10

บทที่ 10



๑๐

 

ทันทีที่คฑาวุธมาถึงออฟฟิศ เขาก็บอกให้เลขานุการของเขาโทร.เชิญสาธิตมาที่ห้องทำงาน ไม่นานเพื่อนหนุ่มก็เปิดประตูเข้ามา

“มีอะไรวะไอ้วุธ” สาธิตยิงคำถามทันทีพร้อมหย่อนก้นลงบนเก้าอี้ตรงข้าม

“ฉันมีเรื่องจะปรึกษานาย”

“ก็ถามอยู่นี่ไงว่ามีเรื่องอะไร”

“เรื่องลูก”

เสียงเข้มเอาจริงเอาจังของเพื่อนทำให้สาธิตถึงกับชะงัก และจ้องมองเขาอย่างไม่แน่ใจในคำตอบนัก

“ทำไม มีคนอุ้มท้องจูงลูกมาบอกว่านายเป็นพ่อเด็กอีกหรือไง คราวนี้ผู้หญิงที่ไหนล่ะ”

“เปล่า” คฑาวุธโบกมือ “คราวนี้เป็นเธอต่างหาก ที่ไม่ยอมรับว่าฉันเป็นพ่อเด็ก”

“ห๊ะ!?” สาธิตอุทานออกมาด้วยความพิศวง “เดี๋ยวๆ นี่มันอะไรกัน ทุกทีนายไม่ได้อยากรับผิดชอบใคร แล้วก็ไม่ได้อยากเป็นพ่อใครนี่หว่า แต่นี่...”

“ฉันมั่นใจว่ะ แต่ไม่เต็มร้อย เมื่อวานฉันก็เลยแอบเอาผมของเด็กคนนั้นไปให้ไอ้หมอตรวจ”

“เดี๋ยวนะ โลกมันกลับตาลปัตรไปแล้วหรือไงกัน”

คฑาวุธส่ายหน้า “ทำไมต้องพูดเหมือนไอ้หมอด้วยวะ นายสองคนควรเป็นแฟนกันนะ”

“ไอ้วุธ!” สาธิตเอ่ยปรามเสียงเข้ม “ฉันไม่อยากทะเลาะกับนายอีกคนนะเว้ย”

“นายยังไม่หายโกรธไอ้หมอมันเหรอ”

“จะหายได้ยังไงกันวะ เป็นเพื่อนกันมาตั้งนาน คิดจะแอบแทงข้างหลังฉันตอนที่ฉันเฮิร์ทซะงั้น”

สาธิตคงหมายถึงตอนที่เขาเพิ่งกลับจากงานเปิดร้านเสื้อผ้าของเวนิกาที่เนเธอร์แลนด์ แล้วพบว่าคนที่เขาแอบหลงรักมีคนมาดูแลหัวใจแล้วนั่นเอง

“ไอ้หมอมันอยากปลอบนาย แล้วมันก็ขอโทษนายแล้วไง ให้อภัยมันไปเถอะวะ เป็นเพื่อนกันมาตั้งนาน เสียดายเวลาว่ะ”

“ฉันต่างหากควรพูดคำนี้ เอาล่ะๆ เลิกพูดถึงมันดีกว่า” สาธิตยกสองมือขึ้นแล้วชะงักไปครู่หนึ่งอย่างรวบรวมสติ ก่อนจะรีบวกกลับเข้าเรื่องเดิม “ว่าแต่ทำไมนายถึงสงสัยว่าลูกของผู้หญิงคนนั้นเป็นลูกของนายวะ”

คฑาวุธถอนใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับลลิษาและมนัสให้เพื่อนฟัง ตั้งแต่เขาเจอเธอเมื่อเจ็ดปีก่อน จนกระทั่งถึงตอนนี้ที่เธอมีลูกชายอายุหกปีแล้ว

“ทำไมโลกมันกลมอย่างนี้วะ” นักกฎหมายหนุ่มรำพึง

“ตอนนี้ที่กลัวคือ ถ้าผลดีเอ็นเอออกมาว่ามนัสเป็นลูกของฉัน แล้วโรสจะหาเรื่องกีดกันฉันออกจากลูก หรือไม่ก็หอบลูกหนีไปเท่านั้นแหละ มันจะมีช่องทางกฎหมายให้ฉันมีสิทธิ์ดูแลลูกบ้างหรือเปล่าวะ”

“ยากว่ะ ยังไงเขาก็เป็นแม่” สาธิตตอบเสียงเครียด “อย่างมากก็ทำได้แค่ยื่นฟ้องต่อศาล แล้วขอให้ศาลสั่งตรวจดีเอ็นเอ ถ้าผลออกมาว่าเป็นลูกนาย ศาลจะพิพากษาว่าเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนาย จากนั้นค่อยไปฟ้องเรียกร้องสิทธิ์อื่นๆได้”

“แล้วดีเอ็นเอที่ให้ไอ้หมอตรวจล่ะ ใช้เป็นหลักฐานไม่ได้หรือ”

“ไอ้บ้า หลักฐานที่ขโมยมามันน่าเอาไปยื่นเรอะ มันก็แค่ทำให้นายมั่นใจได้ว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกของนายแน่ๆ เท่านั้นแหละ”

“ตรวจใหม่ก็ตรวจใหม่สิวะ”

สาธิตหรี่ตามองเขา “นายคิดดีๆ นะโว้ย ถ้าเรื่องถึงโรงถึงศาล นายจะมองหน้าผู้หญิงคนนั้นติดหรือวะ ไหนจะเด็กคนนั้นอีก ไม่รู้จะช็อกแค่ไหนที่จู่ๆ คุณลุงใจดีก็กลายเป็นพ่อขึ้นมาซะงั้น”

“ฉันก็แค่จะเอาไปขู่โรสเขาน่ะ แต่ถ้าถึงทางตันจริงๆ ก็ต้องพึ่งกฎหมายล่ะวะ”

“ไอ้วุธเอ๊ย ทำเรื่องน้อยใหญ่มาตั้งเยอะ ผ่านผู้หญิงมาก็มาก ดันมาตกม้าตายตอนท้ายซะได้” สาธิตส่ายหน้าพร้อมหัวเราะเพื่อนในลำคออย่างนึกสมเพช “แต่ยังไงฉันก็เชียร์ให้คุยกันด้วยเหตุผลนะโว้ย ขึ้นโรงขึ้นศาลมันไม่สนุกหรอก เดี๋ยวจะผิดใจกันเปล่าๆ เกิดเขายื่นฟ้องว่านายไม่เคยดูแลลูกเลย แล้วไม่ให้นายเข้าใกล้เด็ก มันจะยิ่งแย่ไปกันใหญ่นะ”

“ฉันก็แค่หาทางออกเผื่อเอาไว้ก่อน ไว้อีกหนึ่งอาทิตย์ ผลตรวจดีเอ็นเอออกค่อยคิดกันอีกทีก็แล้วกัน”

“เออ ยังมีเวลาอีกตั้งอาทิตย์ ค่อยๆ คิดไปละกัน” สาธิตสนับสนุน

“ว่าแต่คืนพรุ่งนี้นายว่างไหม”

“ก็มีงานหลายอย่างกองอยู่บนโต๊ะนะ นายมีอะไรเหรอ”

คฑาวุธยิ้มแป้น “ฉันว่าจะเลี้ยงฉลองที่น้องสาวของฉันกลับมาอยู่เมืองไทย คราวนี้ว่างได้หรือยัง”

“เอ่อ...ก็...ก็ได้นะ” นักกฎหมายหนุ่มอมยิ้ม แต่ยังทำเป็นไว้ตัว “ที่ไหนล่ะ อาจพอมีเวลาแวบไปได้บ้าง”

“ไม่ต้องมาทำขยันเลย ขยันเกินไปเดี๋ยวฉันไล่ออกนะเว้ย”

“โหย อะไรกัน ขยันเกินไปโดนเจ้านายไล่ออก แล้วพวกเช้าชามเย็นชามนี่ยังไง จะเลื่อนตำแหน่งให้หรือไง ไอ้ท่านรอง”

คฑาวุธหัวเราะร่วน “ตกลงจะไปไหมล่ะ”

“ไปซิวะ กลัวถูกไล่ออก” สาธิตเอ่ยยิ้มๆ “ว่าแต่จะเลี้ยงที่ไหนล่ะ”

“เฌอริลีนบาร์”

“ห๊ะ!?”

 

วันนี้บาร์ค่อนข้างเงียบเพราะเป็นต้นสัปดาห์ มีเพียงคนมานั่งที่เคาน์เตอร์บาร์หนึ่งคน กับคู่รักที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะมุมห้องเท่านั้นที่ทำให้บรรยากาศไม่เงียบเหงานัก

แต่ที่ทำให้ลลิษาหัวใจชุ่มชื้นทั้งที่มีลูกค้าน้อย และยังคงเปิดร้านอยู่ด้วยความตื่นเต้น ก็คงหนีไม่พ้นแผนการขอแต่งงานของคู่รักฝ่ายชาย ที่ลงทุนมาที่บาร์ก่อนเวลา และแอบตกลงกับเธอเอาไว้ว่า จะให้เธอใส่แหวนเพชรลงไปในแก้วค็อกเทลที่จะเสิร์ฟให้ฝ่ายหญิงเมื่อเขาให้สัญญาณ

เสียดายที่เธอไม่เคยมีช่วงเวลาแบบนี้ และก็คงไม่มีทางมีด้วย

ลลิษาถอนใจเบาๆ ก่อนจะหันไปมองแผงกระจกบานใหญ่ที่บัดนี้ไม่มีข้อความชวนขนหัวลุกอยู่แล้ว เพราะคฑาวุธได้ว่าจ้างบริษัททำความสะอาดมาจัดการตั้งแต่เมื่อวาน และได้ปลดโปสเตอร์โฆษณาออกไปหมดแล้ว เธอจึงสามารถมองไปที่ถนนหน้าบาร์ได้อย่างชัดเจน

“วันนี้จะมาไหมนะ”

เสียงของวายุทำให้เธอหันไปมอง 

“ใคร?”

“ก็พี่รอใครอยู่ล่ะ”

“เปล่านี่” ลลิษายักไหล่ “ก็แค่มองว่าจะมีลูกค้ามาอีกไหม”

“ตายยากจริงนะ” วายุบ่นพึมพำแทรกขึ้นพร้อมพยักพเยิดปลายคางไปที่หน้าร้าน

เมื่อลลิษาหันไปมองตาม ก็เห็นรถคันหรูของคฑาวุธจอดอยู่ ก่อนจะเห็นเขาจะลงมาแล้วเดินอ้อมหน้ารถมาที่ประตูอีกข้าง จากนั้นก็เปิดมันออกด้วยท่าทางราวกับเจ้าชายกำลังเปิดประตูให้เจ้าหญิงโฉมงามลงจากราชรถอย่างไรอย่างนั้น

ท่าทางแบบนั้นทำให้ลลิษาอดหวั่นใจไม่ได้ เพราะลองรีบมาเปิดประตูให้อย่างสุภาพบุรุษแบบนี้ คนที่นั่งมาด้วยจะต้องเป็นผู้หญิงแน่ๆ

แล้วความจริงก็ไม่ผิดเพี้ยนไปจากความคิดของเธอเท่าไรนัก เพราะคนที่ลงมาจากรถคือหญิงสาวที่สวยสะพรั่ง ใบหน้าของเธอสวยเก๋ล้อมไปด้วยเรือนผมยาวประบ่าสีบลอนด์อ่อนประกายหม่นเทา ทั้งดวงตาที่เป็นประกายแวววาว คิ้วโก่งสวย และจมูกที่โด่งเป็นสัน รวมไปถึงริมฝีปากอวบอิ่มที่เผยอขึ้นเล็กน้อย ทำให้เธอดูสวยจับตา แม้แต่การแต่งตัวที่หวือหวาด้วยเดรสสั้นสายเดี๋ยวก็ทำให้เธอดูโดดเด่นราวกับพวกนางแบบแฟชั่นตัวท็อปของประเทศเลยทีเดียว

แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นก็คือ ทันทีที่ผู้หญิงคนนั้นลงมาจากรถ เธอก็กระโดดกอดแขนคฑาวุธอย่างแนบแน่น ท่าทางของทั้งสองดูสนิทสนมกันราวกับเป็นคู่รักที่กำลังจะขอแต่งงานกันเหมือนลูกค้าที่โต๊ะมุมห้อง

“ว่าแล้วมันต้องเป็นเสือผู้หญิง” วายุทำปากเบ้

“ทำไมนายไปว่าเขาแบบนั้น นายเคยเห็นเขาควงผู้หญิงคนอื่นหรือไง” ลลิษาย้อนถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด แม้จะพูดเป็นเชิงช่วยเหลือคฑาวุธก็ตาม

“มันมาจีบพี่ไง ทั้งๆ ที่มีผู้หญิงคนนั้นอยู่แล้ว แบบนี้ไม่เรียกว่าเจ้าชู้เหรอ”

“ใครว่าเขามาจีบพี่” หญิงสาวเฉไฉ ทั้งที่รู้จากปากของเขาเองว่าเขาต้องการจีบเธอ

“โธ่พี่ ผู้ชายด้วยกันมันดูออกนะครับ”

ลลิษาทำปากเบ้แล้วพ่นลมหายใจออกมาเหมือนกระทิงสาวที่โกรธจัด “พี่ไม่สนหรอก พี่บอกนายแล้วไม่ใช่หรือว่าตอนนี้ชีวิตพี่มีแต่มนัสคนเดียวเท่านั้น”

“ฉุนเฉียวแบบนี้น่าเชื่อมากเลยพี่” ชายหนุ่มค่อน ก่อนจะพากันเงียบเสียงลงเมื่อหนุ่มสาวทั้งคู่เดินมาถึงประตูร้าน และแจนกำลังจะเปิดประตูให้พวกเขา

“นายดูแลไปนะ พี่ไปทำธุระแป๊บ”

พูดจบลลิษาก็รีบเปิดประตูเข้าไปในหลังร้าน ในจังหวะเดียวกับที่คฑาวุธกับหญิงสาวของเขาเข้ามาพอดี จากนั้นก็เดินกระฟัดกระเฟียดไปที่ห้องทำงาน แล้วล็อกประตูเก็บตัวอยู่แต่ในห้องเพียงลำพัง

“คนอะไร ปากบอกว่าจีบเรา แต่กลับพาผู้หญิงคนอื่นมาเย้ยซะงั้น เลวจริงๆ”

หญิงสาวงึมงำพลางหันรีหันขวางอย่างหงุดหงิด พอเห็นหมอนรองหลังรูปหน้าแมวยิ้มบนเก้าอี้ทำงานก็เดินตรงไปหยิบขึ้นมาแล้วแยกเขี้ยวใส่

“ไม่ต้องมายิ้มเลย คนเจ้าชู้”

ลลิษาขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ก่อนจะลงมือขยำขยี้แก้มเจ้าแมวตัวนั้นอย่างระบายอารมณ์ ยิ่งขยำก็ยิ่งหมั่นไส้จนเจ้าแมวหน้ายู่ยี่ไปหมด

แต่เจ้าแมวหน้าเป็นก็ยังไม่ยอมหยุดยิ้ม

ก๊อกๆๆ

เสียงเคาะประตูทำให้ลลิษาชะงัก ก่อนจะปาหมอนแมวไปนอนแอ้งแม้งอยู่บนเก้าอี้ตามเดิม จากนั้นก็เดินไปกระชากประตูเปิดออก

“มีอะไร” ลลิษากระชากเสียง

จอยสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ เพราะไม่เคยเห็นเธอฉุนเฉียวอย่างนี้มาก่อน “เอ่อ...คะ...คือลูกค้าอยากให้พี่โรสไปชงเหล้าให้ค่ะ”

“ไม่ชง ไม่มีอารมณ์”

“ตะ...แต่...พี่โรสสัญญากับเขาไว้แล้วไม่ใช่หรือคะ”

บาร์เทนเดอร์สาวขมวดคิ้วมุ่น “เธอหมายถึงใคร”

“คุณกรที่จะมาขอคุณริต้าแต่งงานในร้านเราไงคะ”

“ตายจริง” ลลิษายกมือทาบอกอย่างนึกขึ้นได้ ก่อนจะดึงกล่องกำมะหยี่ออกมาจากกระเป๋าผ้ากันเปื้อน

“รีบไปเถอะค่ะ เดี๋ยวเลยฤกษ์จะแย่นะคะ”

“ไปๆ” ลลิษารีบออกจากห้องแล้วเดินกลับไปหน้าร้านพร้อมแจนอย่างกระตือรือร้น โดยลืมไปเลยว่ากำลังโกรธคนหลายใจอยู่ แต่พอออกมาประจำเคาน์เตอร์บาร์ หญิงสาวก็ถึงกับชะงักไปอีกครั้ง

นั่นเป็นเพราะเธอเห็นคฑาวุธนั่งอิงแอบแนบชิดกับผู้หญิงสวยคนนั้นราวกับจะสิงร่างกันเสียให้ได้ แถมยังพูดคุยหัวร่อต่อกระชิกกันอีกต่างหาก

‘ไม่ ฉันจะทำให้การขอแต่งงานของคุณกรล่มไม่ได้’

ลลิษาบอกตัวเองในใจซ้ำไปซ้ำมาอย่างแน่วแน่ พยายามไม่มองไปที่โต๊ะของคฑาวุธอีกเพื่อไม่ให้เสียสมาธิ จากนั้นก็ใจจดใจจ่ออยู่กับการชงพิงค์สตรอเบอร์รี่ซานกาเรียอย่างตั้งใจ โดยการผสมไวน์แดง วอดก้ากลิ่นสตรอเบอร์รี่ โซดามะนาวเข้าด้วยกัน เสร็จแล้วก็หยอดแหวนเพชรลงไปนอนอยู่ก้นแก้ว ก่อนจะใส่น้ำแข็งพร้อมกับผลสตรอเบอร์รี่ที่ฝานเป็นรูปหัวใจหลายดวงลงไปเพื่ออำพรางความแวววาวของแหวน ปิดท้ายด้วยการนำสตรอเบอร์รี่รูปหัวใจที่เหลืออยู่อีกดวงมาเสียบประดับไว้ตรงปากแก้วอย่างสวยงาม

“เรียบร้อย” หญิงสาวยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับผลงานชิ้นโบแดงของตัวเอง การชงค็อกเทลทำให้เธอลืมเรื่องคฑาวุธไปได้ชั่วขณะ

แต่ทางที่ดี เธอไม่ควรมองไปทางนั้นอีก

บาร์เทนเดอร์สาวสูดลมหายใจลึก แล้วนำแก้วค็อกเทลวางลงบนถาด ก่อนจะยกไปเสิร์ฟให้ลูกค้าสาวด้วยรอยยิ้มอันแสนหวานเหมือนเครื่องดื่ม จากนั้นก็ถอยออกมาและจับตาดูหญิงสาวที่เริ่มดื่มจนกระทั่งพบแหวนที่ซ่อนอยู่ภายใน

ลลิษาน้ำตาซึมขณะมองดูภาพนั้นด้วยความตื้นตันใจแทนทั้งคู่ ก่อนที่ฝ่ายชายจะคุกเข่าลงและสวมแหวนให้ว่าที่เจ้าสาวของเขาด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักอย่างสุดซึ้ง

“ยินดีด้วยนะคะ” เจ้าของบาร์ตบมือ ก่อนจะมีเสียงตบมือตามมาเกรียว

“ขอบคุณค่ะ” ว่าที่เจ้าสาวเอ่ยเสียงเครือ “มันเป็นค็อกเทลที่วิเศษที่สุดเท่าที่ฉันเคยดื่มมาเลยค่ะ”

“คงเป็นเพราะแหวนวงนั้น” เธอชี้ไปที่นิ้วนางของหญิงสาวผู้โชคดี ก่อนจะค้อมศีรษะแล้วเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์บาร์ด้วยความรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ

ครู่หนึ่งก็มีชายหนุ่มเข้ามาอีกสองคน คนที่เดินนำเข้ามาด้วยสีหน้าบูดบึ้งเป็นลูกค้ารายใหม่ เพราะเธอไม่เคยเห็นมาก่อน ส่วนอีกคนเธอจำได้ว่ามาดื่มเมื่อสองคืนก่อนที่เคาน์เตอร์บาร์ แต่วันนี้เขาเลือกที่จะเดินตามชายหน้าเข้มไปนั่งร่วมโต๊ะกับคฑาวุธและคนรัก

“มาอีกคู่แล้ว” วายุทำเสียงหงุดหงิด

“เป็นอะไรของนาย” ลลิษาหันไปถาม

“เปล่านี่” ชายหนุ่มยักไหล่ “ผมไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”

“อือ” บาร์เทนเดอร์สาวพยักหน้า มองตามวายุเดินเข้าไปหลังร้านอย่างงงๆ แต่พอละสายตาหันกลับมาหน้าเคาน์เตอร์ เธอก็ถึงกับสะดุ้ง

“ตกใจอะไรหรือครับ” คฑาวุธยิ้มพราว

“ปะ...เปล่าค่ะ” ลลิษารีบก้มหน้า ไม่สบตาเขาอย่างไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องรู้สึกประหม่าแบบนี้ ทั้งๆ ที่ควรจะระเบิดใส่คนเจ้าชู้อย่างเขา

“จะรับอะไรดีคะ”

“ของผมโอล์ดแฟชั่นเหมือนเดิมครับ”

“ไม่เปลี่ยนไปดื่มอย่างอื่นบ้างหรือคะ”

“ไม่ล่ะครับ ผมเป็นคนรักเดียวใจเดียว”

หญิงสาวลอบทำปากเบ้อย่างนึกหมั่นไส้ เพราะทั้งๆ ที่เขาเพิ่งบอกว่าจะจีบเธอ แต่ก็ดันควงผู้หญิงอื่นมาเหยียบหน้าเธอถึงร้านแบบนี้ นี่หรือคนรักเดียวใจเดียว

“ชิ”

“ครับ อะไรนะครับ”

“แล้วคนอื่นล่ะคะ” ลลิษาถามเฉไฉ

“ขอคอสโมฯให้ผู้หญิงคนนั้นก็แล้วกัน ส่วนผู้ชายสองคนนั้นขอเป็นคิวบา ลิเบรย์ กับ โมจิโตครับ”

“ได้ค่ะ”

“อ้อ” คฑาวุธร้องอย่างนึกขึ้นได้ “คิวบา ลิเบรย์ ขอเป็นฝีมือของวายุนะครับ เพื่อนผมเขาติดใจรสมือตอนมาคราวก่อนน่ะ”

“ค่ะ แต่คงต้องรอหน่อยนะคะ วายุไปเข้าห้องน้ำ”

“ไม่เป็นไรครับ เพื่อนผมรอได้”

“งั้นเชิญกลับไปนั่งที่โต๊ะค่ะ”

คฑาวุธยังคงยืนนิ่ง “คุณเป็นอะไรหรือเปล่า วันนี้ดูแปลกๆ ชอบกล”

“ไม่เป็นอะไรนี่ค่ะ” เธอตอบเสียงแข็ง “คุณกลับไปที่โต๊ะเถอะ เดี๋ยวฉันให้เด็กไปเสิร์ฟให้”

“แล้วถ้าผมอยากจะนั่งตรงนี้ล่ะ” เขาหย่อนก้นลงเก้าอี้สูงอย่างที่พูด

“แต่เพื่อนของคุณอยู่ที่นั่น”

“ก็ผมอยากนั่งตรงนี้มากกว่า”

“แล้วผู้หญิงคนนั้นล่ะคะ คุณจะปล่อยให้เขานั่งรอคุณแบบนั้นหรือ”

คฑาวุธจ้องเธอเขม็ง ก่อนจะหัวเราะเบาๆ “นี่คุณคิดว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นอะไรกับผมหือ”

“ฉันไม่รู้ค่ะ” ลลิษาบอกขณะชงค็อกเทลเพื่อดึงสมาธิตัวเอง “แล้วฉันก็ไม่อยากรู้ด้วย คุณกลับไปที่โต๊ะของคุณเถอะค่ะ”

เขายังคงนั่งนิ่ง ลลิษาทำเป็นไม่สนใจและปรุงเครื่องดื่มให้ลูกค้าอย่างตั้งใจ พอวายุออกมาจากหลังร้านเธอก็บอกให้เขาชง คิวบา ลิเบรย์ ให้กับลูกค้าคนนั้นด้วย

คฑาวุธนั่งอยู่ครู่ใหญ่ พอบาร์เทนเดอร์สาวทำท่าไม่สนใจ เขาก็ปลีกตัวเดินกลับโต๊ะไปรวมกลุ่มกับเพื่อนและคนรักของเขา

‘คนบ้า คนผีทะเล’ ลลิษาพึมพำในใจ ก่อนจะหยิบขวดเกลือมาเปิดฝาแล้วเทลงไปในเครื่องดื่ม

“เฮ้ยพี่ นั่นจะทำโอล์ดแฟชั่นไม่ใช่เหรอ ทำไมใส่เกลือลงไปซะเยอะขนาดนั้น” วายุทักด้วยความแปลกใจ

“ลูกค้าสั่ง” เธอตอบห้วนๆ “คิวบา ริเบรย์ เสร็จหรือยัง”

“สะ...เสร็จแล้วครับ”

“จอยๆ” ลลิษาหันไปเรียกพนักงานเสิร์ฟสาว “เอาค็อกเทลไปเสิร์ฟโต๊ะเก้าหน่อย”

 

หลังจากสาวเสิร์ฟหน้าตาน่ารักนำเครื่องดื่มมาวางบนโต๊ะแล้ว คฑาวุธก็หยิบโอล์ดแฟชั่นของเขาขึ้นชู เหล่าเพื่อนและน้องสาวจึงพากันหยิบแก้วของตนแล้วยกขึ้นตาม

“ขอต้อนรับน้องสาวคนสวยกลับบ้านนะจ๊ะ”

“กลับมาได้เสียทีนะน้อง” สมชาติยิ้ม 

ส่วนสาธิตที่นั่งหน้าตึงตั้งแต่เข้ามาในร้าน ไม่พูดพร่ำทำเพลง ยกแก้วค็อกเทลดื่มเสียจนหมด ก่อนจะวางบนโต๊ะเสียงดังตึง

“หูย แบบนี้ก็ต้องหมดแก้วกันทุกคนสิคะ”

“เอ้า...งั้นชน” สมชาติยกแก้วกระแทกกับแก้วสองพี่น้องเบาๆ จากนั้นก็ยกดื่มรวดเดียวจนหมดอีกคน

เห็นแบบนั้นเวนิกาก็ยอมไม่ได้  รีบดื่มคอนโมโพลิแทนของตนจนหมดเช่นเดียวกัน ก่อนจะใช้ศอกกระทุ้งต้นแขนพี่ชาย

“ตาพี่วุธแล้วค่ะ”

“ได้เลย” คฑาวุธยิ้มแป้น ยกแก้วขึ้นแตะริมฝีปาก หมายจะเทลงคอให้หมดในรวดเดียวเหมือนกัน แต่พอสัมผัสถึงรสชาติเค็มปี๋ของเครื่องดื่ม ก็ถึงกับสำนักออกมา

“เป็นอะไรไปคะพี่วุธ” น้องสาวร้องถามด้วยความตกใจ

“เฮ้ยเป็นอะไรวะ” สมชาติเอ่ยถามพร้อมลุกขึ้นลูบหลังเพื่อนเบาๆ

คฑาวุธไอคอกแคกพลางหันไปมองบาร์เทนเดอร์สาวที่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อยู่ที่เคาน์เตอร์ ก่อนจะสูดลมหายใจลึกแล้วหันไปยิ้มให้กับเพื่อน

“ไม่เป็นไรแล้ว สงสัยผิดจังหวะไปหน่อย”

“ไอ้อ่อนเอ๊ย” สมชาติหัวเราะแล้วกลับไปนั่งที่เดิม

“ไม่อ่อนนะโว้ย” คฑาวุธส่งเสียงดังให้บาร์เทนเดอร์สาวได้ยิน พอเธอหันมามองเขาก็รีบยกแก้วขึ้นดื่ม โอล์ดแฟชั่นที่เค็มปี๋รวดเดียวจนหมด

ลลิษาอมยิ้มที่สามารถแกล้งเขาได้ ก่อนจะหันไปทำอย่างอื่นโดยไม่สนใจเขาอีก

เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ คฑาวุธก็เปิดประเด็นห้องเสื้อขึ้นมา ทำให้เวนิกากระตือรือร้นที่จะฟังว่าเตรียมการไปถึงไหนอย่างไรแล้ว

“เรื่องนั้นต้องถามไอ้ธิต พี่ให้มันจัดการ”

“หือ” หญิงสาวหันไปมองนักกฎหมายหนุ่ม “จริงหรือคะพี่ธิต”

ชายหนุ่มพยักหน้าขรึมๆ

“พี่ธิตเป็นอะไรไปคะ วันนี้ดูเงียบๆ ไม่พูดไม่จาชอบกล”

“มันไม่เป็นไรหรอก” สมชาติโพล่งขึ้น ก่อนจะเหวี่ยงแขนไปล็อกคอเพื่อนหนุ่มเอาไว้ “สงสัยไอ้วุธจะให้งานมันทำเยอะจนเครียดน่ะ จริงไหมไอ้เพื่อนรัก”

“อือ” สาธิตครางเบาๆ แทนคำตอบ

คฑาวุธมองอย่างรู้ดีว่าเพื่อนรักรู้สึกอย่างไร ถ้าเวนิกาไม่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วย สงสัยต้องมีการวางมวยกันอีกจนเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตแน่ๆ

“แกไปห้องน้ำกับฉันหน่อยสิ” สมชาติเอ่ยชวนนักกฎหมายหนุ่ม

“ไม่ปวด”

“ไปน่า เร็ว” คุณหมอหนุ่มไม่เพียงไม่ฟังคำเพื่อน ยังล็อกคอเพื่อนแน่นแล้วลากให้ไปห้องน้ำด้วยกันจนได้

“อะไรของเขานะสองคนนี้”

“ไม่มีอะไรหรอก มันรักกันจะตาย เห็นไหม กอดคอกันอย่างกับแฟนกัน” คฑาวุธหัวเราะ

“พี่วุธก็พูดไป เดี๋ยวพี่ธิตกับพี่หมอได้ยินก็โกรธหรอก”

 

ในที่สุดสมชาติก็ลากสาธิตมาถึงห้องน้ำจนได้ ก่อนจะปล่อยแขนออกจากคอเพื่อน “มึงยังไม่หายโกรธกูอีกเหรอวะ ไอ้ธิต”

“มึงมันเพื่อนเลว”

“ก็กูขอโทษแล้วไง วันนั้นกูเมาจริงๆ”

“ทำกับเพื่อนแบบนั้นแล้วมาอ้างว่าเมางั้นเรอะ” สาธิตคำราม นึกถึงเช้าวันที่เขารู้สึกตัวขึ้นมาแล้วเห็นตัวเองนอนเปลือยกายอยู่กับสมชาติบนเตียงก็ยิ่งโกรธ

“มึงก็ฟังกูบ้างสิวะ”

“ไม่ต้องมาพูด”

“ไอ้บ้าเอ๊ย” คุณหมอหนุ่มเอ่ยลอดไรฟัน “กูยอมรับนะเว้ยว่ากูแอบชอบมึงมาตั้งแต่มัธยมแล้ว แต่กูก็ไม่เคยคิดที่จะทำร้ายมึง เพราะรู้ว่ามึงชอบวีอยู่ แต่วันนั้นมันเมาจริงๆ แล้วมึงก็เสือกมาพร่ำพรรณนาถึงยัยวีด้วยความเจ็บปวด กูก็เลย...”

“หยุด!” นักกฎหมายหนุ่มชี้หน้าเพื่อน

“กูไม่หยุด จนกว่ามึงจะฟังกู”

“ไอ้บ้าเอ๊ย” สาธิตคำราม ก่อนจะปล่อยหมัดใส่หน้าของหมอหนุ่มอย่างจัง จนคนโดนต่อยถึงกับเซถลาไปกระแทกกับผนัง จากนั้นก็เดินไปที่ประตูเพื่อออกไปข้างนอก

แต่ยังไม่ทันได้เปิดประตูออกไป สมชาติก็คว้าไหล่เขาให้หันไป แล้วปล่อยหมัดใส่เบ้าตาเขาอย่างจัง 

หลังจากนั้นทั้งคู่ก็สาวหมัดใส่กันนัวเนีย จนกระทั่งวายุโผล่มาจากไหนไม่รู้ กระโดดเข้ามาแยกทั้งสองออกจากกันในที่สุด

“หยุด!” บาร์เทนเดอร์หนุ่มคำรามเสียงดัง ใช้แขนทั้งสองข้างกันคู่กรณีเอาไว้ “พวกคุณจะมาทะเลาะวิวาทกันในร้านไม่ได้นะ”

ทั้งสองยังมีท่าทีฮึดฮัดใส่กัน สาธิตนั้นเบ้าตาช้ำเขียวขึ้นมา ส่วนสมชาติก็มีรอยแดงตรงโหนกแก้ม และมีรอยถลอกเล็กน้อยตรงแนวกราม

“ถ้ายังไม่หยุด ผมจะเรียกการ์ดมาลากทั้งคู่โยนออกไปนอกร้าน” วายุตะคอกน้ำเสียงเฉียบขาด

นั่นทำให้สาธิตคลายความโกรธลงได้นิดหน่อย ก่อนจะปัดมือบาร์เทนเดอร์หนุ่มออกจากอก แล้วหันหลังให้เพื่อน จากนั้นก็เดินออกจากห้องน้ำไป

สมชาติถอนใจเฮือก แล้วปัดมือของวายุออกจากอกเช่นกัน

“เป็นอะไรหรือเปล่า ไหนดูหน่อยซิ” บาร์เทนเดอร์หนุ่มจ้องหน้าเขา แววตาเป็นประกายของวายุทำให้สมชาติถึงกับใจสั่น

“ไม่เป็นไร” เขาโบกมือ ก่อนจะเดินไปที่อ่างล้างหน้าแล้วเปิดก๊อกควักน้ำใส่หน้าตัวเอง

ครู่หนึ่งก็มีผ้าที่ม้วนอย่างดีเอาไว้บริการลูกค้ายื่นมาที่หน้าคุณหมอหนุ่ม เมื่อเขาหันไปเห็นวายุหยิบยื่นไมตรีให้เช่นนี้ ความรู้สึกขุ่นข้องหมองใจเมื่อครู่ก็พลันจางลง

“ขอบใจ” สมชาติคว้าผ้าผืนน้อยนั้นมาซับหน้าและเช็ดมือ

“คู่รักทะเลาะกันหรือไง” วายุเอ่ยถามทีเล่นทีจริง

“เพื่อน...มันเป็นเพื่อนฉัน เราทะเลาะกันด้วยเรื่องอื่น” หมอหนุ่มโกหก

“อยากได้ไลท์ค็อกเทลปลอบใจสักแก้วไหมล่ะ ผมชงให้”

สมชาติหันไปมองชายหนุ่ม ก่อนจะยิ้มเมื่อเห็นความตั้งใจในแววตาที่มีเสน่ห์ 

“ถ้าเป็นฝีมือนาย รับรองต้องรสชาติดีแน่ๆ”

“ก็คงต้องลองจิบดูก่อน ผมเพิ่งคิดค้นสูตรใหม่ ให้คุณทดลองเป็นคนแรกเลยนะ”

“อืม...น่าสนใจแฮะ”

“งั้นไปรอที่โต๊ะ เดี๋ยวผมให้คนไปเสิร์ฟให้”

“ฉันรอที่บาร์ดีกว่า นายก็เห็นไม่ใช่เรอะว่ามันเกิดอะไรขึ้น ฉันคงไปนั่งที่โต๊ะไม่ได้แล้วแหละ”

“อืม” วายุครางเบาๆ ก่อนจะยักไหล่ “เอางั้นก็ได้ งั้นผมออกไปชงรอก็แล้วกัน ล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้วก็ออกไปนะ”

บาร์เทนเดอร์หนุ่มยิ้ม แล้วหันหลังให้เขา ทำท่าว่าจะออกไปอย่างที่พูด แต่ก็กลับชะงักเมื่อสมชาติคว้ามือยื้อยุดเอาไว้

“เฮ้ย!” วายุร้องลั่น ก่อนจะสะบัดมือแรงๆ แล้วก้าวถอยออกห่าง

“ฉันแค่จะขอบใจนาย ที่นายมาปลอบฉัน”

“มะ...มันเป็นหน้าที่ของพนักงานอยู่แล้ว ไม่ต้องขอบใจอะไรมากหรอก”

สมชาติยิ้ม “ถึงงั้นก็เหอะ ขอบใจนะ”

วายุมีท่าทีอึกอักเล็กน้อย ก่อนจะพยักพเยิดหน้า “อืม ไม่เป็นไร มันเป็นหน้าที่ผมอยู่แล้ว”

พูดจบบาร์เทนเดอร์หนุ่มก็หมุนตัวหันหลังให้แล้วเดินออกจากห้องน้ำไป คุณหมอหนุ่มมองตามไปจนลับสายตา ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจอย่างบอกไม่ถูก ทั้งๆ ที่เพิ่งจะทะเลาะกับเพื่อนซี้จนถึงขั้นวางมวยกันมาหยกๆ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น