9

บทที่ 9

 

เดี๋ยวนะ นี่แกจะบอกว่า แกรักผู้หญิงคนนั้น ทั้งๆ ที่นอนด้วยกันครั้งเดียว แล้วมันก็ผ่านมานานตั้งเจ็ดปีแล้วงั้นเหรอ”

นายแพทย์สมชาติร้องถาม หลังจากคฑาวุธเล่าเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับลลิษาเมื่อเจ็ดปีก่อนให้ฟัง รวมไปถึงเหตุการณ์ที่ชักนำเขากลับมาพบเธออีกครั้ง

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ ว่ามันเป็นความรักหรือเปล่า” ชายหนุ่มถอนใจเบาๆ “ตอนแรกฉันกะจะไปคุยเรื่องซื้อที่โดยใช้ความสัมพันธ์เก่าๆ แต่พอเจอหน้าแล้วฉันก็รู้สึกแปลกๆ ยิ่งได้เห็นลูกของเธอ ฉันก็ยิ่งรู้สึกหวั่นไหวแปลกๆ ว่ะ”

“สงสัยว่าเป็นลูกแกงั้นเรอะ”

คฑาวุธไม่ตอบ กลับหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วเปิดรูปยื่นให้เพื่อนรักดู

“เฮ้ย! เหมือนแกตอนเด็กๆ เลยว่ะ”

“เห็นไหม แกก็คิดเหมือนฉันใช่ไหม” คฑาวุธเอ่ยถามอย่างมีความหวัง “แต่ผู้หญิงคนนั้นกลับบอกว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกของฉัน”

“อะไรกันเนี่ย โลกมันกลับตาลปัตรไปแล้วหรือไงวะ”

“เวอร์ไปละ”

“ไม่เวอร์นะโว้ย” สมชาติย้อน “คิดดูสิ คนอย่างแกอยากจะรัก อยากจะรับผิดชอบผู้หญิง แต่ผู้หญิงกลับไม่สน มันเป็นไปได้ยังไงวะ”

“เฮ้ยๆ พูดดีๆ คนอย่างฉันมันเป็นยังไงวะ”

“เสือผู้หญิง บ้ากาม ไม่รับผิดชอบ ไม่...”

“พอๆๆ” คฑาวุธรีบห้ามเพื่อน “นี่แกเป็นเพื่อนฉันจริงๆ หรือเปล่าวะเนี่ย”

“ก็เพราะเป็นเพื่อนน่ะสิ ถึงรู้ไส้รู้พุงดีทุกขด”

“หน็อย แกไม่บ้ากามเลยนะ ไอ้หมอโรคจิต”

“อ้าว อย่าพูดอย่างนี้นะโว้ย ฉันไม่เคยทำรุ่มร่ามกับคนไข้นะ ที่ทำก็นอกเวลางานทั้งนั้น”

“มันก็พอๆ กันล่ะวะ” คฑาวุธส่ายหน้า ก่อนจะลุกขึ้น “จ่ายค่ากาแฟให้ด้วยนะ มีธุระต้องรีบไป”

“อ้าว” คุณหมอหนุ่มอ้าปากค้าง

“อ้อ แล้วอย่าลืมผลตรวจดีเอ็นเอของฉันล่ะ”

“เออ” สมชาติพยักหน้างงๆ “อีกอาทิตย์หนึ่งจะโทร.ไปบอก หรือแกจะเสด็จมาเลี้ยงข้าวหมอตาดำๆ อย่างฉันที่โรงพยาบาลก็ได้นะ”

คฑาวุธหัวเราะ “เออ ไว้จะเลี้ยงข้าว แล้วถ้าเด็กคนนั้นเป็นลูกฉันจริงๆ จะเปิดโต๊ะจีนเลี้ยงเลยเอ้า”

“เฮ้ย พูดแล้วนะโว้ย อุบอิบห้ามคืนคำ”

“เออ ไปล่ะ” ว่าแล้วรองประธานหนุ่มก็เดินออกจากร้านไป ปล่อยให้เพื่อนรักนั่งงงอยู่ว่าจะต้องมาจ่ายค่ากาแฟที่ไม่ได้ดื่มทำไมกัน

หลังจากออกจากโรงพยาบาล คฑาวุธก็ดิ่งตรงกลับสำนักงานใหญ่ของ ดี.เค.กรุ๊ป ทันที เพราะทั้งสัปดาห์นี้เขาต้องไปช่วยลลิษาเลี้ยงลูกตอนกลางวัน จึงเปลี่ยนเวลาการทำงานมาเป็นช่วงเย็นถึงค่ำ การประชุมต่างๆ จึงถูกเลื่อนมาเป็นช่วงเย็นแทน ทำเอาพนักงานหลายคนถึงกับบ่นอุบ

แต่ใครจะสนล่ะ ในเมื่อเขาก็จ่ายค่าล่วงเวลาให้อย่างยุติธรรม

 

ระหว่างที่คฑาวุธกำลังประชุมอย่างเคร่งเครียด นายแพทย์สมชาติที่สงสัยในพฤติกรรมของเพื่อนซี้ก็อดไม่ได้ที่จะขับรถดิ่งตรงไปยังเฌอริลีนบาร์หลังจากที่ออกเวรแล้ว เพราะอยากเห็นเหลือเกินว่า หญิงสาวที่สามารถสยบเสือร้ายลงได้อย่างราบคาบนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร

บาร์ไม่ใหญ่นักดูน่าอบอุ่น แต่ดีไซน์ค่อนข้างแปลกตาไปหน่อย เพราะตรงแผงกระจกซึ่งควรจะทำให้มองเข้าไปเห็นบรรยากาศภายในกลับมีโปสเตอร์โฆษณาโครงการหมู่บ้านขนาดใหญ่ปิดทับอยู่

“สวัสดีค่ะ มากี่ท่านคะ” พนักงานต้อนรับสาวสวยส่งยิ้มพราวให้เขา

“คนเดียวครับ”

“เชิญค่ะ” หญิงสาวเปิดประตูให้

คุณหมอหนุ่มก้าวเข้าไปโดยไม่สนใจสายตาเย้ายวนของหญิงสาว ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นบาร์เทนเดอร์หนุ่มกำลังเขย่าค็อกเทล เช็คเกอร์ด้วยลีลาที่น่าสนใจ

แต่ที่น่าสนใจกว่าคงจะเป็นใบหน้าหล่อใสสไตล์เกาหลีของเขา รวมไปถึงดวงตาคมที่เต็มไปด้วยประกายแห่งความสนุกสนานนั้นมากกว่า ที่ดึงดูดให้เขาเดินไปนั่งที่เคาน์เตอร์บาร์ แทนที่จะไปนั่งโต๊ะที่ห่างไกลออกไป

“รับอะไรดีครับ” บาร์เทนเดอร์หนุ่มเอ่ยถาม

“คิวบา ลิเบรย์ครับ” สมชาติเอ่ยพร้อมส่งสายตาและรอยยิ้มกรุ้มกริ่มให้อีกฝ่าย

“รอสักครู่นะครับ”

นายแพทย์หนุ่มค้อมศีรษะ และยังคงจับจ้องหนุ่มน้อยไม่วางตา จนกระทั่งบาร์เทนเดอร์หนุ่มเสิร์ฟเครื่องดื่มให้ จึงส่งยิ้มให้อีกครั้ง

“เพิ่งรู้ว่ามีบาร์บรรยากาศดีๆ อยู่ตรงนี้ เสียดายจริง รู้แบบนี้มาซะตั้งนานแล้ว”

“ยินดีต้อนรับสู่โลกของเฌอริลีนบาร์ครับ” บาร์เทนเดอร์หนุ่มบอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

สมชาติยกแก้ว คิวบา ลิเบรย์ ขึ้นจิบ ก่อนจะส่งเสียงครางออกมาอย่างพึงใจ “ฝีมือไม่เลวนี่”

“ขอบคุณครับ”

“ฉันชื่อสมชาตินะ นายล่ะ?”

“วายุครับ” ชายหนุ่มตอบทันที ด้วยความเป็นคนบริการและคงมีลูกค้ามาถามหลายรายเพราะติดใจในรสชาติเครื่องดื่ม

“ชื่อเพราะดีนะ” เขายิ้มพราว

“ขอบคุณครับ”

“ที่นี่มีบาร์เทนเดอร์คนเดียวหรือ” สมชาติเอ่ยถามตามความตั้งใจเดิม

“มีพี่โรสอีกคนครับ” วายุตอบ ก่อนจะหันไปในจังหวะที่หญิงสาวสวยคนหนึ่งที่แต่งชุดเหมือนเขา เปิดประตูออกมาจากหลังร้านพอดี “นั่นไงครับ พี่โรสที่เป็นทั้งเจ้าของและบาร์เทนเดอร์ที่มีลูกค้าประจำเพียบ”

“สวยดีนะ”

วายุหันมาหาเขาด้วยแววตาแปลกๆ “ถ้าคุณสนใจเธอล่ะก็ ผมขอเตือนไว้ก่อนนะครับว่าเธอมีลูกแล้ว และเธอก็ไม่เคยสนใจผู้ชายที่ไหนอีกเลยนับจากสามีตายไปแล้ว”

สมชาติเลิกคิ้วมองชายหนุ่มอย่างพินิจ “นายก็ชอบผู้หญิงคนนั้นหรือ”

ชายหนุ่มมีท่าทีอึกอักขึ้นมาทันที “เปล่าครับ เธอเป็นเจ้านายผม แถมยังแก่กว่าผมอีกต่างหาก”

“ทำไมต้องหน้าแดง”

“ปะ...เปล่าเสียหน่อย”

คุณหมอหนุ่มหัวเราะ “เวลานายหน้าแดงแล้วน่ารักดีนะ อย่างนี้สิเรียกว่าน่าสนใจ”

คราวนี้วายุถึงกับชะงักและหันมาจ้องเขาเขม็ง “เอ่อ...เสียใจนะครับ ผมไม่ได้มีรสนิยมอย่างนั้น”

สมชาติยักไหล่ “ไม่มีใครสมบูรณ์แบบมาตั้งแต่เกิดหรอก”

วายุทำหน้ายุ่งยากขึ้นมาทันที “เอ่อ...ผมขอตัวไปทำงานก่อนนะครับ ถ้าอยากได้อะไรเพิ่มเรียกได้นะครับ”

คุณหมอหนุ่มพยักหน้า สายตายังไม่ละจากชายหนุ่มเลยแม้แต่วินาทีเดียว แม้คนที่เขาตั้งใจจะมาดูให้เห็นกับตา ก็แทบจะไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาเลย

‘เอาน่า รู้แค่ว่าสวยพอจะมัดใจไอ้วุธได้ก็พอแล้ว ตอนนี้ขอมองคนที่มัดใจเขาได้ดีกว่า’

 

สิ่งหนึ่งที่ผู้บริหารแตกต่างจากพนักงานทั่วไปก็คือ พวกเขาไม่ต้องเอาเก้าอี้มาต่อกันเป็นที่นอน ไม่ต้องคุดคู้อยู่บนโซฟา และไม่ต้องหอบถุงนอนแล้วมุดเข้าไปนอนใต้โต๊ะทำงาน เพราะภายในห้องทำงานอันโอ่โถง จะมีห้องนอนน่าสบายอยู่อีกชั้นหนึ่งด้วย

และรองประธานกรรมการบริษัท ดี.เค.กรุ๊ป อย่างคฑาวุธก็เช่นเดียวกัน เขามีทั้งห้องทำงานส่วนตัวและห้องนอนสำหรับพักผ่อน เผื่อว่าวันไหนที่งานยุ่งก็ไม่ต้องเดินทางไปกลับให้เสียเวลา

หลังจากเลิกประชุมแล้ว คฑาวุธจึงสามารถเปิดประตูบานเล็กเข้าไปในห้องนอนนั้นได้ทันที มันเป็นห้องที่ไม่กว้างนัก แต่ก็ครบครันไปด้วยเครื่องอำนวยความสะดวกมากมาย มีโทรทัศน์ขนาดใหญ่และเครื่องเสียงชั้นดีซึ่งไม่ว่าเขาจะเปิดดังแค่ไหน มันก็ไม่มีวันเล็ดลอดออกไปให้คนอื่นได้ยินแน่ๆ เพราะมันเป็นห้องเก็บเสียงภายในตัวด้วย แถมยังมีเครื่องดื่มครบครันอีกต่างหาก

คฑาวุธเดินโซเซไปล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่มด้วยความง่วงงุน แต่ยังไม่ทันจะหลับ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน เมื่อหยิบมาดูหน้าจอ เขาก็ถึงกับถอนใจออกมาเบาๆ

“ว่าไงไอ้หมอ”

ให้ทายซิว่าฉันอยู่ไหน’

“โรงพยาบาล”

ผิด’

“อยู่ไหนวะ ทำไมเสียงดัง”

เฌอริลีนบาร์’

รองประธานหนุ่มลุกพรวดขึ้นนั่งทันที ดวงตาปรี่ปรือเมื่อสักครู่นี้สว่างวาบขึ้นมาทันใด

“แกไปทำอะไรที่นั่น”

ก็มาดูว่าที่เจ้าสาวของแกไง’ สมชาติตอบพร้อมเสียงหัวเราะในลำคอ ‘ฉันหายสงสัยแล้วว่ะ ว่าทำไมนายถึงหัวปักหัวปำขนาดนั้น’

“ไอ้บ้าเอ๊ย จะไปทำไมไม่บอก จะได้ไปด้วย”

เอาไว้วันหลังก็แล้วกัน นี่ฉันจะกลับแล้ว ได้มาเห็นอะไรดีๆ ค่อยหายเหนื่อยหน่อย’

คฑาวุธหรี่ตาลง “วายุงั้นสิ”

อ้าวเฮ้ย แกรู้ได้ยังไงวะ’

“ฉันเป็นเพื่อนแกมาตั้งแต่เด็กแล้วนะโว้ย ไส้แกกี่ขดๆ ฉันรู้หมด”

แหม ไอ้นี่ย้อน’

“แล้วไอ้เด็กวายุนั่น ฉันมองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าสเปกแก”

เกลียดจริงๆ คนรู้ทัน’

คฑาวุธหัวเราะ “ว่าแต่แกอยู่ที่ร้าน มีเรื่องอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นหรือเปล่าวะ”

แปลกยังไงวะ’

“เช่นทะเลาะวิวาท หาเรื่องกินฟรี หรือก่อความวุ่นวายอะไรอย่างเงี้ย”

ไม่มีนะ ก็เรียบร้อยดี ทำไมวะ’

“ฉันรู้สึกทะแม่งๆ ว่ะ ไปร้านนั้นทีไร เจอเรื่องวุ่นวายทุกที เหมือนมีคนตั้งใจมาป่วน”

ใครจะอยากมาป่วนวะ ยกเว้นแก’

“ไอ้บ้า ฉันจะไปป่วนทำไม”

ก็แกจะจะฮุบที่ตรงนั้นไม่ใช่เรอะ ถ้าจะมีคนส่งคนมาป่วน ก็ต้องเป็นแกล่ะ’

“ฉันไม่เคยทำอะไรเลวๆ แบบนั้นโว้ย บริษัทของฉันดำเนินกิจการอย่างขาวสะอาด พูดแบบนี้เดี๋ยวฉันก็ให้ไอ้ธิตฟ้องให้หมดตูดเสียเลยนี่”

ไอ้นี่ กับเพื่อนกับฝูงก็ไม่เว้นนะ’ สมชาติค่อน ‘แค่นี้แหละ จะกลับไปนอนแล้ว พรุ่งนี้ต้องเข้าเวรแต่เช้า’

“แหม พูดถึงไอ้ธิตไม่ได้เลยเชียว”

ไอ้บ้า ไม่คุยแล้วโว้ย’

แล้วสัญญาณจากเพื่อนรักก็ขาดหายไป คฑาวุธมองหน้าจอแล้วก็อดหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้ เพราะรู้จุดอ่อนของเพื่อนคนนี้ดีว่า แอบรักเพื่อนอีกคนอยู่จนกระทั่งเกือบต้องผิดใจกัน เพราะนักกฎหมายหนุ่มไม่เล่นด้วย เนื่องจากไปหลงรักน้องสาวของเขาอีกที

“เฮ้อ...ความรักนี่มันวุ่นวายดีจริงๆ”

แต่ยังไม่ทันวางโทรศัพท์แล้วนอนต่อ เสียงเรียกเข้าที่เขาตั้งไว้เป็นของครอบครัวก็ดังขึ้น คฑาวุธที่ถือโทรศัพท์อยู่แล้วจึงรีบกดรับทันที

“ว่าไงยายวี”

พี่วุธ คิดถึงจังเลย’

“คิดถึงก็รีบกลับมาสิ เดี๋ยวพี่จะพาไปเที่ยวให้หนำใจเลย”

ตอนนี้วีอยู่สนามบินแล้ว พรุ่งนี้เที่ยงๆ ก็คงจะถึงเมืองไทยค่ะ’

“อ้าว ไหนพ่อบอกว่าอาทิตย์หน้า” คฑาวุธร้องถามด้วยความแปลกใจ

วีเลื่อนไฟลท์มา เอาไว้กลับไปจะเล่าให้ฟังก็แล้วกัน พี่วุธมารับวีได้ไหม’

คฑาวุธชะงัก เพราะนั่นเป็นช่วงเวลาที่เขาต้องทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้มนัส ขืนไปยกเลิกตอนนี้ ลลิษาคงหาคนมาแทนไม่ทัน และอาจรู้สึกว่าเขาเป็นคนไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ด้วย

“พรุ่งนี้พี่มีธุระสำคัญน่ะ” พี่ชายบอก “เอางี้ เดี๋ยวพี่ให้ไอ้ธิตไปรับ”

ก็ได้ค่ะ’ ปลายสายตอบกลับด้วยน้ำเสียงผิดหวัง

“วีโอเคไหม เรื่อง...” เขาอดถามอย่างเป็นห่วงไม่ได้ แต่ก็ไม่เต็มเสียงนัก

ดีขึ้นแล้วค่ะ’

“ดีแล้ว เอาไว้พรุ่งนี้ถ้าพี่เสร็จธุระแล้ว จะรีบกลับไปหาที่บ้านนะ”

ค่ะ รักพี่วุธนะคะ’

“พี่ก็รักวี”

แล้วสัญญาณก็ขาดหายไป คฑาวุธถอนใจออกมาอย่างรู้สึกผิด เพราะแท้จริงเขาไม่ได้มีธุระอะไรสำคัญกว่าน้องสาวสุดที่รักคนนี้เลย แต่ก็ไม่รู้ทำไมถึงตัดสินใจออกไปอย่างนั้น

“ไอ้ธิต” 

ชายหนุ่มงึมงำ ก่อนจะโทร.หาเพื่อนรักอีกคน และบอกให้นักกฎหมายหนุ่มไปรับเวนิกาที่สนามบินในวันพรุ่งนี้ ซึ่งสาธิตไม่เพียงไม่อิดออด แต่ยังรับปากอย่างกระตือรือร้นจนเขาคิดว่า นี่อาจเป็นทางออกที่จะทำให้หัวใจอันบอบช้ำของน้องสาวได้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งก็ได้

 

ทันทีที่รองเท้าส้นสูงสีเขียวมรกตของเวนิกาเหยียบย่างเข้าไปในโถงต้อนรับผู้โดยสารขาเข้า เธอก็เห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาสะอาดสะอ้านและมีดวงตาอ่อนโยน ผู้ซึ่งเอาใจใส่เธอในฐานะน้องสาวมาตั้งแต่เด็ก กำลังยืนรอเธออยู่พร้อมรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความอาทรที่มีให้เสมอ

สำหรับเธอ ดวงตาคู่นั้นยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย ทุกครั้งที่เธอได้เห็น มันก็มักจะละลายความขุ่นข้องหมองใจของเธอออกไปได้ราวปลิดทิ้ง ทำให้ความอัดอั้นทั้งหลายที่สุมอยู่ในอกของเธอแทบระเบิดออกมาเป็นน้ำตา

“พี่ธิต” เวนิกาโผเข้ากอดชายหนุ่ม

สาธิตชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะโอบกอดเธอตอบอย่างปลอบโยน “อะไรกัน โตเป็นสาวแล้ว ยังทำตัวเหมือนเด็กๆ ไปได้”

“คิดถึงพี่ธิตจังเลย” หญิงสาวผละจากอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นแล้วมองเขาผ่านม่านน้ำตา

“พี่ก็คิดถึงวี” สาธิตเอ่ยเสียงนุ่ม ดวงตาคู่เดิมแฝงนัยอะไรบางอย่างที่ทำให้เธอรู้สึกหวั่นไหว 

“กลับบ้านกันเถอะ รถพี่จอดอยู่ข้างหน้านี่แหละ”

“ค่ะ” เวนิกาพยักหน้ายิ้มๆ แล้วคว้าแขนของเขามากอดไว้ และเดินซบไหล่ชายหนุ่มไปตลอดจนถึงรถสปอร์ตเอสยูวีสีขาวปราดเปรียว

“พี่วุธนี่แย่จริงๆ ชอบใช้พี่ธิตทำเรื่องส่วนตัวแทนเรื่อยเลย” หญิงสาวเอ่ยเมื่อขึ้นมานั่งบนรถแล้ว

“ไม่เป็นไรหรอก พี่เต็มใจ”

“ยอมเขาเรื่อยๆ ก็ได้ใจกันพอดี”

สาธิตหัวเราะ

“แล้วนี่พี่ธิตรู้ไหมคะว่าเขามีธุระสำคัญอะไรนักหนา ถึงมารับวีไม่ได้เนี่ย”

“ไม่รู้สิ ธุระไอ้วุธมันร้อยแปดพันเก้า บางทีเลขาฯมันเองยังไม่รู้เลย”

“ทำตัวลึกลับ” หญิงสาวทำปากเบ้ “มีซุกผู้หญิงไว้หรือเปล่านะ”

“ไม่มีหรอก” สาธิตหัวเราะ “เดี๋ยวมันเสร็จธุระ มันก็ไปหาวีเองแหละ ว่าแต่อยากไปหาอะไรกินก่อนไหม หรือจะกลับบ้านเลย”

“กลับบ้านดีกว่าค่ะ รู้สึกเพลียๆ อยากอาบน้ำนอนสักงีบ”

“งั้นพี่กลับบ้านเลยนะ”

“ค่ะ” เวนิกายิ้มแล้วเอนศีรษะลงซบไหล่สารถีหนุ่มอย่างออเซาะ “เอาไว้ถ้าพี่วุธไม่ว่างอีก พี่ธิตพาวีไปกินอาหารไทยอร่อยๆ หน่อยนะ คิดถึงอาหารไทยฝีมือคนไทยจะแย่”

“ได้เลย”

 

หัวใจของสาธิตยามนี้พองฟูไม่ต่างอะไรกับลูกโป่งสีชมพูที่ถูกอัดลมเข้าไปจนแน่น เขารู้สึกสุขใจอย่างที่สุดที่ได้ใกล้ชิดกับเวนิกา ไม่ว่าจะเป็นเวลาใดก็ตาม

การได้ขับรถมารับเธอที่สนามบินจึงเป็นความสุขอีกอย่างหนึ่งของเขา ซึ่งเขาอยากทำด้วยความเต็มใจ แม้คฑาวุธจะไม่ไหว้วานให้เขามา เขาก็คงจะดั้นด้นมาให้ได้

ถึงจะรู้ดีอยู่แก่ใจว่า เวนิกาไม่เคยคิดกับเขาเกินกว่าคำว่าพี่ชายเลยก็ตาม

ความรู้สึกนั้นแม้จะเจ็บปวด แต่มันก็เป็นความเจ็บปวดที่ทำให้เขามีความสุข เพราะได้เห็นคนที่เขารักมีความสุขกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำให้

แต่ความสุขมันก็แสนสั้นยิ่งนัก เพราะไม่นานนักรถสปอร์ตเอสยูวีสีขาวก็แล่นมาจอดที่หน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ ทั้งคู่ลงจากรถ สาธิตช่วยเธอกับคนรับใช้ขนของเข้าไปในบ้าน และอยู่รอจนกระทั่งเหล่าคนรับใช้ขนสัมภาระอันมากมีของเธอหายขึ้นไปบนชั้นสอง

“งั้นพี่กลับละนะ”

“ขอบคุณพี่ธิตมากนะคะ” หญิงสาวยิ้มเนือยๆ ท่าทางจะเหนื่อยจากการเดินทางมาก

“พักผ่อนเถอะ” เขายื่นมือไปจับศีรษะของเธอเขย่าเบาๆ ในใจก็นึกกลัวๆ กล้าๆ ว่าจะเหมาะควรไหม เพราะเดี๋ยวนี้เวนิกาไม่ใช่เด็กผู้หญิงเหมือนเมื่อก่อนแล้ว

“พี่ธิตขับรถดีๆ นะคะ”

สาธิตพยักหน้า ก่อนจะชะงักเพราะเวนิกาโผเข้ามาแล้วเขย่งเท้าขึ้นหอมแก้มเขาฟอดใหญ่อย่างไม่ทันได้ตั้งตัว

“ไปนะคะ” หญิงสาวบอกอย่างร่าเริง ก่อนจะวิ่งปรู๊ดขึ้นไปชั้นสอง ทิ้งให้สาธิตยืนอึ้งอยู่ตรงนั้นนานหลายนาทีทีเดียว

แบบนี้เอง ที่ทำให้เขาไม่สามารถลืมเวนิกาไปจากใจได้ แม้จะรู้ดีว่า เธอไม่ได้คิดอะไรกับเขาเกินเลยกว่าคำว่าพี่ชายเลยสักนิดเดียว

“ยัยบ้าเอ๊ย ลิปสติกติดหรือเปล่าเนี่ย” 

สาธิตยกมือคลำแก้ม แม้ปากจะบ่น แต่กลับไม่อาจหุบยิ้มได้เลย ร่างกายก็เหมือนจะลอยไปขึ้นรถได้เอง 

แต่พอสตาร์ตเครื่องยนต์ และมีเสียงเพลง ‘นิดนึงพอ’ ของดนุพล แก้วกาญจน์ ดังออกมาจากเครื่องเสียงชั้นดี เขาก็ถึงกับชะงัก และต้องถอนใจออกมาด้วยความรู้สึกอัดอั้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก

‘...ฉันไม่เคย คิดแข็งข้อ หรือบังอาจขอ เพราะยังเจียมแหละเตรียมหัวใจของคนส่วนเกิน คบฉันไว้เหมือนเป็นเพื่อนช่วยเตือนเภทภัย ทุกข์เมื่อไหร่ ปลอบใจร้องไห้ คราใดจะคอย เช็ดน้ำตา...ตื้ดๆๆ’

เสียงเพลงถูกขัดจังหวะด้วยเสียงโทรศัพท์ที่เชื่อมต่อกับเครื่องเสียงของรถ สาธิตสูดลมหายใจลึกเพื่อตั้งสติ แล้วกดปุ่มที่พวงมาลัยเพื่อรับสายจากพี่ชายของคนที่เขาแอบรักทันที

เรียบร้อยไหมไอ้ธิต’

“เรียบร้อย วีกลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ”

เออ ขอบใจเว้ย เดี๋ยวฉันเสร็จธุระแล้วจะรีบไปหา’

“อืม...ไม่ต้องรีบหรอกว่ะ ดูท่าทางเพลียๆ ฉันว่าคงจะหลับยาวถึงเช้าแน่ นี่ฉันก็กำลังจะกลับออฟฟิศเนี่ย”

เหรอ’ ปลายสายครางเบาๆ ‘งั้นฉันเข้าออฟฟิศไปเจอนายก่อนดีกว่าว่ะ’

“มีอะไรหรือเปล่า”

เอาไว้จะเล่าให้ฟัง ตอนนี้ขอขับรถก่อน’

เออ เจอกัน” สาธิตกดปุ่มอีกครั้ง แล้วเริ่มขับเคลื่อนรถออกจากคฤหาสน์หลังงามที่เต็มไปด้วยความทรงจำดีๆ ที่เขาไม่เคยลืมเลือนเลย

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น