมิภัทรจึงลุกขึ้นยืนแล้วหันไปเคาะประตูเบาๆ ก่อนจะก้าวเข้าไปภายในด้วยท่าทีสุภาพ

ทั้งโต๊ะทำงานสีเข้มที่เต็มไปด้วยกองเอกสาร รูปถ่ายคู่กับลูกสาวในกรอบไม้ที่ถูกใช้แทนของตกแต่งหรูหรา และของเล่นหลายชิ้นที่คุณหนูนิดวางทิ้งไว้บนโซฟา กลายเป็นภาพชินตาไปแล้วสำหรับเขา

“เบอร์ของคุณดิเรกครับ” เขายื่นกระดาษสีเหลืองให้คุณวินทันทีที่หยุดฝีเท้าลงตรงหน้า “ขอโทษนะครับที่ไม่ได้เตือน ผมลืมไปเลยว่าเราเคยขอเบอร์เขาไว้”

“อ้อ! ไม่เป็นไรหรอก”

เจ้านายรับไว้ด้วยรอยยิ้ม แต่นั่นไม่ช่วยให้เลขาฯ หนุ่มรู้สึกสบายใจขึ้นเท่าไรนัก ต่อให้คิดว่าเป็นเพียงอาการตาฝาด เขาก็ไม่อาจละสายตาจากตัวเลขบนกระดาษได้

คุณวินจะโทร. ติดหรือไม่...จะได้พูดคุยกับคุณดิเรกหรือเปล่า...

เขาไม่แน่ใจเลย...

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

“อ๋อ...” ภูมิภัทรเงยหน้าขึ้นเมื่อถูกเสียงนุ่มปลุกจากภวังค์ “เปล่าครับ”

ก่อนที่คุณวินจะเอ่ยแซว “ลืมกินกาแฟละสิ”

และทำให้เขาเผลอหัวเราะออกมาเบาๆ การพูดถึงเครื่องดื่มแก้วโปรดที่เขาออกไปซื้อทุกช่วงบ่ายเป็นอีกหนึ่งเครื่องยืนยันถึงความใส่ใจที่เจ้านายมีต่อเขา

“ฝากเช็กพวกงานสัมมนาให้หน่อยสิ อยากไปแจกนามบัตรอะ”

“เกี่ยวกับโซลาร์เซลล์เหรอครับ”

“เกี่ยวกับอย่างอื่นดีกว่า พวกไฟฟ้าหรืออุตสาหกรรม...” คุณวินคิดอยู่สักครู่แล้วพูดต่อ “อะไรที่ผมเข้าร่วมได้น่ะ เผื่อจะได้ลูกค้าสักเจ้า”

“ได้ครับ”

เขาตอบรับแล้วเดินออกมาด้านนอก ก่อนจะพบว่าแก้วกาแฟของชานนท์ยังคงตั้งอยู่บนโต๊ะทำงาน

นอกจากจะพ่นลมหายใจพลางส่ายหน้าเบาๆ แล้ว ก็ดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีทางเลือกมากนัก จึงนำเครื่องดื่มไปให้เพื่อนสนิทด้วยตัวเอง

“เฮ้ย! ขอบใจมึง”

ชานนท์สาวเท้าออกมาจากแผนกการเงิน แล้วรับแก้วกาแฟไว้ด้วยรอยยิ้มกว้าง

“ละลายหมดแล้ว”

“เออว่ะ” ชานนท์เอียงคอมองเครื่องดื่มที่มีสีอ่อนลงกว่าปกติ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วพูดต่อ “เออ! มึงเดินมาก็ดีแล้ว ฝากดูคิวคุณวินให้หน่อยสิ คุณวรรณเขาอยากประชุมด้วย”

ภูมิภัทรจึงย้อนถามด้วยเสียงตวัดห้วน “คุยที่บ้านไหม”

อาจจะฟังดูยียวน แต่บางครั้งเขาก็คิดเช่นนั้นจริงๆ ในเมื่อคุณวรรณและคุณวินเป็นพี่น้องกัน บ้านของทั้งคู่ก็อยู่ในละแวกเดียวกัน ต่อให้ไม่ได้สนิทสนมกันมากนัก แต่การประชุมที่มีสมาชิกเข้าร่วมเพียงสองคน และพูดคุยกันในเรื่องเดิมแบบซ้ำๆ ซากๆ จะมีประโยชน์มากกว่าการปรึกษากันแบบครอบครัวอย่างไร

“เรื่องงานก็ต้องคุยที่ทำงานสิวะ มึงยังไม่ชินอีกเหรอ” แต่ชานนท์กลับตอบกลั้วหัวเราะ “กูรู้ว่ามึงไม่อยากให้นายเครียด แต่มึงก็ต้องเห็นใจนายกูด้วยนะเว้ย เขาเห็นทั้งรายรับและรายจ่ายอะ”

ยิ่งรู้ว่าอยู่คนละฝั่ง ยิ่งไม่เห็นข้อดีในการต่อล้อต่อเถียง เขาจึงทำเพียงกลอกตาไปมาแล้วรับปากด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย “อืมๆ เดี๋ยวดูให้”

“ขอบใจมากมึง”

หลังจากบทสนทนาจบลงอย่างเรียบง่าย ภูมิภัทรก็เดินกลับมายังโต๊ะทำงานแล้วทิ้งตัวลงบนเก้าอี้นวมสีเข้ม

หรือจะเป็นอย่างที่เพื่อนสนิทพูดจริงๆ...

อาจเป็นตัวเขาเองที่อยากปกป้องคุณวินมากเกินไปจนเริ่มพาลใส่วิธีการทำงานของคุณวรรณ แต่เพราะเขา
ไม่อาจทนได้ หากเจ้านายต้องถูกกดดันเรื่องยอดขายของโซลาร์เซลล์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ในฐานะเลขานุการที่ทำงานใกล้ชิด เขามั่นใจว่าเจ้านายไม่เคยเพิกเฉยและพยายามทุกวิถีทางเพื่อสร้างรายได้ให้แก่บริษัท ทั้งวางแผนการตลาด อบรมพนักงานขาย ควบคุมการผลิต และออกไปพบลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ

แต่ด้วยต้นทุนที่สูงทั้งในด้านอุปกรณ์และการติดตั้ง อีกทั้งยังไม่แน่ใจว่าผลที่ได้รับจะคุ้มค่าหรือไม่ ทำให้
โซลาร์เซลล์ยังไม่ได้รับความนิยมมากเท่าที่ภาครัฐคาดการณ์ไว้ ไม่ว่าจะเป็นภาคอุตสาหกรรมหรือครัวเรือน แม้ว่าบริษัทจะเป็นเจ้าแรกที่ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ จนผลิตแผงโซลาร์เซลล์ได้ด้วยตนเองก็ตาม

แน่นอนว่านั่นนำมาซึ่งความกังวลอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะผู้อำนวยการฝ่ายบัญชีและการเงิน เพราะหากเปรียบเทียบกับเม็ดเงินที่ลงทุนไปในการก่อสร้างโรงงานและสั่งซื้อเครื่องจักรต่างๆ เพื่อรองรับการผลิตโซลาร์เซลล์ก็ถือว่าขาดทุนย่อยยับ ยิ่งไปกว่านั้น รายจ่ายที่สูงขึ้นเรื่อยๆ กำลังเบียดบังรายได้จากการผลิตและจำหน่ายสายไฟฟ้าซึ่งเป็น
ธุรกิจหลัก

แต่ถึงแบบนั้น เขาก็ยังมั่นใจว่าความพยายามของคุณวินจะพลิกฟื้นธุรกิจที่ใกล้ล่มสลายให้กลับมางอกเงยได้

และใช่...เขาจะช่วยเหลือเจ้านายอย่างเต็มที่ ด้วยการพิมพ์คำว่า ‘สัมมนา’ ลงในเว็บไซต์ค้นหาข้อมูล นั่นทำให้งานสัมมนาในหัวข้อ ‘การปรับตัวของผู้ประกอบการไทยท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก’ ปรากฏขึ้นบนหน้าจอคอมพิวเตอร์

เขาเลื่อนเมาส์ไปที่แถบ ‘กำหนดการ’ เพื่ออ่านรายละเอียดอยู่พักใหญ่ เมื่อมั่นใจว่าคุณวินไม่ติดภารกิจใด
ในวันนั้น จึงกางสมุดสีแดงเลือดหมูออกกว้างแล้วจดปากกาลงไปอย่างไม่ลังเล หวังเพียงว่าแผนการหาลูกค้าของเจ้านายจะได้ผล...

ในอีกสิบเอ็ดวันข้างหน้า

29 / 09 / 2552

  • สัมมนา ‘การปรับตัวของผู้ประกอบการไทยท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก’

14.00-19.00 น. หอประชุมใหญ่ ถนนวิภาวดีรังสิต

๑๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๓

“อ้าว! คุณหนูนิด”

ความสงสัยผลักดันให้ณิชามายืนอยู่ตรงนี้...หน้าโต๊ะทำงานของพี่มด

“มีอะไรเหรอคะ” พี่มดจึงร้องทักพลางลุกขึ้นจากเก้าอี้

ขณะที่เธอกำสมุดสีแดงเลือดหมูไว้แน่น แน่นอนว่าคำถามที่ตีรวนในสมองล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าประหลาดของเหตุการณ์รอบตัว

แต่บอกตามตรง เธอนึกไม่ออกเลยว่าควรเริ่มต้นด้วยประโยคใด ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องหลีกเลี่ยงคำพูดเช่นไร
เพื่อไม่ให้คนทั่วไปเข้าใจว่าเธอมีอาการทางประสาท

“เอ่อ...”

แต่ก่อนที่ณิชาจะตัดสินใจพูดอะไรในวินาทีต่อมา...

“สมุดไอ้ภูมินี่”

เธอหันไปมองตามเสียงที่ดังขึ้นขัดจังหวะ และพบกับคุณชานนท์ที่หยุดฝีเท้าลงใกล้ๆ ขณะส่งสายตามายังสมุดในมือ

“รู้ได้ไงอะ” พี่มดถามขึ้นทันที

“เขียน พ.ศ. ใหญ่ขนาดนี้ก็มีมันอยู่คนเดียวแหละ” ชายหนุ่มตอบกลั้วหัวเราะ แล้วเป็นฝ่ายเอ่ยถามบ้าง “มันไม่ได้เอากลับไปด้วยเหรอ”

แปลกจัง...

จะเอากลับไปได้อย่างไร ในเมื่อคุณภูมิเสียชีวิตไปแล้ว

“ไม่อะ” แต่พี่มดกลับพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ไม่มีท่าทีหดหู่หรือแปลกใจในคำถาม ก่อนจะหันมาทางณิชา
อีกครั้ง “คุณหนูนิด สงสัยข้อมูลอะไรในสมุดหรือเปล่าคะ”

เอาละ...

เธอมีอะไรที่ทำให้รู้สึกงงงันมากกว่าเรื่องราวในสมุดเล่มนี้แล้ว แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยถาม พี่มดกลับชี้นิ้วไปทาง
คุณชานนท์แล้วพูดต่อ

“ขอเบอร์ของภูมิจากชานนท์ได้นะคะ เขาสนิทกัน”

“อ๋อ...ครับ” เช่นเดียวกับคุณชานนท์ที่พยักหน้าแล้วขยายความอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ “แต่ผมต้องลองหาเบอร์ก่อนนะครับ ไม่ได้คุยกับมันนานแล้ว ไม่รู้เปลี่ยนเบอร์ไปหรือยัง”

เธอไม่อาจแปลความหมายของบทสนทนาเป็นอย่างอื่นได้...

นอกจากคุณภูมิยังมีชีวิตอยู่

แล้วประโยคที่เธอได้ยินเมื่อเช้าล่ะ...

‘เอ่อ...คือว่า...เขาเสียไปแล้วค่ะ’

หรือว่าเรื่องของคุณภูมิ จะเหมือนกับเรื่องของคุณอาดิเรก

“พี่มดคะ” เมื่อความสับสนเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ การถามอย่างตรงไปตรงมาจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด “ตอนที่นิดเจอสมุดเล่มนี้ พี่มดบอกนิดว่าคุณภูมิเขา...”

...

“อ๋อ! เขาลาออกไปแล้วค่ะ”

ไม่มีอะไรค้างคาใจอีกแล้ว...

การมีชีวิตอยู่ของคุณภูมิ คืออีกหนึ่งเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปจากการขีดเขียนสมุดของเธอ

“เขาเป็นเลขาฯ ส่วนตัวของคุณวิน พอคุณวินเสีย เขาก็เลยไม่รู้จะทำอะไรต่อน่ะค่ะ” พี่มดอธิบายโดยไม่ได้สังเกตเห็นแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความตกใจของเธอ

เช่นเดียวกับคุณชานนท์ที่ถามขึ้นอีกครั้ง “คุณหนูนิดจะเอาเบอร์ไอ้ภูมิไหมครับ ผมจะได้เดินกลับไปที่โต๊ะ พอดีไม่ได้หยิบมือถือมา”

แม้ว่าใจหนึ่งจะต้องการคำปรึกษา แต่อีกใจกลับคิดว่าควรเก็บเรื่องนี้ไว้เพียงลำพัง

ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติที่ไม่มีหลักฐานใดมายืนยัน...พูดไปก็คงไม่มีใครยอมเชื่อ

“วันหลังก็ได้ค่ะ นิดก็ทิ้งมือถือไว้ในห้องเหมือนกัน” เธอจึงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ก่อนจะพยายามควบคุมสีหน้าให้เป็นปกติที่สุดเพื่อเอ่ยคำล่ำลา “งั้นนิดขอตัวก่อนนะคะ”

“แก๊ก!”

เสียงประตูที่ถูกดันเข้าสู่ล็อกดังขึ้นเมื่อณิชาก้าวยาวๆ เข้ามาด้านในห้องพักโล่งกว้างของคอนโดมิเนียมหรู
ใจกลางเมือง ทว่ามันไม่ได้ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นเหมือนวันก่อนๆ อาจเพราะสมองสั่งการให้เธอรีบกลับมาเพื่อค้นหาคำตอบที่สำคัญ

‘อ๋อ! เขาลาออกไปแล้วค่ะ’

พี่มดพูดถึงคุณภูมิไว้แบบนั้น เธอจึงสำรวจทุกหน้ากระดาษของสมุดเล่มเดิมอีกครั้ง ก่อนจะเริ่มเชื่อมโยงเรื่องราวเข้าด้วยกันตามสมมุติฐานที่เคยตั้งไว้...

เหตุการณ์ทั้งในอดีตและปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปเพราะการขีดเขียนของเธอ

ทันทีที่เธอเพิ่มเลขหนึ่งลงในสมุด ข้อมูลของคุณอาดิเรกก็ปรากฏขึ้นทั้งที่ไม่เคยมีมาก่อน เป็นไปได้ไหมว่า
เบอร์โทรศัพท์ที่สมบูรณ์ทำให้พ่อติดต่อคุณอาดิเรกได้ เมื่อพูดคุยกันจนถูกคอ คุณอาจึงเลือกใช้โซลาร์เซลล์ของบริษัท แทนที่จะเป็นของเจ้าอื่น และกลายเป็นคนคุ้นเคย ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเธออีกต่อไป

แต่แน่นอน ทั้งพ่อและคุณอาดิเรกไม่มีทางล่วงรู้ได้ว่า การตัดสินใจเพียงหนึ่งครั้งจะทำให้ข้อมูลในหน้าสุดท้ายแตกต่างออกไปจากเดิม...

29 / 09 / 2552

  • สัมมนา ‘การปรับตัวของผู้ประกอบการไทยท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก’

14.00-19.00 น. หอประชุมใหญ่ ถนนวิภาวดีรังสิต - - - > ไปแทนคุณวิน

  • 16.00 น. พาวิศวกรไปโรงงานคุณดิเรก - - - > คุณวินไปเอง

เธอมั่นใจว่าพ่อและคุณภูมิต้องเดินทางไปร่วมงานสัมมนาด้วยกัน ข้อความเหล่านั้นระบุไว้อย่างชัดเจน แต่เพราะมีงานของคุณอาดิเรกเข้ามาแทรก ซ้ำยังเป็นช่วงเวลาที่ทับซ้อน ทำให้พ่อแยกไปพบคุณอาเพียงลำพัง และส่งคุณภูมิไปร่วมงานสัมมนาตามกำหนดการเดิม

เมื่อทั้งคู่ไม่ได้อยู่ในรถคันเดียวกัน จึงมีเพียงพ่อของเธอเท่านั้นที่เสียชีวิต...

ใช่...นั่นคือทั้งหมดที่เธอคาดการณ์ไว้

และเพื่อพิสูจน์ว่าถูกต้องหรือไม่ เธอจึงมุ่งตรงมาที่นี่...

ห้องนอนของตัวเอง

เท้าก้าวเข้าใกล้เตียงนุ่มขนาดห้าฟุตพร้อมกับหัวใจที่เต้นตึ้กตั้ก ก่อนจะพบว่าสิ่งที่ถูกวางไว้ระหว่างหมอน
ทั้งสองใบ...

คือหนูหน่อย

เพราะกระดาษโน้ตหายไปจากสมุด เธอจึงคาดเดาว่าภารกิจสุดท้ายที่คุณภูมิทำไว้ในฐานะเลขานุการของพ่อ คือการส่งของขวัญวันเกิดให้แก่เธอ

นั่นทำให้หนูหน่อยอยู่กับเธอมาตลอด

น้ำตาหยดไหลออกจากเบ้า ขณะที่มือสั่นเทาหยิบตุ๊กตาหมีตัวโปรดขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน แต่เธอรู้ดีว่าไม่มีเวลาสำหรับความโศกเศร้า จึงสูดลมหายใจเข้าจนลึกเพื่อรวบรวมสติและคิดทบทวนอีกครั้ง

ก่อนหน้านี้ เธอเข้าใจว่าเพียงขีดเขียนลงในสมุดก็เปลี่ยนแปลงเรื่องราวได้ แต่เมื่อลองนึกดูดีๆ พ่อจะติดต่อกับคุณอาดิเรกไม่ได้เลย...

ถ้าคุณภูมิไม่เห็นเลขหนึ่งของเธอ

เท่ากับว่าปัจจัยที่ทำให้เหตุการณ์พลิกผันไม่ใช่แค่เธอในฐานะผู้ส่งสาร แต่คุณภูมิต้องทำหน้าที่เป็นผู้รับสารด้วยเช่นกัน

และที่สำคัญ คุณภูมิที่เธอหมายถึง ไม่ใช่คุณภูมิที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน

แต่เป็นคุณภูมิ...ในปี พ.ศ. ๒๕๕๒

เธอไม่รู้ว่าปรากฏการณ์เช่นนี้ควรถูกนิยามด้วยชื่อใด เพราะตัวเธอเองไม่ได้ย้อนกลับไปในอดีตหรือมุ่งหน้าไปสู่อนาคต มีเพียงตัวอักษรของเธอเท่านั้นที่ข้ามมิติไป โดยใช้สมุดบันทึกเป็นประตูเชื่อมระหว่างสองช่วงเวลา

อะไรก็ตามที่เธอเขียนลงในสมุดจะถูกส่งไปถึงคุณภูมิที่ยังคงใช้ชีวิตอยู่ในช่วงสิบเอ็ดปีก่อนหน้า และเมื่อคุณภูมิกระทำบางอย่างตามข้อมูลที่ได้รับ เหตุการณ์ในปัจจุบันก็จะเปลี่ยนแปลงไปด้วยทฤษฎีบัตเตอร์ฟลายเอฟเฟกต์

สองมือกอดตุ๊กตาไว้แน่นเมื่อภาพตรงหน้าเริ่มกระจ่างชัด

ถ้าเธอทำให้หนูหน่อยกลับมาอยู่ข้างๆ ได้...

ทำให้คุณภูมิกลับมามีชีวิตได้...

ทำไมจะพาพ่อกลับมาไม่ได้!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น