3

ลางจะมีผัว

บทที่ ๓ 

ลางจะมีผัว

 

เสียงถามจากเพื่อนทำเอาอาการเคลิ้มความหล่อของชายหนุ่มที่ช่วยหล่อนไว้หายเป็นปลิดทิ้ง รติยาหันมองเพื่อนแล้วหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าตื่นเต้นของอารดาที่ตอนนี้อยากรู้อยากเห็นสุดๆ แถมยังมองตามหลังผู้ชายที่เดินขึ้นบันไดหน้าพระอุโบสถไป แล้วหันมองเพื่อนอีกทีพร้อมกับความสงสัยและอยากได้คำตอบสุดๆ

“ไม่มีอะไร เขาแค่ช่วยฉันไว้เพราะฉันเดินไม่ดูทาง ตกยกพื้นนี่” หล่อนตอบแล้วชี้ให้ดูยกพื้นไม้ที่อยู่ใกล้ๆ แต่ดูเหมือนอารดาจะติดใจอะไรมากกว่านั้น

“ใช่ดาราหรือเปล่าแก ฉันเห็นไม่ชัด แต่มองจากไกลๆ ก็รู้ว่าหล่อมาก”

“ไม่น่าจะใช่นะ เพราะถ้าใช่คนแถวนี้เขาต้องฮือฮาแล้วสิ”

รติยาว่าแล้วพยักพเยิดให้เพื่อนมองไปรอบๆ ดูผู้คนที่มาเที่ยวและไหว้พระที่วัดว่าไม่มีใครมีปฏิกิริยากับหนุ่มหล่อคนนั้นเลยแม้แต่น้อย อารดาจึงพยักหน้า เชื่อว่าเขาคงไม่ใช่ดารานักแสดงแน่ๆ แต่ก็ยังไม่วาย...

“เออ จริง แต่หล่อเป็นบ้าเลยเนอะ”

“อื้อหือ เรดาร์คนหล่อของแกนี่ทำให้สายตาดีกี่เมตรเนี่ย”

“หล่อแบบนั้น ร้อยเมตรก็เห็น”

“เว่อร์ไปแล้วจ้ะคุณนาย พอๆ มาหยอดเหรียญ เติมน้ำมันตะเกียงดีกว่ามา”

รติยาตัดบทแล้วชวนเพื่อนทำบุญต่อ ทิ้งเรื่องคนหล่อไว้ข้างหลัง อารดาที่กระดี๊กระด๊าอยู่เมื่อครู่เลิกสนใจคนหล่อไปโดยปริยาย สองสาวทำบุญเติมตะเกียงน้ำมันเสร็จแล้วก็ไปซื้อของฝากที่ร้านของฝากริมรั้ววัด จากนั้นจึงไปต่อที่ร้านอาหารตามที่อารดาได้ดูไว้

สองสาวขับรถไปยังร้านอาหารโดยใช้แผนที่นำทางผ่านโทรศัพท์ ไม่นานนักก็มาถึงปากซอยทางเข้าร้านซึ่งอยู่ห่างจากวัดที่ไปมาไม่ไกลนัก

“ตกลงเอาร้านนี้นะ” อารดาถามขณะขับรถไปตามถนนส่วนบุคคลตามที่จีพีเอสนำทาง

“มาจนอีกไม่ถึงสองร้อยเมตรจะถึงร้านแล้ว ยังจะถามอีกเหรอคะคุณนาย”

“ก็เผื่อแกอยากกินร้านอื่น”

“ไม่ละ แกว่าไงก็ว่าตามกัน ฉันมีหน้าที่นั่งมาเป็นเพื่อน เพราะฉะนั้นอะไรก็ได้ตามใจคนพามาเลยค่ะ”

รติยาว่ายิ้มๆ ตามใจเพื่อน เพราะหล่อนนั่งมาเป็นเพื่อนจริงๆ เว้นแต่ถ้าอารดาเกิดง่วงขึ้นมาหรือขับกลับไม่ไหวหรืออื่นๆ หล่อนก็ช่วยขับรถแทนให้ได้ 

“หืม ยายนี่ ให้มาเป็นเพื่อนก็มาจริงๆ เลย”

“กล้าบ่นเหรอคะคุณปุ๊ก เดี๋ยวทิ้งซะเลย”

“แกทิ้งฉันแล้วจะกลับยังไงคะ คุณหนูรุ้งของคุณแม่ขา”

อารดาเย้าแหย่พร้อมกับส่งยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้ แล้วจึงเลี้ยวเข้าไปยังลานจอดรถตามที่พนักงานร้านโบกเรียก รติยาหัวเราะในลำคอกับคำถามท้าทายของเพื่อนก่อนจะตอบยิ้มๆ

“ยากอะไร ฉันถามชาวบ้านก็ได้ว่ารถตู้เข้ากรุงเทพฯ หรือสถานีรถไฟไปทางไหนคะ แล้วก็ไปขึ้นรถตู้หรือรถไฟกลับ แค่นี้ก็กลับกรุงเทพฯ ได้แล้ว หรือง่ายสุดเข้าแอปเรียกแท็กซี่กลับก็ยังได้”

“จ้ะๆ แม่คนทันสมัย” เจ้าของรถว่า

ลานจอดรถแห่งนี้จุรถยนต์ได้ไม่เกินยี่สิบคัน และตอนนี้ทุกช่องจอดปกติเต็มหมดแล้ว ทำให้คนที่มาทีหลังต้องจอดซ้อนคันเหมือนที่พวกหล่อนทำ จนคนที่พาคนอื่นมาถึงกับเปรยเลยทีเดียว 

“คนเยอะแบบนี้แสดงว่าอร่อยจริง สมกับขึ้นเป็นร้านแนะนำในเว็บ”

“ท่าจะจริง” รติยาเห็นด้วย

ทั้งคู่ลงจากรถ ตรงสู่บ้านไม้หลังใหญ่ที่ถูกปรับเปลี่ยนมาเป็นร้านอาหาร ตัวร้านเป็นบ้านสองชั้น แต่โต๊ะที่ให้บริการลูกค้าดูเหมือนจะเต็มทุกโต๊ะ ลูกค้าส่วนใหญ่มาเป็นครอบครัว สองสาวเดินมาถึงทางขึ้นบันไดเตี้ยๆ พนักงานคนหนึ่งก็เดินเข้ามาต้อนรับและแจ้งว่า

“สวัสดีค่ะคุณลูกค้า ตอนนี้โต๊ะใหญ่เต็มหมดแล้ว ต้องรอนะคะ ไม่ทราบว่าคุณลูกค้ามากี่ท่านคะ”

“สองค่ะ”

“ถ้าสองท่านยังมีโต๊ะเล็กอยู่ เชิญทางนี้เลยค่ะ”

พนักงานเชื้อเชิญ สองสาวจึงเดินไป ได้โต๊ะที่อยู่ถัดจากโต๊ะริมระเบียง รติยากับอารดานั่งลงแล้วรับเมนูมาขณะที่พนักงานนำเสนอเมนูแนะนำ ทั้งสองจึงสั่งเมนูที่ว่า เพราะเห็นจากในเว็บไซต์แนะนำแล้วว่าน่ากินจริงๆ 

พอสั่งอาหารเสร็จเรียบร้อย อารดาซึ่งมองบรรยากาศรอบๆ ร้านก็ไปสะดุดตากับลูกค้าโต๊ะหนึ่ง

“เฮ้ยๆ นั่น ใช่คุณคนหล่อที่ช่วยแกไว้ที่วัดหรือเปล่า”

อารดาถามพลางพยักพเยิดให้เพื่อนหันไปดูอย่างตื่นเต้น ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มั่นใจนัก เพราะหล่อนก็เห็นผู้ชายหล่อคนนั้นในระยะไกล จึงต้องให้คนที่เห็นใกล้แบบแนบชิดยืนยันอีกแรง

รติยาหันมอง เห็นผู้ชายคนหนึ่งนั่งห่างออกไปสองโต๊ะ เขามากับหญิงสาววัยน่าจะไล่เลี่ยกัน และมีเด็กผู้หญิงอายุประมาณสิบขวบอยู่ด้วย หล่อนจำเขาได้ทันทีที่เห็น เพราะเขาหล่อเหลาสะดุดตา แล้วก็ไม่ได้หน้าโหลหรือหน้าบ้านๆ

“ใช่เขาจริงๆ ด้วย”

หล่อนพึมพำแล้วสังเกตอาหารบนโต๊ะผู้ชายคนนั้น ดูจากปริมาณอาหารที่เต็มโต๊ะและอาหารพร่องไปมาก แสดงว่าเขามาถึงร้านนี้ก่อนพวกหล่อนได้นานพอสมควรแล้ว

“อุ๊ย ดวงสมพงศ์กันหรือเปล่าแก ได้เจอกันอีกแล้ว”

อารดาอดแซวไม่ได้ แล้วก็ได้คำตอบจากเพื่อนรักแทบจะทันที

“เว่อร์ไปแล้ว ไม่ใช่หรอก แค่บังเอิญ”

“บังเอิญเจอกันสองครั้งเนี่ยนะ” คนเป็นเพื่อนแซว แต่แล้วจากที่ระริกระรี้ก็เปลี่ยนเป็นห่อเหี่ยวใจ “แต่น่าเสียดาย เขามากับแฟนและลูกสาว แบบนี้หมดหวัง กินแห้วตั้งแต่ยังไม่เริ่ม ฤกษ์ไม่ดีเลย”

“แกคิดไปถึงไหนเนี่ย”

รติยาขำเพื่อนแต่ก็แอบเสียดายเหมือนกัน เพราะเขาตรงสเปกหล่อนมากทีเดียว ทั้งหล่อทั้งขาวทั้งสูง มาดก็นิ่งๆ แต่เวลาเขายิ้มให้ลูกสาวที่มาด้วย เห็นแล้วก็ชวนละลายเหมือนกัน

เฮ้อ...ฤกษ์ไม่ดีจริงๆ นั่นแหละ คนหล่อมีเจ้าของหมดสิทธิ์ค่า

“คิดไปถึง...อุ๊ย” อารดาพูดไม่จบก็ทำหน้าเหยเก ยกมือกุมท้อง “นึกว่าจะหยุดแล้วเชียว”

“เป็นอะไรปุ๊ก”

“มันมวนท้อง ยังไม่หาย พอดีวันก่อนตอนเย็นหลังกลับจากบ้านแกแล้ว ฉันไปซัดตำปูปลาร้าหน้าคอนโดมา ลืมตัวว่ากินปลาร้าทีไรมวนท้องทุกที”

“อ้าว แล้วไหวเหรอ แถมแกยังสั่งอาหารมาซะเยอะอีก”

“ไหวๆ ฉันกินยามาแล้ว แต่ว่ามันคงหลงเหลืออยู่ เดี๋ยวฉันไปห้องน้ำก่อน” อารดาว่าแล้วเปิดกระเป๋าถือ หยิบกุญแจรถให้เพื่อน “นี่กุญแจรถ เผื่อมีใครจะออกแล้วร้านเขามาบอกให้เอารถเข้าไปจอดแทนที่ แกก็ช่วยเลื่อนรถให้หน่อยแล้วกัน”

“โอเค แกไปห้องน้ำไป แต่ถ้ากลับมาช้า อาหารมา ฉันฟาดหมดไม่รู้ด้วย”

“โหย ไอ้คนใจร้าย ถ้าแกกินส่วนของฉันหมดนะ ฉันจะ...จะสั่งใหม่ แบร่!”

“ไปๆ ไปห้องน้ำเลยค่ะคุณนาย”

รติยาไล่ขำๆ แล้วก็ได้แต่มองตามเพื่อนวิ่งปรู๊ดไปถามทางไปห้องน้ำจากพนักงานร้าน คล้อยหลังเพื่อน หล่อนก็แอบมองโต๊ะผู้ชายคนนั้นครั้งหนึ่งแล้วหันไปทางอื่น โยนความเสียดายทิ้งแม่น้ำไป โดยไม่รู้เลยว่าเขาก็มองมาเหมือนกัน เพราะเห็นตั้งแต่หล่อนเดินเข้ามาในร้านกับเพื่อนแล้ว ซึ่งเขาไม่ได้ตั้งใจจะมอง แต่เหมือนมีอะไรดลใจให้หันไปมองพอดี 

พอเห็นว่าเป็นผู้หญิงที่ตนช่วยไว้ที่วัด เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่คนเราจะได้เจอกันในสถานที่ท่องเที่ยวและร้านอาหารแนะนำของแหล่งท่องเที่ยว

หลายนาทีต่อมาอาหารก็มาเสิร์ฟที่โต๊ะของรติยา ในขณะที่ผู้ชายสุดหล่อคนนั้นเรียกพนักงานมาเก็บเงินพอดี รติยาไม่ได้สนใจมากนัก เพราะมัวแต่จดจ่อกับการหยิบโทรศัพท์มือถือมาถ่ายรูปอาหาร แต่ก็รับรู้ได้ด้วยหางตาว่าเขาจ่ายเงินและลุกไปแล้ว

รติยาไม่ได้มองตาม เพราะคิดว่าหลังจากนี้คงไม่มีทางได้เจอเขาอีกอยู่แล้ว หล่อนจึงสนใจแต่จะโพสต์รูปลงโซเชียลมีเดียเพื่อยั่วเพื่อนๆ อีกหลายคน แล้วก็ส่งข้อความหาอารดา เพราะหล่อนเห็นแล้วว่าเพื่อนตัวดีเอาโทรศัพท์มือถือไปเข้าห้องน้ำด้วย

รุ้งพราย: อาหารมาแล้วนะ ช้าอดหมดนะคะ อิๆ (เอียง)

หญิงสาวส่งข้อความไปแล้วก็ยิ้มอยู่หน้าจอโทรศัพท์มือถือ แล้วหัวเราะเมื่ออารดาส่งสติกเกอร์ดีดดิ้นไม่ยอมมาให้ 

ปุ๊กไงจะใครล่ะ: ไอ้คนใจร้าย (เอียง)

รุ้งพราย: ออกมาให้ไวเลย (เอียง)

ปุ๊กไงจะใครล่ะ: แกอย่ากินของฉันหมดน้า (เอียง)

รุ้งพราย: รีบๆ ออกมาจากห้องน้ำได้แล้ว ถ้าไม่ออกมา ฉันกินหมดจริงๆ (เอียง)

หล่อนส่งข้อความกลับไปอีก เพื่อนตัวดีส่งกลับมาให้อีกสองประโยค พร้อมกับสติกเกอร์น่ารักงอแงอีกเช่นเคย แต่พอกำลังจะส่งข้อความต่อไป หูก็พลันแว่วเสียงพนักงานร้องตะโกนถามหาลูกค้า

“รถยนต์โตโยต้าอัลติสสีขาว ทะเบียน รก ๑๔๒ ขอความกรุณารบกวนขยับรถด้วยค่ะ รถใส่เกียร์ไว้ไม่สามารถเข็นได้ค่ะ”

รติยาได้ยินแล้วก็ชะงัก ใช้สติอยู่อึดใจหนึ่งเพื่อทบทวนเลขทะเบียนรถของอารดา พอนึกออกว่าใช่ทะเบียนเดียวกันเท่านั้น หล่อนก็รีบลุกจากโต๊ะวิ่งปรู๊ดออกไปทันทีด้วยความอายสุดๆ ที่ยายเพื่อนตัวดีจอดรถซ้อนคันแล้วดันไม่ได้ปลดเกียร์ว่างไว้ซะงั้น

‘อ๊าย ไอ้ปุ๊กนะไอ้ปุ๊ก อายชาวบ้านเขาไหมล่ะเนี่ย!’

หล่อนได้แต่นึกว่าเพื่อนในใจขณะเดินแกมวิ่งไปตามทางเดินหินที่ตรงสู่ทางออกหน้าร้านที่เป็นลานจอดรถ แต่ขณะเดินแกมวิ่งไปนั้น ก็ได้กลิ่นหอมของดอกไม้ลอยมาพร้อมกับความเย็นสบาย เป็นกลิ่นเดียวกับที่วัดตอนขอพรเจ้าแม่

‘สงสัยเป็นกลิ่นดอกไม้จริงๆ คนแถวนี้คงปลูกเหมือนกัน’

รติยาคิด หล่อนออกมาจนถึงซุ้มประตูทางเข้าร้าน รีบเดินไปที่รถยนต์ของเพื่อนที่จอดปิดรถยนต์คันที่อยู่ข้างในไว้ เจ้าของรถในช่องจอดยืนอยู่ข้างรถและสตาร์ตรถเปิดเครื่องปรับอากาศให้คนในรถไว้เรียบร้อย ยิ่งทำให้หล่อนรู้สึกผิดเข้าไปอีก

“ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ค่ะ”

หญิงสาวร้องตะโกนบอกตอนมาถึงท้ายรถของเพื่อน เจ้าของรถที่ยืนรออยู่หันมา เขาไม่ได้มีสีหน้าบึ้งตึง แต่แปลกใจระคนไม่คิดมากกว่าว่ารถที่จอดซ้อนและเข้าเกียร์ไว้เป็นรถของหล่อน

ฝ่ายรติยาพอเห็นหน้าเจ้าของรถที่เพิ่งหันมามองก็ชะงักไปทันที

“คะ...คุณ...”

หล่อนทำหน้าเหลอ ยืนเอ๋ออ้าปากค้าง สีหน้าท่าทางดูตลกสุดๆ แต่เขาก็ไม่ได้เสียมารยาทหัวเราะออกมา ทำเพียงกระตุ้นเตือนหล่อนให้ได้สติ

“ช่วยถอยรถให้ด้วยครับ”

“คะ เอ่อ ค่ะ ขอโทษด้วยจริงๆ ค่ะ จะรีบถอยให้เดี๋ยวนี้ค่ะ”

รติยาได้สติแล้วรีบกดรีโมตเปิดประตูก่อนจะก้าวขึ้นไปประจำที่คนขับ ใบหน้าแดงด้วยความอับอายที่ตนทำหน้าเหลอยืนซื่อบื้อไปเมื่อครู่นี้ 

‘น่าขายหน้าที่สุดเลย!’

รติยาสตาร์ตรถแล้วค่อยๆ ถอยออกมา ให้รถที่อยู่ในช่องจอดออกมาได้ พอรถคันนั้นออกมา หล่อนก็เปิดกระจกขอโทษเจ้าของรถอีกครั้ง ผู้ชายคนนั้นแค่ก้มศีรษะให้ ไม่ได้ว่าอะไร แล้วขับรถจากไป หล่อนได้แต่ถอนหายใจ แล้วถอยรถเข้าไปจอดในช่องแทนคันที่เพิ่งออกไป

พอจอดเสร็จเรียบร้อย หล่อนก็กลับเข้าไปในร้าน อารดานั่งรออยู่ที่โต๊ะ ทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมอย่างที่เดาได้เลยว่าเจ้าตัวคงรู้แล้วว่าตัวเองทำเรื่องให้เพื่อนอายไปแล้ว

“ขอโทษนะแก ฉันลืมปลดเกียร์ว่างไว้”

“ดีนะ เจ้าของรถที่จะออกเขาไม่ด่าฉัน ไม่อย่างนั้นได้อายหนักกว่านี้แน่”

“ขอโทษจริงๆ” อารดายกมือไหว้ท่วมหัว ทำหน้าเหมือนเด็กถูกดุ “ครั้งหน้าจะไม่ลืมแล้ว”

“ช่างมันเถอะ ไม่ต้องคิดมาก ฉันไม่ได้ว่าแก แค่บ่นให้ฟังเฉยๆ แล้วแกรู้ไหม ใครเป็นเจ้าของรถที่เราไปจอดซ้อนคันเขาแล้วเขาออกไม่ได้”

“ใคร”

“ผู้ชายคนนั้นไง”

“ผู้ชายคนนั้น?” อารดาทวน ทำหน้างงชั่วครู่ก่อนจะโพล่งถาม “คนหล่อนั่นอะนะ!”

“ก็ใช่น่ะสิ”

“เดี๋ยวนะ นี่ตกลงฉันพาแกมาเป็นเพื่อนเพื่อขอแฟน แต่ทำไมเหมือนแกจะได้แทนล่ะเนี่ย”

“ไอ้ปุ๊ก”

รติยาทำเสียงเข้ม เริ่มไม่สนุกกับการแซวนี้แล้ว อารดาจึงเลิกแหย่ เพราะรู้ดีว่ารติยาไม่ค่อยชอบให้แซวเรื่องนี้มาตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียน ไม่ชอบการโดนอำจับคู่หรือแซวว่าเป็นแฟนคนนู้นคนนี้ 

“โอเค เลิกแล้วจ้า”

สองสาวจึงเปลี่ยนเรื่องคุยและสนใจอาหารตรงหน้าแทน ทั้งคู่ใช้เวลาอยู่ในร้านอาหารเกือบหนึ่งชั่วโมงก่อนจะออกจากร้านและขับรถกลับบ้าน โดยไม่ลืมซื้อของฝากขึ้นชื่อของที่นี่กลับไปด้วย พร้อมกับความหวังของอารดาว่าการขอพรครั้งนี้จะทำให้ได้แฟนเป็นตัวเป็นตนกับเขาเสียที

 

ฝ่ายผู้ชายที่กลายเป็นหัวข้อสนทนาของสองสาวอยู่หลายครั้งในวันนี้กำลังขับรถกลับเข้ากรุงเทพฯ ไปพร้อมน้องสาวและหลานสาวตัวป่วน เขาคือ อติรุจ รัตนธนการ เป็นลูกชายของ เปรม รัตนธนการ และเป็นประธานบริษัทอาร์แอนด์ทีเอสเตต เจ้าของโครงการคอนโดหลายแห่งในกรุงเทพฯ 

ถนนสายไหนมีรถไฟฟ้าตัดผ่าน ถนนสายนั้นต้องมีโครงการคอนโดของเขาอยู่ด้วย แล้วยังมีคอนโดหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยาด้วยอีกสองแห่ง ไม่ใช่แค่นั้น เขายังเป็นผู้ถือหุ้นของโรงแรมห้าดาวแห่งหนึ่งซึ่งเป็นโรงแรมในเครือญาติของเขาเอง

อติรุจจบปริญญาโทด้านการบริหารธุรกิจมาจากต่างประเทศ ปัจจุบันอายุสามสิบหกย่างสามสิบเจ็ด เขาใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกหลายปีเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์การทำงานและถือโอกาสท่องเที่ยวไปด้วย จนกระทั่งเมื่อหกปีก่อนเขาตัดสินใจกลับมาเมืองไทย แต่กลับมาได้ไม่นานพ่อของเขาก็จากไปด้วยโรคประจำตัว

คณะกรรมการและผู้ถือหุ้นโหวตให้เขารับตำแหน่งประธานคนต่อไป ซึ่งเขาก็แสดงศักยภาพของการเป็นผู้นำและเลือกเฟ้นคนมาทำงานได้อย่างชาญฉลาด ทำให้อาร์แอนด์ทีทำกำไรสุทธิขึ้นมาอยู่ในลำดับที่หกของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำจากทั้งหมดสิบหกบริษัท

อาร์แอนด์ทีทำกำไรต่อเนื่องมาหลายปีและเป็นคู่แข่งทางธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่จับตามองอย่างยิ่ง แม้ว่าช่วงนี้เศรษฐกิจโลกจะย่ำแย่ หลายบริษัทเผชิญปัญหาขาดทุน กำไรตกลงอย่างน่าใจหาย แต่อาร์แอนด์ทียังคงแข็งแกร่งและยืนหยัดอยู่ได้ ใช่ว่าไม่ได้รับผลกระทบ แต่ได้รับผลกระทบน้อยกว่า เป็นผลจากการประเมินและเตรียมการรับมือไว้แล้ว ถึงอย่างนั้นกำไรสุทธิก็ยังตกไปหลายเปอร์เซ็นต์อยู่ดี ซึ่งถ้าเทียบกับบริษัทที่หนักหนาสาหัสแล้ว อาร์แอนท์ทีถือว่ายังไปต่อได้และบาดเจ็บน้อยกว่า

อติรุจมีน้องสาวและน้องชายอย่างละคน น้องสาวคือ ตุลยา รัตนธนการ ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนเปรมธิมา โรงเรียนสอนระบบสองภาษาที่พ่อของเขาก่อตั้งขึ้นเตรียมไว้รับขวัญหลานคนแรกของบ้าน แต่ตอนนี้ตุลยากลายเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว เพราะสามีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถบรรทุกพุ่งชนเมื่อหลายปีก่อน ส่วนน้องชายคนเล็กคือธนาดล ทำงานอยู่กับเขาที่บริษัท และเพิ่งนั่งแท่นกรรมการผู้จัดการทั่วไปฝ่ายบริหารเมื่อไม่นานมานี้

ทว่าการที่เขาเป็นผู้ชายที่พร้อมไปหมดทุกอย่าง ทั้งหน้าที่การงาน หน้าตาทางสังคม และทรัพย์สิน แล้วยังเคยมีนิตยสารออนไลน์เกี่ยวกับแวดวงธุรกิจมาสัมภาษณ์เขาไปลงสกู๊ปพิเศษมาแล้ว ทำให้มีดาราสาวบ้าง เซเลบสาวบ้างพยายามทอดสะพานใส่หลายคน 

บางคนก็ทอดสะพานผ่านทางผู้หลักผู้ใหญ่ที่รู้จักกับแม่ของเขา แต่เขาไม่เคยสนใจใครเป็นพิเศษและไม่มีข่าวคราวกับผู้หญิงคนไหนเลย จนแม่ของเขาเริ่มเป็นห่วง กลัวไม่มีทายาทสืบสกุล พักหลังท่านจึงเจ้ากี้เจ้าการแนะนำลูกสาวของคนนั้น หลานสาวของคนนี้ให้ อย่างรายล่าสุดก็ลูกสาวของคุณนายสมรกับนายทหารใหญ่ยศพันโท

ลูกสาวของคุณสมรเป็นคนสวย กิริยาเรียบร้อย อ่อนหวานและงดงาม สมกับเป็นกุลสตรีศรีสยาม แต่ปัญหาคือสเปกของเขาไม่ใช่แบบนี้ เขาจึงพยายามหาทางเลี่ยงแบบบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น 

วันนี้เขารู้ว่าคุณสมรกับลูกสาวจะมาที่บ้าน เพราะแม่บ้านแอบมากระซิบบอกตั้งแต่เมื่อวาน เขาจึงถือโอกาสหนีแบบเนียนๆ อ้างว่าต้องพาน้องมิว หลานสาวซึ่งเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ห้าไปหาข้อมูลถึงอยุธยาเพื่อทำรายงานส่งครู โดยมีน้องสาวของเขาซึ่งตอนนี้กลายเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวมาดูแลลูกและมาเที่ยวด้วยกัน

“น้องมิวครับ เราแวะวัดมาสองที่แล้ว น้องมิวอยากไปไหนอีกหรือเปล่า หรืออยากได้ขนมอะไรเพิ่ม เดี๋ยวลุงจะได้แวะให้” 

อติรุจถามหลานสาววัยเก้าขวบที่นั่งอยู่บนเบาะหลังและคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย เด็กหญิงยิ้มแฉ่งก่อนตอบน้าชายสุดหล่อ

“นั่นเป็นค่าปิดปากน้องมิวไม่ให้บอกคุณยายว่า ลุงรุจเอาเรื่องรายงานของน้องมิวมาอ้างเพื่อจะได้ชิ่งหนีคุณนายสมรกับคุณปรางใช่ไหมคะ”

“จัดเต็มมาก คุณหลานของลุง” 

ชายหนุ่มเปรยพลางหัวเราะในลำคอ สบตาหลานสาวผ่านกระจกมองหลัง แต่ไม่ได้แปลกใจที่หลานสาวรู้เรื่องนี้ เพราะเขาแอบซุบซิบกับแม่บ้านตอนหลานสาวเดินผ่านมาพอดี น้องมิวคงได้ยินตอนนั้น แล้วอีกอย่างเด็กสมัยนี้ไม่เหมือนสมัยก่อน กล้าคิดกล้าพูดกันมากขึ้น โดยเฉพาะหลานสาวของเขาคนนี้เป็นเด็กฉลาด ช่างพูดมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว

ฝ่ายตุลยาหรือตาลผู้เป็นน้องสาว พอได้ยินลูกสาวตอบพี่ชายแบบนั้นก็ถึงกับหัวเราะ

“ไงล่ะคะพี่รุจ โดนหลานรู้ทันเลย”

“น้องมิวชักจะฉลาดขึ้นทุกวัน ตาลต้องงดให้ลูกกินปลาแล้วนะ เดี๋ยวจะฉลาดเกินไป”

เขาแซวหลานสาวที่แลบลิ้นใส่ผ่านกระจกมองหลัง คนเป็นน้องสาวและเป็นแม่ของเด็กหญิงหัวเราะร่วน

“แน่ะ แบบนี้เรียกแพ้แล้วพาลนะคะ” ตุลยาว่าแล้วถามต่อแบบทีเล่นทีจริง “ว่าแต่พี่รุจไม่สนคุณปรางหน่อยเหรอ” 

“ถ้าตอบว่าไม่สน จะว่าพี่แปลกไหม”

“แปลกค่ะ ในเมื่อคุณปรางเธอก็ดูสวยหวานเรียบร้อย นุ่มนวลดี”

ตุลยาบอก แต่ไม่ได้แปลกใจจริงๆ หรอก ในเมื่อรู้ว่าสเปกของพี่ชายเป็นแบบไหน แล้วสเปกที่ว่านั่นก็ตรงกันข้ามกับผู้หญิงที่พยายามจะเข้าหาพี่ชายลิบลับเลยทีเดียว

“ถ้าจะใช้คำสวยๆ ก็คงต้องบอกว่า คุณปรางดีเกินไปสำหรับพี่ บางคนดีเกินไป ดีมากไปก็ใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่ดี อย่างคุณปรางที่สวย อ่อนหวาน แต่บางคราวพี่ก็รู้ว่าเธอประดิษฐ์เกินไป”

อติรุจพูดตรงๆ แต่ตุลยาก็เห็นด้วยว่าบางครั้งเวลาเจอผู้หญิงคนนั้น เจ้าหล่อนเป็นอย่างที่พี่ชายว่ามาจริงๆ อ่อนหวานนุ่มนวลเรียบร้อย แต่ให้อารมณ์ชวนอึดอัดมากกว่าอยู่ด้วยแล้วสบายใจ

“พี่ชอบผู้หญิงที่ดูเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องประดิดประดอยหรือพยายามทำอะไรที่ดูออกว่าฝืนทำงานเก่ง ทำตัวง่ายๆ สบายๆ ฝีมือเข้าครัวพอใช้ได้ อยู่ด้วยแล้วรู้สึกสนุกและทำให้ชีวิตมีสีสัน ส่วนหน้าตาก็พาไปวัดไปวาได้ ไม่ต้องสวยหยาดเยิ้มปานนางฟ้าแบบคุณปรางก็ได้”

“โธ่ พี่รุจ สเปกแค่นี้เอง หาง่ายจะตายไป แต่ง่ายเกินไปหรือเปล่าคะสำหรับคุณอติรุจ รัตนธนการ ประธานของอาร์แอนด์ที โพรไฟล์สาวในอุดมคติน่าจะมีมากกว่านี้สิ อย่างดาราสมัยนี้ชอบมีแฟนเป็นเซเลบคนรวยๆ อะไรแบบนั้น”

“พี่ไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นไฮโซแฟนดารา แล้วก็ไม่ชอบผู้หญิงใช้เงินเก่งหรือผู้หญิงที่เข้าหาคนอื่นเพราะหน้าตาทางสังคม แต่เชื่อไหม สเปกธรรมดาอย่างนี้แหละหายากที่จะจูนกันเจอง่ายๆ”

“แล้วสาวๆ ที่อเมริกาล่ะคะ ตาลจำได้ว่าตอนอยู่ที่นู่นพี่รุจก็ไม่เบาเหมือนกันนะคะ”

“อันนั้นเป็นอดีตไปหมดแล้วครับคุณน้องสาว”

อติรุจเย้าแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ตุลยาจึงได้แต่พยักหน้ารับ ไม่เซ้าซี้เรื่องแฟนเก่าของพี่ชาย เพราะได้ยินมาบ้างว่าแฟนเก่าคนสุดท้ายนั้นเลิกรากันไปแบบไม่ค่อยดีนัก

“จริงสิ วัดที่เราแวะกันก่อนจะไปกินข้าวนั่นน่ะ มีศาลเจ้าแม่อยู่ข้างๆ โบสถ์ที่พี่รุจไม่ได้เดินไปด้วย ตาลจำได้ว่าท่านเด่นเรื่องการขอพรให้ประสบความสำเร็จและเรื่องความรักด้วย ถ้าไงพี่รุจลองไปขอดูไหม เผื่อท่านส่งคนที่ถูกใจมาให้”

“ไม่เอาด้วยหรอก ไม่ใช่ว่าพี่จะลบหลู่เจ้าแม่นะ แต่พี่ไม่เชื่อว่าคนที่ท่านส่งมาจะเข้ากับพี่ได้จริงๆ ถ้าส่งมาแล้วไปกันไม่รอด สู้ยังไม่ต้องส่งมาตอนนี้จะดีกว่า”

“แหม คุณพี่หล่อเลือกได้ ตอนนี้ยังหล่ออยู่ ยังเลือกได้นะคะ แต่อีกไม่กี่ปีก็สี่สิบแล้ว ถ้าแก่กว่านี้กลายเป็นตาลุงหัวเถิกหมดหล่อขึ้นมาจะหาแฟนลำบากนะคะพี่รุจ”

ตุลยาเตือนพี่ชาย เพราะปีนี้อติรุจอายุสามสิบหก ส่วนหล่อนก็สามสิบสี่แล้ว คนเราเมื่ออายุสี่สิบไปแล้ว ความร่วงโรยของวัยจะเริ่มถามหาทีละน้อย แต่ผู้ชายบางคนเร็วกว่าคนอื่น แค่อายุสามสิบกว่าผมก็เริ่มบาง หัวเริ่มเถิกล้านแล้วก็มี

“เป็นแบบนั้นก็ดีสิ เพราะถ้าพี่กลายเป็นตาลุงหัวเถิกแต่มีคนมารักพี่จริง พี่จะได้รู้ว่าไม่ได้รักที่หน้าตาหรือทรัพย์สมบัติที่พี่มี แบบนั้นเรียกว่ารักกันจริง”

“ค่าๆ คุณพี่ชาย เดี๋ยวตาลกับดลจะรอหัวเราะทีหลังดังกว่า” น้องสาวว่ายิ้มๆ และไพล่ไปถึงน้องชายก่อนจะเตือนพี่ชายของตัวเอง “แต่อย่าลืมนะคะว่าถ้าชักช้าไม่ทันใจ ไม่มีเป็นตัวเป็นตนเสียที ระวังคุณแม่จับมัดมือชกกับคุณปรางไม่รู้ด้วยนะพี่รุจ”

ตุลยาเตือนแล้วหัวเราะคิกเมื่อพี่ชายทำหน้าหงิกใส่ พอดีกับที่ลูกสาวบ่นหิวน้ำและเห็นปั๊มน้ำมันพอดี สองแม่ลูกจึงบอกให้อติรุจช่วยแวะปั๊มน้ำมันแล้วลงไปซื้อของในมินิมาร์ตในปั๊ม ส่วนอติรุจนั่งรอในรถและคิดถึงคำพูดเมื่อครู่ของน้องสาว

“ขอเจ้าแม่เหรอ” อติรุจพึมพำแล้วสะบัดศีรษะ “ไม่มีทาง เลิกคิดได้เลย”

ชายหนุ่มเตือนตัวเองและพยายามเลิกคิดเรื่องนี้ โดยไม่รู้เลยว่าเรื่องที่เขามองว่าฟุ้งซ่านและเจ้าแม่ที่เขาไม่ได้ไปพึ่งพาท่านนั้น จะบันดาลให้เขาได้พบความรักที่จะได้เจอในไม่ช้านี้ และเป็นความรักตัวเป็นๆ ชนิดที่ทำให้เขาต้องปั่นป่วนแทบทุกวันด้วย

 

หลังออกจากปั๊มน้ำมัน อติรุจขับรถต่อไปจนมาถึงทางแยกหนึ่ง จู่ๆ ก็มีรถบรรทุกแล่นออกมาจากข้างทางพุ่งมาหารถของเขา แต่เขาเห็นก่อนจากหางตา จึงเร่งเครื่องแล้วหักหลบได้อย่างเฉียดฉิว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเป็นภาพที่ชวนหวาดเสียวอยู่ดี

ทว่ารถยนต์คันหลังที่แล่นตามมาไม่ได้โชคดีอย่างเขา ถูกรถบรรทุกคันนั้นชนเข้าอย่างจังจนกระเด็นไปตกข้างทางซึ่งเป็นพื้นที่รกร้าง ป่าหญ้าขึ้นครึ้มไปหมด

โครม!

เสียงชนดังสนั่น เขาชะลอรถลงหลังจากทิ้งห่างออกมาหลายเมตร แต่ตุลยาซึ่งนั่งอยู่บนเบาะข้างคนขับและมองเห็นเหตุการณ์นั้นจากกระจกมองข้างตกใจจนถึงกับเอื้อมมือมาคว้าแขนพี่ชายไว้

“พี่รุจ...”

ตุลยาร้องเรียกเสียงสั่นพอๆ กับมือที่จับแขนเขาอยู่ซึ่งสั่นอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าซีดเผือด เหงื่อซึมหน้าผาก ลมหายใจหอบถี่และแรง ทำเอาอติรุจซึ่งตอนแรกตั้งใจจะหยุดรถเพื่อลงไปดูและช่วยเหลือคนในรถยนต์ที่ประสบอุบัติเหตุต้องช่วยน้องสาวก่อน

“ใจเย็นๆ ตาล ไม่มีอะไร เราปลอดภัยดี ตาลมองพี่ ค่อยๆ หายใจตามจังหวะพร้อมพี่”

เขาปลอบน้องสาวแล้วพยายามประคองรถยนต์ให้แล่นช้าลงเล็กน้อยเผื่อเหตุฉุกเฉิน หลานสาวซึ่งนั่งอยู่บนเบาะหลังส่งเสียงเรียกด้วยความเป็นห่วงแม่

“คุณแม่!”

น้องมิวร้องเรียกด้วยความตกใจ ยิ่งเห็นอาการของคนเป็นแม่เริ่มไม่ค่อยดี เจ้าตัวจึงรีบหันไปเปิดกระเป๋ายาที่แม่พกไว้เวลาไปไหนมาไหน เพราะยายเคยสอนว่าถ้าเห็นแม่อาการกำเริบ ให้เอาหลอดยาพ่นสีแดงให้แม่ทันที พอเจอหลอดยาสีขาวแดงขนาดเท่าฝ่ามือก็รีบหยิบมันออกมาส่งให้อติรุจ

“ลุงรุจ นี่ค่ะ!”

อติรุจรับยาพ่นมาจากหลานสาวแล้วรีบจอดรถเข้าข้างทาง พอจอดสนิทเขาก็หมุนเปิดฝาขวดยาแล้วส่งให้น้องสาวสูดเข้าปาก พยายามลูบหน้าลูบไหล่ปลอบไปด้วย เพราะน้องสาวของเขาเป็นโรคหอบหืดตั้งแต่เด็กแล้ว แม้อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ แต่ก็ต้องมียาพ่นติดตัวไว้เสมอ

“ใจเย็นๆ ตาล ไม่มีอะไรแล้ว ไม่เป็นไร พี่อยู่นี่ น้องมิวอยู่นี่”

ชายหนุ่มพยายามปลอบน้องสาว จนกระทั่งหลายนาทีต่อมาตุลยาก็อาการดีขึ้น แต่สีหน้ายังไม่สู้ดีนัก หล่อนเป็นห่วงลูกสาว กลัวลูกจะตกใจด้วย จึงรีบหันมาดูลูกสาวที่อยู่บนเบาะหลัง

“แม่ขอโทษนะคะน้องมิว”

“คุณแม่เป็นยังไงบ้าง” เด็กหญิงถาม น้ำตาเริ่มคลอเพราะสงสารแม่ ถึงจะมีสติหยิบยาส่งให้อติรุจเมื่อครู่นี้ แต่เจ้าตัวก็ตกใจเหมือนกัน

“ไม่เป็นไรแล้วลูก น้องมิวเก่งมากเลยจ้ะ”

“พี่จะพาตาลไปโรงพยาบาล”

“ไม่เป็นไรค่ะพี่รุจ ไม่เป็นไร พ่นยาแล้วตาลดีขึ้นแล้ว แค่เมื่อกี้ตกใจเพราะมันทำให้ตาลนึกถึง...” 

ตุลยายังพูดไม่ทันจบ อติรุจก็ขัดขึ้น ไม่อยากให้น้องสาวพูดถึงเรื่องนั้นอีก 

“ไม่ต้องพูดอะไรแล้วตาล พี่เข้าใจ”

อติรุจตัดบทแล้วรอดูอาการของน้องสาวอยู่ครู่ใหญ่ พอเห็นว่าน้องสาวดีขึ้นแล้วและหยิบยาเม็ดในกล่องยามากินได้เอง เขาจึงออกรถมุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯ โดยไม่ได้บอกน้องสาวว่า ก่อนรถยนต์คันหลังจะถูกรถบรรทุกชน เขาเห็นรถบรรทุกคันนั้นจอดอยู่ตรงนั้นก่อนแล้ว แต่พอเขาขับเข้าไปใกล้ๆ รถบรรทุกคันนั้นก็แล่นออกมาอย่างจงใจเพื่อพุ่งชนรถยนต์ของเขา

แต่มันพลาดที่เขาเห็นและเร่งเครื่องหนีทันทำให้ไปโดนรถยนต์คันหลังแทน จนแวบหนึ่งในความคิดเขาบอกว่านี่เป็นความจงใจของรถบรรทุกคันนั้น แต่อีกใจหนึ่งก็แย้งว่าไม่น่าใช่ เขาอาจจะคิดไปเองก็ได้



รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น