8

หมอก


8.

หมอก

 

ฮ๊าดเช้ย !!!

 

ไม่ใช่ผมจามนะ ลุงต่างหากจามเสียงดังลั่นบ้าน อาหยิบกระดาษทิชชู่ยื่นให้พร้อมบ่น

“จะไอ จะจาม ปิดปากปิดจมูก มันกระจายหวัดใส่คนอื่น” ลุงรับกระดาษทิชชู่ แล้วสั่งน้ำมูกพรืดใหญ่ “สงสัยติดจากไอ้หมอกมันเนี่ย”

 

“เฮ้ย หมอกหายแล้วนะลุง อย่ามาโทษกัน”

 

ผมร้อนตัวทันที วันนั้นหลังจากส่งหมอแล้ว ผมกลับมาละลายผงขิงกับน้ำอุ่นกินตามหมอบอก เออ ว่ะ จริงอย่างที่เขาว่าไว้เลย กินยังไม่ทันจะหมดกล่องดี หวัดหายสนิท จมูกโล่ง คอไม่คัน ไม่ต้องกินยาแก้อักเสบด้วย กินแล้วฉี่เหม็นอ่ะ ผมไม่ค่อยชอบ

 

“ก่อนที่มึงจะหาย มึงก็แพร่หวัดใส่ลุงไปแล้วไง”

ลุงยังคงโบ้ยมาทางผม

 

“เออ แล้วจามเสียงดังไม่ปิดปากแบบนี้ เดี๋ยวก็ส่งหวัดมาให้กูอีกคนพอดีกัน”

ส่วนอาก็พอกัน ผมรีบวิ่งขึ้นชั้นบนดีกว่า จะได้ไม่โดนลูกหลงเวลาสองคนนี้เถียงกัน

 

“เฮ้ยหมอกเดี๋ยวก่อน” ผมวิ่งขึ้นบันไดไปได้แค่สามขั้น อาดันเรียกให้หยุด

“ครับอา ว่า?”

 

“เอ็งจำได้ใช่ไหม พรุ่งนี้อากับลุงมีนัดไปตรวจเบาหวาน ความดันกับหมอ เอ็งลางานที่วินแล้วใช่ไหม”

ผมพยักหน้า “บอกพี่เฟืองไว้แล้วอา พรุ่งนี้ลุงกับอาก็อย่าลืมตื่นแต่เช้าแล้วกัน มันต้องไปวางคิว แล้วก็เจาะเลือดด้วย ถึงจะมีใบนัดก็ต้องไปแต่เช้า”

 

“รู้แล้วน่ะ เอ็งก็อย่านอนดึกล่ะ พรุ่งนี้ต้องตื่นเข้า”

“คร้าบบบบบ อาาาา”

 

อากับลุงนี่ยังกะเป็นเนื้อคู่ คนนึงเป็นความดันสูง อีกปีเดียวอีกคนก็เป็นตาม พอจะเป็นเบาหวานก็เป็นพร้อมๆกัน ตอนแรกก็งงนะ เพราะลุงกับอาไม่มีใครอ้วนสักคน เป็นเบาหวานได้ไง อย่างที่เล่า ตาแก่สองคนนี้ออกจะล่ำสันมีกล้ามเนื้อ แต่หมอบอกว่า มันมีปัจจัยหลายอย่าง ภายนอกดูสุขภาพดี ใช่ว่าจะแข็งแรงไปตลอด ผมเองก็ต้องระวังเหมือนกัน

 

ก็เลยเป็นหน้าที่ผมพาสองคนนี้ไปหาหมอตามนัด ทุกสองสามเดือน ที่จริงลุงกับอาไปหาหมอเองได้ แต่เวลาเขาจะลุกไปห้องน้ำ ไปส่งเลือด มีคนอยู่เฝ้ารอเขาเรียกคนนึงด้วยมันจะดีกว่า นั่นล่ะหน้าที่ผม แล้วโรงพยาบาลที่ลุงกับอาไปตรวจ ก็โรงพยาบาลเดียวกับที่หมอตะวันอยู่อีกต่างหาก ไม่แน่ พรุ่งนี้ผมอาจจะเจอเขาด้วย

 

ระหว่างหัวก็คิด ขาก็เดินเข้าห้องนอน ผ่านโต๊ะหัวเตียง สายตาผมเหลือบไปเห็นรูปที่ถ่ายคู่กับเฟิร์นในกรอบที่วางบนโต๊ะหัวเตียง ... จนแล้วจนรอด ก็ยังไม่ได้หารูปอื่นมาเปลี่ยนว่ะ

 

ตอนแรก แค่คว่ำกรอบรูป แล้วกะจะหารูปอื่นมาเปลี่ยน เพราะผมเจ็บทุกทีเวลาเห็นรูปในอดีตที่เราอยู่ด้วยกัน ไม่อยากจะให้มันคอยมาย้ำความเจ็บจากการเสียเฟิร์นไปซ้ำๆ จำไม่ได้แล้วว่าจับกรอบรูปกลับมาตั้งเหมือนเดิมเมื่อไหร่ คงเผลอตั้งมันตอนที่ทำความสะอาดห้องปัดกวาดเช็ดถูนั่นล่ะ

 

ตอนนี้ผมมองมันได้ด้วยอารมณ์ปกติ ไม่เจ็บ ไม่รู้สึกอะไร เพราะไม่รู้สึกอะไรเลยนั่นล่ะ เลยไม่ได้หารูปใหม่มาเปลี่ยน หรือถอดมันออก รูปผมกับเฟิร์นก็เลยยังอยู่ในกรอบนั้นต่อไป เตือนให้ผมจำได้ว่า ครั้งหนึ่งเธอคนนี้เคยอยู่ในชีวิตผม

 

ผมทิ้งตัวลงนอน หยิบโทรศัพท์มือถือมาเปิด ว่าจะเล่นเกมเสียหน่อย พอดีนึกถึงแฟนเพจที่หมอตะวันเอามาให้ดูวันก่อน ที่มีรูปผมลงด้วย

 

เออ มันชื่ออะไรนะ .... อ๋อ! วินหล่อบอกต่อด้วย แวะไปดูหน่อยแล้วกัน อยากรู้ว่าเขาเขียนถึงผมยังไงบ้าง วันก่อนแค่เห็นแว่บๆตอนหมอเอามายื่นให้ดู ไม่ได้ใส่ใจมากนัก

 

ผมเปลี่ยนใจ ปิดหน้าจอเกม แล้วเปิดเฟซบุ๊คของตัวเอง ... เอ่อ ในรอบหลายเดือน

 

คือผมก็มีแอคเคาท์เฟซบุ๊คนะเว้ย เดี๋ยวนี้ ใครๆเขาก็มีกัน แต่ของผมหลักๆก็มีไว้เล่นเกมนั่นล่ะ ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี เฟซบุ๊คสำหรับผมเหมือนบัตรประชาชนน่ะ คือมี ควักมาใช้บ้าง แต่ไม่บ่อย เออนั่นแหละ ทำนองเดียวกัน

 

ผมเริ่มมีเฟซบุ๊คเพราะเฟิร์น ....

 

ก็เรื่องปกติ ผู้ชายไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้หรอก แต่แฟนบอกว่าให้มี ก็มี ไม่ใช่ว่าเพราะเชื่อฟัง แต่ป้องกันแฟนบ่นยาว และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาผมก็มีหน้าเฟซบุ๊คที่แทบจะไม่แตะอะไรเลย นอกจากสถานะ “มีแฟนแล้ว” โชว์หรา และติดป้ายชื่อเฟิร์นเอาไว้

 

ตอนนี้ช่องสถานะมันว่างไปแล้ว เฟิร์นเอาสถานะเป็นแฟนกับผมออกไปนานแล้ว มีแต่ผที่ยังคงสถานะ “มีแฟนแล้ว” ไว้ ไม่เปลี่ยนเป็น “โสด” ซักทีนอกจากนั้น หน้าไทม์ไลน์ของผมว่างเปล่า เมื่อก่อนผมก็ไม่ได้ลงอะไร ขึ้เกียจพิมพ์ ไม่ชอบถ่ายรูป จะมีก็แต่รูปที่เฟิร์นถ่ายคู่กับผมแล้วแท๊กผมมาด้วย พอเลิกกันเธอก็ลบหมด หน้าไทม์ไลน์ของผมก็กลับมาว่างเปล่าเหมือนเดิม

 

จริงๆแล้ว ไม่เห็นต้องทำอย่างนั้นเลย ...

 

ทำอย่างกับว่าลบรูปไปแล้ว อดีตมันจะหายไปด้วย ลบรูปแฟนเก่า แล้วแฟนใหม่จะเป็นแฟนคนแรกของเรารึก็เปล่า ผมว่ารูปเก่าๆ มันก็เหมือนบันทึกความทรงจำ ใครจะไปรู้ ทีหลังเฟิร์นอาจจะอยากรู้ก็ได้ว่าหมูจุ่มที่กินด้วยกันวันนั้นมันร้านไหน อยากกลับไปกินอีกแต่ก็ลืมร้าน พอจะเช็คดูจากรูปดันลบไปเรียบร้อยแล้ว

 

เลือกที่จะลบ เป็นทางที่เฟิร์นเลือก

เลือกที่จะยังจำ เป็นทางเลือกของผม

 

หลังจากจ้องหน้าไทม์ไลน์ว่างเปล่า ผมก็พิมพ์ลงไปในช่องว่างด้านบนที่เอาไว้สำหรับค้นหา “วินหล่อบอกต่อด้วย” แล้วหน้าเพจ กับรูปต่างๆก็ขึ้นมา

 

กดไล่ๆลงไป เออ นี่ไงรูปผม ชัดว่ะ ในรูปเป็นตอนถอดหมวกกันน้อค คุยกับพี่เฟืองรูปนึง หัวเราะอะไรสักอย่าง(ปากกว้างเชียวกู)รูปนึง ยิ้มรูปนึง(เออ กูก็หล่อดีเว้ย) แล้วอีกรูปก็ก้มดูดเป๊ปซี่จากถุง มีเขียนไว้ใต้ภาพ

 

“หนุ่มวินซอยพหลฯกลางๆ (แอดมินขอไม่บอกนะคะ จะเก็บไว้กินเอง อิอิ) สอบถามจากแถวนั้นชื่อว่า น้องหมอก”

 

(อ่านแล้ว ... รู้สึกกลัวว่ะ)

 

ใครมาแอบถ่ายวะ มือถือกล้องดีเป็นบ้าเลย ไม่รู้ถ่ายจากมุมไหน ไกลหรือเปล่า แต่ผมไม่รู้ตัวแน่ๆ ที่จริงผมก็เป็นคนทื่อๆมาแต่ไหนแต่ไร ทุกคนในบ้านรวมถึงพี่ๆในวินยังบอกเลยว่าผมเป็นคนทื่อๆ ทึ่มๆ เมื่อก่อนผมเคยสับสนระหว่างทึ่มกับโง่ เวลาใครบอกว่าผมทึ่ม จะนึกเสมอว่าเขาบอกว่าผมโง่

 

“ไม่ใช่เว้ยมึง ทึ่มก็ทึ่ม โง่ก็โง่สิวะ”

พี่เฟืองเคยบอกผม ตอนผมถามเขาไปว่า ผมโง่ใช่ไหม?

 

“อ้าว ถ้าทึ่มไม่ใช่โง่แล้วมันคืออะไรอ่ะพี่?”

“ทึ่มก็ ทึ่มๆไงมึง โง่ก็แบบ โง่ๆอ่ะ”

 

โห... พี่เอ้ย ช่วยได้มากเลย พูดคำซ้ำสองมันคงช่วยให้ผมนึกภาพออกหรอกนะเว้ยพี่เฟือง ดีว่าตอนนั้นครูอัยแฟนพี่เฟืองนั่งอยู่ข้างๆ เลยอธิบายให้ผมฟัง

 

“ทึ่มภาษาอังกฤษคือ dull จ้ะ มันจะแปลว่า ไม่แหลม ทื่อๆ พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือเป็นคนไม่คิดเยอะ ไม่คิดยาว ไม่ค่อยนึกถึงเรื่องนู้นเรื่องนี้เท่าไหร่ เห็นแค่ไหนก็เอาแค่นั้น อย่างถ้าสาวๆมองหมอก หมอกจะคิดว่าอะไร?” ครูอัยถามผม

 

“เอ่อ....” ผมนึก

“ผมลืมรูดซิป ไม่ก็ มีอะไรติดหน้าผม?”

 

ครูอัยยิ้ม “ไม่คิดว่าเขามองเพราะหมอกหล่อเหรอ?”

ผมรีบส่ายหน้า “ไม่อ่ะครูอัย ใครจะไปคิดอย่างนั้น”

 

และนั่นทำให้ครูอัยและพี่เฟืองหัวเราะ

“นั่นแหละหมอก ที่เรียกว่าทึ่ม”

 

ถึงวันนั้นผมยังไม่เข้าใจว่า ทึ่ม กับ โง่ ว่ามันห่างกันมากขนาดไหน แต่อย่างน้อยผมก็พอจะเข้าใจว่า คนอย่างผมเรียกว่าทึ่ม ไม่ใช่โง่ และที่ผมยังไม่เข้าใจ ก็อาจจะเพราะผมมันทึ่มนี่ล่ะ

 

ใต้ภาพของผมมีคนกดไลค์หลายร้อย รูปที่ยิ้มเยอะสุด ปาเข้าไปหลักพัน มีคอมเมนท์เยอะอยู่ ผมกดไล่ลงมาดู

 

“ซอยไหนคะ จะตามไปเลียตั้งแต่เสาไฟหน้าปากซอย”

(น่ากลัวอีกแล้ว สำนวนอะไรอ่ะ เลียตั้งแต่เสาไฟ งง)

 

“ไม่หล่อมากนะ แต่มีเสน่ห์”

(ขอบคุณครับ)

 

“คนนี้ๆๆๆไงแก ที่ฉันเคยซ้อนอ่ะ (แล้วก็แท๊กชื่อเพื่อน)”

(จริงดิ? ผู้โดยสารคนไหนวะ?)

 

“ขี่วินจริงป่าว? ไม่ใช่ว่ามาเซ็ทฉากถ่ายนะเว้ย”

(.....)

 

แล้วก็อื่นๆใดๆ ที่ผมไม่สนใจจะเลื่อนลงไปดูต่อ

 

ตาผมเหลือบไปเห็นในรายชื่อคนที่กดไลค์ท้ายๆมีคนหนึ่งชื่อ Tawan Tisawong ตะวัน ทิศาวงศ์ (หรือเปล่าวะ?) โอเค นี่อาจจะทำให้พวกคุณตกใจบ้าง ผมอ่านภาษาอังกฤษออกนะครับ อย่าลืมว่าอย่างน้อยผมก็เรียนภาษาอังกฤษมาจนถึงชั้น ม.3 ก่อนจะออกมาเรียน ปวช. คำง่ายๆน่ะ พอจะอ่านออกได้

 

กลับมาที่ Tawan Tisawong ผมว่ามันอ่านว่า ตะวัน ทิศาวงศ์ มันคือชื่อหมอตะวันนี่หว่า(ผมจำชื่อเขาที่ปักบนเสื้อกาวน์ได้) ใช่ไหมวะ เฮ้ยย เขากดไลค์รูปผมด้วยเหรอ? ผมกดดูรูปผมทั้ง 4 รูปที่ลงในนั้น Tawan Tisawong กดไลค์ให้ทุกรูป ผมเลยกดเข้าไปดูหน้าโปรไฟล์เขาเสียเลยให้หายสงสัย

 

มือถือผมหมุนติ้วๆ อยู่พักหนึ่ง แล้วหน้าไทม์ไลน์ของนาย Tawan Tisawong ก็โผล่ขึ้นมา โผล่มาแค่ตาผมก็จำได้แล้ว นี่มันเฟซบุ๊คของหมอจริงๆด้วย แหม คุณหมอ มากดไลค์รูปผมซะด้วยนะเนี่ย แอบคิดไรกับผมหรือเปล่า คิดแล้วผมก็หัวเราะ

 

เออ ... ไหนๆก็แวะมาดูหน้าเฟซบุ๊คเขาแล้ว ไหนดูหน่อยดิว่าหมอเขาทำอะไรบ้าง

 

ปรากฏว่าไทม์ไลน์ว่างเปล่า ... เกือบเท่าๆผมเลยว่ะ

 

นอกจากที่เขียนว่า จังหวัด กรุงเทพมหานคร แล้วก็ไม่เห็นมีอะไรเลย มีรูป 6 -7 รูปที่เขาไม่ได้ถ่ายเอง เป็นรูปจากเฟซบุ๊คเพื่อนถ่ายมาแล้วแท๊กมา อ่ะ นั่นหมอนาเดียเพื่อนสนิทเขา ผมจำได้ นอกจากนั้น ไม่มีข้อความ หรือรูปที่หมอตะวันลงเองเลย มีแต่รูปที่อยู่ในหน้าแรกที่เป็นเขาใส่เสื้อกาวน์สั้น ยืนพิงกำแพงแล้วยิ้มบางๆ แค่นั้น

 

ผมไล่ลงมาดูต่อ สถานะ โสด ...

 

สงสัยหมอคงยุ่งมากจนลืมเปลี่ยนสถานะ มีแฟนแล้วนี่หว่าไอ้หมอ จะมาตั้งเป็นโสดได้ไง แฟนมาเห็นเข้าเดี๋ยวก็น้อยใจหรอก เอ๊ะ ไม่สิ แฟนเขาเป็นผู้ชาย คงไม่คิดเล็กคิดน้อยเหมือนเฟิร์นหรอก ดีไม่ดีแฟนหมอแกก็คงจะยุ่งพอๆกัน หน้าไทม์ไลน์อาจจะโล่งๆเหมือนหมอเขานั่นแหละ

 

มือผมไล่มาถึงปุ่น “เพิ่มเป็นเพื่อน”

เออ ... กดดีไหมหว่า?

 

ระหว่างผมกับหมอ เราก็เป็นเพื่อนกันแล้ว แต่การเป็นเพื่อนของเรามันขนาดไหน? ขนาดที่ผมสามารถกดเพิ่มเขาเป็นเพื่อนบนเฟซบุ๊คผมได้เลยรึเปล่า หรือผมเป็นแค่วินมอเตอร์ไซค์ขาประจำของเขา ที่พิเศษกว่าคันอื่นๆแค่นั้น?

 

คำถามนี้มันหาคำตอบยาก สมัยเด็กเวลาสักคนบอกผมว่า เป็นเพื่อนกัน นั่นหมายความว่าเราวิ่งเล่น เรารวมหัวกันแกล้งคนอื่น หรือไปไหนมาไหน นอนค้างบ้านกันได้

 

แต่พอโตมา ผมว่าเราใช้คำว่า เพื่อน แตกต่างกับตอนเป็นเด็กเยอะ ผมเคยได้ยินมาว่ามีเพื่อนประเภทที่ “นอน” ด้วยกันได้ (ถ้าเข้าใจความหมายที่ผมพูดถึงน่ะนะ) นั่นก็เพื่อนเหรอวะ? เพื่อนคุย เพื่อนๆคุยๆกันไปก่อน (ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่า มันแตกต่างจากเพื่อนคุยตรงไหน)

 

หรือ “เป็นเพื่อนกันนะ” ที่เฟิร์นบอกในวันที่เดินออกไปจากชีวิตผม แต่ตอนนี้เราแทบไม่เคยได้คุยกันเลย ชีวิตเขาเป็นไงผมไม่รู้ ชีวิตผมไปถึงไหนเขาก็ไม่สนใจ นี่ก็เพื่อนอีกแบบหนึ่งรึเปล่า ?

 

เลยไม่รู้ว่า ตอนที่ผมกับหมอตะวันเป็นเพื่อนกันน่ะ เป็นเพื่อนระดับไหน แล้วไอ้กดเพิ่มเป็นเพื่อนในเฟซบุ๊คนี้ ผมได้สิทธิ์นั้นไหม มองไปมองมา คิกวนไปวนมา เอาวะ ช่างมันเหอะ ไม่ต้องหรอก อย่ากดเลย

 

ทำยังกับว่าผมเล่นเฟซบุ๊คบ่อยอย่างนั้นล่ะ เฟซบุ๊คผมมีไว้ให้สำหรับลงทะเบียนเล่นเกมเฉยๆ เพิ่มหมอตะวันเป็นเพื่อนหรือไม่บนเฟซบุ๊ค มันก็ไม่ได้กระทบอะไรกับความเป็นเพื่อนของเราสองคนเสียหน่อย

 

ผมปิดเฟซบุ๊ค แล้วมาเปิดเกมเล่นได้แค่พักเดียว ก็หลับไปคาเกม แต่แว่บหนึ่งก่อนนอนหลับ ผมจำได้ว่าผมดีใจนิดๆนะ ที่หมอตะวันมากดไลค์รูปผม วันหลังถ้าเจอต้องแซวเสียหน่อย

 

…………

 

5 : 00 ที่หมายถึงตีห้า ไม่ใช่ห้าโมงเย็น

แต่คิวรอเจาะเลือดยาวไปไกลแล้ว ...

 

การมาโรงพยาบาลนี่ก็เหมือนมาแข่งขันอะไรสักอย่าง มีใบนัดระบุเวลาพบหมอเรียบร้อย แต่ขั้นต่อนก่อนพบหมอมันไม่ใช่แค่นั้น ยิ่งคนไข้เบาหวานแบบลุงกับอา ต้องมาเจาะเลือดก่อน แล้วไอ้คิวเจาะเลือดเนี่ยมันไม่ได้เหมือนคิวเจอหมอนี่หว่า ต้องมารับบัตรคิวต่างหาก นี่ว่ามาเช้าแล้วนะ คิวยังยาวเลยเนี่ย

 

ผมหันไปบอกลุงกับอา “อีก 30 คน”

ลุงพยักหน้า “ดีกว่าครั้งที่แล้วเยอะ ตอนนั้น 58”

 

อาพยักหน้าเห็นด้วย ระหว่างทางเดินไปปลายแถว เราสามคนเดิมผ่านตู้รับบริจาคเงินเข้ากองทุนช่วยเหลือโรงพยาบาล อาควักแบงค์ร้อยหยอดลงไป

 

“เรามาโรงพยาบาลรักษาฟรี รับยาก็ฟรี เราควรช่วยเหลือโรงพยาบาลบ้าง เขาจะได้อยู่เป็นที่พึ่งเราได้ ทีไปวัดยังช่วยค่าน้ำค่าไฟเขาเลย โรงพยาบาลช่วยชีวิตเรา ก็ช่วยเขาหน่อยเหอะ”

 

ผมยิ้ม ... อาเป็นคนใจดีเสมอ คิดถึงคนอื่นก่อนตัวเองทุกครั้ง เหลือบไปมองลุง แอบเห็นเขายิ้มที่มุมปากนิดๆ นี่ละมั้งที่ทำให้ลุงรักอา ... “ความใจดี”

 

เวลาเราอยู่กับคนที่ใจดี มันรู้สึกเหมือนอยู่ในบ้านที่เย็นๆ หอมๆ มันอยากนอน และไม่อยากออกไปไหน ผมว่าคนเราจะอยู่ด้วยกันได้ มันคงไม่ใช่แค่รักหรอก มันต้องมีอย่างอื่นด้วย และสำหรับลุงกับอา ความใจดีของอาคงเป็นสิ่งนั้น

 

นี่ทำให้ผมนึกถึงตอนผมอยู่กับเฟิร์น เธอไม่ใช่คนใจดีแบบอา แต่ก็ไม่ใช่คนเห็นแก่ตัว (โอเค อย่าไปนับตอนที่เธอมีคนอื่นสิ มันแค่ทีเดียว) แต่เราก็อยู่ด้วยกันได้นานเหมือนกัน เอ๊ะ ... หรือว่าจะเป็นผมนี่แหละที่เป็นคนใจดี เลยทำให้เราอยู่กันได้ ... เฟิร์นเคยบอกบ่อยๆอยู่นะว่าผมใจดี

 

เผลอคิดนู่นคิดนี่แป๊ปเดียว ลุงกับอาเจาะเลือดเสร็จแล้ว ไวเป็นบ้า เจ้าหน้าที่ห้องเจาะเลือดโรงพยาบาลนี้เป็นตงฟางปุ๊ป้ายหรือไงวะ ซัดเข็มออกมาจากมือทีละ 10 เข็ม ปักจึ้กได้เลือดเลย เจาะเลือดตั้งสามสิบคนจะไวไปไหนเนี่ย เก่งว่ะ

 

“หมอกๆ เอ็งไปซื้ออะไรมาให้อาเขากินหน่อยสิ”

“เดี๋ยวรอกินข้าวเช้าเลยก็ได้มั้งลุง” ผมแย้ง

 

“โรงอาหารเขาจะเปิดตอนหกโมงกว่าๆนู่น มึงไปหานมหาอะไรเบาๆให้อาเขารองท้องก่อนแล้วกัน รอจนเวลานั้น อามึงได้เป็นลมไปก่อน เขากินข้าวตรงเวลา” ท้ายประโยคผมไม่แน่ใจว่าลุงห่วงอาหรือว่าหมั่นไส้อากันแน่

 

ผมกำลังจะอ้าปากถามว่าจะเอาอะไรบ้าง ก็พอดีมีคนมาสะกิดไหล่ก่อน พอหันไปดู

“อ้าว ... หมอ” ตะวันนี่เอง เขาอยู่ในชุดเสื้อกาวน์สั้นที่ผมคุ้นตา แต่ดูหัวยุ่งๆ และตาโรยๆ

 

“หมอมาทำงานแต่เช้าเลยนะเนี่ย” ผมมองไปทางผมที่ชี้ไปชี้มาไม่ได้ทิศของเขา

ตะวันส่ายหน้า “เปล่า เรายังไม่ได้นอน เมื่อคืนเราอยู่เวรน่ะ”

 

“ที่ว่าไม่ได้นอนนี่ ตั้งแต่เมื่อไหร่?” ผมสงสัย

“ก็ .. ทั้งคืนแหละ สี่โมงเย็นเริ่มรับเวรก็เซิ้งมาตลอดจนตอนนี้”

“เซิ้ง?” ผมไม่แน่ใจว่าฟังผิดไหม เซิ้งมันเกี่ยวอะไรกับหมอวะ?

ตะวันหัวเราะ “โทษทีๆ คำว่าเซิ้งหมายถึงเวรยุ่งมาก ยุ่งจนเหมือนจังหวะเซิ้งน่ะ”

 

“งั้นถ้ายุ่งมากๆๆๆล่ะหมอ เรียกว่าไร?” ผมถามติดตลก ปนกวน

“ก็เซิ้งไหแตก ปลาร้าปลิวมั้ง” เขาหัวเราะตามบ้าง

 

“แล้วนี่นายมาทำไรอ่ะหมอก?” หมอถาม

“เฮ้ย ลืมเลยหมอ นี่ลุงกับอาผม”

 

ผมชี้ไปทางลุงกับอาที่ยืนมองหมอตะวันเป็นตาเดียว “ลุง อา นี่หมอตะวัน ... เอ่อ ...เพื่อนผม” ตอนจะแนะนำว่าเป็นเพื่อน ผมก็กลัวๆ เก้อๆอยู่เหมือนกันนะ กลัวว่าหมอตะวันจะหันมาตวัดสายตาใส่แล้วบอกว่า เขาไม่เคยนับวินมอเตอร์ไซค์อย่างผมเป็นเพื่อน

 

“สวัสดีครับ ผมชื่อตะวันนะครับ เป็นเพื่อนหมอกเขา”

ตะวันยกมือไหว้ลุงกับอาผมอย่างนอบน้อม “นี่นายพาลุงกับอามาตรวจตามนัดใช่ไหม? เจาะเลือดแล้วยังอ่ะ?”

 

“ใช่ หมอเขานัดเบาหวานความดันน่ะ เจาะเลือดแล้ว”

ตอนตอบผมพยักหน้าไปทางแขนของลุงกับอาที่มีสำลีแปะกดไว้ให้เลือดหยุดอยู่ “แล้วนี่หมอจะออกเวรตอนกี่โมงเนี่ย?” ผมดูนาฬิกา ตีห้าสี่สิบห้า

 

“ก็เรื่อยๆจนแปดโมงแหละ แล้วก็ไปอาบน้ำแต่งตัว ลงตรวจต่อ”

“อ้าวเฮ้ย แล้วนี่หมอจะได้ไปนอนเมื่อไหร่?” คือผมตกใจนะ นี่เขาจะไม่ได้พักเลยเหรอ ออกเวรมาก็ต้องตรวจคนไข้ต่อเลย แล้วจะไหวเหรอวะเนี่ย?

 

“ก็คืนนี้ไง เอ้ย ไม่ใช่ คืนนี้เราอยู่เวรต่ออีกวัน พอดีเพื่อนขอแลกน่ะเลยต้องอยู่ติดกัน”

นอกจากผมชี้ๆ ตาโรยๆแล้วตะวันยังดูมึนๆอีกด้วยแฮะ

 

“ไหวไหมอ่ะหมอ?”

ไม่น่าถามเลยเว้ยผม ถ้าเขาตอบว่าไม่ไหว แล้วผมจะช่วยไรได้วะ

 

“ไม่ไหว แต่หยุดไม่ได้หรอก นายก็เห็น คนไข้เยอะขนาดนั้น ถ้าเราไม่อยู่ แปลว่าภาระงานของเราก็ตกไปอยู่ที่หมอคนอื่นแทน ไหวไม่ไหวก็ต้องทำงาน คนไข้ไม่หยุดป่วยนี่นา”

 

แปลกดี ฟังเผินๆมันก็เหมือนคำบ่นธรรมดานะ แต่ผมรู้สึกได้ถึงความ “ใจดี” ที่ผ่านมากับข้อความนี้ของหมอตะวัน บางครั้งความใจดี มันคงไม่ได้แสดงออกมาเป็นความอ่อนโยน สัมผัสที่อ่อนนุ่ม หรือถ้อยคำที่หวานๆ สายตาที่ห่วงใยอะไรเทือกนั้นหรอก

 

บางทีความ “ใจดี” มันแสดงออกมาทาง “ความเสียสละ” แบบนี้ที่หมอตะวันกำลังทำอยู่ ผมรู้สึกได้ถึงความเย็นๆ และกลิ่นหอมๆ ของความใจดีที่แผ่ออกมาจากหมอตัวเล็กๆ หน้ามึนๆ หัวชี้ๆ ตรงหน้าผม

 

“แล้วนี่นายจะไปไหนเนี่ย?” เขาถาม

“อ๋อ .. จะไปร้านสะดวกซื้อ หาไรให้อากินหน่อย”

“เออ เรากำลังจะไปซื้อกาแฟพอดีเลย ไปด้วยกันไหม เดี๋ยวเราพาไป” เขาอาสา ผมเลยพยักหน้า

 

“นมของอาน่ะ เอาแบบไม่หวานนะ แบบไม่มีน้ำตาล”

ลุงกำชับก่อนผมเดินออกมา ผมหันไปพยักหน้าให้ เดินตามหมอตะวันไปตามทางเดินสลัวๆที่วกไปวนมาในโรงพยาบาล พระอาทิตย์กำลังจะขึ้นแล้ว ไฟอัตโนมัติบางส่วนในโรงพยาบาลเลยดับ แต่แสงจากขอบฟ้ามันยังไม่สว่างพอไง มันเลยออกมาสลัวๆหน่อย มิน่า คนถึงได้กลัวผีในโรงพยาบาล

 

“โรงพยาบาลนี่ดู ...น่ากลัวเนอะ”

ผมชวนเขาคุย เพื่อขจัดความเงียบกับบรรยากาศวังเวง

 

“เพราะนายไม่คุ้นเองหรือเปล่า เลยรู้สึกว่าน่ากลัว เหมือนตอนนั้นที่เดินไปส่งที่หอไง”

ตะวันหันมายิ้มให้ผม แต่รอยยิ้มบนหน้าเขาก็ไม่ได้ทำให้ความเหนื่อยบนใบหน้าดูจางลงไป

 

 

ผมส่ายหน้า “ไม่หรอกหมอ ไม่เกี่ยวหรอก มันดูน่ากลัวจริงๆ ดูสิ มันมีมุมที่มืดๆเยอะไปหมดเลยเนี่ย นี่ขนาดใกล้สว่างแล้วนะ ยังดูน่ากลัวเลย”

 

“นั่นแหละ เพราะนายไม่ชินมากกว่า”

เขาหันมายักไหล่ใส่ “ลองคิดนะหมอก ถ้าเป็นที่บ้านนาย ตอนดึกๆนายตื่นมาฉี่ นายกลัวผีไหมล่ะ?”

 

ผมลองนึกก่อนตอบ “ก็ไม่อ่ะหมอ” พลางส่ายหน้า

 

“อ้าวทำไมล่ะ มันก็มืดๆเหมือนกันไม่ใช่เหรอ? กลางดึก”

“ก็นั่นที่บ้านผมไงหมอ” ไอ้ตอนตอบนี่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตัวเองหมายความตามนั้นไหม มันเหมือนตอบไปโดยอัตโนมัติมากกว่า แต่ผมไม่กลัวความมืดในบ้านจริงๆ

 

ตะวันพยักหน้า

“ก็ถูกนะ เพราะมันเป็นบ้านนาย นายชินกับความมืด มุมต่างๆในบ้าน มันเลยดูไม่น่ากลัว แต่ที่นี่มันเป็นโรงพยาบาล เป็นที่ที่นายไม่คุ้น ในความมืดมีอะไรก็ไม่รู้ นายก็เลยรู้สึกกลัวๆไง”

 

“ความกลัวมันคือจินตนาการแหละหมอก” เขาชะงักเท้าหนึ่งจังหวะ หันมาสบตาผม “พอมันมืด พอเรามองไม่เห็น ความคิดเราก็จะจินตนาการในสิ่งที่เราเอาไปผูกกับความมืด ทั้งๆที่ใต้ความมืดมันไม่มีอะไรเลย แต่เรากลัวเพราะจินตนาการมันจัดการน่ะ”

 

“อ๋อ... เหรอ?” ผมพยักหน้าตามไปก่อน “งั้นหมอไม่กลัวผีในโรงพยาบาลเหรอ?”

ตะวันส่ายหน้า “ไม่กลัวหรอก เราไม่กลัวผีในโรงพยาบาล เราชินกับโรงพยาบาลทุกซอกทุกมุมแล้ว แล้วถึงมีผีจริงๆ เราว่าเราก็ไม่กลัวหรอก”

 

“อ้าว ทำไมอ่ะหมอ?” ผมแอบ สงสัยว่าในคณะแพทย์เขาสอนให้ไม่กลัวผีด้วยมั้ง

“อ้าว ผีในโรงพยาบาล ก็น่าจะเป็นผีคนป่วย ยังไงเขาก็ไม่หลอกหมอไง” ตะวันตันตอบแบบติดตลกเสียนี่

 

“โอ้ยยย นี่เหตุผลประเภทไหนของหมอเนี่ย?” ผมขำ นี่เขาปล่อยมุกใช่ไหม

“เหตุผลประเภทเรานี่แหละ ถ้าเราเชื่อแบบนี้ ผีก็จะเชื่อเราตามนี้ อย่าเถียงสิ นี่หมอนะ”

 

“โอเคๆ หมองั้นผมไม่เถียงก็ได้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

 

เราสองคนเดินมาถึงที่ร้านสะดวกซื้อพอดี ผมเห็นเขาคว้าแก้วใหญ่ไปกดน้ำแข็งแล้วตรงที่ที่ตู้น้ำ กดกาแฟมาครึ่งแก้ว แล้วกดโอวัลตินผสมลงไปอีกครึ่งแก้ว “เราชอบแบบนี้อ่ะ มันมีกลิ่นโอวัลตินด้วย”

 

ผมพยักหน้า “ผมก็ชอบเหมือนกันหมอ แต่แปลกใจที่หมอกินกาแฟในเซเว่นได้ด้วย ผมนึกว่าพวกหมอเขาจะกินแต่กาแฟหรูๆเสียอีก”

 

ตะวันฟังผมแล้วยิ้มขำ “รู้อะไรไหม กาแฟเซเว่นเนี่ย เพื่อนรักของหมอเลยนะ คาเฟอีนแรงสุด วันไหนอยากได้ความสดชื่น ต้อนการตื่นสุดๆ เราก็ต้องกินกาแฟเซเว่นเนี่ยแหละ มันดีดสุดแล้วจริงๆ”

 

“ของดีที่สุด เราว่าไม่มีจริงหรอก”

เขาเดินมาหยุดข้างๆผมที่กำลังไล่สายตาดูทิวแถวของกล่องนมที่อยู่ในตู้แช่ มองหานมที่ไม่มีน้ำตาล

 

“เราว่ามีแต่ของที่เหมาะสุดในเวลานั้นๆมากกว่า สำหรับเช้าวันนี้ที่เวรเยินมาทั้งคืน สิ่งที่เหมาะสุดสำหรับเราก็คือแก้วนี้แหละ” แล้วเขาก็แอบจิบไปสองอึก ก่อนกดเติมกาแฟไปใหม่

 

เออ ... แปลกตาดี

 

ผมนึกว่าจะมีแค่พวกผมมอเตอร์ไซค์รับจ้างหาเช้ากินค่ำ ที่พึ่งพากาแฟเซเว่น แอบโกงกดเติมอีก ที่ไหนได้ คนเป็นหมอเขาก็ทำเหมือนกัน พอได้มารู้จักตะวันมากขึ้นแล้ว ผมได้รู้จักหมอในมุมอื่นๆมากขึ้นแฮะ รู้สึกว่าเขาก็เป็นคนธรรมดาๆเหมือนกับผมนี่แหละ

 

อ่ะ ...เจอแล้ว นมไม่มีน้ำตาล

 

ผมเปิดตู้แช่หยิบนมจืดชนิดไม่มีน้ำตาล มาสองขวด เช็คดูที่ฉลากอีกรอบว่าไม่มีน้ำตาลจริงๆ ดูวันหมดอายุ แล้วเดินไปสั่งซาละเปาไส้ถั่วดำให้เขาอุ่นให้สองลูก กินแค่นี้ก่อนก็แล้วกันสำหรับลุงกับอา เดี๋ยวพอได้คิวแล้วค่อยไปกินข้าวในโรงอาหาร

 

“นี่นายซื้อให้ลุงกับอาเหรอ? แล้วนายอ่ะ ไม่กินหรือไง?”

ตะวันชี้มาทางถุงใส่ของกินของผม พลางดูดกาแฟอีกพรืดใหญ่

 

“หึ ไม่อ่ะหมอ ยังไม่หิว เดี๋ยวเอาคิวตรวจแล้วค่อยไปกินที่โรงอาหารทีเดียวเลย” พูดจบผมก็หันไปมองหน้าเขายิ้มๆ “ถ้าได้ตรวจไวจริงๆ ตามที่เขียนไว้ในใบนัดน่ะนะ”

 

ตะวันพยักหน้า ดูดกาแฟอีกพรืดไม่พูดอะไร

 

“เมื่อก่อนนี้ ผมเคยหงุดหงิดนะ เวลาพาลุงกับอามาตรวจแล้วต้องรอหมอนานๆ บางทีในใบนัดเขียนว่าเริ่มตรวจตอนแปดโมง แต่กว่าหมอจะลงมาตรวจก็เก้าโมงกว่าๆบ้าง คิวรวนไปหมดเลย”

 

“นายบอกว่าเมื่อก่อน .. แล้วตอนนี้ล่ะ? ไม่หงุดหงิดแล้วหรือไง?”

ตะวันถาม

 

ผมหันไปมองหน้าเขา ตาที่โรยๆเมื่อกี้นี้ดูใสขึ้น (คงเพราะได้กาแฟไปนั่นล่ะ) แต่หัวยังยุ่งๆอยู่ มันมีความรู้สึกแปลกๆเกิดขึ้น มือผมขยับเองเหมือนจะอยากจะยกตัวเองไปลูบหัวเขา แต่ผมทำได้แค่คิดเฉยๆ ห้ามมือเอาไว้ไม่ให้ขยับ สิ่งที่ทำมากที่สุดคือยิ้มและตอบ

 

“ก็ผมเห็นหมอยุ่งขนาดนี้ ตีสี่ตีห้าก็ยังไม่นอน หัวยุ่งวิ่งไปวิ่งมา ผมไม่กล้าหงุดหงิดแล้วอ่ะ บางทีหมอยังไม่ลงมาตรวจคนไข้ เพราะคงช่วยชีวิตคนไข้อยู่ที่อื่นก่อน พวกผมน่ะรอได้ก็รอไปก่อน หมอมันน้อย ใช้สอยถนอมๆหน่อย”

 

พูดจบผมก็ผิวปากหวือ

“จริงป่ะ? ยิ่งตัวเล็กๆอยู่ อดนอนแบบนี้ น่าสงสาร โกรธไม่ลงหรอก”

 

เขายิ้มให้ผม “ขอบคุณนะ ที่เข้าใจหมอ”

ผมพยักหน้า “ขอบคุณเหมือนกัน ที่ทำให้ผมเข้าใจ”

 

ณ. เวลานั้น ที่สายตาเราสองคนสบกัน มันเหมือนเวลาหยุดเดินสั้นๆ ผมไม่รับรู้ถึงคนอื่นๆที่เดินไปมาในร้าน เหมือนตรงหน้าผม มีแค่ตาคู่นั้นของหมอตะวันเท่านั้น เหมือนเสียงทั้งโลกดับไปเหลือเพียงเสียงของเราสองคนที่คุยกัน

 

“ห้าสิบแปดบาทค่ะ”

จนกระทั่งน้องพนักงานของร้านพูดซ้ำอีกครั้งหนึ่ง เราสองคนถึงได้หลุดจากภวังค์สั้นๆนั้น

 

“เอ่อ... ครับ ครับ”

ผมควักตังค์ยื่นให้พนักงาน แล้วรับเงินทอน

 

“เอ่อแล้ว ... นี่ลุงนายตรวจตอนกี่โมงอ่ะ นัดหมออะไรไว้?”

ตะวันถาม แทนคำตอบผมยื่นใบนัดให้ตะวันดู เขาหยิบไปกวาดตาปราดเดียว แล้วหันมา

 

“เดี๋ยวเราจัดการให้นะ จะได้เสร็จไวๆ นายไปรอที่เดิมนะ เดี๋ยวเราตามไป”

แล้วเขาก็ออกวิ่งไปอีกทาง

 

………..

 

“อ้าว ไอ้หมอก แล้วหมอคนตะกี้นี้ล่ะ ไปไหนแล้ว?”

ลุงถามตอนผมยื่นถุงใส่ซาละเปากับนมให้

 

“เออ เพิ่งรู้ว่าเอ็งมีเพื่อนเป็นหมอ หน้าตาหน่วยก้านดีเสียด้วย”

ยังไม่ทันจะได้อ้าปากตอบอะไรลุง อาก็พูดแทรกเสียก่อน

 

“เขาบอกว่าจะช่วยจัดการเรื่องคิวนัดตรวจให้ ให้รอตรงนี้แหละ เดี๋ยวเขามา”

ผมหย่อนตัวลงนั่งข้างๆลุงกับอา ตามองคนเดินผ่านไปผ่านมา

 

“เออนะ แทนที่จะเอาเวลาไปนอนพักผ่อน อยู่เวรมาทั้งคืนไม่ได้นอน ยังจะมาช่วยเรื่องคิวตรวจให้อีก ไอ้หมอเอ้ย” พอเผลอนึกไปถึงเขา ปากก็เลยเผลอบ่นเรื่องตะวันออกไปด้วย ก็มันอดที่จะห่วงไม่ได้จริงๆนี่หว่า

 

“หมอก ... เอ็งเป็นหรือเปล่าเนี่ย? บ่นอะไร?”

อาหันมามองผม ทำหน้าชอบกล

 

“ก็หมออ่ะ เมื่อคืนอยู่เวร ไม่ได้นอนทั้งคืน ตาโรย หัวยุ่ง เขาเพิ่งจะว่างเอง แทนที่จะไปแอบนอนสักแป๊ปนึง ดันมาอาสาช่วยเอาใบนัดไปจัดการเรื่องคิวให้อีก” ผมส่ายหัว “ไม่ดูแลตัวเองเล้ย ไอ้หมอนี่น้าาา”

 

“เออ ว่าแต่ เอ็งไปรู้จักเขาได้ไงน่ะ?” ลุงถาม

 

“ก็ตะวันเขาเป็นผู้โดยสารคนที่หมอกเคยเล่าให้ฟังไง ที่บอกว่าแฟนเขาเป็นผู้ชายอ่ะ”

“อ๋อ” ลุงกับอาประสานเสียงพยักหน้าพร้อมๆกัน

 

“แล้วเอ็งกับเขาไปเป็นเพื่อนกันได้ไงวะนั่น”

 

“โอ้ย มันหลายเรื่องอ่ะลุง ไว้เล่าทีหลังแล้วกัน”

ผมหันหน้าหนี ตอนนี้ยังไม่มีอารมณ์จะเล่าอะไรทั้งนั้น ตาผมจับจ้องไปทางทิศที่ตะวันวิ่งหายไปเมื่อกี้ เมื่อไหร่เขาจะกลับมา

 

“นี่ไม่รู้วิ่งไปถึงไหน ที่ว่าจะไปจัดการเรื่องคิวให้ หกล้มหกลุกไปหรือเปล่าก็ไม่รู้ ยิ่งดูเบลอๆง่วงๆอยู่ด้วย”

 

เอ ... หรือผมวิ่งตามไปดูเขาดีไหมนะ ไม่น่าปล่อยเขาวิ่งไปคนเดียวเลยว่ะ

เผื่อหกล้มหกลุกไปขึ้นมาใครจะช่วยประคอง

 

“หมอก” ลุงสะกิดไหล่ผม “นี่เอ็ง ... เป็นไรไหมเนี่ย? ใจลอยจริง”

ผมหันไปเหล่ตาใส่ลุง “อ่ะ นี่ก็อีกคน ถามเหมือนอาถามเลย ทำไมเนี่ย มีอะไรเล่า?”

 

“เอ็งทำตัวแปลกๆน่ะสิ” ลุงบอก

“แปลกยังไงเล่าลุง” ผมสงสัย ลุงกับอานี่ยังไงกันนะ เซ้าซี้แปลกจริง คนยิ่งเป็นห่วงไอ้หมอตัวเล็กนั่นอยู่

“ก็เอ็งทำตัวเหมือนลุง .... ตอนที่ลุงเริ่มชอบอาเอ็งใหม่ๆน่ะสิ”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น