ตะวัน
“หมอตะวันๆ ถามหน่อยดิ หมอนาเดียเขาเป็นไรอ่ะ? สองวันนี้เห็นซึมๆ ไม่ค่อยคุยเลย”
บาริสต้าหนุ่มคนเดิม ถามตอนผมเดินไปหยิบกาแฟ
สงสัยทำไมไม่ถามเขาเองเล่า ทำไมต้องมาถามผมด้วย มองไปด้านหลัง นาเดียนั่งก้มหน้าอยู่กับโต๊ะ เออ มันก็ดูซึมๆลงจริงแหละ ก็เพิ่งสองวันหลังจากที่อกหักนี่หว่า จะให้ร่าเริงก็คงไม่ใช่เรื่อง
“เขาอกหักน่ะ”
ผมตอบไปสั้นๆ ไม่ใช่ว่าหวงเรื่องส่วนตัวของเพื่อนหรอกนะ ขี้เกียจพูด ก็อย่างที่เคยเล่า เช้าๆ แบบนี้ บางทีสมองผมยังไม่ตื่น สื่อสารได้แค่ประโยคสั้นๆ
“อ๋อ ... อกหักเหรอ?”
คุณบาริสต้าพยักหน้า ผมแอบเห็นป้ายชื่อเขา “Mayom” เออ แปลกดี ผู้ชายชื่อมะยม
เดี๋ยวนะ ... ปกติวันอื่นไม่เคยเห็นป้ายชื่อมาก่อนเลยนี่หว่า? ทำไมจู่ๆมันโผล่ออกมาได้
“นี่คุณ ทำไมวันนี้มีติดป้ายชื่อ ปกติไม่เคยเห็น”
“อ๋อ นโยบายใหม่ของบริษัทครับ ต้องการให้คุณลูกค้าเห็นชื่อบาริสต้า จะได้จำได้ว่าคนไหนเป็นบาริสต้าคนโปรดของคุณลูกค้าครับ เจอกันประจำจะได้รู้จักชื่อกันไว้ไง”
“นี่ อ่านว่ามะยมเหรอครับ?”
“ใช่ครับหมอ ผมชื่อ มะยม เออ นี่หมอ รอแป๊ป” เขาหันไปหยิบคุกกี้นิ่มข้าวโอ๊ตกับลูกเกด จัดใส่จาน ยื่นให้ผม “ฝากให้หมอนาเดียเขาหน่อยสิ ผมเลี้ยงปลอบใจที่เขาอกหัก”
ผมหรี่ตาใส่เขา
“แหน่ะ แล้วทำไมไม่เอาไปให้เขาเอง”
“โอ้ยยย ไม่ได้หรอกหมอ นี่เดี๋ยวผมต้องรับออเดอร์ชงกาแฟให้ลูกค้าคนอื่นต่อแล้วเนี่ย งานยุ่ง”
ผมหันไปมองรอบร้าน ตอนนี้มีแต่ผมที่ยืนตรงเคาน์เตอร์ ไม่มีใครต่อคิวรอสั่ง หรือรับกาแฟ ลูกค้าคนอื่นๆอยู่ที่โต๊ะของตัวเอง
“ไม่เนียนเลยนะคุณมะยม” ผมหัวเราะพลางทำเสียงเจ้าเล่ห์ใส่ รู้ทันหรอกนะ “นี่คุณ ชอบก็จีบสิ ไม่เห็นต้องผ่านพ่อสื่อแบบผมเลย โตๆกันแล้วนะ ไม่ใช่เด็กมัธยมเปรี้ยวอมหวาน ตอนกำลังอกหักเนี่ย เขาบอกว่าขโมยหัวใจง่ายนะ ไม่ลองเหรอ?”
เขาส่ายหน้า พลางยื่นคุกกี้จานเดิมส่งให้ผม
“ไม่เอาอ่ะหมอ ผมสุภาพบุรูษพอ ไม่ฉวยโอกาส”
“โอเค ตามนั้น แล้วอย่ามาบ่นทีหลังแล้วกันว่าพลาดโอกาส”
ผมรับคุกกี้มา จริงๆก็ไม่ได้หมายความตามที่พูดหรอก คนเราถ้าจะรักจะชอบ แล้วคิดจะจีบ โอกาสไหนๆมันก็จีบได้ทั้งนั้นแหละ ไม่จำเป็นต้องรอตอนเขาเพิ่งอกหักหมาดๆหรอก
ผมวางจานคุกกี้ลงบนโต๊ะ พร้อมแก้วกาแฟลาเต้เพิ่มหวานที่เพื่อนรักฝากสั่ง
“อ่ะ กาแฟมึง แล้วก็นี่ คุกกี้นิ่ม คุณมะยมเขาเลี้ยงที่มึงอกหัก กินซะ”
นาเดียเงยหน้าขึ้นจากมือถือ
“ไหน ใครมะยม?”
“ก็คุณบาริสต้าไงเล่า เขาชื่อมะยม”
“อ้าว เหรอ ไม่เคยรู้เลยว่ะ”
นาเดียหยิบกาแฟไปซดพรวดเดียว หายไปครึ่งแก้ว อีนี่ หิวน้ำมาจากไหน กินกาแฟยังกะน้ำเปล่า ผมหยิบกาแฟแก้วตัวเองมาจิบไปอึกหนึ่ง ร้อนเป็นบ้า แก้วนาเดียก็น่าจะประมาณเดียวกัน มันกินเร็วขนาดนั้นได้ไงวะ
“เราก็ไม่รู้เหมือนกัน เพิ่งเห็นป้ายชื่อเขาวันนี้ เขาบอกว่า บริษัทมีนโยบายให้ติดป้ายชื่อ” ผมจิบกาแฟต่อ สังเกตว่านาเดีย กลับไปสนใจอะไรสักอย่างในมือถืออีกรอบ “นี่แกดูอะไรวะ? สนใจฉันหน่อยสิแก”
แทนคำตอบ นาเดียยื่นมือถือมาให้ผมดู
“อะไร?? หือ... วินหล่อบอกต่อด้วย”
เฟซบุ๊คแฟนเพจที่โชว์ในมือถือนาเดีย มีรูปหนุ่มวินมอเตอร์ไซค์เต็มไปหมด บางรูปไกลๆ เหมือนแอบถ่าย บางรูปใกล้ๆ บางรูปหนุ่มวินก็ยืนให้ถ่ายดีๆ และบางรูปก็เป็นรูปเซลฟี่ ผมยื่นมือถือคืนให้นาเดีย
“แกดูเพจอะไรเนี่ย?”
“เอ๋า ไม่เห็นหรือไงแก เพจ วินหล่อบอกต่อด้วยไง มันรวมหนุ่มวินมอเตอร์ไซค์หล่อๆทั่วกรุง ให้คนเข้าไปดูแหละแก คนไหนหล่อนี่มีแฟนคลับเลยนะเว้ยมึง”
“เออ อันนั้นน่ะเห็นแล้ว แต่สงสัยว่ามึงดูทำไม”
“มึงว่า คนในรูปนี้คุ้นๆไหมล่ะ?” นาเดียยื่นมือถือมาให้ผมดูอีกรอบ คราวนี้เป็นรูปที่แอดมินเพจโพสท์เอง ใต้ภาพเป็นแคปชั่นว่า “หนุ่มวินซอยพหลฯกลางๆ (แอดมินขอไม่บอกนะคะ จะเก็บไว้กินเอง อิอิ) สอบถามจากแถวนั้นชื่อว่า น้องหมอก”
และในรูป ก็คือ นายหมอก คุณวินประจำปากซอยคอนโดพี่ปอ
“อ้าว ... นี่มันนายหมอกนี่นา” ผมหันไปคืนมือถือให้นาเดีย
“เออ ก็ใช่น่ะสิ นี่น้องเขาหล่อดีเนอะ เท่ด้วย ตัวสูงเชียว”
ผมขมวดคิ้วใส่เพื่อนรัก
“เดี๋ยวนะนาเดีย วันนั้นแกเมาไม่ใช่เหรอ? ทำไมจำหน้าหมอกเขาได้ ฉันจำได้ว่าแกหลับคอพับคออ่อนให้ฉันกับหมอกลากเกือบกิโลกลับหอ แล้วไหงจำหน้าเขาได้วะ? ”
นาเดียยักไหล่ ยิ้มเจ้าเล่ห์ “โอ้ย ก็เมาแหละแก แต่ไม่ได้หลับ แหม จู่ๆมีคนหล่อขนาดนั้นโผล่มาพยุงตัวแนบชิดแบบนั้น ถ้าฉันเกิดตื่นเดินได้ขึ้นมา ก็พลาดโอกาสน่ะสิแก๊”
ท้ายประโยคนอกจากจะเสียงสูงแล้วนาเดียยังหัวเราะต่อได้อีกต่างหาก ทำเอาผมกลอกตา ไหนกันวะ นาเดียที่ซึมเศร้าเพราะอกหัก ตกลงไอ้ที่ก้มหน้าก้มตากับมือถือนี่คือ ส่องผู้ชาย ?
“นี่แก” ยังไม่พอนะ นางยังไม่จบ
“แกรู้ไหมว่าคุณหมอกเขามีแฟนหรือเปล่าอ่ะ?”
“แกจะไปอยากรู้ทำไมวะ?” ผมถามกลับ
“เอ๋า ก็เผื่อน้องเขาว่าง ฉันจะได้ไปร้องเพลงถามเขาไง มีแฟนหรือยังจ๊ะ อ๊ะๆๆๆ เป็นแฟนฉันเอาม๊ะ”
ไม่ใช่แค่ร้องเปล่าๆนะ นาเดียนางเล่นหูเล่นตา ทำท่าเต้นประกอบเพลงของคุณบุ๋ม ตรีรัก รักการดีด้วย
“แก...” ผมหันไปมองเพื่อนแบบสมเพช “หมอกเขาเด็กกว่าพวกเรานะเว้ย บางทีเขาอาจจะเกิดไม่ทันม้อดดี้ตรีรักก็ได้ เดี๋ยวเขาจะงงเอาได้ว่า อีตุ๊ดยักษ์นี่มาร้องเพลงบ้าบออะไร ไม่รู้จัก”
นาเดียถลึงตาใส่ผม “แหม ตุ๊ดยักษ์ ใช่สิ แกมันรับตัวเล็ก น่ารัก อีตุ๊ดแคระ จะบอกให้นะ วันนั้นที่แกลากฉันไปน่ะ เมื่อยไหล่มาก ด้านนึงก็สูงจนขาฉันเกือบจะลอย อีกด้านก็เตี้ยซะแขนฉันเกือบจะเลียดพื้น”
“เออ ทีหลังฉันจะไม่ไปช่วยเวลาแกเมาอีก”
“โอ๋ๆๆๆ ไม่เอาน่าาาา ล้อเล่น” นาเดียทำเป็นมาลูบหลังลูบไหล่ แล้วไพล่มาลูบหัวผม อ้าว .. ลามปามนะเนี่ยไอ้เพื่อนคนนี้ “อ่ะๆ เราแบ่งคุกกี้ให้กินนะ ดีกันนะ ดีกันนะเด็กน้อยนะ”
ผมหัวเราะพลางส่ายหน้า “ไม่เอาแก จะบ้าเหรอ คุณมะยมเขาให้แกเว้ย ไม่ได้ให้เราสองคนเสียหน่อย กินซะ เดี๋ยวเขาเสียน้ำใจ” พูดจบผมก็เหลียวกลับไปมองคุณบาริสต้าที่ก้มหน้าก้มตาชงกาแฟให้ลูกค้าอยู่ พร้อมกับเสียงเครื่องปั่นเมล็ดกาแฟดังครืดคราดตลอดเวลา
“นาเดีย ... แกไม่คิดบ้างเหรอวะ ว่าเขาจีบแกอ่ะ?”
ผมถามเสียงค่อย ทั้งๆที่ไม่จำเป็นเลย
“ไม่อ่ะ เขาเป็นพ่อค้า เขาก็ต้องดีกับทุกคนป่ะ?”
นาเดียหยิบคุกกี้มากัดไปหนึ่งคำ “เออ อร่อยว่ะ ไว้วันหลังกินอีก”
“เหรอ? แกว่าเขาดีกับทุกคนเหรอ? ฉันว่าไม่นะ เขาดู ... “ ผมเหลือบตากลับไปทางคุณบาริสต้าอีกที ก่อนจะหันกลับมามามองเพื่อนรักที่นั่งตรงหน้า “เขาดูใส่ใจแกเป็นพิเศษนะเว้ย”
นาเดียกัดคุกกี้อีกคำ “แกคิดมากไปหรือเปล่าตะวัน นี่ฉันเข้าใจนะ ตอนนี้แกอินเลิฟ อะไรๆก็สีชมพูไปหมด โลกนี้มันก็เลยดูสวย หอมหวาน ความรักมันก็เลยลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ แต่เชื่อฉันเหอะ เขาไม่ได้จีบฉันหรอกตะวัน ฉันมั่นใจ” พูดจบนางก็ส่งคุกกี้คำสุดท้ายเข้าปาก ... กินเก่งจริงๆอีนี่ สามคำหมดชิ้น
“อย่าแน่ใจเสมอไปนะนาเดีย บางทีแกอาจจะคิดผิดก็ได้”
ผมหยิบกาแฟมาจิบอึกสุดท้าย
เขายักไหล่ “โอเค ถ้าเขาชอบฉัน แล้วอยากจีบ เขาก็ควรแสดงอะไรให้มันชัดเจนกว่านี้ ไม่ใช่แสดงออกในระดับที่พอให้สงสัย แต่ไม่ชัดเจน แบบนี้ฉันไม่ชอบ”
“เอ๋า ก็เผื่อเขาเขินป่ะวะแก ทุกคนไม่ได้หน้าด้านแบบเสียที่ไหน”
ได้โอกาสทำแต้ม ผมกัดนาเดียกลับทันที คิดว่าเช้านี้โดนนางกัดไปหลายแผล ถ้าไม่ยอมกัดคืนบ้างนางจะนึกว่าผมไม่สู้
“งั้นถามกลับนะตะวัน” นาเดียยกแก้วกาแฟตัวเองขึ้นซดอีกที หมดแก้ว “กับคนที่เขาไม่กล้าจะแสดงให้แกรู้ว่าเขารักแกน่ะ แกจะเลือกคนแบบนั้นมาเป็นคู่ชีวิตเหรอ?” แล้วนางก็ทิ้งตัวกลับลงไปนั่งพิงพนักเก้าอี้ กอดยก แล้วยักคิ้วใส่ผมอย่างคนเหนือกว่า
“ถ้ารักแล้วไม่กล้าพูด ไม่กล้าทำให้ชัดเจน ปล่อยให้เราเป็นฝ่ายมานั่งสงสัย ปรึกษาคนนู้นคนนี้วุ่นวายว่า เขาชอบเราหรือเปล่า แบบนี้เรียกว่าไม่มีความกล้าพอนะ แล้วกับคนแบบนี้ที่ไม่กล้าแม้กระทั่งจะช่วยให้แกหลุดจากความสงสัย ...”
นาเดียคลายมือที่กอดอกออก มาดีดปลายจมูกผมทีหนึ่ง
“แกจะให้เขาเข้ามาเป็นคู่ชีวิตแกเหรอยะ? คิดสิคิด ตะวัน”
“โอ้ยยย เจ็บนะเว้ยอีนี่ ดีดจังจมูกฉันเนี่ย?”
ผมคลำปลายจมูกตัวเองป้อยๆ
“ก็อยากจมูกโด่งเอง หมั่นไส้”
นางแลบลิ้นใส่ “ไปได้แล้วแก จะเจ็ดโมงแล้ว รีบไปราวน์วอร์ดกันเถอะ”
ไม่ต้องรอผมพูดอะไร นาเดียก็ลุกขึ้นเดินออกจากร้าน ผมรีบหยิบกระเป๋าเดินตาม เหลียวหลังไปส่งยิ้มขอบคุณคุณบาริสต้าแว่บหนึ่งก่อนพ้นประตู เลยได้เห็นสายตาเขาที่มองตามนาเดียไป
เออ... มันก็ออกจะชัดเสียขนาดนี้ว่าเขาแอบชอบนาเดีย ทำไมไม่ทำอะไรสักอย่างนะ หรือเขาคิดว่าที่เขาทำอยู่น่ะมันชัดเจนแล้วหรือเปล่า เขาเลยไม่ได้ทำอะไรเพิ่มเติม แต่มาตรฐานของคำว่าชัดเจนของแต่ละคนมันต่างกันไง อย่างผมนี่ ถ้าเขาทำแค่นี้ผมคิดว่ามันชัดเจนมากแล้วนะ แต่มันดันไม่พอสำหรับมาตรฐานนาเดียน่ะสิ
นาเดียพูดถึงความกล้า ...
มันก็น่าคิดต่อนะ นาเดียบอกว่า ถ้าเขาไม่กล้ามากพอจะแสดงความชัดเจนให้นาเดียเห็น ก็ไม่น่าจะเลือกมาเป็นคู่ชีวิต แต่ผมก็มองว่า ในอีกมุมหนึ่ง ฝ่ายเราก็ควรจะแสดงความกล้าด้วยไหม? ถ้าเราสัมผัสได้ว่าเขามีใจ และเราก็รู้สึกมีใจให้เขาเหมือนกัน จะให้เราเป็นฝ่ายนั่งรอให้เขาแสดงความกล้าอย่างเดียว มันก็ไม่แฟร์นะ
อันที่จริง ความรัก มันอาจจะเกิดจากความกล้าคนละครึ่งทางก็ได้
เรารู้ว่าเขาชอบเรา เขารู้ว่าเราก็มีใจ ต่างคนต่างยอมก้าวออกจากจุด comfort zone ของตัวเองคนละก้าว เราก็จะใกล้กันมากขึ้น ผมมองว่าถ้าคนสองคนที่ต่างคนต่างมีใจ มัวแต่รอให้อีกฝ่ายกล้าแสดงออก โดยที่ตัวเองก็ไม่ได้ออกแรงช่วยอะไร แบบนี้ความสัมพันธ์มันก็เกิดยากนะ
แต่มองอีกแง่ ... ถ้าเรากล้าเดินออกจากจุดนั้นมารอเขา แล้วเขาไม่เดินออกมาเจอเราล่ะ ... ยิ่งคิดหาคำตอบ ยิ่งเจอแต่คำถามที่ผุดมาเพิ่มขึ้นแฮะ
ผมว่าความรัก มันเป็นเรื่องยากจริงๆ
…………….
“เหนื่อยไหมเช้านี้ อ่ะกินเยอะๆนะ”
พี่ปอพูดพลางตักผัดคะน้าหมูกรอบใส่จานข้าวผม
“ขอบคุณฮะพี่ปอ ไม่เหนื่อยมากหรอก สายของตะวันเต็มอ่ะ ไม่มีเคสรับใหม่เลย”
ถึงจะไม่ชอบผักคะน้า แต่ผมก็ยอมตักมันเข้าปาก ก็แหม พี่ปออุตส่าห์ตักมาให้นี่ จะให้บอกกับเขาได้ไงว่า ผักน่ะกินได้ แต่ไม่ชอบผักคะน้า
“แล้วพี่ปอล่ะครับ เป็นไงบ้าง ไหวไหม? เมื่อเช้าบ่นว่ารู้สึกป่วยๆนี่นา”
พี่ปอพยักหน้า “ก็พอไหวแหละ เมื่อเช้ายังไม่เท่าไหร่ แต่พอมานั่งทำงานในหน่วยฟัน มันเปิดแอร์ไง จมูกตัน น้ำมูกมาเลย ไข้ก็ขึ้นด้วย”
“อ้าว จริงดิฮะ”
อารามตกใจ ผมรีบยกมือขึ้นไปอังหน้าผากพี่ปอทันที จนลืมนึกไปเลยว่าที่นี่มันกลางโรงอาหารของโรงพยาบาล คนเดินผ่านไปมาเยอะแยะ แต่พี่ปอก็ไม่ได้ปัดป้องนะ ยอมให้ผมเอามือแตะหน้าผากวัดไข้อย่างว่าง่าย
“เออ ... ตัวร้อนจริงๆด้วย กินยาลดไข้ไปแล้วหรือยังฮะ”
“ยังหรอก เดี๋ยว่าจะกินหลังกินข้าวน่ะ แต่เบิกยามาแล้ว”
ผมพยักหน้า พลางหันไปเปิดกระเป๋าหยิบขิงผงสำเร็จรูปขึ้นมาหนึ่งกล่องวางให้เขา เมื่อเช้าพี่ปอบ่นว่ารู้สึกเหมือนจะเป็นหวัด พอผมมาถึงโรงพยาบาลก็รีบไปร้านสะดวกซื้อ แวะซื้อมาไว้เลย
“กินน้ำขิงนะครับ มันจะหายไว ตอนตะวันเด็กๆ เวลาป่วยทีไร ยายจะต้มน้ำขิงให้กินทุกที กินยังไม่ทันจะหมดหม้อ หวัดก็หายสนิท”
พี่ปอยิ้ม พลางส่ายหน้า “อะไรกันเรานี่ เป็นหมอเสียเปล่า ทำไมจะมาให้พี่กินน้ำขิงล่ะ ป่วยก็ต้องกินยาสิ ยาปัจจุบันมีเยอะแยะมากมาย ไม่ไหวเลยนะเรา นี่จบหมอจริงหรือเปล่าเนี่ย? ฮ่า ฮ่า”
อ้าว ...ทำไมอ่ะ
ก็เวลาผมป่วยทีไรกินน้ำขิงก็หายนี่นา
ทำไมพี่ปอไม่เชื่อผมล่ะ ซ้ำยังหัวเราะอีกต่างหาก
“ขอบคุณนะครับตะวัน แต่ไม่เอาล่ะ พี่ไม่ชอบน้ำขิง มัน.. เผ็ดๆอ่ะ”
พี่ปอทำหน้าหยึยๆ พลางหันมายิ้มโชว์ฟันสวยๆให้ผมดู อย่างน้อยมันก็พอเรียกกำลังใจผมที่แป้วไปเมื่อกี้นี้ได้บ้าง เขาเอื้อมมือมาแตะที่หลังมือผม
“พี่ไม่อยากกินยา ไม่อยากกินอะไรทั้งนั้นอ่ะ พี่อยากให้หมอส่วนตัวของพี่ดูแลพี่เวลาป่วยก็พอ ได้ไหมครับ?”
ผมแอบเขินนิดๆนะ ได้แต่ก้มหน้าซ่อนรอยยิ้ม
“ก็ได้ ... ฮะ”
“คืนนี้อาบน้ำให้พี่ด้วยนะ”
แล้วเขาก็แลบลิ้นใส่ผม
นั่นยิ้งทำให้ผมก้มหน้าลงมากกว่าเดิม โอเคล่ะ พวกคุณอาจจะคิดว่าผมบ้าบอ เขินอะไร ได้กันก็ได้กันไปแล้ว นอนห้องเดียวกันมาก็ตั้งนาน ยังจะเขินอะไรอีก แต่มันก็เขินจริงๆนี่หว่า
เคยเห็นกันและกันโป๊ เคยนอนด้วยกันแล้ว ไม่ได้แปลว่าจะมีภูมิต้านทานเรื่องชวนให้เขินแบบนี้เสียหน่อย
อย่าลืมนะ นี่แฟนคนแรกของผม
“เอ่อ ... แล้วพี่ปอจะกลับไปทำงานต่อเหรอครับเนี่ย? มีไข้แบบนี้ พักก่อนดีไหม?”
ผมทำเป็นชวนไปคุยเรื่องอื่นแก้เขิน ก็ได้แต่หวังว่าความแดงที่หน้ามันจะค่อยๆหายไป หรือไม่เขาก็จะไม่ทันได้สังเกตนะ
พี่ปอส่ายหน้า “ไม่ได้หรอกตะวัน คนไข้พี่นัดมาแล้ว ถ้าเลื่อนนัดก็จะไปกระทบคนไข้วันอื่นๆอีก แล้วทันตแพทย์คนอื่นๆก็นัดคนไข้มาแล้วด้วยเหมือนกัน นายน่าจะเข้าใจนี่ เวลานายป่วยนายยังมาทำงานเลย”
“แต่ เรื่องฟันมันรอกันได้นี่ครับ” ผมแย้ง
เขาพยักหน้า “ก็จริงนะ เอางี้ ถ้าพี่ไม่ไหวจริงๆ พี่จะลาแล้วกัน แต่ตอนนี้” เขาเอื้อมมือมาลูบหัวผมแผ่วเบา “พี่ไหว พี่โอเค ป่ะ กินข้าวกันเถอะ มีเวลาแป๊ปเดียว เดี๋ยวก็ต้องแยกย้ายกันไปทำงานแล้ว”
“ครับพี่ปอ”
………….
“ถามอีกทีนะ มีใครยอมแลกวันลอยกระทงได้บ้างอ่ะ เราอยู่เวรใช้คืนให้ 2 เท่าเลยก็ได้ ขอเหอะ”
ผมพยายามไม่สบตาเพื่อนตอนที่นางถามเรื่องนี้ วันนี้เป็นวันที่ตารางเวรเดือนพฤศจิกายนออก และวันที่ทุกคนหลีกเลี่ยงไม่ยอมอยู่เวรกันก็คือวันนั้นแหละ ... วันลอยกระทง มันเลยไปตกที่การจับสลาก ผลที่ได้ก็คือเพื่อนคนหนึ่งโดนไป แต่ก็ไม่วายนะ พยายามขอแลก
โธ่ ... ผมขอสักวันเถอะนะ
ผมอยากไปลอยกระทงกับพี่ปอนี่นา
ตั้งแต่เป็นนักศึกษาแพทย์ จบมาเป็นแพทย์ใช้ทุน จนตอนนี้เป็นแพทย์ประจำบ้าน ผมไม่เคยเกี่ยงเรื่องการอยู่เวรวันเทศกาลเลยนะ หยุดยาว สงกรานต์ปีใหม่ ถ้าไม่มีใครอยู่เวร นี่ผมเลย ยกมืออาสาอยู่ให้คนแรก ก็ผมมันโสดนี่นา วันหยุดที่ใครๆเขาอยากจะใช้เวลากับคนรักน่ะ ผมเลยมีเหลือเฟือ
แถมพ่อแม่อยู่กรุงเทพอยู่แล้ว ได้เจอหน้ากันบ่อยๆ อีกอย่างพ่อแม่ผม วันหยุดยาวแบบนี้ชอบหนีไปเที่ยวกันสองคน ทิ้งลูกเฝ้าเมืองกรุง ดังนั้นวันหยุดยาวสำหรับผมน่ะ ไม่มีอะไรพิเศษเลย หยุดไปก็เท่านั้นแหละ ผมนี่ขาประจำจองอยู่เวรยาววันหยุดเลย และวันลอยกระทง ผมก็อยู่เวรมาตลอดทุกปีนะ ... จนกระทั่งปีนี้
แหม .... ปีแรกของการมีแฟน
ใครๆก็อยากจะลอยกระทงกับแฟนไหม ?
สมัยก่อนเคยว่างคืนลอยกระทงหนึ่งครั้ง จบลงด้วยการถูกนาเดียลากไปเที่ยวงานวัดใกล้ๆมหาวิทยาลัย แล้วก็พลัดหลงกันสองคนกลางคลื่นมหาชน กระเป๋าสตางค์ก็หาย สุดท้ายต้องเดินกลับมหาวิทยาลัยเพราะไม่มีตังค์ขึ้นสองแถว หลังจากนั้นก็ไม่เคยไปงานลอยกระทงอีกเลย เรียกว่าประสบการณ์รอบนั้นทำผมเข็ดมาก
แต่ปีนี้มันต่างไปไง ...
มันเป็นปีแรกที่ผมมี “แฟน”
ผมอยากไปลอยกระทงกับพี่ปอ
ที่จริงก็ยังไม่ได้ชวนพี่ปอนะ แต่เขาเป็นทันตแพทย์นี่นา เวรก็ไม่ต้องอยู่ ไม่เหมือนกับพวกผม ดังนั้นเขาน่าจะว่าง แล้วการไปลอยกระทงกับแฟน มันก็เป็นเรื่องปกติใช่ไหม? เหมือน by default ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าเมื่อเรามีแฟน เราก็จะต้องไปลอยกระทงกับแฟน .... ใช่ไหม? ผมเข้าใจถูกเนอะ
ดังนั้น ปีนี้ล่ะ จะเป็นปีแรก ที่ผมได้ลอยกระทงกับแฟน
…………….
“หวัดดีหมอก”
วันนี้ผมเลิกงานไม่ดึกมากนัก เคสในสายเป็นเคสเดิมๆ เลยไม่ต้องทำอะไรมาก ตอนส่งเวรเลยใช้เวลาไม่นาน เพื่อนคุ้นกับเคสหมดแล้ว ยังไม่ทันจะถึงทุ่มผมก็มาถึงปากซอยทางเข้าคอนโด เจอกับนายหมอก วินมอเตอร์ไซค์คนคุ้นเคย
“อ้าว หวัดดีหมอ วันนี้กลับเร็วนะเนี่ย”
ผมขมวดคิ้วใส่ “ไม่เรียกหมอดิ รู้จักชื่อแล้วทีหลังก็เรียกชื่อสิ”
“โอ้ย ชื่อหมอมันตั้งสองพยางค์ เรียกหมอเหมือนเดิมได้ป่ะ? ผมขี้เกียจพูดยาวๆ”
เขายิ้มทะเล้นใส่
เออ ... มุมนี้เวลาเขายิ้มก็หล่อดีอยู่จริงๆนั่นล่ะ มิน่าล่ะถึงได้ลงในเพจวินหล่อบอกต่อด้วย นี่ซ้อนท้ายเขามาก็ตั้งหลายที เพิ่งสังเกตเห็นนี่ล่ะ ว่านายหมอกก็เป็นหนุ่มหน้าตาดีอยู่นะ สูง รูปร่างสมส่วน ผิวแทนๆหน่อย เครื่องหน้าก็จัดได้ว่าคมอยู่ ยิ่งเวลายิ้มยิ่งดูดี
เออ จริงด้วย ! ผมควักมือถือขึ้นมาเปิดแฟนเพจพลางยื่นให้เขาดู
“หมอกดูดิ นายติดอยู่ในโผของ วินหล่อบอกต่อด้วย แหละ”
เขารับไปดู พลางขมวดคิ้ว
“อะไรอ่ะหมอ? วินหล่อบอกต่อด้วย”
“ก็ .. เป็นเพจเฟซบุ๊คอ่ะ เขาเอารูปของวินมอเตอร์ไซค์ที่หล่อๆทั่วกรุงเอามาลงไว้ในนี้มั้ง แล้วนี่ไง” ผมเลื่อนลงไปที่รูปหมอก กดขยายให้ดู “เนี่ย มีคนแอบถ่ายรูปนาย แล้วเอาไปลงในนั้น ... วินหล่อหน้าปากซอยพหลโยธินต้นๆ ขอไม่บอกเบาะแสนะคะ กลัวคนไปแย่ง” ผมอ่านแคปชั่นให้เขาฟัง
นายหมอกหัวเราะปากกว้าง “โอ้ยยย นี่คนเขาสนใจเรื่องอะไรสาระแบบนี้ด้วยเหรอ? มีวินหล่อแล้ว มีแท๊กซี่หล่อไหมหมอ?”
“เราว่ามีนะ แต่เรายังไม่เปิดเคย อ้าว... เดี๋ยวสิ ทำไมนายบอกว่าไร้สาระ”
ผมปิดมือถือยัดลงกระเป๋า
“เอ๋าหมอ ก็คนหล่อมันก็มีทั่วๆไปนั่นแหละ จะเป็นหมอ จะขายข้าวแกง จะขี่วิน จะขับแท๊กซี่ มันก็มีคนหล่อทั้งนั้นป่ะ? นี่หมอ คนกวาดขยะกทม.แถวใกล้ๆโรงพยาบาลหมอยังมีหล่อเลย ในเมื่อคนหล่อมีทั่วไป มันแปลกตรงไหน ทำไมต้องตั้งเป็นเพจด้วยเนี่ย?”
ผมคิดตาม ...
“เออ ไม่รู้สินะ คงเพราะหลายคนคิดว่า คนขี่วินไม่น่าจะหล่อมั้ง พอเจอหล่อก็เลยแบบ แปลกใจ แล้วก็อยากแชร์ให้คนอื่นเห็น”
“โธ่เอ้ยหมอ ทีหมอยังไม่เห็นเป็นตี๋เลย ปกติหลายๆคนก็คิดว่า คนเรียนหมอ เป็นหมอก็ต้องตี๋นี่นา นี่หมอยังไม่เหมือนที่คนทั่วไปคิดเลย ดังนั้น” แล้วนายหมอกก็เอามือมาเท้าใต้คาง ยักคิ้วใส่ผม “คนหล่อๆแบบผม ก็เป็นวินได้ ไม่เห็นจะแปลกเลยหมอ”
“โอ้ยยยย ไม่หลงตัวเองเลยเนอะ รู้ไหม คำว่าหล่อนะ เขามีไว้คิดในใจ แล้วให้คนอื่นพูด พูดเองระวังจะหมานะเว้ย บอกไว้ก่อน”
ผมกลอกตาใส่เขา
“เอ๋า คนหล่อ ยังไงมันก็หล่อหมอ นี่จะบอกให้ สมัยเรียนปวช.นี่นะ สาวพานิชย์เกือบทั้งวิทยาลัยนี่ หมายหัวผมทั้งนั้นเลยนะ ไม่อยากจะคุย” เขากอดอกคุยโว ..อ๋อ จบปวช.เหรอ? ก็เทียบเท่ามัธยม 6 ใช่ไหมนะ ไม่แน่ใจแฮะ ห่างมานาน นึกไม่ออก
“ว่าแต่ หมอชอบดูเหรอ? ไอ้ วินหล่อบอกต่อด้วย อะไรเนี่ย?” เขาถาม
“โอ้ย ไม่หรอก นาเดียมันเจอน่ะ แล้วเอามาให้ดู” ผมส่ายหัว
“อ๋อ เพื่อนหมอคนนั้นที่อกหักใช่ป่ะ? แล้วเป็นไงบ้างอ่ะ เขาหายเศร้ายัง?”
“อีกวันมันก็ร่าเริงแล้ว นาเดียมันเข้มแข็ง” ผมละส่วนที่ว่า ‘นายนั่นแหละคือเป้าหมายถัดไปของนาเดีย’ ไว้ในใจ กลัวพูดไปแล้วเขาจะตกใจ
“ไปคอนโดเดิมใช่ไหมหมอ? แป๊ปนะ กินยาก่อน”
แล้วเขาก็หันไปหยิบยาลดไข้สองเม็ดโยนเข้าปาก เปิดขวดน้ำกระดกตาม เขาดื่มอั้กๆ แป๊ปเดียวน้ำขวดละ 500 ซีซี หมด คนอะไรกินน้ำเก่งยังกับอูฐ
“อ้าว ไม่สบายเหรอ?” ผมถาม
“อือ ใช่หมอ มีไข้นิดนึง” เขาตอบ เออ เพิ่งสังเกตว่าเสียงหมอกขึ้นจมูกนิดๆด้วยนี่หว่า
ด้วยความเคยชิน ผมเผลอเอามือยื่นไปแตะหน้าผากเขาทันที แต่หมอกดูเหมือนจะไม่ได้ตกใจอะไรนะ ตรงกันข้าม เขาก้มตัวลงมาให้ผมแตะหน้าผากเขาได้ง่ายๆขึ้นด้วย
“เออ ...ตัวอุ่นๆจริงๆด้วยแฮะ”
“ใช่ไง เนี่ยส่งหมอเสร็จ ว่าจะไปร้านขายยาซื้อยาแก้อักเสบกินเสียหน่อย” แล้วเขาก็หยิบหมวกกันน้อคยื่นมาให้
“เฮ้ย ไม่ได้ อย่ากินยาแก้อักเสบสิ”
ผมรับหมวกกันน้อคมาจากเขา แต่ยังไม่ได้ใส่
“อ้าว ทำไมอ่ะหมอ? ผมเห็นเวลาไม่สบายเจ็บคอเขาก็กินยาแก้อักเสบกันทั้งนั้น”
“นี่นายเจ็บคอด้วยเหรอ?” ผมถาม หมอกพยักหน้า
“งั้นอ้าปากซิ ขอตรวจดูหน่อย”
ผมหยิบมือถือมาเปิดไฟฉาย นายหมอกก็ว่าง่าย อ้าปากกว้างเชียว แถมก้มตัวลงมาให้ผมตรวจแต่โดยดี อือ ... Mallumpati 1 เห็นชัดมาก คอแดงๆ บวมนิดเดียว ไม่มีหนองสักนิด ผมปิดไฟฉายเก็บมือถือลงกระเป๋าอีกรอบ
“นี่ นายเป็นหวัดจากไวรัส ไม่ต้องกินยาปฏิชีวนะหรอก”
เขาขมวดคิ้วใส่ “ยาอะไรนะหมอ ปฏิชีวิต? อะไรนะ?”
“ยาปฏิชีวนะ ยาฆ่าเชื้อ ก็ไอ้ยาแก้อักเสบที่นายเรียกนั่นแหละ”
“อ้าว ไม่ต้องกินเหรอหมอ หวัดมันติดเชื้อก็ต้องกินยาฆ่าเชื้อสิ”
น่าน ...ยังจะเถียงอีก นี่ตกลงใครหมอ ใครวินมอเตอร์ไซค์กัน ผมชักเริ่มสงสัย
แต่ก็เรื่องปกติแหละ ผมต่อสู้กับความเชื่อบ้าบอแบบนี้มานานมาก คนไทยนี่ เป็นหวัดเจ็บคอปุ๊ป ซื้อยาปฏิชีวนะกินปั๊ป เชื่อกันไปว่า ไม่กินจะไม่หาย ต้องกิน และต้องกินยาแรงๆ
เมื่อก่อนเริ่มต้นที่ amoxycillin ต่อมาเดี๋ยวนี้กิน amoxuclav กันหมดแล้ว ไม่ต้องให้หมอสั่ง ซื้อตามร้านขายยาได้เลย บางร้านไม่มีเภสัชประจำอีกต่างหาก ผมเคยเจอบางคนขนาดกิน cefdinir มาแล้วก่อนมาเจอหมอก็มีเหมือนกัน ต่อไปคงดื้อยากันหมด พอติดเชื้อคงทำได้แค่นั่งสวดภาวนาให้เชื้อมันตายไปเอง
“หวัดมันเกิดจากเชื้อไวรัส แต่ยาฆ่าเชื้อ มันเอาไว้ฆ่าแบคทีเรีย มันคนละชนิดกันเลยหมอก ไวรัสเนี่ย ภูมิคุ้มกันเราฆ่าเองได้อยู่แล้ว กินยาลดไข้ นอนพักเยอะๆ กินน้ำเยอะๆ แค่นี้ล่ะพอแล้ว”
“แต่ผมไอด้วยนะหมอ เสมหะเขียวเลยเนี่ย เขาบอกว่าปนหนอง ต้องกินยาฆ่าเชื้อ”
น่าน อีกเรื่อง เสมหะสีเขียวแปลว่าปนหนอง ทำไมไม่คิดว่าปนสังขยาบ้างล่ะพ่อคุณ
ผมกลอกตา “เขาน่ะใคร? ใช่หมอหรือเปล่า?”
นายหมอกส่ายหน้า “หึ เขาก็ เขาอ่ะหมอ เขาทั่วๆไป คนอื่นๆอ่ะ”
ผมถอนหายใจ “จำใหม่นะหมอก เวลาที่เราเป็นหวัดแล้วใกล้ๆจะหาย เสมหะจะลงคอ และเปลี่ยนเป็นสีเหลืองๆ เขียวๆ มันคือสัญญาณที่บอกว่ากำลังจะหายแล้ว ไม่ใช่แปลว่าปนหนองเว้ย ไม่ต้องกินหรอกไอ้ยาแก้อักเสบน่ะ”
“อ่ะจริงดิหมอ ไม่ต้องกินยาแก้อักเสบจริงๆใช่ป่ะ?”
สีหน้าเขายังมีแววสงสัยอยู่ ผมพยักหน้าอีกครั้ง
“เชื่อเราดิ เราเป็นหมอของนายนะเว้ย ถ้าเราบอกว่าไม่ต้องก็คือไม่ต้อง อย่าเชื่อคนอื่นที่ไม่ใช่หมอดิ”
“เออ ก็ดีเหมือนกัน ยาแก้อักเสบมันแพง ไม่อยากเสียตังค์” เขาเดินไปที่รถมอเตอร์ไซค์
“อ่ะ หมอปะ เดี๋ยวผมไปส่ง ยืนคุยกันนาน เดี๋ยวแฟนหมอรอ”
ผมใส่หมวกกันน้อค ล็อกสายแล้วเดินไปที่รถ
“เออ จริงด้วยเรามีนี่” ผมเปิดกระเป๋าค้นๆ หยิบขิงผงผสมน้ำกล่องที่ซื้อไว้ให้พี่ปอ ยื่นให้หมอก “ถ้าอยากหายไวๆ ชงน้ำขิงอุ่นๆกิน เชื่อเรานะ ตอนเราเด็กๆ เวลาป่วยทีไร ยายต้มน้ำขิงให้กินตลอด น้ำขิงยังไม่ทันจะหมดหม้อก็หายป่วยแล้ว”
“เฮ้ย ขอบคุณครับหมอ” เขารับไปใส่ตะกร้าหน้ารถ
“ป่ะ ขึ้นมาซ้อนได้แล้ว เดี๋ยวผมไปส่งบ้าน”
“จ้าาาาา” แล้วผมก็ขึ้นไปซ้อนท้ายเขา มือหนึ่งจับที่ยึดด้านหลัง และอีกมือคล้องใต้แขนไปเกาะไหล่เขา แล้วหมอกก็สตาร์ทรถ
ไม่รู้สินะ ... นี่อาจจะเป็นวิธีที่มนุษย์ในโลกนี้หันหน้าเข้าหากันก็ได้ มันคือการที่เราเรียนรู้ที่จะเชื่อใจกัน
ตอนแรกที่ผมต้องซ้อนมอเตอร์ไซค์แล้วเจอเขา ความคิดเดียวที่วิ่งไปวิ่งมาในหัวคือ อันตราย น่ากลัว แต่เขาสอนให้ผมรู้จักการซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ ความคิดผมก็เปลี่ยนไป จากที่ว่า การซ้อนมอเตอร์ไซค์มันอันตรายน่ากลัว กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาในชีวิตประจำวัน
เวลาผมขึ้นซ้อนท้ายเขา ผมเชื่อใจ ว่าการนั่งบนเบาะหลังของหมอก มันปลอดภัย ...
คงเหมือนที่วันนี้เขาเชื่อผมนั่นแหละ ว่าหวัดไม่ต้องกินยาแก้อักเสบ เสมหะสีเขียวไม่ใช่หนอง แต่เป็นเสมหะของคนที่กำลังจะหายหวัด และเชื่อว่า กินน้ำขิง มันช่วยให้หายหวัดได้ หมอกยอมเปลี่ยนสิ่งที่เคยเชื่อ มาเชื่อสิ่งที่ผมบอก
ผมว่า... นั่นแหละมันคือเครื่องหมายยืนยันของการเชื่อใจ
“อ่ะ ถึงแล้วหมอ”
เขาจอดรถ ดับเครื่อง ที่หน้าคอนโด
“อ่ะ 30 บาท”
ผมยื่นเงินให้ นายหมอกส่ายหน้า
“ไม่เอาดิ วันนี้หมอตรวจโรคให้ผม แถมให้น้ำขิงมาอีก ผมแค่ขี่มาส่งนี่ยังน้อยไปด้วยนะหมอ”
“เฮ้ยยย ไม่เอาดิ วันก่อนนายก็ช่วยเราแบกนาเดียกลับหอดึกๆดื่นๆ นายยังเอาแค่ค่าโดยสารเอง”
เขายังคงไม่รับค่าโดยสาร
“ถ้ามัวแต่นับบุญคุณกันไปมา มันไม่จบหรอกหมอ นี่เราเพื่อนกัน เขาก็ต้องช่วยกันแบบนี้แหละ ผมไม่เอาค่าโดยสารนะ ไปล่ะ ฝันดีนะหมอ”
ผมยิ้มตอบ พลางส่งหมวกกันน้อคคืนเขา
“ก็ได้ เพื่อนกัน ฝันดีนะหมอก”
ใช่แล้วล่ะ นี่แหละวิถีของมนุษย์ในสังคม เราเจอกัน เรารู้จักกัน เราสื่อสารกัน และเรียนรู้ที่จะเชื่อใจกัน และเราก็เริ่มเป็นเพื่อนกัน
ความคิดเห็น |
---|