6

หมอก

 

หมอก

 

“อ้าว ลุง อา ทำไมยังไม่นอนกัน”

ผมแปลกใจที่เห็นลุง กับอา ยังนั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าวชั้นล่าง วันนี้ผมกลับมาถึงบ้านตอนเที่ยงคืน ปกติลุงกับอาเข้านอนตั้งแต่ห้าทุ่ม ยังไม่ทันจะห้าทุ่มสิบนาที ผมจะได้ยินเสียงสองคนนี้กรนแข่งกัน ดังขึ้นมาถึงชั้น 3 แล้วทุกคืน แต่ไหงคืนนี้สองคนนี้มานั่งหัวโด่ไม่ยอมนอนกันล่ะนี่

“รอดูบอล มึงมารอด้วยกันไหม?”

อ๋อ... มิน่าล่ะ

 

ผมเห็นเบียร์กระป๋องในมือลุงกับอาคนละกระป๋องเป็นอุปกรณ์ประกอบคำตอบ ก็ถึงบางอ้อ สองคนนี้ติดบอลยุโรปนี้เอง ช่วงฤดูกาลฟุตบอล บางทีคู่นี้ก็โต้รุ่งยันเช้า ดูบอลต่อๆกันจนฟ้าสาง เปิดร้านสายก็เคยมาแล้ว

 

“ไม่อ่ะ ไม่ชอบ หมอกหิวอ่ะลุง นี่มีไรกินไหมเนี่ย?”

ผิดกับผม ที่ไม่ชอบดูบอล ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม เวลาที่พี่ในวินชวนดูบอล หรือคุยเรื่องบอลแล้วผมทำหน้าโง่ๆ ไม่ประสีประสา ทุกคนจะถามว่าทำไมผมไม่ดูบอล

 

เอ้า ผมจะไปตอบได้ไงกันเล่า ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ถ้ารู้ว่าทำไมไม่ชอบ ก็คงทำให้ชอบได้แล้ว บางทีคนเราก็ถามอะไรแปลกๆ แค่ยอมรับพยักหน้าไปก็จบๆแล้วป่ะวะ

 

“ไม่มีหรอก มีแต่เบียร์ เอาไหมล่ะ?” อายื่นเบียร์ให้

ผมส่ายหน้า “มันจะไปอิ่มตรงไหนอ่ะอา ไอ้เบียร์เนี่ย”

 

“ก็ไม่รู้ มีแค่นี้นี่หว่า ในตู้เย็นไม่เหลืออะไรแล้วด้วย”

“ไม่มีไรเลยเหรอ? มาม่าก็ยังไม่มีเหรออา?”

 

ผมเดินไปที่ตู้กับข้าวเปิดชั้นบนที่เก็บของแห้ง เออว่ะ เพิ่งนึกได้ว่า มาม่าซองสุดท้ายผมเพิ่งขยำกินดิบๆไปเมื่อวาน อายังบ่นอยู่เลยว่าระวังปวดท้อง ผมปิดตู้กับข้าวที่โล่งพอๆกับท้อง

 

“งั้นเดี๋ยวหมอกออกไปหาไรกินนะ อากับลุงจะเอาไรป่าว?”

“ไม่เอาอ่ะ มึงขี่รถดีๆก็แล้วกัน นี่มันดึกแล้ว”

“คร้าบบบบบบ”

 

ผมคล้อยหลังประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น ยังไม่ทันไปจูงมอเตอร์ไซค์ ลุงก็ตะโกนไล่หลังมาก่อน

“เฮ้ยๆ เดี๋ยวๆ ลืมๆ มึงซื้อมาม่ามาเผื่อไว้ด้วย”

 

ผมหันไปพยักหน้า “ได้ลุง เอาไรอีกไหม?”

“เอา ปลากระป๋องด้วย แล้วก็ไข่ จะได้ไม่ต้องกินมาม่าเปล่าๆ แล้วก็เอาขนมมาด้วยนะ ไอ้อะไรนะ ที่มันหน้ายิ้มๆ หัวเขียวๆอ่ะ อะไรวะ”

 

“สแน็คแจ็ค ลุง แหม่ พูดซะเกือบนึกไม่ออก” หน้ายิ้มๆ หัวเขียวๆ ก็คงอันนี้แหละ

“เออ นั่นแหละ แน๊กแจ็คนั่นแหละ เอามาด้วยสักสองห่อ กินกับเบียร์อร่อยดี”

 

“นี่เอาไรอีกไหมเนี่ย ตอนแรกบอกไม่เอา นี่สั่งยาวยังกะสวดชินบัญชร”

“เออ เอาแค่นี้แหละเอ็ง รีบไปรีบกลับมานะเว้ย”

 

โอเค ได้ออกจากบ้านเสียที

 

ปกติผมไม่กินกลางดึก ไม่ใช่เพราะรักษาหุ่น หรือไม่ดีต่อสุขภาพ แต่กลัวปวดท้อง ผมเป็นคนที่ถ้ากินผิดเวลาจะปวดท้องทันที แต่วันนี้เมื่อเย็นผมกินน้อย เลยมาหิวเอาตอนดึก ปกติไม่กินดึก แต่นี่กลัวว่าถ้าไม่กินจะปวดท้องแทน

 

นี่ล่ะน้าาา ไอ้หมอกเอ้ยยย

 

มาหิวกลางดึกเอาตอนวันที่ไม่มีของกินเหลืออยู่ในบ้าน เลยต้องขี่มอเตอร์ไซค์ไปเซเว่นซอยใกล้ๆ มันก็เซเว่นหน้าปากซอยที่วินนั่นล่ะ เคยบอกแล้วไง ร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์ของลุงกับอาอยู่ใกล้ๆกับวินที่ผมทำงาน ลุงเลยคุ้นกับพี่เฟือง

 

เมื่อไหร่ซอยบ้านผมมันจะมีเซเว่นเสียทีวะ จะได้ไม่ต้องขี่ข้ามซอยไป ไม่ใช่ว่ามันไกล แค่ขี้เกียจน่ะ จะออกจากบ้าน มันต้องแต่งตัวไง จะให้ใส่ชุดนอนเสื้อกล้ามกับขาสั้นบางๆออกไป เดี๋ยวงูผมมันก็ได้ลอดออกมาให้หมาไล่งับ

 

เออ ... ผมพูดเหมือนว่า ถ้ามีเซเว่นในซอยบ้าน ผมจะใส่เสื้อกล้ามกับขาสั้นบางๆเดินออกมาได้อย่างนั้นน่ะแหละ มันก็ไม่ได้เหมือนกันนี่หว่า ไอ้หมอก มึงทั้งหิวทั้งง่วงจนพานจะโง่ไปแล้วมึง รีบหาอะไรกินแล้วกลับมานอนดีกว่า

 

แล้วผมก็สตาร์ทรถ บิดออกไป

 

……….

 

“รับขนมจีบซาละเปาเพิ่มไหมคะ?”

 

ผมก้มหน้าดูของที่เคาท์เตอร์... เอ่อ ก็ไอ้ที่ผมซื้อมานี่ก็ขนมจีบปูสองไม้ กับบิ๊กเปาหมูสับแล้วนะ จะให้ซื้อขนมจีบกับซาละเปาเพิ่มอีก?

 

“เอ่อ น้องครับ พี่ซื้อขนมจีบกับซาละเปาไปแล้วครับ”

“อุ้ย ขอโทษค่ะ งั้นรับน้ำยาล้างห้องน้ำเพิ่มไหมคะ”

“เอ่อ ไม่ล่ะครับน้อง ขอบคุณ พี่มีน้ำจิ้มสำหรับขนมจีบแล้ว”

 

ผมรับเงินทอนแล้วรีบเดินออกมาจากเซเว่น ที่นี่ไม่มีไข่สด ผมได้มาแค่ขนมสองถุง มาม่า ปลากระป๋อง และขนม แสน็คแจ็คตามที่ลุงสั่งเรียบร้อย ความที่หิว ผมจิ้มขนมจีบมาใส่ปากชิ้นหนึ่งก่อนเลย

 

“เชี่ย ร้อน..”

โดนขนมจีบลวกปากไปทีหนึ่ง คำที่สองผมเลยค่อยๆ เป่าก่อนจะกิน แต่แรกตั้งใจว่าจะเอากลับไปกินที่บ้าน สงสัยได้กินแถวนี้จนอิ่มก่อนแล้วค่อยขี่รถกลับบ้านแหงะ

 

เอ๊ะ นั่น คนนั้นดูคุ้นๆนะ คุณหมอนี่หว่า

เดินออกมาทำอะไรที่ปากซอยดึกๆป่านนี้

 

“เฮ้ย คุณหมอ มาหาของกินตอนดึกเหรอครับ?”

ผมงับขนมจีบชิ้นที่สามเข้าปาก ก่อนส่งเสียงทักเขาไป

 

“อ้าว คุณวิน เปล่าๆ จะหาแท๊กซี่น่ะ จะรีบไปโรงพยาบาล”

ปากเขาตอบผมนะ แต่ตาน่ะมองไปทางถนน คงมองหาแท๊กซี่ล่ะสิ รอไปเหอะหมอเอ้ย แถวนี้แท๊กซี่ไม่ผ่านตอนกลางคืนหรอก มันย่านที่อยู่อาศัยกับออฟฟิศ ตอนกลางคืนแทบไม่มีคน แล้วแท๊กซี่มันจะวิ่งได้ไง วิ่งไปก็ไม่มีผู้โดยสาร

 

“อ้าว โดนตามเหรอหมอ? มีคนไข้ฉุกเฉินหรือเปล่า?”

เคยเห็นในหนัง หมอโดนตามไปดูเคสฉุกเฉินที่โรงพยาบาลบ่อยๆ ไอ้หมอคนนี้คงเหมือนกันสินะ

 

แต่เขาหันมองผม ก่อนส่ายหน้า

“ไม่ใช่คนไข้ แต่เรื่องฉุกเฉินน่ะใช่ อาการน่าจะหนักกว่าคนไข้อีก”

 

ผมเลิกคิ้ว จิ้มขนมจีบเข้าปากทีเดียวสองลูก

“หืมมมม เอื้องอะไรอ่ะอ๋อ? ไอ้ไอ้อนไอ้ แอ่อุกเอิ๊น?”

 

เขาเอียงหัวใส่ผม “นายพูดอะไรอ่ะ ฟังไม่เข้าใจ”

ผมรีบเคี้ยวขนนจีบแล้วกลืนลงคอ ก่อนจะทวนซ้ำ “เรื่องอะไรล่ะหมอ ไม่ใช่คนไข้ แต่ฉุกเฉินน่ะ?”

 

“ทีหลังเคี้ยวให้หมดปาก กลืนก่อนแล้วค่อยพูด เดี๋ยวมันสำลักลงหลอดลม รู้ไหม?”

น้าน ... ถึงไม่ได้ใส่เสื้อกาวน์ แต่ก็ยังทำตัวเป็นหมอ ผมเลยโดนตักเตือน นี่หมอหรือครูฝ่ายปกครองวะเนี่ย

 

“เอ๋า.. จะไปรู้เหรอ? ก็เห็นบอกว่าฉุกเฉินไง ผมเลยรีบถามก่อนจะเคี้ยว”

 

“คือเพื่อนเราน่ะ” หมอหันมามองผม “เขาเมาไม่ได้สติอยู่ในงานปาร์ตี้ที่โรงพยาบาล โทรมาหาตะกี้นี้ แล้วก็ร้องไห้ใหญ่ เราเป็นห่วงอ่ะจะรีบไปดูเขา เลยวิ่งออกมาหาแท๊กซี่ไปโรงพยาบาลเนี่ย”

 

พูดจบเขาก็หันไปมองทางถนนอีกครั้ง แต่ก็อย่างที่ผมคิดไว้ล่ะ เปล่าประโยชน์ ถนนโล่งซะขนาดนี้ ขนาดรถธรรมดายังไม่ค่อยผ่านเลยทางนี้ ไม่ต้องคิดถึงแท๊กซี่

 

ผมจิ้มขนมจีบสองลูกสุดท้ายเข้าปาก พลางสะกิดไหล่เขา “อ๋อ อ๋อ”

“หืม ... อะไร? นี่ผมบอกแล้วไงว่าให้เคี้ยวก่อนพูด”

 

โดนดุอีกรอบ ผมรีบเคี้ยวๆ ขนมจีบในปากหยาบๆ แล้วกลืนลงคอรวดเดียว

“ทำไมหมอไม่ให้แฟนหมอไปส่งล่ะ เขามีรถนี่”

“พี่ปอเขาหลับไปแล้ว ไม่อยากกวนน่ะ”

 

อ๋อ ... พ่อแฟนหน้าหล่อของหมอชื่อ ปอ เหรอ ผู้ชายอะไรวะชื่อแมลงปอ ชื่อยังกะผู้หญิง

“งั้นหมอเอารถเขาขับไปก็ได้ แป๊ปเดียวไม่เป็นไรหรอก ผมว่าเขาไม่ว่าหรอกน่ะ”

 

หมอหันมามองผม “เราขับรถไม่เป็นน่ะ”

 

ผมหัวเราะก๊าก “นี่หมอ ใจคอจะไม่เป็นอะไรเลยเหรอ ซ้อนมอเตอร์ไซค์ก็ไม่เคย ขับรถก็ไม่เป็น หมอนี่เกิดมาเป็นผู้โดยสารจริงๆเลยนะเนี่ย”

 

เขากลอกตาใส่ผมวงเบ้อเริ่ม “เออ ตลกไปเหอะ นี่ไม่ตลกนะเว้ย เป็นห่วงเพื่อนเนี่ย นี่คุณวิน ไม่มีแท๊กซี่วิ่งแถวนี้เลยเหรอไงเนี่ย เมื่อกี้นี้กด grab มันก็บอกว่ายังหารถไม่ได้ ”

 

“มานี่มาหมอ เดี๋ยวผมไปส่ง”

ผมอาสา ไหนก็ท้องอิ่มแล้ว ไม่ได้รีบกลับบ้านอะไร บอลยังไม่มา ลุงกับอาไม่ได้หิว

 

เขาหันมามองแบบกึ่งสงสัย กึ่งตกใจ

“หืม ... นายจะไปส่งเหรอ? โรงพยาบาลไกลนะ”

 

“แค่ 4 กิโลเองหมอจากตรงนี้อ่ะ ไกลตรงไหน”

ผมสวมหมวกกันน็อคของตัวเอง แล้วเปิดเบาะหยิบอีกใบหนึ่งส่งให้เขา นึกสงสัย สเกลใกล้ไกลของคนเป็นหมอมันต่างจากคนปกติหรือเปล่าวะ? ถึงได้บอกว่า 4 กิโลฯ มันไกล

 

“ไม่ไกลหรอกหมอ ผมขี่แป๊ปเดียวก็ถึง เอ้าขึ้นมาเร็ว ห่วงเพื่อนไม่ใช่เหรอ? จะได้รีบๆไปไง “

ผมยื่นหมวกให้เขาอีกรอบ คราวนี้คุณหมอขี้สงสัยรับหมวกไปสวมแต่โดยดี

 

“อื้อ ขอบคุณนะ เดี๋ยวเราจ่ายให้ตามราคาเหมาเลย”

 

“ให้หมอเจอเพื่อนหมอก่อนเหอะ เรื่องค่าโดยสารอ่ะค่อยว่ากันทีหลัง นี่คิดรึยังว่าเจอเพื่อนแล้วจะเอายังไงต่อ ผมพาซ้อนสามอ่ะพอไหว แต่ถ้าเพื่อนหมอเมาเกินไป ผมไม่เอานะเว้ยบอกก่อน”

 

“ไม่รบกวนนายหรอกน่ะ” เขาย่นจมูกใส่ผม

“เราคงพยุงเขากลับไปนอนหอแพทย์ได้ แต่ตอนนี้”

 

เขาล๊อกสายหมวกกันน้อค ขึ้นซ้อนท้ายผม มือหนึ่งจับคันจับด้านหลัง อีกมือคล้องจับที่ไหล่ผม ท่าประจำของเขา “รีบพาเราไปโรงพยาบาลก่อนเหอะ รู้จักใช่ไหม โรงพยาบาลตรงสี่แยกน่ะ”

 

“รู้สิครับหมอ ลุงกับอาผมไปรับยาที่นั่นตลอด อ่ะจับแน่นๆ ผมจะซิ่งแล้วนะหมอ จับไม่แน่นระวังกลิ้งตกไปล่ะ แทนที่จะได้ไปช่วยเพื่อน ต้องไปหาหมอเอง”

 

“ซิ่งไปเหอะน่ะ เราไม่กลัวหรอก”

ถึงปากเขาจะพูดแบบนั้น แต่ผมรู้สึกว่ามือที่กุมไหล่ผมบีบแน่นกว่าทุกๆครั้งที่เขาซ้อน ผมแอบขำในใจ ตบเกียร์แล้วบิดรถออกไป มุ่งหน้าสู่โรงพยาบาล

 

………..

 

“นาเดียยยยยยยย”

 

มอเตอร์ไซค์ผมยังไม่ทันจอดสนิท ไอ้คุณหมอตัวนิดก็ลงจากรถวิ่งไปที่เชิงบันไดตึกหอประชุมแล้ว ดีที่ไม่หกล้มเสียก่อน ขายิ่งเล็กๆมีพอแค่เดินได้อยู่ ผมจอดรถ ดับเครื่องแล้วค่อยเดินตามไป

 

“นาเดีย แกเป็นอะไรหรือเปล่า?”

 

หมอรีบเข้าไปพยุงเพื่อนที่ฟุบอยู่ตรงเชิงบันไดให้ลุกขึ้นนั่ง พลางตบๆหน้าเพื่อนเรียกสติ สงสัยหมอแกคงรีบจริงอ่ะ ลงจากรถมา หมวกกันน็อคยังไม่ทันได้ถอดคืนผมเลย รีบวิ่งหลุนๆไปหาเพื่อน หัวสั่นหัวคลอน ดีที่ไม่หนักหัวจนล้มกลิ้งไป

 

ผมเดิมตามเข้าไปดูด้วย เผื่อเขาจะมีอะไรให้ช่วย

 

“มึง ... ตะวัน มึงมาได้ไงอ่ะ?”

เพื่อนหมอค่อยๆลืมตาขึ้นมา อื้อหือ ดูไกลๆจากตรงนี้ยังเห็นเลยว่าตาแดงก่ำ ไม่รู้ว่าเพราะร้องไห้หรือเมาเหล้า มันก็คงผสมๆปนๆกันแหละ

 

“ก็แกโทรตามให้ฉันมารับไง จำไม่ได้เหรอไง นาเดีย”

“แล้ว... ทำไมมึงใส่หมวกกันน็อคล่ะ ?”

 

จนเพื่อนหมอขี้เมาที่ชื่อ นาเดีย (?) ทักนั่นแหละ หมอถึงเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองยังไม่ถอดหมวกกันน็อค เขารีบปลดล็อกตรงคางแล้วถอดคืนส่งมาให้ผม ที่ยืนๆก้มๆมองอยู่ด้านหลัง

 

“ขอโทษทีนะ เราลืม”

“ไม่เป็นไรหมอ” ผมรับกลับมาถือ แล้วยืนดูต่อ “แล้วนี่จะให้ผมช่วยอะไรไหมเนี่ย?”

 

“แถวนี้ไม่เหลือใครแล้วด้วย รปภ.ก็ไม่รู้ไปไหน นี่นายช่วยพยุงเขาลุกขึ้นมาหน่อยดิ ผมคนเดียวไม่ไหวอ่ะ”

ว่าแล้วไอ้หมอก็ยกแขนข้างหนึ่งของเพื่อนเขาพาดบ่าพลางส่งสายตามายังผม คือให้เข้าใจเองใช่ไหมว่า แขนอีกข้างของเพื่อนเขา ให้ผมเป็นคนพยุงสินะ

 

“นี่เพื่อนหมอชื่อนาเดียจริงเหรอ? เก๋เนอะ ชื่อไม่เข้ากับตัวเลย”

ก็ตามนั้นจริงๆ คุณหมอนาเดียนี่สูงล่ำ กำยำ มีไรหนวดไรเคราหน่อยๆ ตัวพอๆกับผม หน้าตาก็ออกแนวเกือบๆจะโหด ดูไม่เหมาะกับชื่อนาเดียเลย

 

“มันชื่อน้อต แต่มันเปลี่ยนเป็นนาเดียน่ะ” เราสองคนจับหมอนาเดีย หรืออดีตคือหมอน้อตนี่ล่ะขึ้นพาดบ่า

“นี่นายช่วยเราพานาเดียกลับหอแพทย์หน่อยได้ไหม เราแบกคนเดียวไม่ไหว”

 

“รู้อยู่แล้วน่าหมอ ผมไม่ปล่อยหมอแบกเพื่อนกลับไปคนเดียวหรอก ว่าแต่หอไปทางไหนอ่ะ”

“หลังโรงพยาบาลครับ ไปทางนี้”

 

แล้วเราสองคนก็แบกคุณหมอนาเดียที่เมาหนัก กึ่งหลับกึ่งตื่น ไปตามถนนเงียบๆในโรงพยาบาล ทุกลักทุเลเอาเรื่องอยู่ หมอนาเดียไม่ได้ตัวเล็กๆ แถมไอ้คนแบกสองข้างก็ไม่ค่อยสมดุล ผมตัวโต แต่หมอที่แขนอีกข้างหนึ่งก็เล็กซะจนคนโดนแบกเอียงกะเทเร่

 

“นาเดียมันเคยชื่อน้อต แต่มันบอกว่าหมอดูทัก ว่าชื่อไม่เป็นมงคล ผู้ชายจะไม่เข้าหา”

คุณหมอตัวเล็กนินทาเพื่อนที่ตอนนี้เมากึ่งหลับคอพับคออ่อนอยู่บนบ่าเราสองคน ผมหันไปดูเจ้าตัว ดูเหมือนจะไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร สงสัยคงไม่ได้ยินล่ะ หลับไปแล้ว

 

“เขาก็เลยเปลี่ยน จากน้อต เป็นนาเดียเนี่ยนะ? โห... ผมนึกว่าพวกหมอๆจะไม่เชื่อเรื่องหมอดูเสียอีก”

 

คุณหมอขำพรืดออกมา

“ก็ไม่ได้เชื่อทุกเรื่องหรอก แต่กับบางเรื่องก็หัวปักหัวปำ อย่างเรื่องความรักเนี่ยแหละ”

 

คำตอบของเขา ทำเอาผมสงสัย

“ทำไมล่ะหมอ ทำไมเชื่อเรื่องความรัก?”

 

“คงเพราะเรื่องอื่น มันพอจะหาคำตอบที่เป็นเหตุเป็นผลมาอธิบายได้มั้ง? ถ้าไม่ขยัน เราก็จน ถ้าไม่ทำงานก็ไม่มีกิน ถ้าไม่เก่ง ไม่ฉลาด ก็ไม่ก้าวหน้า ถ้าไม่ดูแลสุขภาพก็ป่วย”

 

เขาทิ้งช่วงก่อนจะหันมามองหน้าผม

“แต่เรื่องความรัก มันอธิบายด้วยเหตุผลไม่ได้ เราเลยต้องหาอะไรมาเป็นที่พึ่งน่ะ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หมอดูอะไรพวกนี้แหละ ที่พึ่งทางใจเรื่องความรัก”

 

ผมพยักหน้าตาม เออ ก็ฟังดูเป็นเหตุเป็นผลบนความงมงายดีเว้ย

“อ้ะ งั้นหมอล่ะ หมอเชื่อเรื่องหมอดูไหม?”

 

เขาส่ายหน้า “ไม่เชื่อหรอก หมอดูคนเดียวกันที่ทักนาเดียน่ะ เขาบอกว่าผมจะมีเนื้อคู่ที่อายุอ่อนกว่า แต่ผมได้แฟนที่แก่กว่า เห็นมะ ไม่แม่นเลย”

 

“อ้าววว ใครจะรู้ เขาคนนั้นหมออาจจะไม่ได้เป็นเนื้อคู่หมอก็ได้นะ”

ผมแกล้งกระเซ้าเขาไป

 

“ถ้าเราเชื่อว่าใช่ เราก็ทำให้เขาใช่เองแหละน่ะ ไม่ต้องให้หมอดูมาคอนเฟริ์มชีวิตเราหรอก”

เขาหันมาย่นจมูกใส่ผมตอนที่ตอบ

 

“หูวววว บาดซิบ คมว่ะหมอ ไปเอามาจากไหนเนี่ย?”

“พี่ชายโพสท์ลงเฟซบุ๊คน่ะ เพิ่งเห็นเมื่อเย็นนี้”

 

อ๋อ ... มีพี่ชายนี่เอง มิน่า บุคลิกดูเป็นน้อง เข้าใจได้ ดูด้วยตาผมไม่รู้หรอกนะว่าเขาอายุเท่าไหร่ แต่เหมือนเพื่อนบอกว่าหมอมันเรียนกัน 6 ปีจบ นี่เขาเป็นหมอแล้ว (ดูจากเสื้อ ผมแอบเห็นคำว่า นพ. แสดงว่าต้องจบแล้วสิ) ก็ต้องอายุมากกว่าผม ถ้าไม่มีเสื้อกาวน์นี้ดูไม่ออกจริงๆว่าเขาแก่กว่าผมได้ยังไงเนี่ย

 

เราสามคนมาถึงทางแยก ... เรียกตามสภาพจริงคือ สามคน แต่เดินแค่ 4 ขา

“อ่ะ ไปทางไหนต่อหมอ” ผมถามเขา

 

“ไปทางขวา สุดถนนนู่นอ่ะ ที่ไฟมันมืดๆตรงนั้นน่ะแหละ หอพักแพทย์”

ตรงทางแยกมันมี 2 ทาง ทางหนึ่งสว่าง กับอีกทางมืดๆ และคุณหมอแกพยักหน้าไปไอ้ทางที่มืดๆนั่นแหละ

 

“โห ไกลนะเนี่ยหมอ มองไม่เห็นปลายทางเลย”

ผมว่ามันเปลี่ยวอีกต่างหาก ดีแล้วที่ผมมาเป็นเพื่อนเขา ไม่อย่างนั้นน่าเป็นห่วงแย่ ตัวก็แค่นี้ เพื่อนที่แบกมาด้วยก็เมาช่วยตัวเองไม่ได้ รู้อยู่ว่าในโรงพยาบาลมันน่าจะปลอดภัย แต่โรงพยาบาลมันใหญ่ ใครแอบเข้าออกมันก็ไม่ยาก

 

“ไม่ไกลขนาดนั้นหรอก ที่ไม่เห็นเพราะมันมืดป่ะนาย ตอนกลางวัน เห็นตึกมันก็ไม่ได้ไกลมากนักหรอก”

เขาส่ายหน้า แล้วกลับมากึ่งพยุงกึ่งลากเพื่อนเดินต่อไป

 

“แล้วนี่” ผมพยักหน้าไปทางหมอนาเดีย ที่คอพับคออ่อน ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาช่วยเดินเลยเนี่ย “เพื่อนหมอเขาไปโดนอะไรมาล่ะเนี่ย ถึงได้เมาซะขนาดนี้เลย”

 

“เขาไม่รักเราอ่ะ .... ตะวัน เขาไม่รักเรา”

 

อ้าว ... ทีงี้ล่ะหมอนาเดีย ที่เมาแบบกึ่งหลับกึ่งตื่น ผงกคอสะเงาะสะแงะขึ้นมา แถมตอบได้ อื้อหือ ... กลิ่นละมุดหึ่ง ท่าจะซัดไปเยอะ

 

ผมเคยนึกว่าพวกหมอ เวลาสังสรรค์กัน จะกินแต่เหล้าแพงๆ อันนี้ก็ไม่รู้ว่าที่พวกเขากินกันแพงไหม แต่กินแล้วก็เมาออกมาเหมือนๆ กัน แล้วหายใจออกมา มันก็กลิ่นละมุด ครือๆกันนี่แหละวะ

 

“เขาน่ะใครกันล่ะแก นาเดีย แกบอกว่าจะบอกฉัน นี่แกยังไม่ได้บอกเลยนะ”

คุณหมอหัวเราะ พลางหันไปถามเพื่อน

 

เออ ... เพิ่งสังเกตว่า คุณหมอนาเดีย เรียกหมอน้อยคนนี้ว่า ตะวัน ... ชื่อดีนะ ผมชอบ คนสมัยนี้มีแต่ชื่อแปลกๆ ภาษาฝรั่งกันเข้าไป น้อยครั้งที่จะเจอคนที่ชื่อภาษาไทย เข้าใจง่ายๆ ไม่ต้องแปล

 

“พี่ กัง หัน อ่ะ แก”

คุณหมอนาเดียตอบแบบปรือตา แต่คุณหมอตะวันตัวเล็กนี่ชะงักเท้าทันที หันกลับมามองคุณหมอนาเดียตาโต ผมก็งงนะ ว่าไอ้คำตอบว่า พี่กังหัน นี่มันน่าตกใจอะไรขนาดนั้นเลยเหรอ?

 

“มึงงงง พี่กังหันเขาเป็นรับไหมวะ?”

หมอตะวันดูตกใจมาก จนลืมตัวถามเสียงดัง

 

“แล้วไงอ่าาาา ก็กูรักเขานี่ เขาเป็นอะไรกูก็รัก”

อีกคนที่เมา ก็พยายามตอบเท่าที่สติจะอำนวย

 

“แต่มึงจะรักคนที่เป็นรับเหมือนกันไม่ได้นะเว้ย”

ที่จริงหมอตะวันพูดยังไม่ทันจะจบประโยคดี หมอนาเดียก็คอพับหลับไปอีกรอบหนึ่ง ทิ้งให้หมอตะวันตะลึงตาค้าง และผมอีกคนที่ไม่รู้สี่รู้แปดอะไร

 

“นี่หมอๆ ผมถามนิดนึงดิ ... ไอ้รับ ที่หมอพูดถึงเนี่ย อะไรเหรอ?”

ผมเห็นว่าเขายังไม่ได้พูดอะไรต่อ แถมหมอนาเดียก็หลับ หมดโอกาสให้เขาซักฟอก เลยถือโอกาสถามเสียเลย

 

“เอ่อ ... คือไงดีอ่ะ” เขาดูเขินๆตอนจะตอบผมแฮะ

“คือ รับ ก็คือคนที่เป็นรับอ่ะ”

 

โอ้โห ไอ้หมอนี่ ตอบซะกำปั้นทุบดิน นี่ถ้ามือผมว่างๆ คงจะทุบหัวหมอสักทีแล้วล่ะ

“โอ้ยยย ไม่เอาดิหมอ ตอบแบบนี้เหมือนไม่ได้ตอบ”

 

“คือ ... เวลาผู้ชายกับผู้ชายมีอะไรกันน่ะ มันจะมีคนนึงเป็นคนรุก อีกคนเป็นคนรับใช่มะ”

เขาเริ่มอธิบายอีกรอบ ด้วยรายละเอียดที่มากขึ้น และความตะกุกตะกักที่มากขึ้นด้วย ผมนี่ก็ตั้งใจรอฟังคำสำคัญแบบหูผึ่ง

 

“คนรุกก็คือคนที่ เอ่อ... สอดใส่”

 

กว่าเขาจะหลุดคำนี้มาได้ ผมเอาใจช่วยแทบแย่ “สอดใส่ ... มันคืออะไรวะหมอ เข้าใจยาก”

แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ผมเข้าใจแต่ประการใด งงนะ เอาจริงๆ ไม่ได้แกล้งเซ่อ

 

“เสียบ!!! เสียบไงเล่า เข้าใจไหม เสียบอ่ะ รุกคือคนที่เป็นฝ่ายเสียบ รับคือคนที่โดนเสียบ เข้าใจยัง? ”

หมอตะวัน หันมาถลึงตาใส่ผมลูกตาแทบจะหลุดจากเบ้า ดูแล้วเหมือนกบตัวเขียวๆ ที่มันเป็นตุ๊กตาสมัยก่อนที่ฮิตๆอ่ะ ชื่ออะไรสักอย่าง นึกไม่ออก

 

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า โอเคหมอ ผมเข้าใจเห็นภาพเลยเนี่ย รุก รับ เออเรียกแปลกดีเนอะ ทำไมไม่เรียกเมียกับผัวไปเลย ตรงตัวเข้าใจง่ายกว่า” ผมหัวเราะ พลางนึกถึงลุงกับอา คู่รักชายชายที่บ้านผม ...

 

“เออนี่ สรุปว่า เพื่อนหมอเป็น .. รับใช่ป่ะ? แล้วก็ไปชอบคนที่เป็นรับด้วยกันนี่ผมเข้าใจถูกใช่ป่ะ?”

 

เขาพยักหน้า “อื้อ พี่กังหันเป็นอาจารย์ภาควิชาเราเองแหละ สอนด้านโรคสมองน่ะ พี่เขาดูเท่ๆ อบอุ่น ใจดี นาเดียมันคงชอบคนแบบนั้นแหละ แต่พี่เขาเป็นรับเหมือนกับนาเดียมันไง”

 

พูดจบหมอตะวันก็หันไปมองหมอนาเดีย “เนี่ยไปรักคนที่เป็นแบบเดียวกัน มันก็ต้องผิดหวังอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ มันไม่มีทางเป็นไปได้นี่หว่าที่จะรักกันอ่ะ”

 

“เฮ้ย ไม่จริงหรอกหมอ” ผมค้าน

หมอตะวันหันมาหรี่ตามองผม “ทำไมอ่ะ? ไม่จริงยังไง?”

 

“ผมถามหมอหน่อยสิ นี่แฟนคนแรกของหมอใช่ป่ะ ที่หมอไปนอนคอนโดเขาน่ะ”

“อื้อ ก็ถ้าจะนับว่าเป็นแฟนจริงๆจังๆ ก็คนนี้แหละคนแรก”

 

“แสดงว่า หมอก็ไม่เคยอกหักสินะ”

“อือ....” เขาคิดนิดนึงก่อนตอบ “คิดว่าไม่จริงๆแหละ”

 

“งั้นหมอคงไม่รู้จักอุปสรรคที่แท้จริงของความรักหรอก”

ผมผิวปากหวือปิดท้าย รู้สึกเหนือกว่าตอนพูดจบ เพราะอีกฝ่ายหันมาขมวดคิ้วใส่ผม

 

“ทำไมถึงคิดว่าเราไม่รู้จักอุปสรรคความรักล่ะ ? แค่เพราะว่าเราไม่เคยอกหักเนี่ยนะ ไม่ได้แปลว่าเราจะไม่รู้จักเสียหน่อยว่าอุปสรรคความรักคืออะไร?” เขาเถียง

 

“งั้น สำหรับหมอ อุปสรรคความรักคืออะไรล่ะ?” ผมถามกลับ

“ก็คือ รักกันไม่ได้ไง” เขาตอบแทบจะทันที “เนี่ย อย่างนาเดียกับพี่กังหันไง รับเหมือนกัน แบบเดียวกัน มันจะไปรักกันได้ยังไง”

 

ผมหัวเราะ “หมอนี่ เด็กเป็นบ้าเลย ฮ่า ฮ่า ฮ่า ผมไม่ได้เป็นเกย์หรอกนะ แต่ผมก็พอจะรู้ว่า คนเราถ้ามันรักกันแล้วน่ะนะ เรื่องบนเตียงมันไม่ใช่ปัญหาหรอก มันปรับเข้าหากันได้ ผมเชื่อนะว่าไอ้คนเป็นรับกับรับน่ะ มันคบกันได้แหละหมอ ถ้ามันรักกัน เดี๋ยวก็ไปหาทางให้มันลงตัวเองได้อยู่ดี”

 

ผมทิ้งช่วงเงียบบ้าง เพื่อให้เขาหันกลับมารอฟังประโยคถัดไป

 

“อ่ะ งั้นอุปสรรคความรักคืออะไรล่ะ?”

เขาคงเห็นว่าผมเงียบไป เลยถาม

 

“อุปสรรคเดียวของความรัก คือเขาไม่รัก ต่างหากหมอ”

 

คราวหนี้หมอตะวันหันมามองผมแบบทึ่งๆ “โอ้โห ... คมว่ะ ยืมเอาไปใช้แทนมีดผ่าตัดทีเหอะ”

ผมผิวปากอีกรอบอย่างคนโชว์เหนือ “ก็หรือไม่จริงล่ะหมอ?”

 

“เออ จริง ยอมก็ได้ รอบนี้นายถูกว่ะ”

“ก็แหงอยู่แล้วววว” ผมหัวเราะ

 

“นี่ไปเอามาจากไหนเนี่ย ถามจริง?” เขาถาม

ผมยักไหล่ “ดูมาจากซีรี่ส์ wake up ชะนี อ่ะหมอ ไม่เคยดูเหรอ? ตลกดีนะ”

 

เขากลอกตาพลางพ่นลมหายใจออกทางจมูก

“หึ เวลาจะนอนยังไม่มี จะเอาเวลาที่ไหนไปดูทีวีกันเล่า”

 

เราสองคนลากหมอนาเดียมาถึงหน้าหอพอดี ดีนะที่มี รปภ. อยู่หน้าหอ เขารีบลงมาช่วยหมอตะวันแบกเพื่อนขึ้นไป ตอนแรกก็ไม่ได้รู้สึกว่าหมอนาเดียตัวหนักหรอกนะ แต่พอปลดน้ำหนักออกจากบ่าได้ ถึงได้รู้ว่าไหล่ชา หันไปมองหมอตะวัน รายนั้นน่าจะแย่กว่าผม ตัวก็เล็กกว่า แรงก็ต้องน้อยกว่าอยู่แล้ว

 

เขาหันมาหาผมพลางควักแบงค์ห้าร้อยออกมาจากกระเป๋า

“ขอบคุณนะคุณวิน นี่ค่าโดยสาร”

 

ผมรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธพัลวัน

“เฮ้ยยย หมอมากไป จะบ้าเหรอ? เงินตั้งห้าร้อยบาท ผมไม่เอา”

 

“เฮ้ยย รับไปเหอะ ถ้าไม่ได้นาย เราลำบากแน่ นาเดียก็ด้วย”

เขายังยืนกรานยื่นแบงค์ม่วงให้ผม

 

“ถ้าหมอจะให้ หมอให้ผมร้อยนึงแล้วกัน ค่าเหมามอเตอร์ไซค์มาโรงพยาบาล ที่ช่วยแบกเพื่อนหมอน่ะ ผมแถมให้ฟรี แลกกับเรื่องที่หมอช่วยไขความกระจ่างให้ผมเรื่อง รุกกับรับไง ฮ่าฮ่าฮ่า ”

 

“นายนี่น้า ... “ เขาขำ เก็บแบงค์ห้าร้อยลงกระเป๋าตังค์แล้วหยิบแบงค์ร้อยยื่นมาให้ผมแทน

“ขอบคุณนะคุณวิน ไม่ได้นายนี่ ลำบากแน่ๆเลย”

 

“หมอกครับหมอ”

“หืม ... ? อะไรนะ?”

 

“ผมชื่อหมอกครับหมอ ต่อไปเรียกผมว่าหมอกนะ ไม่อยากเป็นคุณวินแล้ว อยากให้เรียกชื่อมากกว่า”

ผมยิ้มแยกเขี้ยว พลางรับแบงค์ร้อยเขามาพับใส่กระเป๋ากางเกง

 

“งั้นเรียกเราว่า ตะวัน ไม่ต้องเรียกหมออีกแล้ว เข้าใจป่ะ”

แล้วเขาก็ยิ้มตอบผม “คืนนี้เราคงไม่กลับไปคอนโดแล้วล่ะ เดี๋ยวนอนที่หอพักแพทย์นี่แหละ จะให้เดินไปส่งที่มอเตอร์ไซค์ไหมเนี่ย กลับถูกป่าว?”

 

ผมส่ายหน้า

“โอ้ยย ไม่ต้องหรอกหมอ เอ้ย ตะวัน ผมกลับถูก ขึ้นไปดูแลเพื่อนเหอะ”

 

“ขอบคุณนะ หมอก ขี่รถกลับดีๆ”

เขาเดินขึ้นบันไดหอไปสองขั้น แล้วหันมามองผมอีกที “ฝันดีนะ หมอก”

 

ผมพยักหน้าให้เขา

“ครับ ฝันดีครับ ตะวัน”

 

แล้วเขาก็เดินขึ้นหอแพทย์ไป ส่วนผมก็เดินกลับไปที่มอเตอร์ไซค์ นึกทบทวนเรื่องที่เราคุยกันเมื่อกี้นี้ ระหว่างทางที่แบกหมอนาเดียกลับหอ ...

 

ผมว่าตะวันเป็นคนน่ารักดีนะ น่าคบหา จริงใจ แล้วก็ดูติดดิน

 

โอเค ผมอาจจะรีบสรุปไปหน่อย ทั้งๆที่เพิ่งจะรู้จักชื่อกันได้ แต่ผมก็เป็นคนแบบนี้แหละ เชื่อความรู้สึกมากกว่าเหตุผล และความรู้สึกของผมบอกว่าเขาเป็นคนดี น่าคบหาเป็นเพื่อนในชีวิต

 

เออ ... เพิ่งรู้เรื่องรุก รับ แฮะ รุกเป็นผัว และรับเป็นเมียสินะ ลุงบอกว่าลุงเป็นผัว และอาเป็นเมีย งั้นแบบนี้ตอนมีอะไรกัน ... ลุงผมก็เสียบอาเหรอวะ ... ?

 

เชดดดดด ใครก็ได้ ลบภาพออกจากหัวกูที !!!!

คืนนี้กลับไปนอนฝันร้ายแน่ๆเลยมึง ไอ้หมอก !!!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น