๑๐

๑๐ 

คืนพรเจ้าแม่

เมื่อไม่ต้องไปทำงานและจิตใจของเจ้าตัวก็ยังไม่พร้อมด้วยเช่นกัน อารดาจึงใช้วันหยุดไปกับการนั่งดูซีรีส์กินป๊อปคอร์นให้ช่ำปอด แล้วพอหัวค่ำก็ไปนั่งดื่มที่บาร์เดิมเหมือนเมื่อวานนี้ ไปคนเดียวอีกเช่นเคย เพราะหล่อนไม่สามารถลากเพื่อนสนิทอย่างรติยามาด้วยได้ ไม่กล้าบอกด้วยว่าตอนนี้อกหักจากธนาดลไปแล้วเรียบร้อย กลัวว่าเพื่อนจะไม่สบายใจและเป็นห่วง อีกอย่างเพื่อนรักเป็นคนกลางจะเข้าข้างใครเลยก็คงไม่ได้ ลำบากใจเปล่าๆ 

ระหว่างที่หล่อนนั่งดื่มอยู่นั้นก็มีผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาทักทาย ตอนแรกหล่อนจำไม่ได้ว่าใคร แต่พอจำได้เท่านั้นจากที่นั่งดื่มอยู่เงียบๆ คนเดียวก็กลายเป็นเฮฮาทันที เพราะคนที่มาทักหล่อนคือเพื่อนที่เคยเรียนมาด้วยกัน แต่ตอนนั้นยังเป็นชายมาดแมน แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นชายที่รู้ใจตัวเองแล้วว่าไม่ได้รักผู้หญิงด้วยกัน

ทว่าอารดาไม่รู้ตัวและไม่ทันเห็นด้วยว่าในบาร์แห่งนี้มีคนที่หล่อนรู้จักดีและเพิ่งหักอกหล่อนไปเมื่อวันก่อนมานั่งดื่มอยู่ก่อนแล้ว แต่เขาอยู่ที่มุมด้านหนึ่งของห้องที่เป็นชุดโซฟา แล้วตอนแรกเขานั่งหันหลังให้หล่อน แต่เพราะเพื่อนที่มาดื่มด้วยกลับไปก่อน เพราะภรรยาโทร. ตาม เขาจึงย้ายมานั่งตรงที่เพื่อน ทำให้มองเห็นภายในร้านได้ แต่ไม่คิดเลยว่าแค่เปลี่ยนที่นั่งก็ดันเห็นยายตัวยุ่งวุ่นวายเข้าให้

ขยันตามมาหลอกมาหลอนเสียจริงยายคนนี้!!

ธนาดลถอนหายใจแล้วทำเป็นไม่สนใจหล่อน แต่ตอนนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงกรุ๊งกริ๊งกังวานใสเหมือนเสียงระฆังแก้ว เป็นเสียงที่ใสและไพเราะมาก และทำให้แปลกใจไปพร้อมกัน เพราะเสียงนี้ไม่ได้มาจากเสียงเพลงที่บรรเลงอยู่ในบาร์แน่ๆ แต่ไม่รู้ว่ามาจากไหน แล้วพอเขาเงี่ยหูฟังดีๆ เสียงนั้นก็หายไป พอดีกับที่เขามองไปเห็นว่าผู้ชายที่มากับอารดาขอตัวกลับก่อน และอีกฝ่ายน่าจะเป็นแค่เพื่อน ไม่ใช่คู่ควง เพราะเขาอ่านริมฝีปากของผู้ชายคนนั้นที่เรียกหล่อนด้วยสรรพนามแบบที่เพื่อนเรียกกัน

แล้วพอผู้ชายคนนั้นกลับไป สักพักก็มีผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาหาอารดา แต่ดูเหมือนหล่อนจะไม่สนใจ ไม่เล่นด้วย และเมามากถึงขั้นผลักผู้ชายคนนั้นออกห่าง ผู้ชายที่เข้ามารู้สึกเสียหน้าจึงยกแก้วค็อกเทลของหล่อนที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์บาร์ขึ้นมาสาดใส่หน้าอารดา

ซ่า!

พนักงานรีบเข้าไปเชิญตัวผู้ชายคนนั้นออกจากบาร์ทันที ส่วนอารดาที่เมามากก็ตะโกนด่าผู้ชายคนนั้น ก่อนจะร้องไห้ออกมาด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์และความน้อยใจในหลายๆ เรื่อง กลายเป็นว่าตอนนี้หล่อนทั้งเมา ทั้งร้องไห้ แล้วก็โวยวายไปพร้อมกัน

“ไอ้คนนิสัยไม่ดี ฉวยโอกาส ไอ้ผู้ชายเส็งเคร็งเอ้ย!”

ธนาดลเห็นอย่างนั้นก็อดรนทนไม่ไหว ลุกจากที่นั่งมาหาหล่อน แต่เพราะหล่อนเมามากและครองสติไม่ไหว พอเขาถึงตัวหล่อน เจ้าตัวก็นั่งกองกับพื้น ทำเอาเขาคว้าตัวไว้แทบไม่ทัน

ตุ้บ!

หล่อนเอนซบเขาและปิดสวิตช์การรับรู้ไปแล้วเรียบร้อย ไม่รับรู้แล้วว่าใครที่เข้ามาช่วยหล่อนไว้ ธนาดลแทบอยากจะเขย่าตัวหล่อนให้หัวสั่นหัวคลอนนัก หล่อนช่างหาเรื่องใส่ตัวจริงๆ 

“ปุ๊ก คุณปุ๊ก อารดา ตื่นก่อน”

ธนาดลพยายามเรียก แต่อารดาไม่ตอบสนองเลยแม้แต่น้อย ผู้จัดการบาร์รีบเข้ามาดูเพราะได้รับคำสั่งจากเจ้านายให้ตามดูแลความปลอดภัยให้อารดาอยู่ก่อนแล้ว พอเห็นอารดาอยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายคนหนึ่ง เขาก็ตกใจ

“คุณอารดา!”

ธนาดลเงยหน้ามองผู้ชายที่มีเข็มกลัดติดหราบอกยี่ห้อผู้จัดการ แล้วก็แอบแปลกใจอยู่เหมือนกันว่าอีกฝ่ายรู้จักอารดาได้อย่างไร แต่อีกใจก็ตอบว่าก็ไม่เห็นจะยาก ถ้าหล่อนเป็นลูกค้าประจำของที่นี่ ผู้จัดการก็ต้องดูแลดีเป็นธรรมดา แต่เขาไม่อยากเป็นเป้าสายตาของใครนาน จึงบอกผู้จัดการบาร์ไปตรงๆ

“ผม ธนาดล รัตนธนการ กรรมการผู้จัดการบริษัทอาร์แอนด์ทีเอสเตต ผมรู้จักเธอ เดี๋ยวผมพาเธอกลับเอง”

“แต่ว่า...” ผู้จัดการบาร์อึกอัก เพราะได้รับคำสั่งมาแล้วว่าให้ดูแลลูกค้าวีวีไอพีคนนี้ แต่อีกฝ่ายก็เป็นลูกค้าเหมือนกัน และถึงจะไม่ใช่ระดับวีวีไอพี แต่บุคลิกท่าทางการแต่งตัวและตำแหน่งที่บอกมาเมื่อครู่นี้ก็ดูไม่ธรรมดา เจ้าตัวเลยเกิดอาการอิหลักอิเหลื่อ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี 

“ผมรับรองได้ว่าเธอจะปลอดภัย แต่ถ้าคุณไม่วางใจ กล้องวงจรปิดก็มี” เขายืนยันแล้วก็เงยหน้าขึ้นให้กล้องวงจรปิดด้านบนจับภาพใบหน้าได้ชัดๆ ก่อนจะมองหน้าผู้จัดการบาร์อีกครั้ง “ผมจะพาเธอออกไปจากที่นี่ แล้วหลังจากนี้ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ คุณมีหลักฐานว่าผมมาที่นี่จริงและผมเป็นคนพาเธอออกไปเอง คุณรู้ชื่อจริง นามสกุลจริงของผมแล้ว ก็แจ้งตำรวจเอาผิดผมได้เลย แต่ตอนนี้เธอเมามากและเป็นผู้หญิง คุณคงไม่อยากให้เธออายคนอื่นไปมากกว่านี้หรอกใช่ไหม”

ธนาดลกล่าวจบก็อุ้มอารดาออกไปจากบาร์ แล้วก็เป็นโชคดีที่ลิฟต์มาพอดี เขาจึงพาหล่อนลงลิฟต์ไปด้วย โดยมีผู้จัดการบาร์ตามมาด้วย 

“อารดาเป็นแขกวีวีไอพีของที่นี่เหรอครับ”

“ครับ เธอเป็นแขกของเจ้าของบาร์ครับ”

“งั้นคุณติดต่อเจ้าของบาร์ตอนนี้ได้หรือเปล่า โทรศัพท์ไปบอกเลยว่า ผม...ธนาดล รัตนธนการ เอ็มดีของอาร์แอนด์ทีเอสเตต เป็นคนพาอารดาออกมาจากบาร์และจะขอรับผิดชอบสวัสดิภาพของเธอเอง เพราะเธอเป็นเพื่อนสนิทของพี่สะใภ้ของผมเอง”

ผู้จัดการบาร์จำต้องทำตามที่ธนาดลบอก โดยโทร. ไปหาเจ้านายและบอกไปตามที่ธนาดลบอก ระหว่างนั้นก็ตามไปจนถึงรถยนต์ธนาดล แต่ยังไม่ยอมปล่อยอีกฝ่ายไปง่ายๆ จนกระทั่งเจ้านายที่เป็นเพื่อนของอรปวีร์โทรศัพท์ไปบอกอรปวีร์ ซึ่งเป็นโชคดีที่อรปวีร์อาบน้ำอยู่ และคนที่รับสายแทนคืออิงสรณ์ 

อิงสรณ์จึงบอกเพื่อนของอรปวีร์ว่า รู้จักกับผู้ชายที่ชื่อธนาดลและยอมให้ฝ่ายนั้นพาน้องสาวไปได้ ซึ่งการที่อิงสรณ์ทำอย่างนี้ ก็เพราะอยากลองให้โอกาสและเชื่อใจธนาดลดูอีกครั้ง ในเมื่ออารดามีใจให้เขา และถึงเขาจะหักอกน้องสาวของหล่อนแล้ว แต่การที่เขาออกตัวปกป้องและดูแลสวัสดิภาพอารดา ก็แปลว่าในใจของเขาไม่ใช่ว่าไม่มีที่ว่างให้น้องสาวของหล่อนอยู่เลย เพียงแต่ทั้งสองคนต้องการเวลา รวมทั้งหล่อนเองก็ต้องการพิสูจน์ด้วยว่าผู้ชายคนนี้จะทำตัวเป็นสุภาพบุรุษและเหมาะสมกับน้องสาวของตนหรือไม่ ซึ่งถ้าผลออกมาเป็นลบ หล่อนกับอรปวีร์ก็พร้อมจะถล่มผู้ชายคนนี้จนไม่มีที่ยืนในสังคมอีกเลย!

ทางด้านธนาดลที่พาอารดาออกมาด้วยกันก็คิดอย่างเดียวว่าเขาคงพาหล่อนในสภาพเมาแอ๋ขนาดนี้กลับไปส่งที่คอนโดไม่ได้ แล้วจะพาหล่อนกลับไปที่บ้านเขาก็คงไม่ได้อีก เพราะแม่เขาต้องไม่ชอบใจแน่กับสภาพเมาเละเทะของหล่อน ทางเดียวที่เขานึกออกตอนนี้คงมีแต่ ‘ที่นั่น’ 

เขาจึงพาอารดาไปที่โรงแรมของอมรเดช ระหว่างทางที่ขับรถไป อารดาก็ละเมอพึมพำออกมาเป็นเชิงตัดพ้อต่อว่าเขา สลับกับร้องไห้สะอึกสะอื้นไปด้วยเป็นระยะๆ โดยไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังอยู่บนรถของคนที่หล่อนต่อว่าอยู่

“ไอ้คุณดล ไอ้คนใจร้าย! ฮือๆ...” หล่อนก่นด่าออกมาประโยคแรกและร้องไห้ไปด้วย แล้วก็เงียบไป แต่เพียงแค่อึดใจเดียวหล่อนก็ต่อว่าต่อขานโชคชะตาร้ายๆ ของตนเอง

“ฮือๆ...ฉันอุตส่าห์ไปขอพรเจ้าแม่ แล้วเจ้าแม่ก็อุตส่าห์ส่งคุณมาให้ แต่คุณกลับไม่รักฉันเลย ฮึก ใจร้าย ไอ้คุณดลใจร้ายที่สุดเลย ฮือๆ....” 

ธนาดลสะดุ้ง แต่ก็ตั้งใจฟังไปด้วย เพราะมีคำกล่าวไว้ว่า คนเมามักพูดสิ่งที่คิดออกมาจากใจ แล้วก็จริงดังคาด เพราะคราวนี้หล่อนบ่นต่อยาวเหยียดแบบไม่ยั้งเลย

“เจ้าแม่นะเจ้าแม่ ดันส่งคนที่ไม่เคยเห็นฉันอยู่ในสายตามาให้ ฉันชอบเขา แต่เขาไม่เคยเห็นฉันมีค่าในสายตาของเขาเลย ฮือๆ หลังจากนี้ฉันจะไม่ชอบคุณแล้ว...ฮือๆ...ฉันจะ...จะไปขอคืนคำ....ฮือๆ ขอคืนเจ้าแม่ ไม่เอามันแล้วผัว ไม่เอามันแล้วไอ้คนใจร้าย ฮือๆๆ”

ชายหนุ่มอึ้งไปเล็กน้อย ทั้งที่ตอนเขาหักอกหล่อนไปเมื่อวันก่อน หล่อนยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆ แต่มาวันนี้กลับพูดออกมาเสียหมดเปลือก แสดงว่าเจ้าตัวคงเสียใจอยู่ไม่น้อย ที่ทำเป็นว่าไม่รู้สึกรู้สาอะไรอย่างที่แสดงออกมาเมื่อวันก่อน นั่นคงแสร้งทำให้เขาคิดว่าหล่อนเข้มแข็งและยอมรับความผิดหวังได้

“คุณนี่มันน่าตีจริงๆ เลย” เขาเอื้อมมือไปปัดปอยผมให้หล่อนตอนที่รถยนต์จอดติดสัญญาณไฟ เจ้าตัวสะอึกสะอื้นและสะบัดหนีเขา จนแวบหนึ่งเขาสงสัยว่าหล่อนเมาจริงหรือเมาดิบ

“อย่ามายุ่ง ไม่รักไม่ชอบ ก็ปล่อยฉันไปเลย ฮือๆ...” อารดาปัดมือเขาออก ก่อนที่ครู่ถัดมาจะเงียบเสียงไปเป็นคำตอบว่าไม่ได้เมาดิบ 

ธนาดลจึงได้แต่ส่ายหน้า ก่อนจะพารถเคลื่อนที่ เมื่อสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว

แล้วเมื่อมาถึงโรงแรม เขาก็โทรศัพท์หาอมรเดชเล่าว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งเขาต้องการให้อีกฝ่ายช่วยหาพนักงานผู้หญิงมาให้ด้วย เพื่อป้องกันข้อครหาระหว่างที่เขาอุ้มอารดาลงจากรถและพาขึ้นลิฟต์ไปจนถึงห้องพัก เขาไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบคราวของพี่ชายอีก ซึ่งอมรเดชช่วยเหลือเต็มที่ 

แล้วเมื่อมาถึงห้องพัก พนักงานสาวก็ช่วยจัดการให้อารดานอนลงบนเตียงใหญ่ภายในห้องนอนของห้องสูท ส่วนธนาดลกับอมรเดชนั้นออกมายืนคุยกันที่ห้องรับแขก 

“พี่แจ้งไปแล้วว่าให้หาแม่บ้านมาช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้คุณปุ๊ก อีกเดี๋ยวคงมาถึง แล้วพี่ก็กำชับพวกพนักงานไปแล้วว่าห้ามให้ใครพูดถึงเรื่องนี้ ถ้าเกิดเรื่องเสียหายเพราะพนักงานนำเรื่องนี้ไปพูด พี่จะไล่ออกทันที”

“ขอบคุณครับพี่อาร์ท”

“ไม่เป็นไร พี่ช่วยได้ก็อยากช่วย อีกอย่างพี่ก็เห็นคุณปุ๊กเป็นเหมือนเพื่อนและน้องสาว แต่ทำไมเมาแอ๋ขนาดนี้ก็ไม่รู้ ผู้หญิงน่ะเวลาเมามากก็มีอยู่ไม่กี่สาเหตุหรอก ถ้าไม่ใช่เพราะดื่มจนเกินตัว ก็คืออกหัก” อมรเดชพูดไปตามเหตุผล โดยไม่รู้เลยว่าคนที่หักอกอารดาก็อยู่ตรงหน้าเขานี่ละ

สองหนุ่มยืนรอจนกระทั่งพนักงานสาวดูอารดาเรียบร้อย อมรเดชจึงให้พนักงานสาวที่ประจำอยู่ที่แผนกต้อนรับส่วนหน้ากลับไปทำงานต่อได้ ส่วนตัวเองขอตัวออกไปประสานงานเรียกแม่บ้านแล้วก็สั่งลูกน้องโดยตรง ปล่อยให้ธนาดลอยู่ในห้องตามลำพัง มองแล้วว่าช่วงเวลาสั้นๆ แค่นี้ ธนาดลไม่มีทางทำอะไรอารดาได้แน่ 

หลังจากทุกคนออกไปจากห้องแล้ว ธนาดลก็เดินเข้าไปในห้องนอนอารดา เขานั่งลงบนเตียงข้างหล่อน พร้อมกันนั้นความรู้สึกผิดก็ผุดขึ้นมา เขามีส่วนทำให้หล่อนเมาแบบนี้

“ผมขอโทษ ที่คิดว่าคุณไม่จริงจัง” ธนาดลกล่าวแล้วก็ลูบศีรษะหล่อนเบาๆ อย่างอ่อนโยน 

คนที่หลับอยู่แม้จะไม่รู้ว่าใครกันที่ลูบศีรษะหล่อน แต่ก็แสดงสีหน้าเคลิบเคลิ้ม   แล้วคว้ามือนั้นไว้ก่อนจะดึงแรงๆ พร้อมกับที่เจ้าตัวพลิกกายตะแคงข้าง ทำเอาคนที่ไม่ทันตั้งตัวว่าจะถูกหล่อนดึงถึงกับถลาลงไปหา และปลายจมูกของเขาก็ชนกับแก้มของหล่อนเข้าอย่างจัง

ชายหนุ่มเบิกตากว้าง มองหน้าคนที่ดึงเขาลงไปอย่างสงสัยว่าหล่อนรู้สึกตัวหรือเปล่า แต่พอหล่อนยังไม่มีปฏิกิริยาใดตอบสนอง เขาจึงรู้ว่าหล่อนแค่ละเมอจึงรีบแกะมือหล่อนออกและลุกลงจากเตียง ก่อนจะเดินกลับไปที่ห้องรับแขก ก็พอดีกับที่อมรเดชกลับเข้ามา

อมรเดชถึงกับขมวดคิ้วเมื่อเห็นลูกพี่ลูกน้องทำหน้าแปลกๆ

“เป็นอะไรหรือเปล่าดล”

“เปล่าครับ ผมแค่กำลังคิดว่าจะไม่ให้คุณปุ๊กตกใจตอนตื่นขึ้นมายังไง” ธนาดลอ้างเท่าที่พอจะฟังขึ้น ใครจะไปบอกว่าเขาตกใจกับอุบัติเหตุเล็กๆ เมื่อครู่นี้ที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก ไม่อยากคิดและไม่อยากเดาเลยว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในหัวใจตอนนี้คืออะไร แล้วก็ไม่อยากให้เป็นความรักด้วย เพราะเขาบอกกับตัวเองมาตลอดว่า เขาไม่ได้รักใคร่ ไม่ได้สนใจหล่อน เขาแค่ใจดีกับหล่อน เพราะหล่อนเป็นเพื่อนสนิทของพี่สะใภ้ เป็นแค่คนรู้จักกันเท่านั้น มันควรจะเป็นแค่นั้นสิ!

อมรเดชก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร นอกจากหันไปพยักหน้าให้แม่บ้านเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าให้อารดาที่อยู่ในห้องนอน ส่วนสองหนุ่มยืนคุยกันอยู่ที่ห้องรับแขกต่อ   ก่อนที่ธนาดลจะบอกว่าเขาต้องการให้แม่บ้านอยู่เป็นเพื่อนอารดาในคืนนี้ แล้วถ้าอารดาฟื้น ก็ให้บอกแค่ว่ามีลูกค้าวีไอพีของโรงแรมของอมรเดชอยู่ในบาร์ของโรงแรมที่อารดาไปมีเรื่องวุ่นวายเข้าพอดี แล้วลูกค้าคนนั้นจำได้ว่าเคยเห็นอารดายืนคุยอยู่กับอมรเดชเมื่อวันก่อน คิดว่ารู้จักกัน แต่ไม่รู้ว่าบ้านของหล่อนอยู่ที่ไหน ก็เลยพามาส่งที่นี่เพราะน่าจะปลอดภัยกว่า

“จะเอาแบบนี้จริงเหรอ”

“ครับ”

ธนาดลยืนยัน แต่ไม่ยอมบอกเหตุผลว่าทำไมถึงไม่ให้อมรเดชบอกความจริง แต่มีหรืออมรเดชจะมองไม่ออก แม้จะไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างธนาดลกับอารดาเป็นอย่างไร แต่เขาก็สัมผัสได้ว่าธนาดลที่เคยมีกำแพงหนาสูงหลายเมตรในใจ  ตอนนี้เจ้ากำแพงนั่นเหมือนจะหดสั้นลงกว่าเมื่อก่อนแล้ว 

ทว่าอมรเดชยังไม่ทันพูดอะไร โทรศัพท์มือถือของธนาดลก็ดังขึ้น เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อนอก แล้วนิ่วหน้าเล็กน้อย ก่อนจะปัดหน้าจอเพื่อรับสายนั้น

“ฮัลโหล มีอะไรหรือครับคุณรุ้ง” ชายหนุ่มถามทั้งที่พอจะเดาได้ว่ารติยาอาจจะรู้เรื่องที่อารดาอยู่กับเขาแล้วก็ได้ 

“ปุ๊กอยู่กับคุณดลหรือเปล่าคะ” รติยาถามไม่อ้อมค้อมเลยสักนิด หล่อนรู้อยู่แล้วว่าเพื่อนอยู่กับธนาดลแน่ แต่ต้องการคำยืนยันชัดๆ

“ใช่ครับ คุณปุ๊กอยู่กับผม แต่ไม่ได้อยู่กันสองต่อสอง ผมพาเธอมาที่โรงแรมของพี่อาร์ท….” เขาเล่าให้อีกฝ่ายฟังว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แล้วทำไมเขาถึงต้องพาเพื่อนของรติยามาที่นี่ แทนที่จะพากลับคอนโด ซึ่งพอรติยารู้เรื่องราวทั้งหมดก็โล่งใจ ที่อย่างน้อยๆ เพื่อนก็ปลอดภัยอยู่กับคนที่ไว้ใจได้

แต่ยิ่งปลอดภัยเท่าไรก็ยิ่งอันตรายต่อหัวใจอารดามากขึ้นเท่านั้น 

“คุณดลคะ รุ้งขอพูดอะไรสักอย่างได้ไหมคคะ”

“ว่ามาได้เลยครับคุณรุ้ง”

“มันอาจจะไม่เข้าหูคุณดล แต่มันคือสิ่งที่รุ้งอยากบอกแทนเพื่อน พี่สาวของปุ๊กบอกรุ้งแล้วว่าทำไมปุ๊กถึงไปนั่งดื่มคนเดียวที่บาร์ เป็นเพราะปุ๊กอกหักจากคุณดล แต่การที่คุณดลช่วยปุ๊กไว้แบบนี้ ถ้าคุณดลไม่คิดอะไรกับปุ๊กเลย จะยิ่งทำให้ปุ๊กเจ็บกว่าเดิมนะคะ”

ธนาดลนิ่งไปครู่หนึ่ง ใช่ว่าเขาไม่รู้ แต่เขากำลังทำความเข้าใจกับตัวเองอยู่ กำลังคิดว่าควรจัดการอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ดี จะไปต่อทางนี้ หรือจะหยุดอยู่แค่ที่เป็นอยู่ เขาอยากใช้เวลาคิดให้แน่ใจมากกว่านี้

“ขอบคุณสำหรับคำเตือนครับ ผมจะไม่ทำให้ใครลำบากใจก็แล้วกัน”

รติยาชะงักกับคำพูดของน้องสามี แล้วก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ หล่อนจึงได้แต่ฝากฝังอารดาไว้กับเขาก่อนวางสายไป

ทว่าการสนทนาของทั้งสองคนนั้น อมรเดชเองก็ได้ยินด้วยเช่นกันเพราะเสียงของรติยาลอดออกมาให้ได้ยิน เขาจึงพอจะปะติดปะต่ออะไรขึ้นมาได้บ้างแล้ว แต่เขาก็คงทำอะไรมากไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของคนสองคน ดังนั้นสิ่งที่เขาพอจะทำได้ในตอนนี้ก็คงมีแค่ช่วยเตือนสติเท่าที่จะทำได้

“เดี๋ยวพี่ไปทำงานต่อแล้วกัน ถ้ามีอะไรก็สั่งแม่บ้านได้เลย”

“ครับพี่อาร์ท ขอบคุณมากจริงๆ ครับ”

“ไม่เป็นไร นายต้องการความช่วยเหลือ และมันก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงพี่”

 “ขอบคุณครับ” ธนาดลขอบคุณอีกครั้ง

“แต่ก่อนไป พี่อยากบอกนายอย่างหนึ่งก่อน ถ้ามีอะไรที่ต้องทำหรือต้องแก้ไข จงอย่ารอให้ถึงตอนที่สายไปแล้ว เพราะเมื่อถึงตอนนั้น นายจะเสียใจที่ไม่ได้ทำในสิ่งที่ควรทำ” อมรเดชว่าแล้วก็ตบไหล่ลูกพี่ลูกน้องอย่างให้กำลังใจ ก่อนจะเดินออกไปจากห้องสูท ปล่อยให้ธนาดลคิดเอาเองว่าจะทำอย่างไรกับเรื่องของตัวเองต่อไป 

หลังจากอมรเดชไปแล้ว แม่บ้านที่เปลี่ยนเสื้อผ้าให้อารดาเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เดินออกมาจากห้องนอน

“ดิฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าให้คุณผู้หญิงเรียบร้อยแล้วค่ะ ไม่ทราบว่าคุณผู้ชายมีอะไรจะให้รับใช้ หรือต้องการอะไรอีกไหมคะ”

“ไม่มีอะไรแล้วครับ”

“ถ้าอย่างนั้นดิฉันขอตัวเอาเสื้อผ้าของคุณผู้หญิงไปส่งห้องซักรีด แล้วจะกลับมาเฝ้าคุณผู้หญิงให้นะคะ”

“ครับ ขอบคุณมาก”

ธนาดลกล่าวขอบคุณ แม่บ้านจึงนำเสื้อผ้าของอารดาออกไปจากห้องเพื่อไปส่งยังห้องซักรีด ส่วนธนาดลก็เข้ามาในห้องนอนที่ตอนนี้อารดาสวมชุดนอนใหม่เรียบร้อยแล้ว 

ชายหนุ่มนั่งลงบนเตียงข้างหล่อน เขาถอนหายใจยามที่มองคนที่นอนอยู่บนเตียง คำพูดของรติยายังวนเวียนอยู่ในหัว รวมทั้งคำพึมพำต่อว่าต่อขานของอารดาก่อนหน้านี้เองก็ยังคงไม่จางหายไป ทำให้เขารู้สึกว่าเขาควรจะดีกับหล่อนมากกว่านี้เหมือนอย่างที่พี่ชายเคยบอกไว้ว่า เขาเอาแต่มองหาข้อเสียของหล่อน เพียงเพราะเขาแค่ต้องการหลีกเลี่ยงความรู้สึกของตัวเองจนลืมมองส่วนที่ดีของอารดาไป

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคิดไม่ตก และยังไม่ตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับความรู้สึกเหล่านี้ดี 

“คุณอยากให้ผมยื่นมือไปหาคุณจริงๆ เหรอ แน่ใจแล้วเหรอที่คุณอยากให้คนคนนั้นของคุณคือผม? ผมอาจจะไม่ได้ดีอย่างที่คุณคิดก็ได้ แต่ทำไมคุณถึงยังยืนยันว่ารักผม คุณอยากให้ผมยอมรับหัวใจของคุณจริงๆ เหรอ...อารดา”

ธนาดลพึมพำ แต่คำถามนั้นเหมือนกับเขาถามตัวเองไปด้วย แล้วเขาก็นั่งเฝ้าอารดาต่ออีกพักใหญ่ จนกระทั่งแม่บ้านกลับมา เขาจึงลุกจากเตียงและกำชับแม่บ้านว่าเมื่อหล่อนตื่นขึ้นมาแล้วให้บอกหล่อนว่าอย่างไรบ้าง และห้ามพูดถึงเขา ก่อนที่เขาจะกลับไป

ดังนั้นเช้าวันต่อมา เมื่ออารดาตื่นขึ้นมาและพบว่าตัวเองอยู่ในห้องที่ดูเหมือนห้องพักโรงแรม  หล่อนตกใจในนาทีแรก แต่นาทีต่อมาก็กลายเป็นแปลกใจ เมื่อแม่บ้านของโรงแรมเข้ามาในห้องและบอกว่าหล่อนอยู่ที่โรงแรมของอมรเดช

“แล้วทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ ก็เมื่อคืนฉันไปดื่มที่บาร์ของแกรนด์เพลสซิโอนี่”

“ดิฉันทราบแค่ว่ามีแขกวีไอพีของทางเราเป็นคนพาคุณผู้หญิงมาส่งค่ะ”

“แขกวีไอพีเหรอคะ!” อารดาร้องเสียงหลง งงในงง “ช่วยบอกรายละเอียดหน่อยได้ไหมคะ”

“คือว่ามีแขกวีไอพีของทางเราเป็นคนพาคุณผู้หญิงมาส่งที่โรงแรมค่ะ แล้วก็ให้ดิฉันช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้คุณ เพราะคุณเมามากและเสื้อผ้าเปื้อนหมดเลย แล้วก็ดิฉันคอยเฝ้าคุณผู้หญิงไว้ เผื่อคุณตื่นมาจะได้ไม่ตกใจ แต่นอกนั้นดิฉันไม่ทราบจริงๆ ส่วนรถยนต์ของคุณผู้หญิง ตอนนี้อยู่ที่ลานจอดรถของโรงแรมค่ะ” 

“นี่เอารถของฉันมาจากที่นั่นให้ด้วยเหรอคะ!”

“ใช่ค่ะ”

เอาละสิ! คนที่พาหล่อนมาส่งที่โรงแรมนี้เป็นลูกค้าวีไอพีของโรงแรม แถมยังรอบคอบมาก เอารถยนต์ของหล่อนมาส่งให้ด้วย ว่าแต่เขาเป็นใครกัน?

“เขาเป็นลูกค้าวีไอพีของโรงแรมจริงๆ เหรอคะ” อารดาย้ำถาม ไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าไร แล้วแวบหนึ่งหล่อนก็หวนคิดถึงธนาดลขึ้นมา เพราะจำได้ว่าเขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของอมรเดช และพี่ชายของเขาก็เป็นหุ้นส่วนโรงแรมแห่งนี้ ดังนั้นจะถือว่าเขาเป็นแขกวีไอพีของโรงแรมก็ย่อมได้เหมือนกัน

แม่บ้านพยักหน้าหงึกๆ แทนคำตอบ แต่อารดาก็ยังไม่วายสงสัยอยู่ดี

“แล้วเขามีลักษณะยังไง สูง ขาว หรืออายุประมาณเท่าไหร่ พอจะบอกได้ไหมคะ”

“ดิฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ พอดีดิฉันได้รับคำสั่งจากคุณอมรเดชโดยตรง ไม่เห็นผู้ชายคนนั้นหรอกค่ะ”

นั่นไง! พลาดแล้วค่ะคุณแม่บ้าน ถ้าไม่เห็นแล้วรู้ได้อย่างไรว่าคนคนนั้นเป็นผู้ชาย

แต่เอาเถอะถามไปก็เท่านั้น ในเมื่อจะใช่เขาหรือไม่ อย่างไรวันนี้หล่อนก็จะไปขอคืนพรกับเจ้าแม่แล้ว ต่อให้เป็นเขาที่มาช่วยหล่อนไว้ แต่สุดท้ายเขาก็ทำไปเพราะหล่อนเป็นเพื่อนของรติยานั่นละ 

อารดาเตือนตัวเองและลุกขึ้นมากินอาหารที่แม่บ้านจัดเตรียมไว้ให้ พอกินเสร็จหล่อนก็บอกแม่บ้านว่าอยากขอพบอมรเดชเพื่อขอบคุณเขา แต่แม่บ้านแจ้งว่าวันนี้อมรเดชไม่เข้ามาที่โรงแรม หล่อนจึงเขียนจดหมายขอบคุณและฝากให้แม่บ้านเอาไปให้อมรเดช แล้วก็ให้เงินค่าเหนื่อยแก่แม่บ้านที่ต้องมาอยู่ดูแลหล่อนไปพอหอมปากหอมคอ จากนั้นหล่อนก็ขับรถกลับคอนโดของตัวเอง

หลังจากจัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและพักผ่อนจนหายจากอาการแฮงก์เบาๆ อันเป็นผลจากการเมาเมื่อคืนนี้แล้ว อารดาก็โทรศัพท์หารติยาเพื่อบอกว่าวันนี้ตนเองจะไปหาเจ้าแม่ที่อยุธยาอีกครั้ง เพื่อขอคืนพรที่เจ้าแม่ให้มา แล้วก็บอกด้วยว่าโดนธนาดลหักอกมาแล้วเรียบร้อย 

แต่รติยาที่รู้เรื่องเมื่อคืนนี้แล้ว และธนาดลขอให้ช่วยปิดปากห้ามบอกอารดาว่าเขาคือคนที่ช่วยหล่อนไว้ก็คันปากยิบๆ อยากจะบอกเพื่อนเต็มแก่แต่ทำไม่ได้ จึงได้แต่ปลอบใจเพื่อนที่อกหักและพยายามหาทางถ่วงเวลาเพื่อนโดยอ้างว่า

“แกไปช่วงบ่ายๆ เย็นๆ ได้ไหม ฉันจะขอคุณตาลเลิกงานเร็วขึ้นสักหน่อย จะได้ไปเป็นเพื่อนแก”

“ไม่ต้องหรอก ฉันไปเองได้ แกมีงานต้องทำ เกเรงานไม่ดีนะคะคุณหนูรุ้งของคุณแม่ขา”

“ถ้าอย่างนั้นเย็นๆ ค่อยไปก็ได้ กลางวันแดดร้อนจะตาย ถึงในวัดจะมีที่ร่มๆ ให้เดิน แต่อากาศมันร้อนนะ”

รติยาพยายามหว่านล้อมสุดๆ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าโชคดี หรือเจ้าแม่มาดลใจให้อารดาเห็นด้วยกับเรื่องอากาศร้อน แต่เจ้าตัวก็ยังยืนยันว่าจะไปในช่วงบ่ายนี้ เพียงแต่บอกเพิ่มว่า

“งั้นฉันจะไปนั่งดื่มกาแฟที่คาเฟ่ชิกๆ คูลๆ เซิร์ชเจอว่าที่อยุธยาก็มีหลายที่ ทำใจให้เย็นสบายถ่ายรูปมายั่วแกให้อิจฉาไปเลย จากนั้นค่อยไปหาเจ้าแม่ก็ยังไม่สาย”

“จ้า จ้า เชิญยั่วตามสบายเลย แต่บอกพิกัดร้านมาหน่อยสิ ฉันจะไปแอบส่องดูก่อน เผื่อครั้งหน้าฉันว่างจะได้ไปด้วยกันกับแกไง” คนเป็นเพื่อนเห็นดีเห็นงามและออกอุบายขอดูชื่อและพิกัดร้าน ตั้งใจถ่วงเวลาอารดาไว้ไม่ให้ไปถึงที่วัดเร็วเกินไป เพราะไม่อย่างนั้นแล้วจะไม่มีใครห้ามการขอคืนคำขอเจ้าแม่ทันแน่

               อารดาส่งรีวิวคาเฟ่ที่ตัวเองเห็นในเว็บแนะนำร้านน่านั่งในอยุธยาไปให้ หลังจากนั้นก็คุยกับรติยาต่ออีกเล็กน้อยก่อนจะวางสายไป โดยไม่รู้เลยว่าเพื่อนของตนเองได้โทรศัพท์หาใครคนหนึ่งเพื่อบอกเรื่องที่อารดากำลังจะไปขอคืนพรกับเจ้าแม่ให้ได้รู้

รติยาโทรศัพท์หาวิราพร เลขานุการของอติรุจโดยตรง หล่อนรออยู่หลายอึดใจกว่าฝ่ายนั้นจะรับสาย เดาว่าคงติดพันเรื่องงานอยู่ ซึ่งพอเลขาฯ สาวรับสาย หล่อนก็ถามไปทันที

“คุณตวงคะ คุณรุจว่างอยู่หรือเปล่าคะ”

“ท่านประธานกำลังประชุมอยู่ค่ะคุณรุ้ง” 

“แล้วคุณดลประชุมอยู่ด้วยกันไหมคะ”

“อยู่ค่ะ”

“งั้นรบกวนคุณตวงช่วยไปบอกคุณรุจทีนะคะว่า เกิดเหตุฉุกเฉินค่ะ ปุ๊กกำลังจะไปอยุธยา เพื่อขอคืนพรเจ้าแม่ค่ะ”

“คะ? อะไรนะคะคุณรุ้ง” วิราพรทวนถามเหมือนไม่แน่ใจว่าได้ยินอะไรผิดไปหรือเปล่า 

“เอาเป็นว่า คุณตวงบอกคุณรุจตามนี้แล้วกันค่ะ คุณรุจจะเข้าใจเอง ต้องบอกตอนนี้เลยนะคะ ห้ามเสียเวลาแม้แต่น้อยเลย  เป็นเหตุฉุกเฉิน ด่วนมากค่ะ!” รติยาย้ำยิ่งกว่าย้ำ

วิราพรแม้จะงงอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เพราะคุณนายของท่านประธานย้ำนักย้ำหนาว่าเป็นเหตุฉุกเฉิน ซึ่งปกติแล้วรติยาไม่เคยโทรศัพท์มาหาหล่อน แล้วก็ไม่เคยทำตัววุ่นวายเป็นคุณนายท่านประธานด้วย ดังนั้นเหตุครั้งนี้น่าจะฉุกเฉินจริงๆ นั่นละ 

เจ้าตัวจึงรีบไปยังห้องประชุม เดินไปหาธนัชที่ยืนอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้องแล้วกระซิบบอกอีกฝ่าย ธนัชที่เป็นเลขาฯ คนสนิทของอติรุจรู้ว่าเรื่องนี้ด่วนจริงๆ เจ้าตัวจึงเดินเข้าไปกระซิบบอกเจ้านาย

 “ผมต้องขอโทษทุกคนด้วย แต่ขอเบรกสักครู่ ห้านาที แล้วเดี๋ยวเราค่อยประชุมกันต่อครับ” อติรุจหันไปทางน้องชาย “คุณธนาดล ตามผมไปที่ห้องประชุมเล็ก” เขาสั่งแค่นั้นก็รีบเดินไปยังห้องประชุมเล็กที่อยู่ใกล้กัน 

ธนาดลแม้จะงุนงงกับท่าทีของพี่ชาย แต่ก็ลุกตามออกไป เขาปิดประตูห้องประชุมเล็ก แล้วมองพี่ชายที่ตอนนี้ยืนกอดอกพิงขอบโต๊ะประชุมตัวยาวอยู่ ท่าทางเหมือนหนักใจอะไรสักอย่าง 

“มีเรื่องอะไรหรือครับพี่รุจ”

“อารดากำลังจะไปอยุธยา เพื่อขอคืนพรเจ้าแม่ที่หล่อนขอให้ช่วยประทานคนรักมาให้” อติรุจไม่เสียเวลาอารัมภบทใดๆ ทั้งสิ้น “ฉันรู้ว่ามันฟังดูไม่น่าเชื่อ และฉันรู้ว่านายเองก็ไม่ใช่คนเชื่อเรื่องแบบนี้ เพราะฉันเองก็เคยไม่เชื่อเหมือนกัน จนกระทั่งเมื่อวันที่ฉันแน่ใจว่าฉันปล่อยมือจากรุ้งไปไม่ได้ ฉันจึงต้องยอมรับและเข้าใจ แล้วก็เชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยประทานพรมาให้ฉันกับรุ้ง”

ธนาดลเงียบไปกับคำพูดของพี่ชาย ใช่ว่าเขาจะไม่รู้เรื่องขอพรอะไรนี่ เพราะเมื่อคืนนี้อารดาเมาหนักและหล่อนได้พูดทุกอย่างออกมาหมดเปลือกแล้ว แต่เขาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ดีต่างหาก 

อติรุจรู้ว่าไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายปฏิเสธเจ้าแม่ แต่เป็นเพราะเจ้าตัวพยายามจะหลีกเลี่ยงความรู้สึกของตนเองมากกว่า

“ดล…อารดาไม่ใช่ยุวันดา แล้วก็ไม่ใช่มินทิรา เธอเป็นตัวของตัวเอง ถ้านายผลักไสเธอออกไปเพราะเรื่องของสองคนนั้นเป็นเหตุแล้วละก็ นายกำลังจมอยู่กับความรักที่ไม่ควรจะกลับไปนึกถึงมันอีก”

“พี่รุจ… ผมไม่ได้คิดถึงสองคนนั้นแล้ว”

“อย่าปฏิเสธเลย นายยังคิดอยู่ แล้วก็เพราะคิดนั่นแหละ นายถึงไม่ไว้ใจใคร มันเป็นข้อดีของนายที่รู้จักระมัดระวังตัวไม่ซ้ำรอยเดิม และไม่ให้ใครมาปั่นหัวได้ แต่อารดาไม่ได้เข้ามาปั่นหัวนายเพื่อหวังผลประโยชน์ เธอปั่นหัวนายเพราะต้องการแค่ความรักจากนาย”

คนเป็นน้องฟังแล้วถอนใจ ก่อนจะถามกลับ “พี่รุจคิดว่าอารดาจริงใจจริงๆ เหรอ”

“อย่าถามฉัน ถามตัวเองดีกว่า เธอเข้าหานายมากกว่าฉัน นายสัมผัสอะไรได้จากตัวเธอบ้างล่ะ ความโกหกหลอกลวง ความไม่จริงใจ หรือความตรงไปตรงมา ในเมื่อสายตาของเธอมันมองแต่นาย ลองถามตัวเองดูแล้วนายจะรู้คำตอบที่นายถามฉัน”

ธนาดลนิ่งไป อติรุจจึงได้ทีพูดต่อ เพื่อย้ำให้น้องชายได้คิดให้มากขึ้น 

“ถ้านายบอกว่าอารดาไม่ใช่สเปกของนาย และถ้านายบอกว่านายไม่สนใจอะไรจริงๆ งั้นลองถามตัวเองสิว่าถ้าวันหนึ่งอารดาไม่มาวุ่นวายกับนาย ไม่มาวอแวอะไรกับนายอีก เวลาเจอกันก็มองนายเหมือนเป็นคนที่ไม่รู้จักกัน นายแน่ใจไหมว่าตัวเองจะไม่เหงาและไม่รู้สึกอะไรเลย”

ธนาดลอึ้งไปกับคำถามของพี่ชาย แล้วก็รู้สึกเจ็บแปล๊บขึ้นมาอยู่หน่อยๆ ในอก ไม่แน่ใจว่าเป็นความรู้สึกที่ไม่อยากเสียหล่อนไป หรือแค่ใจหายเฉยๆ 

อติรุจไม่อยากให้น้องชายคิดนานเกินไป เพราะไม่เหลือเวลาแล้วในตอนนี้ เขาจึงต้องกระตุ้นน้องชายให้รู้สึกตัวแรงขึ้นกว่าเดิม

“อย่างที่ฉันบอกไปว่าอารดากำลังไปอยุธยา ดังนั้นนายมีเวลาคิดไม่มาก ถ้าจะตัดสินใจอะไรก็เหลือเวลาแค่สามนาที ไม่อย่างนั้นนายตามเธอไปไม่ทันแน่ แล้วก็จะไปห้ามเธอไม่ให้ขอคืนพรไม่ทันด้วย คิดให้ดีก็แล้วกันว่าจะยอมปล่อยเธอไป หรือว่าจะยอมเข้าใจหัวใจตัวเอง”

อติรุจทิ้งระเบิดคำพูดไว้ลูกใหญ่ ก่อนจะออกไปจากห้องประชุมเล็ก ปล่อยให้น้องชายได้ตกผลึกความคิดตามลำพัง และหวังว่าน้องชายจะไม่ทำให้โอกาสที่มีอยู่สุดท้ายนี้เสียไป

‘ถ้ามีอะไรที่ต้องทำหรือต้องแก้ไข จงอย่ารอให้ถึงตอนที่สายไปแล้ว เพราะเมื่อถึงตอนนั้น นายจะเสียใจที่ไม่ได้ทำในสิ่งที่ควรทำ’

เมื่อถึงเวลาตามที่ตั้งใจไว้ อารดาขับรถออกจากคอนโดแล้วแวะเติมน้ำมันให้เรียบร้อยก่อนจะขับรถขึ้นทางด่วนตรงไปยังอยุธยาตามเส้นทางเดิมที่หล่อนเคยมา แต่เพราะความเป็นเจ้าแม่จอมหลงจึงตั้งจีพีเอสมาเหมือนเดิม ซึ่งคราวนี้หล่อนระบุไปยังคาเฟ่แห่งหนึ่งที่เปรยบอกเพื่อนไป

หนึ่งชั่วโมงต่อมาหล่อนก็มาถึงที่หมาย ซึ่งเป็นคาเฟ่ที่ไม่ได้ใหญ่มากตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตัวคาเฟ่ทำเป็นเรือนกระจกสองชั้น ตกแต่งด้วยสีเอิร์ทโทนสไตล์อบอุ่นตัดกับสีเขียวของต้นไม้ สามารถนั่งมองวิวแม่น้ำอย่างเพลิดเพลิน มีเครื่องดื่มกับเบเกอรีอร่อยๆ ให้กิน ถูกใจสายกินอย่างอารดาเป็นอย่างมาก เจ้าตัวจึงโพสต์ลงเฟซบุ๊กแล้วส่งไลน์ไปยั่วเพื่อนรัก

ปุ๊กไงจะใครล่ะ : ฉันมาถึงแล้วจ้า บรรยากาศดีมาก เมนูเบเกอรีเพียบเลยค่ะคุณหนูรุ้งขา

รุ้งพราย : ไหนมีอะไร เอามายั่วให้หมดเลยนะ ตอนนี้ร่างกายฉันต้องการของกิน

รติยาตอบกลับก่อนจะส่งพิกัดของเพื่อนต่อไปให้คนที่สามารถยับยั้งอารดาได้ รวมทั้งพยายามถ่วงเวลาให้เพื่อนอยู่ที่นี่นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อที่ธนาดลจะได้ขับรถไปถึงและเตรียมการทุกอย่างพร้อมรับมือยายเพื่อนตัวดี

ฝ่ายอารดาก็สนุกกับการถ่ายรูปมุมนั้นมุมนี้ แล้วก็อร่อยกับเบเกอรีที่สั่งมา จานแรกหมด หล่อนก็สั่งเมนูถัดมานั่งกินฟินต่อไปและใช้เวลาอยู่ในคาเฟ่หนึ่งชั่วโมงเต็ม ก่อนจะส่งข้อความบอกเพื่อนว่ากำลังจะออกจากร้านเพื่อไปยังวัดแล้วจะได้ขอคืนพรกับเจ้าแม่เสียที แต่รติยากลับพิมพ์ข้อความหนึ่งกลับมา

รุ้งพราย : แกคิดดีแล้วเหรอปุ๊ก ที่จะขอคืนพรกับเจ้าแม่

ปุ๊กไงจะใครล่ะ : ฉันคิดดีแล้ว ก็เขาพูดตรงๆ ขนาดนั้น ฉันทู่ซี้ต่อไปก็หน้าด้านเกินทนแล้ว

รุ้งพราย : แกไม่คิดจะให้โอกาสเขาอีกครั้งเหรอ

ปุ๊กไงจะใครล่ะ : นั่นน่าจะเป็นคำถามของฉันมากกว่ามั้งที่อยากถามเขาว่า เขาไม่คิดให้โอกาสฉันอีกสักครั้งเลยเหรอ แต่ช่างมันเถอะ ฉันตัดสินใจแล้ว ถ้าฉันจะอาภัพคู่ ไร้แฟน ไร้ผัว ฉันก็จะเป็นคนโสดที่สวยและสตรองต่อไป

อารดาส่งสติกเกอร์ตลกๆ ไปให้ รติยาก็เลยได้แต่ส่งสติกเกอร์ปลอบใจกลับมา ก่อนจะพิมพ์บอกว่าขอตัวไปทำงานเพราะครูสมศรีเข้ามาพอดี อารดาจึงไม่รบกวนเพื่อนอีกแล้วขับรถออกจากคาเฟ่ มุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทาง

ไม่นานนักหล่อนก็มาถึงวัดและจอดรถที่ลานจอดรถก่อนจะเดินอ้อมด้านหลังพระอุโบสถไปศาลเจ้าแม่จากอีกด้านหนึ่ง แต่ตอนที่โผล่พ้นทางเดินด้านหลังพระอุโบสถและเจอกับช่องจอดรถเป็นแนวยาวนั้นเอง ใครคนหนึ่งก็ก้าวออกมาจากด้านหลังมุมต้นไม้และคว้าแขนหล่อนไว้

“ว้าย!” หล่อนตกใจ หันไปกะจะชกอีกฝ่าย แต่ก็ต้องชะงักเมื่อคนที่จับแขนหล่อนไว้คือ...

“คุณดล!”

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น