๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๒

“คุณวินเคยคิดไว้ไหมครับ” ภูมิภัทรเริ่มต้นบทสนทนาขณะวางหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะทำงานของเจ้านาย “ว่าบริษัทนี้จะเป็นยังไงในอีกสิบปีข้างหน้า”

“โห! สิบปีเลยเหรอ” คุณวินร้องขึ้น แล้วหรี่ตามองเขา “ทำไมถึงอยากรู้ล่ะ”

“เอ่อ...” แค่จำนวนปีที่ถูกต้อง เขายังไม่กล้าระบุชัด นับประสาอะไรกับเหตุผลที่แท้จริง “เมื่อกี้ผมเจอคอลัมน์ในนิตยสารมาน่ะครับ ก็เลยอยากรู้ว่าเป้าหมายในชีวิตของคุณวินเป็นแบบไหน”

“อืม...” นั่นทำให้คุณวินยกนิ้วขึ้นจากแป้นพิมพ์แล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ “ก็คงเป็นอันดับหนึ่งเสียที ชนะเจ้าสัวได้จากโซลาร์เซลล์ที่เราปลุกปั้นกันมานาน พนักงานก็คงเยอะขึ้น ออฟฟิศและโรงงานก็คงใหญ่ขึ้นด้วย ถึงตอนนั้นหนูนิดคงเรียนจบแล้ว ผมก็อยากให้เขามาช่วยงานที่นี่ และคุณก็ยังเป็นเลขาฯ ผมอยู่ อีกสิบปี...อายุเท่าไรนะ”

“สามสิบห้าครับ” ยอมรับว่าอดยิ้มไม่ได้ เมื่อเจ้านายยังคงบรรจุเขาไว้ในความมุ่งหวัง

“สามสิบห้า...ก็ยังไม่ไปไหนหรอกใช่ไหม”

“ถ้าคุณวินยังไม่ไล่ออก ผมก็ยังอยู่ครับ” แม้จะตอบกลั้วหัวเราะ แต่เขากลับไม่รู้สึกผ่อนคลายขึ้นเลยแม้แต่น้อย ด้วยในใจรู้ดีว่าแผนการถัดจากนี้จะไม่ใช่แค่การพาเจ้านายออกจากสำนักงานก่อนเวลาเกิดเหตุอีกต่อไป

เพราะวิธีเดียวที่จะให้ผลอย่างถาวร...คือการค้นหาตัวฆาตกรแล้วส่งมันเข้าคุก

และจากข้อความที่คุณหนูนิดตอบกลับมา ดูเหมือนว่าจะมีเพียงสองเรื่องเท่านั้นที่แตกต่างออกไปจาก
 ความใฝ่ฝันของคุณวิน

หนึ่ง คือประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้แก่เขาเป็นอย่างมาก เพราะในปัจจุบัน กีรติหรือพี่กีเป็นเพียงเจ้าหน้าที่แผนกวิศวกรรม มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านโซลาร์เซลล์และอยู่ในโรงงานเป็นหลัก ไม่มีทาง
 ก้าวกระโดดไปได้ไกลขนาดนั้น ต่อให้บอกว่าเป็นญาติของคุณวิน เขาก็ไม่เชื่อว่าจะไม่มีกรรมการท่านใดคัดค้าน

แต่นั่นยังไม่น่าหวาดหวั่นเท่ากับเรื่องที่สอง การขายกิจการ ซึ่งไม่ใช่เป้าหมายของคุณวินอย่างแน่นอน

แม้จะรู้ว่าคุณวินไม่เคยมีความขัดแย้งหรือทะเลาะเบาะแว้งกับใครนอกจากเหตุการณ์นี้ แต่เขาไม่อยากทึกทักไปเองด้วยอคติส่วนตัว จึงเดินออกมาจากห้องทำงานของเจ้านายแล้วเขียนคำถามสั้นๆ ลงในสมุดเล่มเดิม

การพุ่งเป้าไปที่เอ็นซีเคเบิลคงไม่สมเหตุสมผลเท่าไรนัก ถ้าการซื้อหุ้นเพื่อครอบครองกิจการเกิดขึ้นหลังจาก
 คุณวินเสียชีวิตไปแล้วหลายปี

แต่ถ้าการอนุมัติเกิดขึ้นทันที...

เอ็นซีเคเบิลมีหุ้นอยู่กี่เปอร์เซ็นต์ และซื้อไปตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอครับ

๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๓

“ซึ่งทางญาติก็ไม่ได้ติดใจกับสาเหตุการเสียชีวิตนะครับ เพราะทราบว่าคุณวินชัยเครียดกับปัญหาธุรกิจมา
 พักใหญ่แล้ว หลังจากนี้ก็จะนำร่างของคุณวินชัยไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนาต่อไป...”

ณิชาใช้นิ้วแตะหน้าจอโทรศัพท์เพื่อออกจากเว็บไซต์ แล้วทิ้งตัวลงนอนราบบนโซฟาขนาดใหญ่ในห้องพัก

แม้จะเจอคลิปวิดีโอของรายการเล่าข่าวในช่วงเวลานั้น แต่กลับไม่มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากนัก คงเพราะตำรวจเข้าใจว่าพ่อของเธอฆ่าตัวตาย ทำให้คดีถูกปิดลงอย่างง่ายดายโดยไม่มีการสืบสวนเพิ่มเติม

แต่ด้วยเชื่อว่าคุณภูมิคงกำลังมองหาเบาะแสอยู่เช่นกัน

เพราะฉะนั้น...เธอจะถอดใจไม่ได้

สองนิ้วจึงกดบนหน้าจอโทรศัพท์อย่างชำนาญ เพื่อพิมพ์กลุ่มคำที่ต้องการลงในเว็บไซต์อีกครั้ง

‘บริษัท พันธ์ ทรานสปอร์ต จำกัด’

ใช่...บริษัทขนส่งผู้เป็นเจ้าของรถบรรทุกสิบล้อในอุบัติเหตุ

ถ้าคุณภูมิสันนิษฐานว่าพ่อถูกฆาตกรรมจากสาเหตุการเสียชีวิตที่เหมือนกันทั้งสองครั้ง หมายความว่า
 การพุ่งชนของรถบรรทุกคันนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

นั่นทำให้เธอกดปุ่มค้นหาโดยไม่ลังเล ก่อนจะมองเห็นข่าวสั้นๆ ที่ระบุว่า เจ้าสัวณรงค์ชัยทำสัญญาซื้อ
 บริษัท พันธ์ ทรานสปอร์ต จำกัดเพื่อผลประโยชน์ด้านการขนส่งสินค้า

ซึ่งแน่นอนว่าเธอคงไม่รู้สึกตกใจ ถ้าเจ้าสัวณรงค์ชัยไม่ใช่เจ้าของเอ็นซีเคเบิลที่ซื้อกิจการของเธอเช่นกัน และ
 ที่สำคัญ ข่าวนี้ถูกเผยแพร่ในวันที่ ๒๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ แสดงว่าการซื้อขายเกิดขึ้นหลังจากพ่อเสียชีวิตไม่ถึงหนึ่งปี

ความผิดปกติที่เพิ่งค้นพบผลักดันให้เธอหยัดตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหยิบสมุดออกมาจากกระเป๋าสะพายด้วยตั้งใจว่าจะสอบถามคุณภูมิให้แน่ชัด แต่ทันทีที่หน้ากระดาษถูกเปิดออกกว้าง เธอกลับมองเห็นข้อความใหม่จากปลายทาง...

เอ็นซีเคเบิลมีหุ้นอยู่กี่เปอร์เซ็นต์ และซื้อไปตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอครับ

๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๓

“อ้าว! หนูนิด” น้ากีเอ่ยทักทายพลางส่งยิ้มให้ณิชาที่กำลังเดินเข้ามาในห้องทำงาน “มีอะไรหรือเปล่า”

“นิดมีเรื่องอยากถามน้ากีน่ะค่ะ”

เพราะเคยเข้าใจว่าการซื้อขายกิจการเป็นเรื่องที่ทุกคนเห็นชอบและมีเหตุผลอันสมควร เธอจึงรู้สึกงงงันไม่น้อยเมื่อคุณภูมิบอกว่าพ่อปฏิเสธข้อเสนอของเจ้าสัวณรงค์ชัยมาโดยตลอด

“เรื่องอะไรเหรอ” น้ากีจ้องตรงมาด้วยท่าทีสนใจ

“นิดเพิ่งรู้ว่า พ่อไม่เห็นด้วยกับการขายกิจการให้เอ็นซีเคเบิล...” เมื่อคู่สนทนากำลังรอฟัง เธอจึงไม่มีเหตุผลที่จะอ้อมค้อม “ใช่ไหมคะ”

ผู้เป็นน้าเงียบลงเพียงชั่วอึดใจ ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ “ใช่”

“ทำไมล่ะคะ...ถ้ามันเป็นเรื่องดี ทำไมพ่อถึงคัดค้าน”

“จริงๆ เรื่องของฝ่ายบริหารในตอนนั้น น้าก็ไม่ค่อยรู้หรอกนะ” น้ากีพูดขณะพับหน้าจอโน้ตบุ๊กลงจนปิดสนิท “แต่ถ้าให้น้าเดา คำว่าซื้อขายกิจการสำหรับพี่วิน มันคงฟังดูไม่ดีเท่าไร ในเมื่อเขามีอิสระในการบริหารมาตั้งนาน ก็คงไม่อยากให้คนนอก...โดยเฉพาะคู่แข่งอย่างเจ้าสัวเข้ามาควบคุมหรอก”

“งั้นพ่อก็คิดถูกแล้วไม่ใช่เหรอคะ”

ไม่เพียงแต่รู้ว่าเอ็นซีเคเบิลซื้อหุ้นทั้งหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์จากคุณพิเชษฐ์ ป้าวรรณ และตัวเธอเองในฐานะทายาทที่มอบหมายให้ป้าวรรณเป็นผู้จัดการเพราะยังไม่บรรลุนิติภาวะ โดยจัดงานแถลงข่าวในเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๕๓ หลังจากพ่อของเธอเสียชีวิตเพียงห้าเดือนเท่านั้น เธอยังสอบถามพี่มด ซึ่งเป็นพนักงานที่อยู่ในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านมาอย่างละเอียด...

“นิดคุยกับฝ่ายการตลาด เขาบอกว่าแผนธุรกิจของเราต่างกับเอ็นซีเคเบิลมาตลอด การรับรู้ของลูกค้าที่มีต่อ
 แบรนด์ก็ไม่เหมือนกัน เพราะส่วนใหญ่มองว่าเราเน้นคุณภาพ แต่เอ็นซีเคเบิลเน้นราคา แม้แต่ภาพลักษณ์ของบริษัทเราก็ยังดีกว่าเจ้าสัวมาก เพราะไม่เคยมีข่าวทุจริต ถ้านิดเป็นพ่อ และคิดว่าสิ่งที่สร้างมาจะต้องถูกกลืนแน่ ๆ นิดก็คงไม่ขายเหมือนกัน”

“แต่ในความรู้สึกของน้า เจ้าสัวเขาแทบไม่ได้เข้ามายุ่งอะไรกับการบริหารหรือการทำงานของเราเลยนะ” แววตานิ่งสงบบ่งบอกว่าคู่สนทนาคิดเช่นนั้นจริง ๆ “ถ้าไม่นับเรื่องการขายกิจการ บริษัทก็ยังเดินไปตามทิศทางที่พ่อหนูวางไว้
 ทุกอย่าง”

ใช่...พ่อให้ความสำคัญแก่โซลาร์เซลล์มาก และในเวลานี้ บริษัทก็มียอดขายโซลาร์เซลล์เป็นอันดับหนึ่งตามที่พ่อตั้งใจ

“แต่ยอดขายสายไฟตกลงไปเยอะเลยนะคะ”

แต่การค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและยอดจำหน่ายทำให้เธอพบว่า หลังจากซื้อขายกิจการ เอ-เคเบิลก็ยกเลิกการผลิตสายไฟฟ้าแบบมาตรฐานที่นิยมใช้ในโครงการใหญ่ๆ เหลือไว้เพียงสินค้าเกรดสูงเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าบ้านเท่านั้น ซึ่งส่งผลให้ลูกค้าหลายเจ้าต้องเปลี่ยนไปใช้ผลิตภัณฑ์ของเอ็นซีเคเบิลอย่างเลี่ยงไม่ได้

“สายไฟน่ะ เราไม่เคยสู้เจ้าสัวได้อยู่แล้ว เพราะเขามีเส้นสายเยอะมาก” น้ากีอธิบายด้วยเสียงนุ่ม “น้าเข้าใจความรู้สึกของหนูนิดนะ แต่ในตอนนั้น เอ-เคเบิลขาดทุนหนักมากจริงๆ มากจนทุกคนกลัวว่ามันจะไปถึงจุดที่ต้องปิดกิจการ ก็เลยตัดสินใจแบบนั้น”

“นิดเข้าใจค่ะ ทุกคนก็คงเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้บริษัท” ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดต่อ เพราะเธอไม่ได้มาเพื่อโต้แย้ง
 ในเรื่องที่ไม่สามารถแก้ไขได้ 

แต่อย่างน้อย การรับฟังเหตุผลของคนที่เห็นต่างจากพ่อก็ช่วยให้เธอเข้าใจสถานการณ์ในช่วงเวลานั้นได้
 ชัดเจนขึ้น...

“ขอบคุณนะคะที่บอกนิดตรงๆ”

๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๒

“หนังสือพิมพ์ค่ะ” 

เสียงของแม่บ้านประจำบริษัทปลุกภูมิภัทรจากความคิด เขาจึงสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะรับหนังสือพิมพ์ทั้งสามฉบับไว้ในมือ “ขอบคุณครับ”

ยอมรับว่าสมาธิในการทำงานลดน้อยลงไปมาก โดยเฉพาะเวลาที่ข้อความใหม่จากคุณหนูนิดปรากฏขึ้นบนหน้ากระดาษ

และวันนี้ก็เช่นกัน...

เอ็นซีเคเบิลมีหุ้นอยู่กี่เปอร์เซ็นต์ และซื้อไปตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอครับ

 

มีหุ้น 100% เลยค่ะ ทั้งคุณพิเชษฐ์ ป้าวรรณ

และตัวนิดเองที่ได้รับมรดกจากพ่อมา ก็ขายให้เจ้าสัวทั้งหมด

เขาจัดงานแถลงข่าวต้นเดือนเมษายน พ.ศ. 2553

หลังจากพ่อเสียไป 5 เดือน และคุณภูมิลาออกได้ 4 เดือนค่ะ

 

นิดลองเอาชื่อของบริษัทขนส่งไปค้นหาในเว็บไซต์

พบว่าถูกเจ้าสัวณรงค์ชัยซื้อไปเช่นกัน ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2553

 

นิดคิดว่าการซื้อขายทั้งหมดไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มีความเชื่อมโยงกัน

และเจ้าสัวณรงค์ชัย คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังการฆาตกรรม

เพื่อกำจัดพ่อให้พ้นทาง คุณภูมิคิดเหมือนนิดไหมคะ

เหมือน!

เขาคิดเหมือนคุณหนูนิดทุกประการ ทั้งชื่อของผู้ต้องสงสัยและแรงจูงใจในการกระทำ

ทว่ามีเพียงเรื่องเดียวที่ยังติดค้าง...

จะส่งรถบรรทุกสิบล้อมาพุ่งชนรถยนต์ของคุณวินได้ ก็ต้องรู้ว่าคุณวินจะเดินทางไปที่ไหน ในช่วงเวลาใด

จะผ่านประตูด้านหน้าบริษัทได้ ก็ต้องใช้บัตรพนักงานทาบบนเครื่องบันทึกเวลาเข้าออก

นั่นหมายความว่า ไม่มีทางที่คนนอกจะรู้ตารางงานของคุณวินและเข้ามาฆ่าคุณวินถึงด้านในสำนักงานได้

ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลือจากคนใน

แต่ใครล่ะ...ใครคือคนที่ร่วมมือกับเอ็นซีเคเบิล

เขายกสองมือขึ้นนวดวนบนขมับ เมื่อต้องเผชิญกับคำถามที่ยากขึ้นกว่าเดิม ยิ่งทำงานมานานจนคุ้นเคยกับ
 ทุกคนในบริษัท ยิ่งนึกไม่ออกว่าใครจะมีจิตใจโหดร้ายได้ถึงขั้นนั้น

แต่เพราะมั่นใจว่าการวิเคราะห์ไม่ผิดพลาด ภูมิภัทรจึงสูดลมหายใจเข้าจนลึกแล้วปล่อยออกมายาวๆ เพื่อรวบรวมสติแล้วลองนึกทบทวนอีกครั้ง

ถ้านี่เป็นเกม นิยาย หรือละครโทรทัศน์...

เขาจะทายว่าใครเป็นฆาตกรด้วยหลักเกณฑ์ใด

มือหนากางสมุดออกกว้าง ก่อนจะเอื้อมไปหยิบปากกาคู่ใจแล้วเริ่มเขียนข้อความสั้นๆ เพื่อเรียบเรียงความคิดที่ตีรวนในสมอง

ผลประโยชน์

 

นั่นคือเรื่องแรกที่เขานึกถึง และหากนำข้อมูลในอนาคตมาประกอบ ก็ดูเหมือนว่าจะมีหนึ่งคนที่เข้าข่ายอย่างเห็นได้ชัด...

พี่กี

แต่ยอมรับว่าความสนิทสนมทำให้เขาไม่อยากบรรจุพี่กีลงในรายชื่อของผู้ต้องสงสัย อีกทั้งยังคงข้องใจว่าเหตุใดตำแหน่งที่ใหญ่ที่สุดในบริษัทถึงตกไปอยู่กับชายหนุ่มได้

ต้องมีใครบางคนเป็นผู้ผลักดันแน่ๆ คนที่คณะกรรมการไม่กล้าคัดง้างและต้องมีเหตุผลที่ซับซ้อนมากกว่า
 การมองเห็นในศักยภาพ

หรือว่า...

ผลักดันเพื่อปกปิดบางอย่าง

ใช่...ถ้าคนร้ายฆ่าคุณวินแล้วเข้ามาดำรงตำแหน่งด้วยตัวเอง ต้องถูกจับตามองจากตำรวจแน่ๆ การนำพี่กี
 ซึ่งไม่ได้มีความรู้ด้านการบริหารมาเป็นหุ่นให้ตัวเองเชิดอยู่เบื้องหลัง น่าจะปลอดภัยกว่า

ส่วนเรื่องที่สอง คงหนีไม่พ้น...

ความขัดแย้ง

หากจะมองว่าใครไม่พอใจกับการทำงานของคุณวินบ้าง คงต้องยอมรับว่ามีไม่น้อย โดยเฉพาะการประชุม
 ครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นหลังจากการปล่อยข่าวลือของเจ้าสัวณรงค์ชัย

ในวันนั้น กรรมการทั้งสี่ท่านอันประกอบไปด้วย คุณวรรณ คุณพิเชษฐ์ คุณสายชล และคุณกนิษฐา ต่างคิดว่าคุณวินคงไม่สามารถกอบกู้ความเชื่อมั่นของลูกค้าและผลักดันยอดขายให้พ้นจากจุดวิกฤติได้ทันเวลา จึงพร้อมใจกัน
 ลงความเห็นว่าสมควรขายกิจการให้แก่เอ็นซีเคเบิล

แต่คุณวินยังคงยืนกรานด้วยปณิธานอันแน่วแน่ โดยอาศัยข้อบังคับของบริษัทที่ดึงรั้งผู้ถือหุ้นไว้ด้วยการขออนุมัติจากที่ประชุม

ซึ่งแน่นอนว่าการตัดสินใจใช้อำนาจโดยไม่ฟังเสียงของคนส่วนใหญ่ ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกขุ่นเคืองเป็นอย่างมาก 
 แต่จะมากจนกลายเป็นแรงจูงใจในการฆาตกรรมหรือไม่...

เขาก็ยังไม่มั่นใจนัก

“เฮ้ย!”

แต่สิ่งหนึ่งที่มั่นใจ คือเขากำลังจะสร้างความสับสนครั้งใหญ่ให้แก่คุณหนูนิดแน่ๆ จากการเขียนชื่อของพี่กี
 ผู้ถือหุ้น และกรรมการทุกท่านลงไปในสมุดสีแดงเลือดหมู

ผลประโยชน์ – พี่กี

ความขัดแย้ง – ผู้ถือหุ้น คุณวรรณ คุณพิเชษฐ์

– กรรมการ คุณวรรณ คุณพิเชษฐ์ คุณสายชล คุณกนิษฐา

เขาพ่นลมหายใจพร้อมกับส่ายหน้าถี่ๆ ด้วยนึกหงุดหงิดตัวเองที่สะเพร่า แล้วฉีกกระดาษแผ่นนั้นออกจากสมุดทันทีเพื่อป้องกันไม่ให้คุณหนูนิดเข้าใจว่าทุกคนคือผู้สมรู้ร่วมคิดในเหตุร้าย

แต่ยังไม่ทันได้ขีดฆ่าข้อความหรือขยำทิ้ง เสียงหนึ่งกลับดังขึ้นขัดจังหวะ...

“มึงลืมปะ...”

“เหี้ย!” รอบนี้เขาสะดุ้งจนตัวโยน ซ้ำยังอุทานดังลั่น ก่อนจะมองเห็นชานนท์ที่กำลังเท้าแขนบนพาร์ติชัน “ตกใจหมด”

“ขวัญอ่อนสัตว์” เพื่อนสนิทเน้นเสียงในคำสุดท้าย แล้วยื่นแก้วกาแฟเย็นเข้ามาใกล้

“ขอบใจ” เขารีบรับเครื่องดื่มไว้แล้วล้วงหยิบกระเป๋าสตางค์ในลิ้นชัก

“กลับมาใช้สมุดแล้วเหรอ”

“อ๋อ...” มือวางกระเป๋าหนังสีเข้มทับหน้ากระดาษเพื่อปิดบังข้อความที่เขียนไว้ ด้วยมั่นใจว่าชานนท์คงไม่เชื่อ
 ในการติดต่อข้ามมิติเวลาแน่ “อืม”

“มึงลืมจริงๆ ใช่ไหม” หากแต่เพื่อนสนิทยังคงถามย้ำ

“ลืมอะไรวะ” เขานึกไม่ออกจริงๆ ว่าติดค้างสิ่งใดไว้กับคู่สนทนา จึงเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา ก่อนที่ชายหนุ่มจะเฉลยด้วยท่าทีเบื่อหน่าย

“คิวว่างคุณวินไง...ที่คุณวรรณจะนัดคุยอะ”

“เฮ้ย!” จริงด้วย...ชานนท์สอบถามเรื่องนี้มาตั้งแต่สองอาทิตย์ก่อน “ลืมจริงว่ะ ขอโทษ”

“นัดตั้งแต่คุณวรรณยังไม่ไปพม่า” สีหน้าของเพื่อนสนิทบ่งบอกว่าอยากด่าทอเต็มแก่ “จนเขากลับมาแล้วเนี่ย”

“ไปทำไมวะ”

“ไหว้เทพทันใจมั้ง...กูจะรู้ได้ยังไงล่ะ”

เขาเผลอหัวเราะเบา ๆ เมื่อได้ยินคำตอบเชิงประชดประชัน แต่คู่สนทนายังคงพูดต่อ

“มึงรีบ ๆ ให้เขาประชุมกันแค่สองคนเถอะ เดี๋ยวกรรมการมาก็ไฟไหม้ห้องเหมือนคราวก่อนอีก”

“เออๆ” เขาเห็นด้วยกับความคิดนี้ จึงพยักหน้าแล้วรับปากเพื่อนสนิทอย่างรวดเร็ว “เดี๋ยวเช้านี้กูถามให้เลย”

“อีกแล้วเหรอ”

คุณวินบ่นพึมพำ เมื่อภูมิภัทรเอ่ยถึงการนัดหมายของพี่สาว

“น่าจะเรื่องเดิมแหละเนอะ”

“แต่ช่วงนี้ยอดขายโซลาร์เซลล์เพิ่มขึ้นเยอะเลยนะครับ ฝ่ายขายบอกว่าลูกค้าหลายเจ้าที่ยืนยันคำสั่งซื้อเมื่อเดือนก่อนเริ่มทยอยจ่ายเงินงวดแรกมาบ้างแล้ว ผมคิดว่าถ้าคุณวรรณได้เห็นข้อมูลพวกนี้ เขาอาจจะกดดันคุณวินน้อยลงนะครับ”

“อืม...” คุณวินพยักหน้าเบาๆ อย่างคล้อยตาม “เอาแบบนั้นก็ได้ ผมว่างวันไหนบ้างล่ะ”

“วันพุธ ช่วงบ่ายครับ” เขาพูดขณะก้มลงมองสมุดคู่ใจ “หลังจากประชุมกับฝ่ายขายพอดี เดี๋ยวผมขอให้เขาเตรียมเอกสารไว้อีกชุดหนึ่ง สำหรับคุณวรรณโดยเฉพาะ”

“ก็ดีเหมือนกัน”

เมื่อคุณวินตอบรับ เขาจึงจดบันทึกการนัดหมายด้วยปากกาในมือ ตั้งใจว่าจะเดินไปบอกเพื่อนสนิททันทีที่พูดคุยกับเจ้านายเสร็จสิ้น

07 / 10 / 2552

 

  • 15.00 น. ประชุมกับคุณวรรณ

“เมื่อกี้ถึงวันไหนแล้วนะ”

“เอ่อ...” มือหนาพลิกกระดาษกลับไปยังหน้าเก่าๆ เพราะหัวข้อสนทนาของเขาและเจ้านายในวันนี้คือ
 การไล่เรียงและสะสางงานที่ยังคั่งค้าง “ยี่สิบสองครับ”

แต่ยังไม่ถึงหน้าที่ต้องการ สายตากลับมองเห็นแผ่นกระดาษที่ตัวเองฉีกไว้เมื่อครู่ เพราะความรีบร้อนเขาจึงเผลอเสียบมันไว้ในสมุด โดยไม่ได้เอะใจเลยว่าจะส่งผลให้ข้อความใหม่ปรากฏขึ้น...

ผลประโยชน์ – พี่กี

ความขัดแย้ง – ผู้ถือหุ้น คุณวรรณ คุณพิเชษฐ์

– กรรมการ คุณวรรณ คุณพิเชษฐ์ คุณสายชล คุณกนิษฐา

 

นิดเห็นกระดาษมันหลุดออกมาค่ะ

ที่คุณภูมิเขียนไว้ หมายความว่าอะไรเหรอคะ

คุณหนูนิดอ่านข้อความจนได้...

อยากจะเขกกะโหลกของตัวเองเสียจริงที่ทำอะไรโดยไม่รอบคอบ ต่อให้ฉีกกระดาษแล้ว แต่ถ้าไม่ได้แยกออกมาจากเล่ม ก็ถูกส่งไปถึงปลายทางได้อยู่ดี

เพิ่งรู้ว่าความพิเศษไม่ได้อยู่ที่ตัวสมุด แต่อยู่ที่แผ่นกระดาษด้านในต่างหาก...

เขาจึงหยิบกระดาษออกมาถือไว้เพื่อป้องกันการร่วงหล่น แต่นั่นกลับทำให้ดวงตาสบกับเบาะแสชิ้นใหม่
 ที่คุณหนูนิดเขียนไว้ในหน้าถัดมา

นิดลองค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าสัวณรงค์ชัย

เลยส่งมาให้คุณภูมิด้วย เผื่อจะมีประโยชน์ค่ะ

ในปี พ.ศ. 2563 เจ้าสัวติดอันดับบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศไทย

เพราะเอ็นซีเคเบิล เรียกได้ว่าผูกขาดสายไฟ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องเลยค่ะ

ยังไม่รวมถึงการส่งออกและเข้าไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน

โครงการใหญ่ในปีนี้คือการขยายฐานการผลิตสินค้าไปที่ประเทศลาว

หลังจากประสบความสำเร็จที่ประเทศพม่า ตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2556 ค่ะ

พม่า...

ถ้าพร้อมผลิตสินค้าตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. ๒๕๕๖ แสดงว่าต้องเริ่มก่อสร้างโรงงานก่อนหน้านั้น ลองบวกระยะเวลาในการติดต่อประสานงาน สำรวจสถานที่ เจรจากับผู้ร่วมทุน และรอการอนุมัติจากภาครัฐ

ก็น่าจะอยู่ในปีนี้พอดี

น้ำลายอึกใหญ่ถูกดันผ่านลำคอ เมื่อหวนนึกถึงคำพูดที่เพิ่งได้ยินไปเมื่อครู่

‘นัดตั้งแต่คุณวรรณยังไม่ไปพม่า...จนเขากลับมาแล้วเนี่ย’

ใจหนึ่งรู้ดีว่าเบาะแสเพียงเท่านี้ไม่เพียงพอที่จะกล่าวหาใครได้ แต่อีกใจ...

บริษัท เอ-เคเบิล จำกัด หากมองตามความจริงก็คือหนึ่งในทรัพย์สินระบบกงสีที่ขับเคลื่อนโดยสองพี่น้อง ไม่ว่าจะกำไรหรือขาดทุน ก็ย่อมส่งผลต่อเงินกองกลางด้วยกันทั้งนั้น

“ภูมิ!”

ก่อนที่ความคิดจะดับหายเมื่อเสียงเรียกของเจ้านายดังขึ้นอีกครั้ง “คะ...ครับ”

“ใจลอยไปไหนเนี่ย” คุณวินพูดกลั้วหัวเราะ

“ขอโทษครับคุณวิน” เขาเรียกสติกลับมาอย่างรวดเร็ว แล้วพลิกกระดาษไปจนถึงหน้าที่ตั้งใจค้นหา

22 / 09 / 2552

 

  • ติดตามข่าวจากฝ่ายประชาสัมพันธ์
  • 13.00 น. ประชุมด่วนกับคณะกรรมการ (ห้องประชุม 1)

 

ถ้าคุณภูมิมองเห็นข้อความนี้ ได้โปรดตอบกลับมาหานิดด้วยนะคะ

“เจอแล้วครับ” เขาเขียนเครื่องหมายถูกด้านหลังหัวข้อแรกแล้วเอ่ยขึ้น “เรื่องแก้ข่าวน่ะครับ ในเมื่อคุณวินยืนยันว่าจะไม่ขายกิจการ ทำไมถึงไม่ให้พี่ตั๊กส่งข่าวออกไปล่ะครับ”

“ถึงทำแบบนั้นมันก็ยังไม่จบง่ายๆ หรอก ถ้ายอดขายโซลาร์เซลล์ยังไม่ดีพอ” คุณวินให้เหตุผลพลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ “จริงๆ ก็ไม่อยากมีปัญหานั่นแหละ ขัดใจกันทุกอย่างก็คงไม่ไหว อะไรยอมได้ก็ยอมไปก่อนดีกว่า”

ดูเหมือนคำว่าไม่อยากมีปัญหาของเจ้านายจะไม่ได้หมายความถึงเจ้าสัวณรงค์ชัยอย่างที่เขาเคยคาดเดาไว้ 
 ยิ่งประกอบกับสองประโยคสุดท้าย เขาก็ยิ่งมั่นใจว่าคนที่ไม่ยอมปล่อยให้ฝ่ายประชาสัมพันธ์เผยแพร่บทสัมภาษณ์ออกไป...

ไม่ใช่คุณวินตั้งแต่แรก

“คุณวินไม่ได้เป็นคนสั่งระงับข่าวเหรอครับ”

แม้จะไม่ได้เอ่ยออกมาเป็นคำพูด แต่รอยยิ้มบนมุมปากของเจ้านายก็บอกเขาได้เป็นอย่างดี

“แล้วใครเป็นคนสั่งเหรอครับ” เขาจึงถามต่อทันที ก่อนจะได้ยินเสียงแค่นหัวเราะที่แฝงอยู่ในประโยคถัดมา

“จะเป็นใครไปได้ล่ะ”

ใช่...คนที่ล่วงรู้ว่าคุณวินจะแก้เกมของเจ้าสัวด้วยวิธีใด ซ้ำยังสามารถเชื้อเชิญกรรมการทุกท่านให้เข้ามาร่วมประชุมเพื่อกดดันคุณวินได้

มีอยู่แค่คนเดียวเท่านั้น...

คือคุณวรรณ พี่สาวแท้ๆ ของคุณวิน

 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น