9

ตะวัน


“พี่เอื้อยครับ พี่เอื้อย”

 

ผมสะกิดพี่พยาบาลหัวหน้าหน่วยตรวจผู้ป่วยนอก เหลือบตามองนาฬิกา เวลาตอนนี้เพิ่งจะหกโมงนิดๆ ยังไม่ใช่เวลาเริ่มงานของใครทั้งนั้น แต่ทุกเช้าที่ผมเดินผ่านหน่วยตรวจผู้ป่วยนอก ผมจะเจอพี่เอื้อย เดินตรวจตราความเรียบร้อย พูดคุยกับผู้ป่วยที่มารอคิว เป็นภาพชินตาของพวกเราแพทย์ประจำบ้านแผนกอายุรกรรม

 

“คะ หมอตะวันว่าไง มีอะไรให้พี่ช่วยหรือเปล่า?”

เธอหันมายิ้มตอบ

 

“คือ” ผมยื่นใบนัดสองใบให้พี่เอื้อย

“ลุงกับอาของเพื่อนตะวันมาตรวจวันนี้อ่ะครับ วานพี่เอื้อยจัดลงห้องผมหน่อยได้ไหม ขอคิวแรกๆเลย”

 

พี่เอื้อยขยับแว่น ดูใบนัด

“ได้สิหมอ ไม่มีปัญหา ของเดิมเขาเขียนว่านัดพบแพทย์ประจำบ้านอยู่แล้ว ไม่ได้นัดเจออาจารย์ จัดลงห้องให้ได้เลยจ้ะ” เธอเงยหน้าขึ้นจากใบนัด “อากับลุงของเพื่อนหมอเหรอ? ทำไมนามสกุลไม่เหมือนกันล่ะ?”

 

ผมขมวดคิ้ว รับใบนัดกลับมาดู

เออ ...จริงด้วยว่ะ นามสกุลไม่เหมือนกัน

 

“สงสัยลุงคงจะเป็นพี่ชายของแม่มั้งพี่เอื้อย ผมก็เพิ่งเห็นครับ”

“จ้ะๆ ตามใบนัดต้องเจาะเลือดนะคะหมอ หมอส่งเขาไปเจาะเลือดเรียบร้อยแล้วใช่ไหมคะ?”

 

ผมพยักหน้าตอบ “เรียบร้อยแล้วพี่ นี่เห็นว่ากำลังจะไปกินข้าวกัน เดี๋ยวขึ้นไปราวน์วอร์ดก่อนนะฮะ สัญญาไม่เกินเก้าโมงจะลงมาตรวจเลย”

 

“อ้าว เช้านี้ไม่มีคอนเฟอร์เรนซ์เหรอคะ? ถึงลงมาเก้าโมงได้”

พี่เอื้อยท้วง ตารางทำงานของแพทย์ประจำบ้าน หลังจากดูคนไข้ในแล้ว พวกเราต้องไปร่วมฟังคอนเฟอร์เรนซ์ตอนเช้าก่อน พอเสร็จคอนเฟอร์เรนซ์แล้วนั่นล่ะ ถึงจะลงมาเริ่มตรวจคนไข้ได้ และแต่ละครั้ง(หรือทุกเช้านั่นล่ะ) กว่าจะเสร็จก็กินเวลาเยอะอยู่

 

“อ๋อ วันนี้ผมเป็นเวร OPD เช้าน่ะพี่ เลยไม่ต้องเข้าคอนเฟอร์เรนซ์” ผมตอบพี่เอื้อไป แล้วก็นั่งคิดถึงจำนวนคนไข้ ต่อ แพทย์และบุคลากรของโรงพยาบาล โดยเฉพาะตอนเช้า ที่แค่คนไข้คิวรอตรวจยังต้องแน่นขนัด ตั้งแต่ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้คนไข้ต้องรอตรวจนาน โรงพยาบาลจะมีการจัดเวรแพทย์ 1-2 คนให้ไม่ต้องเข้าคอนเฟอร์เรนซ์แล้วลงมาตรวจคนไข้ไปก่อนได้เลย อย่างน้อยก็ระบายเคสไปได้บ้าง รอให้แพทย์คนอื่นๆเสร็จแล้วถึงได้เปิดตรวจเต็มที่

 

“งั้นก็หาอะไรกินก่อนลงมาก็แล้วกัน น้ำตาลตกเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมา ลำบากพี่ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

พี่เอื้อยพูดไปหัวเราะไป

 

“จ้าาา ไม่มีครั้งที่สองหรอกน่า”

ผมลากเสียงยิ้มตอบพลางเดินออกมาจากหน่วยตรวจ ก่อนจะแอบนึกไปถึงเรื่องที่พี่เอื้อยแอบแซว

เรื่องมันมีอยู่ว่า เมื่อสัปดาห์แรกของการกลับมาเรียนเฉพาะทาง ผมยังไม่ชินกับภาระงาน ทำอะไรยังช้าๆอยู่ กว่าจะราวน์วอร์ดเสร็จลงมาก็สายแล้ว ไม่มีเวลาไปหาอะไรกิน เลยยอมฝืนตรวจไปเรื่อยๆโดยทนหิวไว้ คิดว่าเดี๋ยวตอนเที่ยงคงได้กิน

 

ถ้าคุณเคยมาโรงพยาบาลรัฐบาล โดยเฉพาะที่เป็นโรงเรียนแพทย์ก็คงจะรู้ใช่ไหมว่า คนไข้เยอะขนาดนั้น ไม่มีทางหรอกที่หมอจะปลีกตัวไปกินข้าวได้

วันนั้นปาเข้าไปเกือบบ่ายสองแล้ว ผมยังตรวจได้ไม่ถึงครึ่งของเคสที่ถูกมอบหมาย พอฝืนตัวเอง ตรวจไป ตรวจมา รู้สึกตาลายๆ พยายามข่มอาการไว้ พอลุกขึ้นจากเก้าอี้ จะไปฟังเสียงปอดคนไข้แค่นั้นแหละ โลกหมุนติ้วๆ ล้มตึงลงไปเลย

 

ตื่นมาอีกทีก็นอนบนเตียงตรวจ มีเพื่อนๆล้อมรอบ สรุปว่าเพราะไม่ได้กินอะไร รวมกับขาดน้ำ ขาดการพักผ่อน น้ำตาลต่ำสุดขอบล่าง เลยเป็นลมหมดสติไป

 

ตอนนั้นนอกจากเดือดร้อนเพื่อน พี่ๆพยาบาลแล้ว ยังโดนอาจารย์ดุอีกต่างหาก นาเดียที่อยู่คนละแผนกกับผมแท้ๆยังรีบวิ่งมาดูผมด้วยความเป็นห่วงเลย

 

แน่นอน พี่ปอด้วย ตอนนั้นยังไม่ได้คบเป็นแฟนกัน แต่คนอื่นๆก็เริ่มระแคะระคายแล้วล่ะ ว่าผมกับพี่ปอคงสนิทสนมกันมากกว่าแค่พี่น้อง พี่ปอก็ผสมโรงดุผมด้วย ว่าทีหลังห้ามข้ามมื้อเช้าเด็ดขาด

หลังจากนั้นผมก็สัญญากับตัวเองเลยว่าจะยังไงก็ตาม จะไม่ขาดมื้อเช้าเด็ดขาด

 

ดูนาฬิกา อือ ... หกโมงกว่าแล้ว

 

โรงอาหารน่าจะเปิดแล้ว ชวนหมอก กับลุงและอาของเขาไปกินมื้อเช้าด้วยกันดีกว่า ยังพอมีเวลาก่อนจะเริ่มราวน์วอร์ดตอนแปดโมง กินข้าวแล้วขึ้นไปอาบน้ำล้างหน้าตาให้สดชื่นจะได้เริ่มงานได้

 

……..

 

“หมอกๆ”

 

หมอกกับลุงและอายังนั่งอยู่ดีเดิม เหมือนกำลังคุยอะไรกันอยู่สักอย่าง ผมกลัวจะเสียมารยาทที่จู่ๆโผล่เข้าไป เลยเรียกเขาก่อนตอนที่เดินใกล้ถึง หมอกดูสะดุ้งนิดนึงตอนได้ยินเสียงผม ก็ไม่รู้นะ ว่ากำลังคุยอะไรกัน แต่อากับลุงเขามองมาทางผมเป็นตาเดียวเลย

 

“เราจัดการเรื่องคิวให้แล้ว”

ผมยื่นบัตรคิวใบเล็กๆสองใบให้หมอก มีเลข 1 กับ 2

 

“เดี๋ยวตรวจกับเรานี่แหละ วันนี้เราลงตรวจ เลยไปขอคิวที่ 1 กับ 2 มาให้ลุงกับอาของนายเลย”

 

“โอ้โห ขอบคุณมากหมอ” เขารับบัตรคิวไปดูราวกับมันเป็นของหายาก

“นี่เกิดมาเพิ่งเคยได้เห็นบัตรคิว หมายเลข 1 เวลามาตรวจโรงพยาบาลนะเนี่ยหมอ ไม่นึกไม่ฝันมาก่อน นึกว่ามีแต่ในตำนาน” พูดจบเขาก็แลบลิ้นหยอกใส่ผม

 

นั่นทำให้ผมกลอกตา แต่ด้วยความขำนะ ไม่ใช่ความระอา

“แหม ก็นี่โรงพยาบาลรัฐบาล เป็นโรงเรียนแพทย์ด้วย ต่อให้มาเช้ายังไงมันก็ยังมีคนที่มาเช้ากว่าเราอยู่ดีแหละ”

 

“หรือไม่งั้นก็มีคนที่ยอมมาหน้าโรงพยาบาลเพื่อรอเอาคิวแต่เช้า” เขาเปรยๆเหมือนเชิงถาม

ผมพยักหน้า “นั่นก็ใช่เหมือนกัน มีจริงๆ เราเห็นบ่อยๆ”

 

ผมหันไปทางลุงกับอาของหมอก “เดี๋ยวไปทานข้าวกันก่อนเถอะครับ โรงอาหารน่าจะเปิดแล้ว เดี๋ยวกินเสร็จแล้วไปรอที่หน่วยตรวจโรคได้เลยนะครับ ผมขอไปอาบน้ำ กับดูคนไข้บนหอผู้ป่วยแป๊ปเดียวแล้วจะรีบลงมาตรวจเลย รับรองไม่ถึงสิบโมง เสร็จสรรพ ได้กลับบ้านแน่ครับ”

 

“ขอบคุณนะครับคุณหมอ”

คนที่ตอบน่าจะเป็นลุงของหมอก เพราะดูแก่กว่าอีกคนอย่างชัดเจน ผมค้อมศีรษะรับคำขอบคุณนั้น ก่อนก้าวเท้าเดินนำไปทางโรงอาหาร แม้จะรู้ว่าสามคนนี้รู้ทางอยู่แล้วก็เถอะ

 

แอบสังเกตว่าลุงของหมอก ดูเหมือนจะห่วงใยอาเป็นพิเศษ ตอนเดินมีหันไปรั้งๆรอๆกัน จริงๆมันก็เป็นปกติของคนทั่วไปนั่นล่ะ แต่ไม่รู้สิ ผมรู้สึกว่าในการกระทำแบบทั่วๆไป มันแฝงความรู้สึกที่มากกว่าปกติ

แถมเรื่องที่สองคนนี้ใช้คนละนามสกุล ผมก็ยังสงสัยอยู่ แต่ก็นะ ผมเป็นคนนอก คงได้แค่มองๆสังเกตแค่นั้นล่ะ จะไปยุ่งถามก็ใช่เรื่องหรือเปล่า

 

“ตอนนี้ยังเช้าอยู่ โรงอาหารเพิ่งเปิด” ผมหันไปบอกทั้งสามคนที่เดินตามมา

“ร้านอาหารน่าจะยังเปิดไม่ครบนะครับ แต่ร้านข้าวแกงเปิดแล้ว คุณลุงกับคุณอากินได้ใช่ไหมครับ?”

 

“สบายมากหมอ ผมกินง่าย แฟนผมก็กินง่ายครับหมอ”

คุณลุงตอบพลางหันไปพยักหน้ากับคุณอา “ใช่หมอ บ้านเรากินง่ายๆ” แล้วทั้งลุงและอาของหมอกก็เดินตรงไปที่ร้านข้าวแกงร้านเดียวที่เปิดอยู่ตอนนี้

 

เอ๊ะ .... เมื่อกี้นี้ผมหูฝาดไปหรือเปล่า?

ผมหันไปมองหน้าหมอกเลิ่กลั่กเป็นเชิงถาม

 

“อ๋อ” เขาพยักหน้าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้

“แหะๆ ลืมบอกหมอไปเลย ลุงน่ะเป็นพี่ชายของแม่ผมนะหมอ แต่อาเนี่ยไม่ใช่น้องของพ่อผมนะ อาเป็นเมียลุง เผื่อหมอจะสังเกตุว่าสองคนนี้แกคนละนามสกุลกัน”

 

“หืม ? นายหมายถึง อาของนายเป็นแฟนลุงใช่ไหม?”

“ใช่ครับหมอ ลุงกับอาผมเขาอยู่กินด้วยกันมานานแล้ว”

 

“เอ่อ... แล้วนาย?” ผมเหลือบตามองไปทางลุงกับอาเขาทีนึง แล้วกลับมามองหมอกเป็นเชิงถาม

“ผม? ผมทำไมเหรอครับหมอ? หรือหมอจะถามว่าเมียผมเป็นผู้ชายด้วยหรือเปล่าน่ะเหรอ? เปล่าๆหมอ ผมโสด เมียคนล่าสุดเป็นผู้หญิงครับ”

 

คำตอบของหมอนั่น ทำผมเกือบปล่อยก๊ากออกมา ดีว่ากลั้นไว้ได้

“ไม่ใช่เว้ย ! คือเราหมายถึงว่า นายโอเคกับการที่ลุงกับอานายเป็นคู่ชีวิตกันแบบนี้เหรอ?”

เออ... ถามเสร็จเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าไม่น่าถามเลย เห็นอยู่ทนโท่ว่าเขาดูโอเคมาก

 

“ไม่รู้อ่ะหมอ ผมรู้จักสองคนนี้มาแต่เด็ก อาก็เหมือนคนในครอบครัวแหละ เลยไม่ได้รู้สึกอะไรแปลกๆ แต่ว่า ...” เขาหรี่เสียงลงนิดหนึ่ง “ไอ้ตอนวันที่หมอบอกว่า รับ ก็คือคนโดนเสียบเนี่ย ผมดันไปนึกภาพว่า งั้นอาผมก็ต้องโดนลุงเสียบ คืนนั้นเล่นเอาผมนอนไม่หลับเลยหมอ”

 

“โอ้ยยย หมอก” คราวนี้ผมกลั้นหัวเราะไม่อยู่แล้ว ปล่อยออกมาก๊ากใหญ่

“นี่นายอยู่กับเรื่องนี้มาตั้งนาน แต่ไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลยเหรอไงเนี่ย?”

 

เขาส่ายหน้า “ไม่อ่ะหมอ ใครๆก็บอกว่าผมเป็นคนทึ่มๆ”

ผมยิ้มให้เขา “เราว่าผู้ชายทึ่มๆ เป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์นะ”

 

“จริงเหรอหมอ?”

“แล้วเราจะหลอกนายทำไมกันเล่า ปะ ไปกินข้าวกันเหอะ”

 

แล้วผมก็เดินไปเลือกซื้อข้าวแกง ที่ตอนนี้เอามาตั้งแต่ไข่พะโล้กับผัดฟักแม้ว ที่ดูแล้วแสนจะไม่เข้ากัน

ผมเป็นคนติดนิสัยเลือก match อาหารในจานเสมอ อะไรกินคู่กับอะไรได้ หรือไม่ได้ อันไหนมาวางคู่กันในจานแล้วไปไม่ได้ ผมจะไม่สั่ง ดังนั้นตอนนี้ ทางเลือกของผม เลยเหลือแค่ ข้าวกับไข่พะโล้อย่างเดียว หรือไม่ก็ข้าวกับผัดฟักแม้วอย่างเดียว

 

“เอาผัดฟักแม้วราดข้าวครับ”

ผมบอกแม่ค้า ตัดสินใจเลือกจานผัก

 

“หมอทำไมไม่กินโปรตีนอ่ะ?”

หมอกยื่นหน้าเข้ามาถาม

 

“มันไม่เข้ากันนี่ เดี๋ยวเราค่อยไปกินข้าวกับอย่างอื่นมื้อเที่ยงๆหรือเย็นก็แล้วกัน”

ปากก็ตอบไปอย่างนั้นนะ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำแบบนั้นได้หรือเปล่า แม่ค้าคุ้นกันดี ตักข้าวเพิ่มให้ผมค่อนเยอะเพราะรู้ว่าบางทีหมอจะไม่ได้กินข้าวเที่ยง ถ้ามีโอกาสกินข้าวเช้าจะอัดให้เต็มที่

 

“เอาพะโล้ไข่สองฟอง แล้วก็ผัดฟักแม้วด้วย ไม่เอาน้ำราดนะครับ”

หมอกสั่งบ้าง

 

“มันจะเข้ากันเหรอหมอก?”

ผมมองไข่พะโล้ในจาน ผักฟักแม้วที่แม้แม่ค้าจะพยายามไม่ตักน้ำผัด แต่ก็ยังมีอยู่บ้าง และน้ำพะโล้กับน้ำผัดก็กำลังผสมกัน มันดูไม่เข้า

 

“ไม่รู้ดิหมอ แต่กินได้ ตอนบวชหลวงตาสอนให้กินให้ครบในหนึ่งมื้อไปเลย อย่าไปหวังมื้อหน้า อาจจะไม่มีกิน ไม่เราก็อาจจะตายก่อนถึงมื้อหน้าก็ได้”

 

“นายเคยบวชแล้วเหรอ?”

“ใช่ครับหมอ” เขาหันมายิ้มแยกเขี้ยว “เรียกผมว่าทิดหมอกก็ได้นะหมอ”

 

“เรายังไม่เคยบวชอ่ะ”

บ้านผม 3 คนพี่น้อง มีแต่พี่แสงใต้เท่านั้นที่เคยบวช ส่วนผมกับน้องชายยังไม่ได้บวช ดูเหมือนพ่อแม่ก็ไม่ได้จริงจังกับเรื่องนี้มากนัก

 

“ก็หมอมัวแต่เรียนนี่นา ใช่ไหมล่ะ จะเอาเวลาที่ไหนไปบวช ปะหมอไปกินข้าวกันเหอะ” หมอกหยิบช้อนส้อมมาสองคู่เผื่อผมเรียบร้อย เดินนำไปทางโต๊ะทีลุงกับอาของเขานั่งรออยู่

 

“หมอนั่งกินไปก่อนเลย เดี๋ยวผมไปเอาน้ำมาให้” เขาวางจานแล้วเดินไปทางตู้กดน้ำ

“เฮ้ยไม่เป็นไร” ผมวางจานลงบนโต๊ะก่อนพลางเดินตามเขา “ตั้งสี่แก้ว นายถือคนเดียวไม่หมดหรอก เดี๋ยวเราช่วยถือดีกว่า”

 

“โอ๊ย สบายมากหมอ เห็นไหมผมมือใหญ่”

ไม่พูดเปล่าๆนะ เขายกมือขึ้นกางให้ดูด้วย นั่นทำให้ผมขำ

 

“ใช่ แต่เราก็เดินตามมาช่วยแล้วไง มา เราช่วยถือ”

ผมหยิบแก้วน้ำมาถือสองแก้ว ให้หมอกถือสองแก้วพลางเดินกลับมาที่โต๊ะ

 

“หมอใจดีจังนะ ชอบช่วยเหลือคนอื่น” เขาพูดตอนเดินตามกลับมา ผมยิ้มๆไม่ได้ขอบคุณหรือปฏิเสธ ถ้าถามผม ผมว่าหมอกต่างหากเป็นคนที่ใจดี ก็ไอ้คนที่ขี่รถมาส่งผมที่โรงพยาบาลกลางดึก ช่วยแบกนาเดียเดินไกลๆไปส่งที่หอน่ะไม่ใช่หลักฐานว่าเขาเป็นคนแบบนั้นหรือไง?

 

“หมอกินแค่นี้จะไปอิ่มอะไรกันครับ?”

ลุงของหมอกชี้มาทางจานข้าวผม

 

“อ๋อ .. ผมกินน้อยน่ะครับ แหะๆ”

วันนี้ยังดีนะได้กินข้าว วันอื่นๆบางทีก็แค่ ขนมปังกับกาแฟแค่นั้นเอง ไอ้ที่ผมบอกว่าไม่กล้าข้ามมื้อเช้านั่น ไม่ได้แปลว่าผมจะต้องกินมื้อเช้าให้เป็นเรื่องเป็นราวเสียหน่อย เอาแค่มีอะไรใส่ปากให้เคี้ยวตอนก่อนเที่ยง ผมก็นับเป็นมื้อเช้าแล้ว

 

“เดี๋ยวสายๆ หมดแรงกันพอดีหรอกหมอ แล้วจะทำงานได้ไง”

“แล้วแกไปยุ่งอะไรกับเขาเล่า” อาของหมอกขัดคอลุง “หมอเขาอาจจะมีคนคอยเอาขนมเอาน้ำไปส่งให้ก็ได้นี่นา จริงไหมหมอ หน้าตาดีแบบนี้ต้องมีแฟนอยู่แล้วแน่ๆเลย”

 

อ้าว ... คุณอา เป็นงั้นไป

นี่ทำหน้าไม่ถูกเลยนะเนี่ย

 

“เอ่อ ... แหะๆ ก็มีแหละครับ” ผมยิ้มเจื่อนๆตอบไป

“เห็นไหมล่ะ แกน่ะรีบๆกินเถอะ จะได้ไปรอหมอเผื่อหมอลงตรวจแล้วจะได้ไม่พลาด” คุณอาหันไปบอกลุง

 

“อ๋อ ไม่ต้องรีบฮะ ผมเป็นคนตรวจเอง เดี๋ยวพอกินข้าวเสร็จแล้วผมขอตัวขึ้นไปดูคนไข้บนวอร์ดแป๊ปนึง แล้วจะรีบลงมาตรวจเลยครับ”

 

“อ้าว หมออยู่เวรเมื่อคืนไม่ใช่เหรอครับ?” ลุงถาม

ผมพยักหน้า “ใช่ครับ อยู่เวรเมื่อคืน นี่คืนนี้ก็อยู่ด้วย”

“แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปพักครับหมอ ลงเวรแล้วต้องมาตรวจต่อ”

 

ผมนึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะตอบคุณลุงว่าอะไรดี เลยได้แต่ยิ้มเจื่อนๆไป กำลังนึกว่าจะชวนคุยอะไรต่อดี ก็มีเสียงหนึ่งแผดแทรกเข้ามาก่อน

 

“ตาวานนนนนนนนนนน แก เมื่อคืนเวรเป็นยังไงบ้าง”

หันไปมอง นาเดียเพิ่งจะเดินเข้าประตูโรงอาหารมา แต่เสียงดังนำหน้ามาก่อน ดีนะที่โรงอาหารมีคนไม่กี่คน บรรดาญาติ และคนไข้เลยไม่แตกตื่น หันไปมองลุงกับอาของหมอก ก็ดูจะตกใจอยู่เหมือนกันที่เห็นหมอตัวล่ำปักหลั่นใช้เสียงสอง สำเนียงสาวลอยมาแต่ไกล

 

“ยุ่งน่ะแก” โดยที่ผมไม่ต้องเชิญ นาเดียดึงเก้าอี้ แล้วนางก็ทรุดลงนั่งข้างๆ กันทันที “ICU ตามจนแทบจะกางเตนท์นอนมันตรงเคานท์เตอร์แล้ว เออนี่” ผมหันไปทางลุงกับอาของหมอก

 

“นี่หมอนาเดีย หมอเด็กครับ เพื่อนผมเอง นาเดียนี่คุณลุงกับอาของหมอก จำได้ใช่ไหม คนที่วันนั้นช่วยฉันแบกแกกลับไปที่หอน่ะ”

 

นาเดียยกมือไหว้ลุงกับอาของหมอก “สวัสดีค่ะคุณลุงคุณอา” แล้วกํหันมาทำตาหวานใส่หมอก “คุณหมอก จำได้สิคะ ขอบคุณมากนะคะที่วันนั้นช่วยแบกกลับ ไม่อย่างนั้นนาเดียต้องนอนอยู่ที่หน้าตึกแหงๆ ใครจะมาฉุดไปข่มขืนหรือเปล่าก็ไม่รู้อ่ะ”

 

ผมกลอกตา ถ้าไม่ติดว่าอยู่กับหมอกแล้วก็คนไข้อีกสองคนคงจะถอนหายใจใส่เพื่อน

“ตัวยักษ์อย่างแก ใครจะลากไหว นี่ลืมไปหรือเปล่าว่าคืนนั้นฉันก็ช่วยแบกแกเหมือนกัน ไม่ใช่แค่หมอกคนเดียวหรอกน่ะ”

 

“ใช่ แต่แกไม่ได้หล่อฝังใจฉันเหมือนคุณหมอกเขานี่นา”

หันมาเถียงใส่ผมจบ นาเดียก็หันไปหยอดใส่นายหมอกอีกรอบ

 

“เนี่ย เมื่อคืนนาเดียอยู่เวร เวรเยินม๊ากมากค่ะ เหนื่อยจังเลย”

พร้อมกับทำท่าเหมือนจะพิงลงไปซบไหล่ของหมอก เจ้าตัวดูเหมือนจะตกใจกว่าเดิม หันมามองทางผมตาเหลือก ผมรีบดึงนาเดียกลับมา “นี่แก รุ่มร่ามใส่เขาอ่ะ ดูตัวเองก่อนสิ ตัวยังกะยักษ์พิงหมอกเขา เขาก็ได้แบนกันพอดีหรอก”

 

นาเดียหันมาตวัดเสียงใส่ “หวงก้างนะเราเนี่ย”

ผมแลบลิ้นกลับ “ก็นี่เพื่อนฉันนี่หว่า”

 

จนได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของลุงกับอานั่นล่ะ ผมถึงได้นึกขึ้นได้ว่า กำลังเล่นตลกต่อหน้าผู้ใหญ่ รีบหันกลับไปยิ้มเจื่อนๆ ขอโทษขอโพย

 

“ขอโทษทีนะฮะ เพื่อนมันเบลอๆน่ะครับ ตอนเช้าๆยังไม่ได้กินกาแฟ เพิ่งอยู่เวรมาไม่ได้นอนด้วย นาเดียเขาเบลอง่ายฮะ”

ที่จริงในหัวอยากจะบอกว่าเพื่อนผมแรด แต่ก็ติดว่าคุยกับผู้หลักผู้ใหญ่ ยังไงเสียก็ไม่ควรพูดอะไรแบบนี้ไป

 

“หมอๆนี่ตลกดีนะครับ เหมือนเด็กเลย นึกว่าหมอจะมีแต่ดุๆเครียดๆเสียอีก” อาของหมอกยิ้ม

“หมอก็คนปกตินี่แหละค่ะ แค่มีความสามารถวินิจฉัยโรครักษาคนไข้ได้ แต่ก็ป่วยได้ ตายได้ ตลกเป็น อกหักก็ได้ ตกหลุมรักก็ได้เหมือนกัน โดยเฉพาะคนหล่อๆแบบหมอกเนี่ย”

 

นาเดียชิงตอบ แถมท้ายประโยคก็ยังไม่วายหันไปหยอดสายตาเยิ้มใส่หมอกอีก แต่รายนั้นคงเริ่มชินแล้ว เพราะคราวนี้ไม่ได้เบี่ยงตัวหนี และไม่ได้ทำตาเหลือก หากแต่ยิ้มเจื่อนๆส่งคืนให้

 

“แหะๆ ขอบคุณครับหมอนาเดีย แต่...” หมอกดูกึ่งรับกึ่ง “หนี” ไม่ใช่กึ่งรับกึ่งสู้

“แหม อย่าขอบคุณสิคะ เปลี่ยนคำขอบคุณเป็นไปกินน้ำเต้าหู้หลังเลิกงานกันไหมคะ?”

 

“ฮ่าๆ ผมนึกว่าหมอกินเป็นแต่น้ำละมุดเสียอีก วันก่อนที่เจอกันกลิ่นละมุดหึ่งเลย”

“แหม หมอกอ่ะ” นาเดียทำเป็นปั้นปึ่งใส่หมอก “ดื่มไม่เป็นหรอกค่ะ เขาคะยั้นคะยอก็ดื่มเฉยๆ ปกตินาเดียเป็นคนไม่ชอบดื่มนะ ใสๆ”

 

คำพูดนั้น ทำผมกลอกตาอีกเช่นกัน จำได้ว่าตอนเรียนปี 6 คนที่ชวนผมไปผับยิกๆทุกวัน ตอนวนต่างจังหวัดก็นาเดียเนี่ยแหละ ขนาดว่าไปโรงพยาบาลชุมชนไม่มีผับ นาเดียยังอุตส่าห์ไปซุ้มยาดองข้างวัดได้

 

“นี่หมอกมีเฟซบุ๊คไหมอ่า ขอหน่อยได้ไหม วันก่อนเห็นรูปในวินหล่อบอกต่อด้วย แต่เขาไม่เห็นลงเฟซบุ๊คหมอกเลยอ่ะ นะนะ ขอหน่อยนะ” นาเดียหยิบมือถือขึ้นมาเปิดหน้าจอ

 

“เอ่อ มีครับ แต่ไม่ค่อยได้เข้าไปเท่าไหร่ ขี่มอไซค์มันไม่ค่อยมีเวลาว่างหรอกครับ”

“โอ้ย หมอก็ไม่ค่อยมีเวลาค่ะ เปิดดูค่ำๆเหมือนกัน ขอแอดหน่อยได้ไหมอ่ะ?”

 

พูดจบนาเดียก็ทำตาอ้อนวอน จนนายหมอกยอมใจอ่อนพยักหน้าแล้วบอกชื่อเฟซบุ๊คเขาไป จริงๆผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังหรอกนะ แต่ตอนเขาบอกชื่อเฟซบุ๊คน่ะผมได้ยินอยู่แล้ว ก็เรานั่งข้างๆกันนี่นา

 

“หมอล่ะครับ” หมอกหันมาทางผม “เล่นเฟซบุ๊คไหม?”

ผมพยักหน้า “ก็มีแหละ แต่ไม่ค่อยได้เล่นหรอก นี่ไม่ได้เข้ามานานมาก”

 

“แหนะ แต่ก็เห็นไปกดไลค์รูปผมในวินหล่อนี่ครับ” เขาหัวเราะ

“เห ... นายเห็นได้ไงกันอ่ะ?” ผมสงสัย

 

“อ้าว ก็ผมเปิดเข้าไปดูตามที่หมอบอกไง แล้วก็ในรายชื่อคนที่กดไลค์ผมอ่ะ มีคนนึงชื่อ ตะวัน ทิศาวงศ์ ผมจำชื่อหมอได้ มันปักอยู่ที่อกเสื้อไง”

 

“อ๋อ ...” ผมพยักหน้า เออ จำแม่นแฮะนายคนนี้

“อื้ม เราเข้าไปดูนู่นดูนี่บ้าง แต่ไม่ค่อยสนใจมากหรอก นี่ครั้งนี้ที่เห็นนายก็เห็นจากที่นาเดียเอามาให้นั่นแหละ”

 

“แอดเสร็จแล้วค่ะ คุณหมอกอย่าลืมกดแอคเซปท์นะคะ”

นาเดียเก็บมือถือลงกระเป๋า พลางหันมาทางผม “แก วันนี้เลิกงานไปกินหมูจุ่มกันไหมแก?”

ผมส่ายหน้า “โทษทีนะ เราอยู่เวรคืนนี้ต่อว่ะ”

 

“อยู่ติดกันเนี่ยนะ?”

“อือ ใช่ คือแลกพลาดเองแหละ แล้วเพื่อนไม่สบายด้วยเลยอยู่แทน”

 

ติ่ง ติง ติง ติ๊ง ....

แพทย์เวรกุมารเวช ที่ 3267

แพทย์เวรกุมารเวช ที่ 3267

ขอบคุณค่ะ ติ่ง ติง ติง ติ๊ง ...

 

“นั่นตามฉันนี่หว่า” นาเดียดูนาฬิกาข้อมือ “ถ้ายังไม่แปดโมง ก็ฉันนี่แหละ แกฉันไปก่อนนะสงสัยมีปัญหาในวอร์ด” แล้วนางก็หันไปทางหมอก “ไปก่อนนะคะคุณหมอก ไว้คุยกันในเฟซบุ๊คนะ” ก่อนจะหันไปไหว้คุณอาคุณลุง แล้วนางก็ลุกพรวดวิ่งออกไป

 

“เพื่อนหมอนี่คล่องแคล่วดีเนอะ ดูสดใสดี”

คุณลุงหัวเราะ

 

“เขาเป็นแบบนั้นมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้วครับ เพื่อนคนแรกของผมเลย”

“ดีนะ เป็นเพื่อนกันยาวๆ อยู่กันไปเรื่อยๆ ผมกับแฟนผมก็เริ่มจากเป็นเพื่อนกันก่อนนี่แหละ ไปๆมาๆก็อยู่กินกัน” พูดจบลุงก็หันไปมองอา

 

“ผมกับนาเดียก็คงเป็นเพื่อนกันไปจนกลายเป็นลุงหมอ ตาหมอกันทั้งคู่แหละครับ แต่... คงไม่กลายเป็นแบบคุณลุงกับคุณอาหรอกฮะ” ผมนึกกลัวว่าท่านสองคนจะเข้าใจผิดว่าผมกับนาเดียเป็นแบบนั้นกัน

“ดีจังนะครับ อยู่ด้วยกันจนแก่ ผมเองก็อยากเป็นแบบนั้นบ้าง”

 

“แล้วทำไมมันจะเป็นไปไม่ได้ล่ะหมอ?”

อาของหมอก รวบช้อนส้อมในจานก่อนจะถามผม

 

“ก็ ... ไม่รู้สิครับ คู่รักแบบ .. นี้ ใครๆเขาก็บอกว่าไม่ยั่งยืนเท่าไหร่ รักกันประเดี๋ยวประด๋าวก็เลิก” ผมนึกถึงเพื่อนๆ คนรู้จัก ทุกคนล้วนรักแล้วเลิกหมด สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ไม่เคยเห็นมีใครอยู่กันเกินสิบปีสักคู่

 

“ก็สมัยนี้มันหากันง่ายมั้งหมอ ไม่ถูกใจก็เลิก เปลี่ยน มันไม่เหมือนสมัยก่อนหรอกนะ กว่าจะเจอกัน กว่าจะกล้ายอมรับว่ารักกัน มันยากนะหมอ กว่าจะได้อยู่ด้วยกันมันลำบากมาก พอเกิดปัญหาไม่ว่าจะใหญ่ขนาดไหน มันก็ยังดูเล็กกว่าอุปสรรคตอนแรกที่กว่าจะได้รักกัน”

 

แล้วก็เหมือนเป็นระบบอัตโนมัติ ผมเห็นมือของลุงไปแตะมือของคุณอา ชายสองคนตรงหน้าผม หันมาสบตากัน แม้อากาศระหว่างสายตาทั้งสองคนนั้นมันจะว่างๆ แต่ผมกลับรู้สึกได้ว่ามันมีสายใยอะไรสักอย่างเชื่อมสองคนนั้นไว้อย่างแน่น

 

คุณลุงหันมายิ้มให้ผมอย่างมีเมตตา เหมือนคนที่ผ่านอะไรมามากมายสอนเด็กไร้เดียงสาคนหนึ่ง

 

“ลุงน่ะมันช่างซ่อมรถ เลยซ่อมมันดะ อะไรเสียก็ซ่อม ไม่ถนัดหาใหม่ มันไม่มีอะไรใช้งานได้ยาวนานหรอกหมอ ของมันใช้ทุกวัน มันต้องเสีย อย่าไปคาดหวังของที่ใช้ได้ตลอดไม่มีวันเสีย ยังไงมันก็ต้องเสีย ดีแค่ไหนก็เสีย ถ้าเสียเราก็ซ่อม แล้วก็ใช้ถนอมๆมันก็อยู่นานหมอ แต่ถ้าเสียแล้วซื้อใหม่ เราก็จะได้แค่เปลี่ยนมันไปเรื่อยๆเฉยๆ”

 

ผมยิ้ม “ขอบคุณครับลุง”

 

“อ่ะอิ่มหรือยังน่ะหมอ ไอ้หมอกน่ะผมไม่ห่วงมันหรอก ไอ้นี่มันยังไงก็ต้องกินจนอิ่ม”

ลุงพยักหน้าไปทางจานข้าวนายหมอก ที่ตอนนี้เกลี้ยงจานไม่เหลืออะไรเลย ผมก็เพิ่งสังเกตนะเนี่ย ว่าหมอกกินไวมาก โอ้โห นี่ว่าพวกหมอกินกันไวแล้วนะ ยอมแพ้นายคนนี้เลยจริงๆ

 

ผมรีบตักผักที่เหลือเข้าปากเคี้ยวหงุบหงับสองสามที กลืนเอื้อก ดื่มน้ำตาม “เรียบร้อยแล้วครับ” ก่อนจะหันไปทางหมอก “เดี๋ยวนายพาลุงกับอาไปรอเราที่แผนกตรวจคนไข้นอกนะ เราขึ้นวอร์ดไปราวนด์แป๊ปเดียวเดี๋ยวจะรีบลงมาตรวจเลย”

 

ผมกำลังทำท่าจะลุกจากโต๊ะ แต่หมอกดึงแขนไว้ก่อน

“หืม ... มีอะไรเหรอหมอก?” ผมหันไปถาม

 

“เอ่อ ... ผมขอแอดเฟซบุ๊คหมอได้ไหมครับ?”

เขาถามแบบไม่มองหน้าผม ประหลาดดีแฮะ

 

“ได้สิ แค่นี้เอง ก็เราเป็นเพื่อนกันอยู่แล้วป่ะ แอดมาเหอะ”

ผมตอบ คราวนี้เขาเงยหน้ามายิ้มให้ผม

 

“ขอบคุณนะหมอ”

“โอ้ย ขอบคุณทำไมกันเรื่องแค่นี้ เดี๋ยวเรามานะ ไปก่อนล่ะ”

 

ผมยิ้มให้เขา และเขาก็ยิ้มให้ผม

 

………….

 

9 : 00

 

“เอาล่ะ เรียบร้อย ผมไม่ปรับยาอะไรนะครับ น้ำตาลโอเคทั้งคู่ ความดันด้วย”

ผมเซ็นชื่อลงในใบสั่งยาของลุงกับอาของหมอก เงยหน้าจากแฟ้ม แล้วยื่นใบสั่งยาให้หมอก “โทษทีนะ นี่รีบลงมาสุดแล้ว ยังตั้งเกือบเก้าโมงเลย ตอนแรกนึกว่าจะเสร็จซักประมาณแปดโมงนิดๆ ”

 

นี่ผมก็รีบที่สุดแล้วล่ะ แต่บนวอร์ดคนไข้เต็มไปหมด ผมเลยเสียเวลาพอควร กว่าจะเคลียร์เคสได้แล้วลงมาเริ่มตรวจ ยิ่งช่วงนี้อาจารย์ประจำวอร์ด มีนโยบายว่าต้องเคลียร์เตียงให้ได้ 20% ในทุกวัน เลยยุ่งนิดนึง

 

“โอ้ย ไม่เป็นไรเลยหมอ นี่เร็วสุดตั้งแต่เคยได้ตรวจมาแล้วเนี่ย ปกตินะ สิบเอ็ดโมงเพิ่งได้เรียกชื่อเองมั้ง” หมอกยิ้ม คุณลุงกับคุณอาก็พยักหน้าเห็นด้วย “นี่คือเร็วชนิดที่ไม่เคยเจอมาก่อนแล้วเนี่ย”

 

“เอ่อ... ลืมถามไปเลย นี่ตรวจตาครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ครับ ทั้งคู่เลย”

ลุงกับอามองหน้ากันเลิ่กลั่ก แล้วก็หันมาส่ายหน้ากับผม “ไม่เคยตรวจครับหมอ”

 

เปิดดูแฟ้ม เออว่ะ ไม่เคยส่งตรวจตาจริงๆด้วย

 

“งั้นเดี๋ยวผมทำนัดไปตรวจตาหน่อยนะครับ ส่งไปวันนี้คงไปไม่ทันแล้วแหละ แผนกตาคนไข้เยอะ” ผมจดลงไปในแฟ้มผู้ป่วย “เป็นเบาหวานต้องตรวจตาครับ อย่างน้อยสุดก็ปีละหนึ่งครั้ง แล้วก็ตรวจฟันด้วย”

 

“เหอ ... เบาหวานขึ้นฟันได้ด้วยเหรอหมอ?”

หมอกเป็นคนถาม ดูเหมือนเขาจะตกใจ จะตกใจไปทำไมเนี่ย ตัวเองไม่ได้เป็นเสียหน่อย

 

“เปล่า แต่ทุกคนควรจะตรวจฟันอย่างน้อย 6 เดือนครั้ง มีโรคประจำตัวเป็นเบาหวานความดันก็พอแล้วไหม จะเอาโรคฟันโรคเหงือกแถมไปด้วยทำไมจริงป่าว” ผมหันไปทางลุงกับอา “เดี๋ยวคุณพยาบาลข้างหน้าจะให้ใบนัดนะครับ มีสองใบ ใบนึงไปตรวจตา อีกใบนึงคือตรวจเรื่องเบาหวานความดันรอบหน้า เจาะเลือดเหมือนเดิม”

 

“แล้วใบนี้ไปรับยาที่แผนกรับยาใช่ไหมหมอ?” หมอกชูใบยาที่ผมยื่นให้ตะกี้นี้

ผมพยักหน้า “ใช่ ไปยื่นช่องรับใบยาก่อน จ่ายเเงิน แล้วก็ไปรอรับยา สามขั้นตอน แต่ไม่ต้องห่วงนะ ตรงหน้าห้องยาเขามีป้ายบอกไว้”

 

“แล้วมาครั้งหน้าผมสองคนจะได้เจอหมออีกไหมครับเนี่ย?”

คุณลุงถามก่อนจะลุกจากเก้าอี้

 

ผมยิ้ม “เจอสิครับ ถ้าผมไม่ตายเสียก่อนนะลุง งานหนักจัง”

แล้วก็หัวเราะแห้งๆ จริงๆแทบไม่เหลือแรงจะหัวเราะแล้วล่ะ ข้าวที่กินไปมื้อเช้าน้อยเกินไป ผสมกับอดนอนเมื่อคืนนี้ นี่ว่าคนไข้บางคนที่รอตรวจตอนนี้อาจจะสุขภาพแข็งแรงกว่าผมอีกก็ได้ ตอนนี้ผมอยากจะทิ้งตัวลงนอนตายเดี๋ยวนี้ตรงนี้เลยด้วยซ้ำ

 

“อย่าเพิ่งตายเลยหมอ หมอดีๆแบบนี้อยู่นานๆนะครับ”

คุณอาบอก

 

หมอกหันไปมองทางนอกห้อง

“คนรอตรวจข้างนอกตรึมเลย นี่หมอจะได้ไปกินข้าวกลางวันไหมเนี่ย?”

 

“ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะได้กินตอนบ่ายแก่ๆแหละ ถ้าหลังจากนี้ไม่มีอะไร เราคงจะแวะไปพักซักแป๊ปนึง ก่อนมาอยู่เวรค่ำๆ”

เออ... ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ ถ้าไม่มีเคสรับใหม่ ถ้าบนวอร์ดคนไข้ไม่มีปัญหา ถ้าหมอที่ลงตรวจมาครบทุกคน

แต่ดูสถานการณ์ตอนนี้แล้ว เหมือนจะอยู่ไกลจากความหวังพวกนั้น นึกแล้วผมก็แอบถอดใจเบาๆ

 

“กินเมื่อมีเวลา? แล้วมื้อเย็นล่ะหมอ?”

หมอกยังคงถามต่อ

 

“ก็ ... เหมือนกัน ถ้ามี ‘เวลา’ และถ้ายังมีร้าน ‘เปิด’ ให้กินนะ”

“น่าเห็นใจจัง ผมอยากช่วยอะไรหมอบ้าง แต่นึกไม่ออกเลยอ่ะหมอ”

 

“….”

ไม่เคยมีใครพูดแบบนี้กับผมแฮะ ผมวางปากกาแล้วยิ้มให้เขา “ขอบคุณนะหมอก นี่แหละนายช่วยเราแล้ว อ่ะ ทีนี้ไปรับยาได้แล้ว ตอนนี้ห้องยาคนยังน้อย รีบไปจะได้รับยาไวๆนะ” ผมส่งแฟ้มให้เขา “แล้วอย่าลืมเอาไปให้พยาบาลตรงเคาน์เตอร์ด้วยนะ”

 

“สุ้ๆนะหมอ” คุณลุงบอก

ผมยกมือไหว้ทั้งสองท่านอีกที “ขอบคุณครับ”

 

พอทั้งสามคนเดินออกไป รอยยิมที่ได้จากความห่วงใยที่ผมได้ยังอยู่บนหน้าของผมอยู่

แล้วเคสคนไข้ คนถัดไปก็เข้ามาให้ตรวจ ...

 

……….

 

19 : 00

 

ผมเดินลงออกมาจากลิฟท์ ทีแรกว่าจะเดินไปโรงอาหารนะ แต่มองจากไกลๆ ก็เห็นแล้วว่า เหลือร้านอยู่แค่ร้านเดียว และท่าทางตัวเลือกมื้อเย็นจะไม่เยอะมากนักด้วย

หรือว่าหันหลังแล้วไปเซเว่นดีกว่า ?

เอ๊ะ... โทรสั่งมากินดีไหม?

แต่ท้องผมนี่สิ มันหิวแล้วอ่ะ ถ้าโทรสั่งก็อีกนานเลยกว่าจะได้กิน แถมไม่รู้ด้วยว่าตอนที่อาหารมาถึงแล้วจะว่างกินไหม

 

“หมอตะวัน หมอตะวัน อยู่นี่เอง กำลังจะไปหาที่วอร์ด”

 

ระหว่างที่ผมกำลังลังเลอยู่ว่าจะเอายังไงต่อดี พี่เอื้อยพยาบาลคนขยันแห่งหน่วยตรวจคนไข้นอกก็รีบวิ่งมาหา ในมือถือถุงอะไรสักอย่าง ยื่นส่งให้ผม “มีคนฝากไว้ให้น่ะ”

 

ผมรับถุงมาดู “ใครอ่ะพี่เอื้อย”

 

“ก็เพื่อนหมอไง คนที่เขาพาลุงกับอามาตรวจน่ะ เมื่อกี้นี้เขาเอาถุงนี้มาฝากพี่ให้หมอ เขาบอกว่าไม่รู้จะหาหมอที่ไหนรู้จักที่เดียวคือที่นี่เลยเอามาฝาก พี่ก็รับปากว่าจะเอาให้หมอนี่แหละ เพิ่งรู้ว่าเพื่อนหมอเขาเป็นวินมอเตอร์ไซค์เหรอ? เห็นใส่เสื้อกั๊กวิน”

 

ผมเปิดถุงดู ห่อข้าวมันไก่นี่นา ...

 

“ใช่ครับพี่เอื้อย เขาเป็นวินปากซอยคอนโดนที่ ...” ผมชะงักแป๊ปนึง

“ที่ผมเช่าอยู่น่ะ” ดีนะที่ยั้งปากทันไม่ได้บอกว่า คอนโดพี่ปอ

 

“ท่าทางจะเป็นของกิน” พี่เอื้อยพยักหน้า “หมอรีบกินเถอะ ก่อนที่มันจะบูด”

“ขอบคุณนะครับพี่เอื้อย” แล้วผมก็ถือถุงนั้นเดินกลับไปห้องพักแพทย์ เออ ดีเหมือนกัน กำลังนึกอยากกินข้าวมันไก่พอดีเลย ผมวางถุงลงบนโต๊ะกินข้าว หยิบมือถือมาเปิดดูเฟซบุ๊ค

 

มี friend request มาจากหมอก พร้อมกับข้อความด้วย

ผมกด accept พร้อมกับเปิดข้อความมาอ่าน

 

“หมอ ผมตั้งใจจะซื้อข้าวมันไก่ให้นะ ร้านนี้อร่อยมาก แต่ไก่เขาหมดอ่ะ เหลือแต่หัวใจ ผมเลยเหมาหัวใจเขามาหมดเลย หมอกินข้าวมันหัวใจไก่ไปก่อนก็แล้วกันนะ จะได้รู้ว่าผมใส่ใจเพื่อนผม”

 

ผมเปิดห่อข้าวดู เออ มีแต่ข้าวมัน กับหัวใจไก่เป็นสิบชิ้นเลย

ผมอดยิ้มให้กับข้อความและหัวใจไก่ตรงหน้าไม่ได้จริงๆ เออ...ลองดูแล้วกัน ดูท่าทางแปลกๆ แต่ก็น่ากินอยู่

 

ข้าวมันไก่ ... ‘ใส่ใจ’ เยอะๆ :)

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น