๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๒

“อ้าว! ตื่นแล้วเหรอ”

หลังจากการทำบุญตักบาตรในช่วงเช้าเสร็จสิ้น ภูมิภัทรก็พาคุณวินและคุณหนูนิดกลับมายังโรงแรม แล้วอาศัยช่วงเวลาที่ทั้งคู่ออกไปใช้บริการสระว่ายน้ำพักผ่อนต่อภายในห้อง เพราะสมองที่มัวแต่ครุ่นคิดถึงข้อความของคุณหนูนิด
 ในปี พ.ศ. ๒๕๖๓ ตลอดทั้งคืนรู้สึกเหนื่อยล้าเต็มที

ใช่...ข้อความที่ระบุว่าคุณวินจะใช้ปืนยิงตัวเองจนเสียชีวิตในวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ตำรวจสันนิษฐานว่าสาเหตุเกิดจากความตึงเครียด เพราะธุรกิจกำลังประสบกับภาวะขาดทุนอย่างหนัก ซ้ำยังถูกคณะกรรมการกดดันให้แสดงความรับผิดชอบต่อการบริหารงานที่ผิดพลาด

“ครับ” เขาตอบรับคำทักทายของเจ้านายพลางเผยยิ้มน้อยๆ บนมุมปาก ยอมรับว่าทำตัวไม่ถูกนัก เมื่อมองเห็นชะตากรรมของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า

“พรุ่งนี้ผมไม่มีนัดอะไรใช่ไหม”

“ไม่มีครับ” เขาตอบอย่างมั่นใจโดยไม่ลืมย้อนถามตามที่คาดเดาไว้ “คุณวินจะลาอีกวันเหรอครับ”

“พอดีเมื่อเช้า ผมโทร. คุยกับคุณดิเรกก่อนเขาขึ้นเครื่อง เขาแนะนำร้านอาหารที่มีห้องส่วนตัวให้ ก็เลยกะว่าจะจัดงานวันเกิดที่นั่นเลย” เจ้านายอธิบาย ก่อนจะเอื้อมมือมาจับไหล่ของเขาแล้วพูดต่อ “อยู่ต่อด้วยกันสิ เป็นแขกให้หน่อย อย่าให้ต้องฉลองกันแค่สองพ่อลูกเลย”

“ได้ครับ” เขาตอบกลั้วหัวเราะ “งั้นผมแยกไปรับเค้กตอนเย็น แล้วไปเจอกันที่ร้านเลยดีไหมครับ”

“อืม ได้” คุณวินพยักหน้าแล้วหันกลับไปทางคุณหนูนิดที่กำลังว่ายน้ำอย่างคล่องแคล่ว

ขณะที่ภูมิภัทรยังคงลอบมองเจ้านายอยู่เป็นระยะ ด้วยหวังว่าอาจค้นพบสัญญาณบางอย่างที่จะช่วยให้เข้าใจว่าเหตุใดคนข้างกายถึงคิดสั้น

เพราะการป้องกันอุบัติเหตุที่เขาเคยคิดว่ายากแล้ว เทียบไม่ได้เลยกับการยับยั้งความรู้สึกสิ้นหวังที่ก่อตัวอยู่ภายใน

“รู้ไหม...ว่าทำไมพ่อแม่ถึงชอบลุกขึ้นมาดูแลตัวเองเวลาที่มีลูก”

เขาหันไปมองเจ้าของคำถามอย่างเต็มสายตา เพื่อรอฟังประโยคต่อมาด้วยความสนใจ

“เพราะว่าเราไม่อยากตายไง...” แววตาที่ยังคงสะท้อนภาพของลูกสาวตัวน้อยฉาบเคลือบด้วยความกังวล “เราอยากอยู่กับลูกให้นานที่สุด อยากเห็นเขาเติบโต เห็นเขามีความสุข ถ้าเราตายไป...ลูกจะอยู่ยังไง เวลาเขาล้ม...จะมีใครช่วยพยุงเขาไหม ถ้าเขามีความทุกข์...เขาจะปรึกษาใคร”

แม้ว่าในอีกไม่กี่วินาทีถัดจากนั้น คุณวินจะคิดว่าตัวเองกำลังพูดจาเรื่อยเปื่อยจนเผลอหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วตัดบทด้วยรอยยิ้มกว้าง

“คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ห่วงอยู่แค่นี้แหละเนอะ”

แต่เขายังคงมั่นใจว่าเจ้านายหมายความตามที่พูด

ภรรยาจากไปนับสิบปี พี่สาวแท้ๆ ก็ไม่ได้สนิทสนมถึงขั้นฝากผีฝากไข้ ญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝั่ง ถ้าไม่อาศัยอยู่ที่ต่างประเทศก็เสียชีวิตไปแล้วทั้งนั้น...

มันชัดเจนอยู่แล้วว่าลูกสาวไม่มีใครเลยนอกจากพ่อ

ทั้งที่รู้ว่าคุณหนูนิดจะต้องใช้ชีวิตเพียงลำพัง คุณวินก็ยังตัดสินใจแบบนั้นเหรอ...

.

..

...

เป็นไปไม่ได้!

 

“เค้กครับคุณวิน”

ภูมิภัทรส่งกล่องกระดาษแข็งให้เจ้านายหลังจากหยุดฝีเท้าลงด้านหน้าห้องพัก เมื่องานเลี้ยงฉลองจบลงอย่างเรียบง่าย ก็ถึงเวลาแล้วที่ทุกคนต้องแยกย้ายไปพักผ่อน

“เออ! เกือบลืมเลย...เดี๋ยวต้องเอามาแช่ตู้เย็น” คุณวินเอื้อมมือออกมารับกล่องเค้กไว้ คงเกรงว่ายุงจะเข้าไปก่อกวน ทำให้เปิดประตูได้ไม่กว้างนัก

“แล้วลูกโป่งนี่...” เขาชะเง้อเข้าไปด้านใน ไม่แน่ใจว่าจะมีพื้นที่เพียงพอสำหรับลูกโป่งแฟนซีหลากสีสันที่ทางร้านอาหารมอบให้เป็นของขวัญหรือเปล่า

“มาๆ” คุณวินรวบริบบิ้นมัดใหญ่ที่ถูกผูกไว้ใต้ลูกโป่งแล้วหันไปเรียกลูกสาว “หนูนิดมาช่วยพ่อหน่อยลูก”

คุณหนูนิดวิ่งมาอย่างว่าง่าย แล้วดึงลูกโป่งนับสิบจากมือของผู้เป็นพ่อเข้าไปด้านในด้วยความทุลักทุเล ขณะที่คุณวินจัดการกับกล่องเค้กต่อ

“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”

เขาค่อยๆ ถอยออกจากด้านหน้าห้อง แม้ว่าเจ้านายยังคงง่วนอยู่กับการผลักกล่องกระดาษเข้าไปในตู้เย็น

ยอมรับว่าตั้งแต่วินาทีที่ความสงสัยเริ่มก่อตัว เขาก็เฝ้ารอโอกาสที่จะได้กลับไปยังห้องพักของตัวเองอีกครั้ง

ใช่...เพราะมีบางอย่างที่เขาต้องค้นหา

“โอเค ขอบใจมาก”

เมื่อคุณวินไม่ทันได้สังเกตเห็นท่าทีรีบร้อนจนผิดปกติของภูมิภัทร สองเท้าจึงก้าวยาวๆ ไปทางห้องพักที่อยู่ติดกันอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนจะล้วงคีย์การ์ดออกมาจากกระเป๋ากางเกง เสียงหนึ่งกลับดังขึ้นขัดจังหวะ

“พี่ภูมิ”

เขาหันกลับไป และพบกับคุณหนูนิดที่ยืนอยู่ด้านหน้าห้อง

“ครับ”

เธอไม่ได้พูดต่อ ทว่ามือเล็กยื่นออกมาแทนคำตอบ...

เขาสาวเท้าเข้าไปใกล้ นั่นทำให้สายตามองเห็นกำไลข้อมือที่ประดับด้วยจี้รูปเปลือกหอยได้อย่างชัดเจน

จำได้ว่าหนึ่งในกิจกรรมของวันนี้ คือการหล่อเรซินรูปปลาดาวและเปลือกหอยเพื่อนำมาทำเป็นเครื่องประดับ และรู้ดีว่าไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าจะสำเร็จในแต่ละขั้นตอน เพราะชายหนุ่มมีโอกาสได้ช่วยคุณหนูนิดอยู่พักใหญ่ก่อนที่คุณวินจะกลับมารับช่วงต่อ

“ให้ผมเหรอครับ”

ภูมิภัทรจึงไม่คาดหวังเลยว่าในจำนวนกำไลเพียงไม่กี่ชิ้นที่เสร็จสมบูรณ์...

จะมีของเขารวมอยู่ด้วย

คุณหนูนิดพยักหน้าหงึกๆ แล้วกางเส้นเชือกออกกว้างคล้ายกับจะสวมใส่ให้ ขณะที่เขาย่อตัวลงนั่งยองๆ พลางยื่นมือข้างหนึ่งออกไปให้เด็กสาวแต่โดยดี

“ขอบคุณนะครับ”

“แก๊ก!”

เพราะไม่ลืมความตั้งใจ ภูมิภัทรจึงดันประตูห้องพักให้ปิดลงจนสนิท แล้วพุ่งตรงไปยังกระเป๋าเดินทางใบเล็กบนเตียงนอนทันที

อาจมีบางสิ่งที่เขามองข้ามไปด้วยเข้าใจว่า การเสียชีวิตของคุณวินเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ มือจึงเอื้อมหยิบสมุดเล่มเดิมออกมาเพื่อเปิดอ่านโดยละเอียด

แต่ได้โปรด ช่วยให้นิดได้มีโอกาสอยู่กับพ่ออีกสักครั้งนะคะ

 

สายตาละจากตัวอักษรตรงหน้ามายังกำไลบนข้อมือ รู้สึกสงสารคุณหนูนิดจับใจเพราะเรื่องราวไม่เปลี่ยนแปลงไปดังหวัง ซ้ำยังเลวร้ายลงกว่าเดิม ทั้งที่เธอเชื่อมั่นอย่างเต็มล้นว่าจะสามารถช่วยเหลือพ่อได้

ในฐานะลูกสาวที่ผูกพันกับผู้เป็นพ่อตั้งแต่เด็ก คงไม่อาจทำใจยอมรับได้ หากต้องเผชิญกับความสูญเสียถึง
 สองครั้งสองคราว

ไม่สิ...สามด้วยซ้ำ เพราะมีครั้งแรกที่เขาอยู่ในเหตุการณ์ด้วย

แต่ถ้าคุณภูมิไปด้วย คุณภูมิก็จะเสียชีวิตเช่นกัน

 

และนั่นเองที่ทำให้เขาเริ่มฉุกคิด...

คุณหนูนิดในปี พ.ศ. ๒๕๖๓ บอกว่า หากคุณวินเดินทางไปยังจังหวัดชลบุรีเพียงคนเดียว ขากลับจะถูกรถบรรทุกสิบล้อพุ่งชนจนเสียชีวิต แต่ต่อให้ไม่มีงานของคุณดิเรก คุณวินที่เดินทางไปร่วมงานสัมมนาบนถนนวิภาวดีรังสิตกับเขาก็จะถูกรถบรรทุกสิบล้อพุ่งชนจนเสียชีวิตอยู่ดี

ทั้งที่จุดเกิดเหตุอยู่ห่างกันมากกว่าเจ็ดสิบกิโลเมตร...

ทำไมรูปแบบของอุบัติเหตุถึงไม่แตกต่างกันเลย

คิ้วหนาขมวดย่นเมื่อความคิดเข้าตีรวนในสมอง แต่แน่นอน...เขาคงไม่มีวันคลายข้อสงสัยได้ ถ้าไม่จดปากกาลงบนสมุดอีกครั้ง

๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๓

“ฝากแป๊บหนึ่งนะภูมิ”

พ่อพูดเพียงเท่านั้น ก่อนจะเดินห่างออกไปเพื่อกดปุ่มรับสายบนโทรศัพท์มือถือ แต่เธอไม่รู้สึกเป็นกังวลมากนัก เพราะปลายหางตาเห็นว่าเจ้าของชื่อกำลังเดินเข้ามาใกล้

“เรซินเหรอครับ”

เธอไม่ได้หันไปมองด้วยกำลังสำรวจอุปกรณ์บนโต๊ะไม้ แต่ยังคงได้ยินบทสนทนาของชายหนุ่มและเจ้าหน้าที่ภายในห้อง

“ใช่ค่ะ เรามีพิมพ์ให้เลือกหลายรูปแบบเลย”

เจ้าหน้าที่อธิบายให้เธอและพ่อฟังแล้วว่าการประดิษฐ์เปลือกหอย ปลาดาว และสัตว์ทะเลหลากหลายชนิดจากเรซินเป็นกิจกรรมที่ทางโรงแรมจัดขึ้น เพื่อให้ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการได้ทดลองทำเป็นของฝากหรือของที่ระลึก

แน่นอนว่าเธอสนใจ จึงเลือกใช้เวลาช่วงบ่ายที่นี่ แต่ยังไม่ทันได้เริ่มต้นตามขั้นตอนเสียงนุ่มกลับดังขึ้นขัดจังหวะ

“คุณหนูนิดจะทำรูปอะไรเหรอครับ”

และนั่นเองที่ทำให้ดวงตากลมสบเข้ากับชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง น่าเสียดายที่ใบหน้าของเขาไม่ชัดเจนนัก คงเพราะอยู่ในทิศทางตรงกันข้ามกับทางที่แสงแดดส่องมา

“ปลาดาวค่ะ...” แต่ถึงแบบนั้น เธอก็ยังรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นอย่างประหลาด เมื่อคนตรงหน้าส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร “แล้วก็เปลือกหอยด้วย”

“อ๋อ...” เขาตอบเพียงสั้นๆ แล้วลุกขึ้นจากที่นั่ง ก่อนจะเดินกลับมาอีกครั้งพร้อมกับแม่พิมพ์พลาสติกหลากหลายขนาด

เธอจึงเผลออมยิ้มน้อยๆ บนมุมปาก เมื่อบทสนทนาไม่ได้จบลงอย่างที่เข้าใจ

“ผมไม่รู้ว่าคุณหนูนิดจะเอามาทำอะไร ก็เลยหยิบมาทุกแบบเลย”

“ขอบคุณค่ะ” เธอยกมือไหว้ แล้วชี้นิ้วไปทางแท่นวางเครื่องประดับบนตู้เก็บของ “อยากทำกำไลแบบนั้น”

เขาละสายตาจากถ้วยผสมสารเคมีบนโต๊ะแล้วชะเง้อมองตามนิ้วของเธออย่างสนใจ ก่อนที่ผู้สอนจะพูดขึ้นด้วยสีหน้าเหยเก 

“พอดีคนที่ทำกำไลเป็นเขาไม่อยู่น่ะค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ”

“อ้าว!” เธอก้มลงมองสิ่งของตรงหน้าด้วยความผิดหวัง แต่คงกล่าวโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเองที่ไม่ได้บอกความต้องการออกไปตั้งแต่แรก

“แต่มีอุปกรณ์ใช่ไหมครับ”

“มีค่ะ” ผู้สอนพยักหน้าแล้วหยิบถาดบรรจุอะไหล่สำหรับเครื่องประดับมาวางไว้บนโต๊ะ “แต่ไม่แน่ใจว่าพี่เขาใช้ตัวไหนบ้าง”

คิ้วเรียวขมวดพันทันที ด้วยไม่มีอุปกรณ์ชิ้นใดที่เธอเคยเห็นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นตะขอเกี่ยว ก้านเสียบ หรือแม้แต่คีมหนีบปากแบน

แต่ก่อนที่เธอจะถอดใจ...

“เดี๋ยวผมช่วยครับ”

เธอหันตามเสียงนุ่มที่ฟังดูหนักแน่นขึ้นกว่าเดิม ก่อนจะพบว่าชายหนุ่มก้าวไปทางชั้นวางเพื่อนำกำไลที่ถูกแขวนไว้มาเป็นต้นแบบ โดยไม่ลืมย้ายมานั่งบนเก้าอี้ตัวข้างๆ แล้วเริ่มลองผิดลองถูกกับวัสดุตรงหน้า

แม้จะพอมองออกว่าการประดิดประดอยไม่ใช่เรื่องที่ชายหนุ่มถนัด แต่เธอกลับทำตามขั้นตอนที่เขาเป็นผู้คิดค้นอย่างไม่ลังเล

จะเรียกว่าเชื่อใจก็คงไม่ผิดนัก...

ใช้เวลาไม่นาน เธอก็เทของเหลวหลากสีสันใส่แม่พิมพ์รูปปลาดาวและเปลือกหอยจนเสร็จสิ้น เช่นเดียวกับคนข้างกายที่ค่อยๆ วางก้านเสียบสำหรับประกอบจี้ลงไปอย่างใจเย็น แล้วพูดขึ้นขณะดึงเส้นเชือกออกจากแกนพลาสติก

“ขอวัดข้อมือหน่อยครับ”

เธอคาดว่าชายหนุ่มคงไม่อยากนั่งรออยู่เฉยๆ จนกระทั่งเรซินแข็งตัว จึงเบี่ยงไหล่เล็กน้อยเพื่อยื่นแขนเข้าไปใกล้

ขณะที่เขาใช้เชือกพันรอบข้อมือของเธอด้วยความตั้งใจ และคงไม่ได้สังเกตเห็นว่ามีใครลอบมองตัวเองอยู่เป็นระยะ...

“พี่อายุเท่าไร”

คู่สนทนาเอ่ยเย้าทันทีที่ได้ยินคำถาม “ถ้าบอกแล้วจะยังเรียกพี่ไหมครับ”

“แก่เหรอ”

“ยี่สิบห้าครับ” เขาตอบอย่างตรงไปตรงมา แล้วย้อนถามด้วยรอยยิ้มกว้าง “แก่ไหมครับ”

ยี่สิบห้า...

มากกว่าถึงสองเท่า!

นั่นทำให้เธอพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจ ยอมรับว่ายังไม่กล้าเหลือบมองคู่สนทนา จึงปล่อยให้ดวงตาสะท้อนภาพกรรไกรที่เขาใช้เพื่อตัดเส้นเชือกให้ขาดออก

“ฉับ!”

และนั่นคือเสียงที่ปลุกณิชาจากภวังค์...

เธอฝืนดันเปลือกตาหนักอึ้งขึ้นแม้ยังคงงัวเงีย ก่อนจะมองเห็นตุ๊กตาหนูหน่อยบนหมอนใบข้างๆ และทิวทัศน์มุมสูงของกรุงเทพฯ ผ่านผ้าม่านแบบโปร่งแสงและประตูกระจกริมระเบียง

แน่นอน...มันคือความฝัน

แต่ถึงแบบนั้น เธอก็ยังนึกทบทวนอยู่ครู่ใหญ่ จนเริ่มมั่นใจว่าเรื่องราวที่เพิ่งผ่านพ้นไปไม่ได้เกิดจากการเสริมแต่งของสมอง

ทั้งจมูกที่ได้กลิ่นน้ำทะเล ผิวหนังที่ถูกไอร้อนจากแสงแดดเข้าแผดเผา และหูที่รับฟังเสียงนุ่มของใครบางคนอย่างตั้งใจ คือเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์นี้...

เมื่อสิบเอ็ดปีก่อน

เพราะแผนการของคุณภูมิไม่ได้เปลี่ยนแปลงแค่ชีวิตของพ่อเท่านั้น แต่ยังรวมถึงทุกคนที่เกี่ยวข้องตามทฤษฎีบัตเตอร์ฟลายเอฟเฟกต์

ไม่เว้นแม้กระทั่งเธอ...คนที่ไม่ได้ใช้เวลาช่วงสองทุ่มของวันที่ ๒๙ กันยายน บนโซฟาในบ้านหลังเก่าอีกต่อไป แต่กลับเดินทางไปท่องเที่ยวและฉลองวันเกิดที่เมืองพัทยา นั่นทำให้ความทรงจำที่เลือนหายไปจากการซ้อนทับของมิติเวลาค่อยๆ กลับคืนมาตามที่ควรจะเป็น

เช่นเดียวกับความรู้สึกของเธอ...

จากเลขานุการของพ่อที่แทบไม่เคยพบหน้า กลายเป็นคนที่ทำให้หัวใจของเธอเต้นรัวแรงจนไม่กล้าสบสายตา

แม้จะหลงลืมใบหน้าของคุณภูมิไปตามกาลเวลา และส่งผลให้ภาพของเขาในความฝันดูเลือนราง แต่เธอกลับจดจำทุกเหตุการณ์ที่มีชายหนุ่มอยู่ข้างๆ ได้อย่างแม่นยำ

และนั่นทำให้รอยยิ้มปรากฏขึ้นอีกครั้ง

แต่ในอีกไม่กี่อึดใจหลังจากนั้น เธอกลับถูกดึงออกจากความเพ้อฝัน เพราะมองเห็นสมุดเล่มเดิมบนโต๊ะเครื่องแป้ง

หลังจากแจ้งข่าวร้ายชายหนุ่มก็เงียบหายไปตลอดทั้งวัน เป็นไปได้ว่าอาจกำลังคิดหาวิธีการใหม่และเธอควรช่วยเหลือเขาอีกแรง

คุณหนูนิดยังมีทะเบียนรถบรรทุกที่ขับชนคุณวินทั้งสองรอบอยู่ไหมครับ

ผมอยากรู้ว่าเป็นคันเดียวกันหรือเปล่า

 

แม้จะรู้สึกสงสัยว่าทำไมคุณภูมิถึงยังคงสนใจในอุบัติเหตุ ทั้งที่การเสียชีวิตของพ่อเปลี่ยนแปลงไปแล้ว แต่เธอก็พยายามนึกย้อนกลับไปเพื่อตอบคำถามนั้น

หลังจากการช่วยเหลือของชายหนุ่ม ทั้งเหตุการณ์ ข่าวสาร และคำบอกเล่าที่เกี่ยวข้องกับพ่อก็กลายเป็น
 การฆ่าตัวตายทั้งหมด เธอจึงไม่มีข้อมูลของอุบัติเหตุครั้งเก่าหลงเหลืออยู่เลย มีแต่สมองที่จดจำได้เพียงบางส่วนเท่านั้น

ป้ายทะเบียน...เธอยอมรับว่าไม่ได้ใส่ใจ ทั้งเหตุการณ์ที่จังหวัดชลบุรีและถนนวิภาวดีรังสิต จึงรู้เพียงว่าคนขับรถบรรทุกหลบหนีไปทั้งสองครั้งและยังคงลอยนวลอยู่จนถึงปัจจุบัน

สำหรับอุบัติเหตุบนทางพิเศษบูรพาวิถี เธอเพิ่งอ่านข่าวเมื่อไม่นานมานี้จึงพอจะนึกออกว่า รถบรรทุกเป็นของบริษัทขนส่งที่มีชื่อว่า บริษัท พันธ์ ทรานสปอร์ต จำกัด (Phun Transport Co., Ltd.) ผู้เป็นเจ้าของให้สัมภาษณ์ว่าจะรับผิดชอบค่าเสียหายทั้งหมด แต่เพราะเธอยังเด็กมากในเวลานั้น จึงไม่แน่ใจว่าได้รับการชดใช้จริงหรือไม่ และมากน้อยเพียงใด

ส่วนคนขับรถ...เพราะเจ้าของไม่ได้เข้มงวดในการรับพนักงาน จึงไม่มีข้อมูลสำคัญอื่นใดให้ตำรวจติดตามตัวได้นอกจากชื่อเล่นเท่านั้น

ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีหลังจากถ่ายทอดเรื่องราวที่เรียบเรียงได้ลงในสมุด ลายมือของชายหนุ่มก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง...

คุณหนูนิดช่วยเล่าให้ผมฟังได้ไหมครับ

ว่าหลังจากคุณวินเสียชีวิตจนถึงปัจจุบัน

มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปลี่ยนแปลงไปในเอ-เคเบิลบ้าง

ใจหนึ่งของเธอรู้สึกยินดีไม่น้อยเมื่อสัมผัสได้ถึงความกระตือรือร้นของปลายทาง ทว่าอีกใจกลับรู้สึกหวาดหวั่นอย่างเลี่ยงไม่ได้

เดี๋ยวนิดขอรวบรวมข้อมูลก่อนนะคะ

เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ คุณภูมิกำลังสงสัยอะไรหรือเปล่า

เธอจึงย้อนถามกลับไป ในใจคาดเดาไว้ล่วงหน้าว่าเขาคงกำลังมองหาสาเหตุที่ทำให้พ่อของเธอคิดสั้น

แต่เปล่าเลย...

ผมไม่เชื่อว่าคุณวินฆ่าตัวตายครับ

ข้อความที่คุณภูมิตอบกลับมา

เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อน...

ผมคิดว่าเขาถูกฆาตกรรม

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น