2

รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกก็จะหนีพ้น

บทที่ ๒

รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกก็จะหนีพ้น

 

ณ ห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมหรูแห่งหนึ่งกลางกรุง กำลังมีงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของคุณนายดวงกมลซึ่งเป็นลูกค้าประจำระดับวีไอพีของโรงแรม ซึ่งจะมาจัดงานเลี้ยงที่นี่ทุกปี หลายคนมาร่วมงานอย่างยินดี แต่ก็มีบางคนที่โดนบังคับให้มาและทำหน้าเซ็งอยู่ไม่ใช่น้อย อย่างเช่นรติยาเป็นต้น

เจ้าตัวไม่ชอบมางานเลี้ยงที่มีเหล่าคุณหญิงคุณนายไฮโซทั้งหลาย แต่ถูกแม่บังคับพามาด้วยกันพร้อมกับพี่ชายคนโต จึงออกอาการหน้างอเป็นม้าหมากรุก

“ดูทำหน้าเข้า ยิ้มแย้มหน่อย แต่งตัวสวยแต่ทำหน้าบูดได้ยังไงกัน”

“ค่ะแม่”

รติยารับคำแล้วยิ้มหวานให้ผู้เป็นแม่ แต่กลับโดนพี่ชายคนโตที่เดินมาด้วยกันยื่นหน้ามาแซว ตามนิสัยชอบแหย่และแกล้งน้องทุกเมื่อที่มีโอกาส

“แม่บอกให้ยิ้มหวาน ไม่ใช่ยิ้มสยอง”

“ก็เค้าไม่ได้อยากมานี่” 

หญิงสาวเถียงพร้อมกับแลบลิ้นใส่พี่ชายก่อนจะค้อนใส่ ใครบอกว่ามีพี่ชายแล้วดี ช่วยปกป้องน้องสาว ดูแลน้องสาวมากมาย อยากมีพี่ชายกันนักหนา หล่อนขอเถียงขาดใจ เพราะก่อนจะดูแลน้องสาวหรือหวงแบบนี้ น้องสาวนี่แหละจะโดนพี่ชายแกล้งก่อนได้ปกป้อง ทั้งแหย่เล่นแหย่จริง แหย่ให้งอนบ้างอะไรบ้าง บางทีก็แหย่จนร้องไห้เลยด้วย การมีพี่ชายมันไม่ได้อบอุ่นและฟรุ้งฟริ้งอย่างที่คิด แต่อุ่นจนร้อนกว่าที่คิดเลยต่างหาก!

รณพีร์เขกศีรษะน้องสาวเบาๆ พอให้เป็นการเตือน ถ้าไม่ติดว่าน้องสาวแต่งตัวสวยเช้งขนาดนี้แล้วอยู่ในงานละก็ เขาคงจับยีหัวไปแล้วด้วยความหมั่นไส้

สามคนแม่ลูกเซ็นชื่อเข้างานแล้วเอาของขวัญวันเกิดไปให้ผู้จัดงาน ก่อนจะเข้าไปในงานเลี้ยงซึ่งเหมือนเป็นงานพบปะของคนรู้จักของดวงกมลและเป็นคนในแวดวงเดียวกันมากกว่า

บนเวทีด้านหน้ามีนักร้องสาวกำลังขับกล่อมเพลงเพราะหวานซึ้งที่หล่อนได้ยินสมัยเป็นเด็กตัวเล็กๆ บางเพลงเคยได้ยินในงานแต่งงาน บางเพลงไม่เคยได้ยินเพราะเกิดไม่ทันก็มี

“โอ้โห อายุคนมาร่วมงานรวมกันนี่จะถึงแสนไหมคะพี่เมฆ”

รติยายื่นหน้ามากระซิบกระซาบกับพี่ชาย ก็บรรดาคนที่มาร่วมงานนี้แปดสิบเปอร์เซ็นต์เป็นผู้ใหญ่ที่อยู่ในวัยเกษียณกันแล้วทั้งนั้น ถึงจะแต่งหน้าทำผมปกปิดผมขาวกันอย่างมาอย่างดี แต่ริ้วรอยของวัยและสไตล์การแต่งตัวนี่แหละที่มันปิดกันไม่ได้

“เว่อร์ไป” รณพีร์ยื่นหน้ามาตอบ “แต่ก็เฉียดๆ”

สองพี่น้องหัวเราะคิก แล้วก็โดนผู้เป็นแม่ส่งสายตาเตือน ก่อนที่คนเป็นแม่จะพาลูกสองคนไปสวัสดีดวงกมล แต่กว่าจะทักทายถามสารทุกข์สุกดิบกันเสร็จก็ปาไปหลายนาทีจนรติยาฉีกยิ้มเสียเมื่อยแก้มไปหมด แต่แล้วเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะยังเมตตาหล่อนอยู่ เมื่อมีแขกเข้ามาทักทายดวงกมล สามแม่ลูกจึงผละออกมาได้แล้วเดินไปยังโต๊ะตามที่ระบุในบัตรเชิญ แต่ระหว่างทางก็ยังไม่วายมีคนเข้ามาทักทายแม่ของหล่อนบ้าง บางคนแม่ของหล่อนก็ไปทักเองบ้าง กว่าจะมาถึงโต๊ะทำเอาหล่อนเกือบจะเหงือกแห้งไปเลยทีเดียว

เฮ้อ น่าเบื่อจัง

รติยาบ่นในใจแล้วมองพี่ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ นึกชมความอดทนของพี่ชายที่ดูก็รู้ว่าไม่ค่อยชอบงานแบบนี้สักเท่าไร แต่ธุรกิจห้องเสื้อของเขาจำเป็นต้องพึ่งพาลูกค้าพวกนี้ การออกงานสังคม มารู้จักผู้คนหลากหลายจึงเป็นเรื่องจำเป็น แถมเจ้าตัวยังซ่อนความเบื่อหน่ายไว้ได้มิดชิดเลยทีเดียว

ยกธงขาวเลยค่ะพี่เมฆ ยอม

หลายนาทีผ่านไปการพูดคุยทักทายก็เริ่มซาลง อาหารเริ่มทยอยมาเสิร์ฟ รติยาสังเกตได้ว่าแม่ของหล่อนมองหาใครอยู่เหมือนนัดแนะใครไว้ในงานนี้ด้วย พอหล่อนกำลังจะถาม แม่ก็ลุกออกจากโต๊ะไปหาผู้หญิงคนหนึ่ง หล่อนมองตาม เห็นแม่กำลังสอบถามอะไรอยู่ จึงยื่นหน้าไปกระซิบถามพี่ชายเพราะเสียงดนตรีในงานเลี้ยงค่อนข้างดัง

“พี่เมฆคะ แม่เหมือนมองหาใครอยู่หรือเปล่า เรามางานนี้เพราะเจ้าภาพไม่ใช่เหรอ”

“เจ้าภาพเป็นผลพลอยได้ แต่หลักๆ งานนี้มาหาอีกคนหนึ่ง” รณพีร์ยื่นหน้าไปตอบน้องสาวแล้วบอกเรื่องหนึ่งให้รู้ “ความจริงแล้วแม่พารุ้งมาเจอคุณนงนภา ได้ข่าวว่าลูกชายเขายังโสด แล้วคนนี้ก็ตรวจสอบประวัติมาแล้วว่าโอเค บุหรี่ไม่สูบ ดื่มบ้างตามโอกาสและเพื่อการเข้าสังคม แต่ประวัติส่วนอื่นไม่มีด่างพร้อย”

รติยาอ้าปากค้าง ถึงบางอ้อทันทีว่าทำไมแม่ถึงได้คะยั้นคะยอให้หล่อนมางานเลี้ยงนี้ให้ได้ ไม่ใช่ว่าจะพามาออกงานสังคมปกติทั่วไป แต่พามาเพื่อทำความรู้จักกับลูกชายของคุณนายนงนภานี่เอง!

โอ๊ย! ไม่เอาด้วยเด็ดขาด คู่ใครก็คู่คนนั้น มันต้องเลือกเองสิแม่ขา

หญิงสาวครางในใจแล้วก็แทบเต้น แต่พยายามทำเป็นไม่กระโตกกระตากแสดงอาการใดๆ ทำราวกับว่าไหนๆ ก็มาอยู่ในงานแล้วจะไปทำอะไรได้ แล้วทำเป็นดื่มด่ำกับอาหารและเครื่องดื่ม รวมทั้งบรรยากาศในงานไปเรื่อย จนกระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่หล่อนก็สะกิดพี่ชายและยื่นหน้าไปบอก

“พี่เมฆคะ รุ้งขอตัวแป๊บหนึ่ง ดื่มน้ำไปหมดแก้วแล้ว เริ่มอยากเข้าห้องน้ำ”

“พี่ไปเป็นเพื่อนไหม”

“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวแม่เดินกลับมาไม่เจอใครได้งงกันพอดี”

รติยาว่าแล้วลุกออกจากโต๊ะ เดินออกจากห้องจัดเลี้ยง ผ่านเคาน์เตอร์ต้อนรับแขกไปตามทางที่มีป้ายบอกทางไปห้องน้ำซึ่งอยู่ใกล้ๆ ห้องจัดเลี้ยง แต่หล่อนกลับเดินผ่านห้องน้ำแล้วรีบลงบันไดโค้งของโรงแรมไปสู่ล็อบบีด้านล่าง

หล่อนเดินแกมวิ่ง พยายามมองหน้าห้องจัดเลี้ยงชั้นสองว่ามีใครที่อาจรู้จักและเห็นหล่อนวิ่งลงมาหรือเปล่า แต่ดูแล้วไม่น่ามีจึงค่อนข้างเบาใจไปได้เปลาะหนึ่ง พอลงมาถึงล็อบบี หล่อนก็รีบตรงไปยังประตูหน้าของโรงแรมและบอกพนักงานต้อนรับหน้าประตู

“ขอโทษนะคะ ช่วยเรียกรถแท็กซี่ให้หน่อยค่ะ”

“ได้ครับคุณผู้หญิง ไม่ทราบว่าต้องการให้ไปส่งที่ไหนครับ”

“หมู่บ้านวินเซนต์ลากูน รามอินทราค่ะ”

“เชิญคุณผู้หญิงนั่งรอสักครู่นะครับ เดี๋ยวผมจะประสานงานให้ครับ”

พนักงานบอกและพูดใส่หูฟังที่คล้องอยู่ที่หูข้างหนึ่งเพื่อให้พนักงานหน้าประตูทางเข้าโรงแรมช่วยเรียกรถแท็กซี่เข้ามารับผู้โดยสารข้างใน ส่วนรติยาไปนั่งคอยในล็อบบีใกล้ทางออก ภาวนาว่าอย่าให้พี่ชายรู้ตัวทันและขอให้รถแท็กซี่มารับหล่อนเร็วๆ

แล้วคำภาวนาของหล่อนก็ได้ผล ไม่ถึงหนึ่งนาทีต่อมารถแท็กซี่สีเหลืองก็แล่นมาจอดตรงจุดรับส่งลูกค้า พนักงานเดินมาบอกหล่อนว่ารถมาถึงแล้ว รติยาจึงขอบคุณและให้ทิปที่ช่วยเรียกรถไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบขึ้นรถไปด้วยความโล่งใจเมื่อรถแท็กซี่แล่นออกมาพ้นโรงแรม

เฮ้อ...รอดไปอีกวัน โธ่ แม่นะแม่ ทำไมขยันหาคู่ให้รุ้งอย่างนี้ล่ะคะ!

 

ฝ่ายรณพีร์ซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะยังไม่เอะใจอะไร เขายังคงนั่งดื่มและคุยกับเพื่อนร่วมโต๊ะไปพลางๆ ระหว่างรอน้องสาวกลับมา แต่แม่ของเขากลับมาที่โต๊ะก่อน พอไม่เห็นลูกสาวอยู่กับลูกชายจึงถามไถ่

“อ้าว น้องไปไหนล่ะตาเมฆ”

“ไปห้องน้ำครับแม่ เดี๋ยวคงกลับมา”

รณพีร์ตอบ ยังไม่ฉุกใจคิดเพราะรติยาเพิ่งไปได้ไม่ถึงห้านาที และเขาก็เข้าใจว่าผู้หญิงต้องเข้าห้องน้ำนานอยู่แล้วเพื่อทำธุระส่วนตัว แต่งหน้าเติมปาก ยิ่งน้องสาวกินอาหารและดื่มไปแล้วด้วยคงต้องใช้เวลาเสริมสวยสักนิด

แต่หลายนาทีผ่านไป จากห้านาทีกลายเป็นสิบนาที น้องสาวตัวดียังไม่กลับมา รณพีร์ก็เริ่มเป็นห่วง กลัวจะไปทำตัวซุ่มซ่ามที่ไหนหรือไปมีเรื่องมีราวกับใคร ประเภทเจอคนเมาหรือเจอเหตุการณ์อะไรที่ทำให้เจ้าตัวปลีกตัวกลับมาไม่ได้ เขาจึงอาสาไปตามน้องสาวเอง

“เดี๋ยวผมไปดูให้ครับแม่”

“ไปดูให้แม่ที เดี๋ยวคุณนงนภามาไม่เจอจะเสียเที่ยวกันเปล่าๆ”

มาลินีบอกและมองตามลูกชายที่ลุกออกไปจากห้องจัดเลี้ยง สีหน้าเริ่มเป็นกังวล กลัวว่าถ้าคนที่นัดแนะไว้มาพร้อมลูกชายแล้วไม่เจอลูกสาวของหล่อน การพบปะครั้งแรกของลูกสาวของหล่อนกับลูกชายของอีกฝ่ายคงไม่น่าประทับใจเอาเลยแน่ๆ 

รณพีร์เดินมาถึงหน้าห้องน้ำซึ่งแบ่งเป็นฝั่งชายหญิง มันเป็นห้องน้ำที่อยู่ใกล้งานเลี้ยงที่สุดและใช้สำหรับรับรองแขกเหรื่อที่มาใช้บริการห้องจัดเลี้ยงโดยเฉพาะ เขายืนรออยู่ชั่วครู่เผื่อว่าน้องสาวใกล้จะเสร็จแล้ว

แต่รอแล้วรอเล่าผ่านไปอีกห้านาที น้องสาวของเขาก็ยังไม่ออกมา รณพีร์จึงตัดสินใจส่งข้อความหาผ่านไลน์ครอบครัว 

เมฆ เมฆารุ้งอยู่ในห้องน้ำหรือเปล่า แม่ให้มาตามแล้วนะ พี่รออยู่หน้าห้องน้ำ ออกมาได้แล้ว (เอียง)

เขาส่งข้อความไปและรอให้ขึ้นเครื่องหมายอ่านข้อความ แต่มันก็ยังไม่ขึ้น ราวกับว่าน้องสาวของเขาไม่ได้เปิดอ่าน พอดีกับที่มีผู้หญิงคนหนึ่งออกมาจากห้องน้ำ เขาจึงตัดสินใจเข้าไปสอบถาม

“ขอโทษนะครับ พอดีผมมาตามน้องสาว เธอหายมาเข้าห้องน้ำนานแล้ว ไม่ทราบว่าในห้องน้ำมีผู้หญิงตัวสูงประมาณนี้...” เขาทำมือในระนาบความสูงให้ดูประกอบไปด้วย “ผมยาวและใส่ชุดเดรสสั้นคลุมเข่าสีโอลด์โรสอยู่ข้างในหรือเปล่าครับ”

“อืม...ไม่แน่ใจนะคะว่ายังทำธุระอยู่หรือเปล่า แต่หน้ากระจกแต่งตัวดิฉันไม่เห็นนะคะ”

“ขอบคุณครับ”

รณพีร์กล่าวขอบคุณแล้วส่งข้อความหาน้องสาวอีกครั้ง

เมฆ เมฆารุ้งออกมาได้แล้ว เข้าห้องน้ำนานไปแล้วนะ ไหลลงท่อไปแล้วหรือไง (เอียง)

แต่น้องสาวก็ไม่ได้ตอบข้อความกลับมาจนเขาชักจะเป็นห่วง และเริ่มเอะใจว่ารติยาขอตัวไปห้องน้ำหลังจากที่เขาเล่าความจริงของการมางานเลี้ยงในครั้งนี้ให้น้องสาวรู้ หรือว่า...

ไม่มั้ง...ยายรุ้งคงไม่ทำอย่างนั้นหรอกมั้ง

คนเป็นพี่ยังเผื่อใจไว้ ไม่อยากฟันธงว่าน้องสาวหนีกลับไปแล้ว แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไร้เงาน้องสาวออกมาจากห้องน้ำ จนกระทั่งผ่านไปหลายอึดใจ เสียงแจ้งเตือนของแอปพลิเคชันก็ดังขึ้น เขารีบปัดหน้าจอเพื่อดูข้อความแล้วก็แทบอยากจะหายเข้าโทรศัพท์ไปหักคอน้องสาวจิ้มน้ำพริกนัก

รุ้งพรายขอโทษนะพี่เมฆจ๋า รุ้งกลับบ้านแล้ว ฝากขอโทษแม่ด้วย รุ้งไม่อยากถูกจับคู่ให้ใครก็ไม่รู้ (เอียง)

“หน็อย! ยายรุ้ง แสบนักนะเรา”

รณพีร์สบถลั่นแล้วเดินหน้าหงิกกลับเข้าไปในห้องจัดเลี้ยง แต่พอจะไปถึงโต๊ะก็เห็นแม่ของเขายืนอยู่กับนงนภาซึ่งเขาเคยเจอมาแล้วหลายครั้ง เพราะนงนภาก็เป็นลูกค้าประจำที่ร้านเหมือนกัน

“สวัสดีครับคุณนงนภา”

นงนภาหันมาและรับไหว้รณพีร์ ยิ้มแย้มให้และทักทายอย่างอ่อนหวานเหมือนเคย 

“สวัสดีจ้ะ สบายดีนะลูก ไม่เจอกันนานเลย น้าไม่ค่อยได้แวะเข้าไปที่ร้านเลย หลังๆ นี่ยุ่งตลอด”

“ผมสบายดีครับ คุณนงนภาแวะมาที่ร้านเมื่อไหร่ ผมก็ยินดีต้อนรับเสมอครับ”

รณพีร์ตอบแล้วหันไปส่ายหน้าให้ผู้เป็นแม่ เป็นจังหวะเดียวกับที่นงนภาหันไปทางมาลินี จึงทำให้ไม่ทันเห็นตอนที่รณพีร์ขยับปากบอกมารดาอย่างไม่ออกเสียงว่า

หนีกลับไปแล้ว

มาลินีพออ่านริมฝีปากลูกชายออกก็ได้แต่หันไปยิ้มหวาน และขอโทษนงนภาที่เรื่องที่นัดแนะกันดูจะล้มไม่เป็นท่าเสียแล้ว เพราะลูกสาวตัวดีรู้แกวชิ่งหนีไปแล้ว

“ดิฉันต้องขอโทษคุณนงนภาด้วยนะคะ พอดีลูกสาวของดิฉันติดธุระด่วนมาไม่ได้ ทำให้คุณนงนภาต้องมาเสียเที่ยวเลย ขอโทษจริงๆ ค่ะ”

“อุ๊ย ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ดิฉันก็จะบอกอยู่พอดีว่าลูกชายของดิฉันก็ติดธุระเหมือนกัน พอส่งดิฉันหน้าล็อบบีเสร็จก็ไปธุระต่อทันที พอดีช่วงนี้งานที่บริษัทค่อนข้างยุ่งน่ะค่ะ”

สองแม่ต่างฝ่ายต่างขอโทษกัน แล้วก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ แก้เก้อกันไป แต่มีหรือที่ต่างคนจะเดาไม่ออกว่าลูกทั้งสองของตัวเองไม่ให้ความร่วมมือในการพยายามจับคู่ครั้งนี้เลยสักนิด ดูท่าว่าครั้งหน้าถ้าจะหลอกให้มาเจอและจับคู่ดูตัวกันอีก คงต้องวางแผนให้รัดกุมมากกว่านี้ อย่าทำให้ไก่ตื่นก่อนเป็นดีที่สุด!

 

เกือบเที่ยงวัน รติยางัวเงียตื่นแต่ตายังโหลลึก เพราะเมื่อคืนหลังจากหนีออกมาจากงานเลี้ยง หล่อนก็กลับมาที่บ้าน แต่ก็กังวลเรื่องแม่กับพี่ชายจนนอนไม่หลับ เลยนั่งดูซีรีส์เกาหลีให้หัวไม่ว่าง แล้วก็ได้เรื่องทันที ดูไปหนึ่งตอนก็ตามด้วยตอนต่อไปและต่อไป กว่าจะนอนก็เกือบเจ็ดโมงเช้าจนขอบตาดำเป็นหมีแพนด้าไปแล้วเรียบร้อย

หญิงสาวหาวพลางเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือจากโต๊ะหัวเตียงมาเปิดดู เห็นว่ามีข้อความจากพี่ชายคนโตส่งผ่านแอปพลิเคชันสนทนามาแบบรัวๆ 

เมฆ เมฆา: กล้าหนีกลับก่อนเหรอ ปิดโทรศัพท์เหรอยายตัวดี (เอียง)

เมฆ เมฆา: พี่บอกแม่แล้วนะ แม่โกรธมาก ถ้าตื่นแล้วรีบมาหาแม่ให้ไวเลย (เอียง)

เมฆ เมฆา: นี่โชคดีนะว่าลูกชายของคุณนงนภาก็ติดธุระด่วน ไม่อย่างนั้นแม่ได้อายแน่ เพราะแกหนีกลับไปก่อน แล้วทิ้งแม่กับพี่ต้องอยู่รับหน้าแทน รู้งี้พี่ไม่บอกก็ดีหรอก! (เอียง)

เมฆ เมฆา: เข้ามาที่บ้านวันนี้เลยนะ ไม่งั้นพี่จะไปรับที่บ้านเอง (เอียง)

รณพีร์ส่งข้อความมาอีกมากมายยาวเหยียด แต่ทั้งหมดก็เป็นไปในทางเดียวกัน นั่นคือต่อว่าและต้องการให้หล่อนกลับไปที่บ้านวันนี้ รติยาอ่านข้อความยาวเป็นหางว่าวจบแล้วทำหน้าเซ็ง แต่ก็ยังต้องกลับไปง้องอนเอาใจแม่อยู่ดี เพราะเมื่อคืนหล่อนก็ผิดจริงๆ ที่หนีออกมาจากงานเลี้ยงโดยไม่บอกแม่ก่อน 

รติยาได้แต่ถอนหายใจ แต่อดขำลึกๆ ไม่ได้ที่ครอบครัวไม่ยอมให้หล่อนมีแฟนที่เข้ามาจีบเอง เพราะกลัวจะโดนหลอก แต่กลับหาแฟนให้หล่อนทั้งที่ไม่ยอมให้มีเอง 

ทว่าหล่อนก็ไม่ได้คิดมากหรอกถ้าจะไม่มีแฟนตอนนี้ เพราะสำหรับหล่อนแล้ว สิ่งสำคัญในช่วงนี้คงมีแค่การเอาตัวให้รอด ไม่ให้พ่อแม่และพี่ชายรู้ว่าหล่อนตกงานอยู่มากกว่า!

เพราะถ้าพ่อแม่และพี่ชายรู้ว่าหล่อนตกงานนั่งเตะฝุ่นอยู่กับบ้านละก็ ร้อยทั้งร้อยมีหวังโดนเอาเรื่องตกงานมาอ้าง บอกให้หล่อนกลับไปอยู่ที่บ้านแน่ๆ จะได้ไม่เปลืองเงิน แล้วก็จะได้ช่วยกันดูแลได้ หรือดีไม่ดีก็ส่งหล่อนไปทำงานที่ห้องเสื้อของพี่ชาย ถ้าเป็นอย่างนั้นหล่อนอาจจะถูกแม่แนะนำให้รู้จักใครต่อใครอีก หรือไม่ก็จับคู่ดูตัวให้ลูกคุณหญิงคุณนายที่เป็นลูกค้าของร้านอีกแน่ๆ แบบนั้นไม่เอาด้วยหรอก

รติยาถอนหายใจ แต่ก็คิดว่าอย่างไรวันนี้หล่อนต้องไปหาแม่อยู่ดี แล้วก็คงเป็นโชคดีที่เมื่อคืนหลังจากกลับถึงบ้าน หล่อนโทรศัพท์ไปบอกอารดาแล้วว่าขอเลื่อนนัดเป็นวันถัดมาแทน เพราะเดาได้ว่าแม่จะต้องมาแนวนี้ แล้วถ้าหล่อนไม่ไปขอโทษและง้องอน แม่จะต้องโกรธหนักกว่าเดิมแน่ๆ

หญิงสาวลุกจากเตียงไปอาบน้ำแต่งตัวและขับรถกลับไปที่บ้านของพ่อกับแม่ โดยไม่ลืมแวะซื้อขนมและอาหารที่แม่ชอบไปฝากเพื่อเอาใจให้แม่หายโกรธ พอถึงบ้านหล่อนก็ออดอ้อนง้องอนแม่แบบเล่นใหญ่ จนสุดท้ายแม่ก็ยอมใจอ่อนยกโทษให้ แต่ยังคาดโทษหล่อนในเบื้องต้นไว้ด้วย ก่อนจะลากเข้าครัว บังคับให้ไปเป็นลูกมือทำอาหารอร่อยๆ ด้วยกัน

หล่อนได้แต่ยอมตามใจแม่เพื่อสวัสดิภาพของหู จะได้ไม่ต้องโดนบ่นอีก กว่าจะทำเสร็จก็ปาไปสี่โมงกว่า หล่อนเลยอยู่กินอาหารกับครอบครัวต่อ อย่างน้อยการกินอาหารที่บ้านก็อร่อยและอบอุ่นเสมอ

แต่ระหว่างที่กินอาหารด้วยกัน หล่อนเผลอหลุดปากบอกเรื่องที่อารดาจะลากไปขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ได้แฟนด้วยกันในวันพรุ่งนี้ แม่ของหล่อนได้ยินอย่างนั้นเลยยุเข้าให้

“รุ้งก็ขอพรให้ได้แฟนด้วยอีกคนเลยสิ”

“ไม่เอาหรอกค่ะแม่”

“ถ้าไม่เอา ก็ต้องลองไปเจอคนที่แม่จะแนะนำให้รู้จัก อย่างน้อยเขาก็รู้หน้ารู้ใจกันพอ”

“โธ่ แม่ขา”

หล่อนโอดครวญ ทำตาปรอยใส่ แต่คนเป็นแม่ไม่ยอมแพ้ พยายามโน้มน้าวความคิดของลูกสาว รวมทั้งเอาประวัติที่ตรวจสอบแล้วว่าผ่านแน่นอนมาสาธยายเพื่อให้ลูกเห็นดีเห็นงามด้วยให้ได้

“ไปเจอเขาสักหน่อยจะเป็นไรไป ประวัติเขาดีไม่มีด่างพร้อย หน้าที่การงานก็ดี อะไรก็ดี อนาคตไกล ฝากผีฝากไข้ได้ ไม่มีลำบาก”

มาลินีพยายามโน้มน้าวลูกสาวอีกรอบ แต่ลูกตัวดีปฏิเสธอีกเช่นเคย

“แต่รุ้งยังไม่อยากมีแฟนตอนนี้นี่คะแม่”

คนเป็นแม่ถึงกับถอนหายใจ อุตส่าห์จะแนะนำคนดีๆ ให้ ยายลูกตัวดีก็ไม่ยอมเล่นด้วย ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ถอดใจ และคิดว่าจะต้องหาวิธีให้ลูกสาวได้เจอลูกชายของนงนภาให้ได้ในเร็วๆ นี้ แต่ต้องหาวิธีที่ดีกว่าการไปเจอกันในงานเลี้ยง ดีไม่ดีนัดเจอกันที่บ้านนี่ละดีที่สุด

 

หลังมื้ออาหาร รติยามานั่งเล่นกับพี่ชายทั้งสองคนที่ระเบียงนั่งเล่น ซึ่งมีบ่อปลาคาร์ปที่พ่อรักนักรักหนาและเป็นมุมโปรดของหล่อนกับพี่ๆ ด้วยเช่นกัน เพราะก่อนจะกลายเป็นบ่อปลาคาร์ป มันเคยเป็นบ่อปลาหางนกยูงมาก่อน ตอนเด็กๆ มีปลาหางนกยูงอยู่ห้าสิบกว่าตัว พี่ชายทั้งสองคนกับหล่อนลงไปเล่นปลากันจนปลากลับสวรรค์ไปหมดบ่อ

“พี่เมฆพี่ยุเคยเจอลูกชายของคุณนงนภาบ้างหรือยังคะ”

“ไหนบอกไม่สนใจเขา แล้วถามทำไม”

รณพีร์ซึ่งเป็นพี่ชายคนโตย้อนถาม ทำเอารวิชญ์พี่ชายคนรองอดเห็นด้วยไม่ได้

“นั่นสิ ไม่สนใจเขาแล้วถามทำไม หรือว่าเกิดสนใจขึ้นมา”

“เปล่าซะหน่อย” คนเป็นน้องว่าแล้วทำหน้ามุ่ย “รุ้งแค่ถามไว้ เผื่อเลี่ยงไม่ได้จะได้ทำใจไว้แต่เนิ่นๆ ถ้าไม่หล่อไม่ตรงสเปก จะได้หาข้ออ้างมาอ้างกับแม่ได้ไงคะ”

รณพีร์กับรวิชญ์มองหน้ากันแล้วก็ได้แต่หัวเราะในลำคอกับความคิดของน้องสาว แต่รวิชญ์ หรือพายุ หรือพี่ยุ ไม่เคยเห็นลูกชายของนงนภาที่แม่พูดถึง มีแต่รณพีร์เท่านั้นที่เคยเห็น แต่ก็เห็นในงานเลี้ยงแห่งหนึ่ง เพราะอีกฝ่ายไม่ได้เป็นลูกค้าของร้าน มีแต่คุณนงนภาเท่านั้นที่มาใช้บริการห้องเสื้อของเขา เขาจำได้ว่าลูกชายของคุณนงนภาหน้าตาดีเลยทีเดียว

“ก็หน้าตาดีอยู่นะ จัดว่าหล่อเลยแหละ”

“ขาวตี๋ อปป้าไหมคะ”

“ไม่ได้แบบอปป้า แต่ขาวน่ะใช่ แล้วก็ตัวสูงด้วย น่าจะสักร้อยแปดสิบปลายๆ มาดผู้บริหารชัดเจน”

“อื้อหือ...แสดงว่าขี้เก๊ก”

“ก็ไม่แน่หรอก เพราะตอนที่พี่เห็นเขาไม่ได้ยิ้มให้พี่ แต่ได้ข่าวว่าเป็นผู้ชายที่ยิ้มทีชวนให้หัวใจสาวๆ ละลายเลยทีเดียว” 

“โอ้โห หล่อมาดผู้บริหาร แต่ขโมยหัวใจสาวๆ ได้เพียงแค่ยิ้ม พูดเว่อร์ไปหรือเปล่าคะ จะมีผู้ชายแบบนั้นจริงๆ เหรอ รุ้งไม่เชื่อหรอก” หล่อนคิดว่าพี่ชายพูดยกยอเพื่อให้หล่อนรู้สึกสนใจผู้ชายคนนั้นมากกว่าเป็นเรื่องจริง

“ไม่เชื่อก็ตามใจ”

รณพีร์ยักไหล่ ไม่ว่าอะไร เพราะคิดว่าหัวเราะทีหลังดังกว่า ขณะที่รวิชญ์ยื่นมือมายีหัวน้องสาวแล้วเตือนให้น้องได้ฉุกคิดบ้าง

“ไม่แน่นะ ถ้ารุ้งเจอเขา รุ้งอาจจะชอบเขาขึ้นมาก็ได้ ยังไม่เคยเจอกันก็อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้สิ”

“ไหงพี่ยุเห็นดีเห็นงามไปกับพี่เมฆด้วยล่ะคะ ไม่หวงน้องสาวหน่อยเหรอ” หล่อนอ้อน แล้วเอาแก้มแนบต้นแขนของพี่ชายคนรอง ทำตัวเป็นแมวคลอเคลีย

“ถ้าเป็นคนอื่น พี่กับพี่เมฆอาจจะหวง แต่คนนี้แม่คัดกรองมาแล้วเรียบร้อย ไฟเขียว ผ่านฉลุย”

พอรวิชญ์ย้ำอย่างนั้น รณพีร์ก็เสริมให้อีกแรงด้วยความจริงที่น้องสาวอาจจะนึกไม่ออก

“ที่จริงรุ้งก็เคยเจอเขามาแล้วครั้งหนึ่งนะตอนเด็กๆ ตอนนั้นรุ้งน่าจะอายุสักหกขวบละมั้ง เรียกพี่รุจด้วย แต่ตอนนั้นแม่เราเพิ่งจะได้รู้จักคุณนงนภาแค่ผิวเผิน แล้วก็ห่างหายกันไปช่วงหนึ่ง ก่อนจะกลับมาเจอกันอีกครั้งและรู้จักกันมากกว่าเดิมเหมือนตอนนี้”

“โอ้โห นานขนาดนั้นเลยเหรอคะพี่เมฆ ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าตอนนี้ผู้ชายคนนั้นเขาต้องแก่แล้วสิคะ แล้วอย่างนี้แม่จะให้รุ้งไปคบกับคนแก่เหรอ ไม่เอานะ” 

รติยาร้อง ทำหน้าเบ้ใส่พี่ชายทั้งสองคน แต่กลับถูกพี่ชายเหล่ใส่ โดยเฉพาะรณพีร์นั้นมองเหล่มากกว่าใครเพื่อนเพราะเรื่องอายุนี่แหละ

“เขาไม่ได้แก่ขนาดนั้น อายุสามสิบหก แก่กว่าพี่สองปี ถ้ารุ้งว่าเขาแก่ก็เหมือนว่าพี่กับไอ้ยุว่าแก่ด้วยนะ”

รณพีร์ยกอายุของตัวเองมาอ้าง ทำเอารติยาถึงกับทำหน้าหงิกหน้างอใส่พี่ชาย ทีเมื่อก่อนคอยคัดกรองหนุ่มๆ ให้ หวงน้องสาวยิ่งกว่าอะไรดี มาคราวนี้กลับให้ไฟเขียวแบบไม่ถงไม่ถามสุขภาพสักคำเพียงแค่แม่ชอบและเห็นดีเห็นงาม บางทีคัดกรองมาแล้วอาจพลาดก็ได้ ใครจะไปรู้

เชอะ! ไม่รู้อีตาคนนั้นมีดีอะไรนักหนา ถ้าไม่หล่อขั้นเทพ ไม่ตรงสเปกนะ แม่จะหาข้อติทั้งโหล ยกมาค้านจนกว่าคุณนายแม่จะหาข้อคัดค้านมาแย้งไม่ได้เลยคอยดู!

 

วันรุ่งขึ้น อารดามารับรติยาที่บ้านตามเวลาที่นัดแนะกันเอาไว้ สองสาวขับรถเข้าเขตจังหวัดอยุธยาได้ก็แวะกินก๋วยเตี๋ยวเรือที่ร้านใหญ่ริมถนนก่อนเพื่อเติมพลัง แล้วจึงขับรถต่อไปยังวัดที่หมายในการขอพรครั้งนี้ พอมาถึงวัดก็จอดรถที่ลานจอดรถและเดินไปยังพระอุโบสถ ไหว้พระขอพรสักเล็กน้อยก่อนจะเดินอ้อมไปที่ศาลเจ้าแม่ซึ่งอยู่ด้านข้างของพระอุโบสถเพื่อขอพรตามที่อุตส่าห์ดั้นด้นมา

พอมาถึงศาลเจ้าแม่ รติยากับอารดาก็ขึ้นไปบนชั้นสองอันเป็นสถานที่ขอพร เนื่องจากตอนนี้ไม่มีใครขึ้นมาและไม่มีเจ้าหน้าที่ ทำให้สองสาวซึ่งนั่งอยู่บนพื้นพรมคุยกันอย่างไม่ต้องเกรงใจใคร

“ถ้านับครั้งนี้ด้วย นี่ถือเป็นครั้งที่สามแล้วนะที่แกลากฉันมาขอพรให้มีแฟน”

รติยาพึมพำ ทำเอาคนเป็นเพื่อนที่อยู่ข้างๆ ถึงกับรีบบอก

“เออน่า ครั้งนี้ครั้งสุดท้าย ไม่ได้หรือคบไม่ยืดก็ไม่ขอแล้ว”

“ก็พูดแบบนี้มาสองครั้งแล้ว” หล่อนเย้ากลับ กลั้วหัวเราะเล็กน้อย

“ครั้งนี้ได้และไม่เลิกกันชัวร์ๆ รับรอง ฉันมีลางสังหรณ์”

“ฉันก็เห็นแกชัวร์มาตั้งแต่สองครั้งที่แล้ว ไม่อยากให้มีครั้งที่สี่ตามมาอีก”

“ไม่ให้กำลังใจกันเลยนะไอ้รุ้ง” อารดาว่าแล้วตัดบท “ครั้งนี้ครั้งสุดท้ายเชื่อสิ ถ้าได้มาแล้วเลิกกันอีกจะไม่ขอแฟนอีกไปสักระยะหนึ่งเลยคอยดู”

“นี่ถามจริงนะ แกเคยคิดบ้างไหมว่าทุกที่ที่แกไปขอพรน่ะ ที่จริงแล้วล้วนศักดิ์สิทธิ์สัมฤทธิผลทั้งนั้น แต่เป็นเพราะดวงชะตาของแกเองมากกว่าที่ยังไม่ถึงเวลามีแฟน ไม่ใช่ว่าขอแล้วจะได้และเป็นคนที่ใช่อะไรแบบนั้น”

“แล้วแกจะให้ฉันห่อเหี่ยวหัวใจเหรอ แกยังมีเวลาหาผัว แต่ฉันเนี่ยเวลาเหลือน้อยเต็มทีแล้วนะ ถ้ารอนานกว่านี้อายุสามสิบแล้วยังหาแฟนไม่ได้ มีหวังไม่ได้แต่งงานแน่ๆ เจ้าตัวคนลากมาทำหน้าง้ำหน้างอใส่ “แล้วคนอื่นในกลุ่มเราก็มีแฟนกันหมดแล้วด้วย แกไม่สงสารฉันเหรอ” 

“แกลืมหรือเปล่าว่าฉันก็ยังโสด”

“แกมันข้อยกเว้น”

“เอ้า ซะงั้น”

คนโดนลากมาด้วยถึงกับร้องพลางทำหน้าเหลอใส่ แล้วจึงหันมองรูปปั้นเจ้าแม่ ก่อนจะเกิดอยากลองขอพรท่านขึ้นมาบ้าง อย่างเช่นขอให้ท่านช่วยให้หล่อนไม่ต้องตระเวนไปขอพรหาแฟนกับเพื่อนอีก!

หญิงสาวจึงพนมมือและหลับตาลง ตั้งสมาธิ ตั้งจิตอธิษฐานระหว่างที่อารดาไม่ได้หันมาสนใจ เพราะมัวแต่อธิษฐานขอแฟนอย่างใจจดใจจ่อ

เจ้าแม่ขา ลูกพาเพื่อนมาขอพรหาแฟน ถ้าเจ้าแม่จะกรุณาก็ช่วยประทานแฟนให้ทีนะเจ้าคะ ลูกจะได้ไม่ต้องถูกยายเพื่อนตัวดีลากไปลากมาแบบนี้อีก หรือถ้าเจ้าแม่จะข้ามขั้นเป็นประทานผัวมาให้เลยก็ได้นะเจ้าคะ ลูกเหนื่อยแล้วเจ้าค่ะ เพี้ยง!’

สิ้นคำขอพรของหล่อน ลมแรงก็พัดผ่านเข้ามาทางช่องหน้าต่างวูบหนึ่ง พร้อมกับกลิ่นหอมเหมือนดอกไม้เย็นสดชื่นและเสียงกรุ๊งกริ๊งกังวานใสเหมือนเสียงระฆังแก้ว แล้วมันก็หายไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

รติยาหันซ้ายหันขวาด้วยความสงสัย แล้วมองเพื่อนที่ยังหลับตาขอพรไม่เสร็จเสียที แต่ดูท่าทางแล้วคงไม่ได้ยินเสียงที่หล่อนได้ยินแน่ๆ บวกกับจำที่ผู้ใหญ่เคยสอนไว้ได้ว่า ถ้าได้ยินเสียงแปลกๆ หรือได้กลิ่นแปลกๆ อย่าทัก หล่อนจึงได้แต่ยกมือที่พนมอยู่แล้วขึ้นไหว้ท่วมหัว

จากนั้นก็รอให้เพื่อนขอพรเสร็จจึงชวนกันออกมาจากศาลเจ้าแม่ แล้วไปเลี้ยงปลากันที่ท่าน้ำ ก่อนจะมาทำบุญหยอดเหรียญและเติมน้ำมันตะเกียงหน้าทางเข้าพระอุโบสถ ซึ่งวัดจัดไว้ให้บนยกพื้นไม้และมีหลังคาเต็นท์ให้ร่มเงาสบายๆ 

รติยาถอดรองเท้าและขึ้นไปบนยกพื้น แต่อารดากลับทำหน้าเบ้ บอกหล่อนว่า

“รุ้ง เดี๋ยวฉันมา ขอไปห้องน้ำแป๊บ แกหยอดเหรียญตักบาตรพระกับเติมน้ำมันตะเกียงไปพลางๆ ก่อน”

“ฉันไปเป็นเพื่อนไหม”

“ไม่ต้องเลยแก ฉันไม่ใช่เด็กอนุบาล นี่ก็กลางวันแสกๆ ในวัดคนเยอะอย่างกับมด แล้วนู่น...ห้องน้ำก็อยู่ตั้งลานจอดรถ แกรออยู่นี่แหละดีแล้ว”

“ค่ะๆ ถามนิดเดียว ตอบซะยาวเชียว งั้นอีแจ๋วจะเติมน้ำมันตะเกียงรอตรงนี้แหละเจ้าค่ะ”

“ดีมากค่ะแจ๋ว รู้งาน”

“รีบไปรีบมาเลยย่ะ”

รติยาไล่เชิงเย้าแหย่ อารดาจึงไม่โยกโย้ต่อและรีบวิ่งปรู๊ดไปห้องน้ำ คล้อยหลังอารดา คนที่บอกว่าจะเติมน้ำมันตะเกียงและหยอดเหรียญใส่บาตรจำลองไปพลางๆ ก็ไปแลกเหรียญจากเจ้าหน้าที่และนำมาหยอดบาตรพระประจำวันเกิดทั้งเจ็ดวันอย่างไม่รีบร้อน

หญิงสาวหยอดเหรียญไปเรื่อยๆ จนถึงพระประจำวันเกิด กลิ่นหอมที่เคยได้กลิ่นตอนไหว้เจ้าแม่ก็ลอยมาเตะจมูก หล่อนหน้านิ่ว ทำจมูกฟุดฟิดพยายามหาที่มาของกลิ่น คิดว่าหรือจะเป็นกลิ่นธูปหอม ไม่ใช่อะไรผิดแปลกอย่างที่หล่อนคิดไว้ตอนไปขอพรเจ้าแม่

หล่อนสูดจมูกเพื่อดมว่ากลิ่นมาจากไหน แต่เหมือนมันจะไม่ได้มาจากธูปที่จุด เพราะพอหล่อนเดินเข้าไปใกล้แท่นวางพระพุทธรูป กลิ่นก็จางลง แต่พอถอยออกมาเรื่อยๆ จนเกือบถึงริมเต็นท์ กลิ่นกลับแรงขึ้น

แต่เพราะหล่อนมัวแต่สนใจกลิ่นหอมจึงไม่ทันระวังตัว ลืมดูว่าข้างหลังเหลือพื้นที่ไม่มาก และตนเองกำลังจะตกยกพื้นในอีกไม่ถึงครึ่งก้าว พอหล่อนก้าวถอยไปอีกก้าวเดียวเลยเป็นเรื่อง

“ว้าย!

รติยาร้องขณะหงายหลังไปตามแรงโน้มถ่วง คิดว่าตนได้ล้มก้นจ้ำเบ้าตรงนั้นแน่ๆ แต่ใครบางคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ และหล่อนไม่เห็นเข้ามาช่วยรับไว้จากด้านหลัง

ตุ้บ!

สิ่งแรกที่หล่อนเห็นคือใบหน้าด้านข้างและเรือนผมสีน้ำตาลเกือบดำ ต่อมาก็รู้สึกถึงความแข็งแรงของเขาที่สามารถประคองหล่อนไว้และช่วยพยุงให้หล่อนยืนได้เองแบบดีๆ

“ขะ...ขอบคุณค่ะ”

หล่อนขอบคุณเขา ทั้งตกใจและอาย ไม่คิดว่าตัวเองจะกะเปิ๊บกะป๊าบขนาดนี้ แถมยังเป็นในวัดที่คนเยอะแยะอีก อีกใจก็ทั้งเขินทั้งอยากกรี๊ดออกมาให้ลั่นวัด ก็คนที่ช่วยหล่อนไว้เป็นผู้ชายที่หล่อมาก หล่ออย่างกับนักแสดง ทั้งขาวและสูง 

โอ๊ย หล่อวัวตายควายล้ม หล่อตรงสเปก หล่อแบบไม่บันยะบันยังเลยค่ะ!

ประเมินจากสายตาและความสูงของหล่อนแล้ว เขาน่าจะสูงสักร้อยแปดสิบเกือบร้อยเก้าสิบเลยทีเดียว เพราะขนาดหล่อนสูงหนึ่งร้อยห้าสิบเจ็ดและใส่รองเท้าพื้นหนาขึ้นมาอีกนิด ยังดูเตี้ยกว่าเขามากเลย

“ตรงนี้เป็นพื้นต่างระดับ ระวังด้วย”

“ขอบคุณค่ะ”

รติยาได้แต่รับคำ ยังคงมองเขาไม่วางตา ถึงหล่อนจะไม่ใช่คนเคลิ้มคนหล่อง่ายๆ แต่พอมีผู้ชายหล่อเหลา หล่อสะดุดตาสะดุดใจแบบนี้มาอยู่ใกล้ๆ มันก็อดหวั่นไหวไม่ได้

ฝ่ายคนที่ช่วยหล่อนไว้ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาทำเพียงก้มศีรษะให้เล็กน้อยก่อนเดินจากไป ปล่อยให้รติยาได้แต่มองตามเคลิ้มๆ อยากหยุดเวลาไว้ให้นานอีกสักนิด แต่ก็จำต้องปล่อยให้เวลาเดินต่อไปอย่างน่าเสียดาย แล้วถึงหล่อนจะอยากกรี๊ด อยากรั้งเขาไว้ตรงนี้นานๆ แต่นี่อยู่ในวัด หล่อนก็ต้องพยายามสำรวม ทั้งที่ในใจกัดผ้าเช็ดหน้ารัวๆ ไปแล้ว

ทว่าเพื่อนสาวที่เพิ่งกลับจากห้องน้ำมาเห็นเข้าพอดี แม้จะมองจากระยะไกลก็เห็นว่ามีผู้ชายคนหนึ่งช่วยประคองรติยาไว้ แต่กว่าจะเดินมาถึงในระยะพอที่จะร้องเรียกเพื่อนได้ พ่อหนุ่มคนนั้นก็เดินจากไปเสียแล้ว

“รุ้ง! เกิดอะไรขึ้น”


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น