1

คนโดนเทอีกแล้ว!

บทที่ ๑

คนโดนเทอีกแล้ว!

 

บ้านเดี่ยวหลังหนึ่งซึ่งเหมาะสำหรับครอบครัวเล็กๆ ตั้งอยู่ในเฟสสามของโครงการบ้านหรู แต่ไม่ได้อยู่ในเฟสกลางที่ติดทะเลสาบซึ่งแพงกว่าและหลังใหญ่กว่า แต่ถึงอย่างนั้นบ้านทุกหลังในหมู่บ้านนี้จะมีคลองจำลองไหลผ่านด้านหลัง เป็นโครงการบ้านหรูที่ให้ความสงบร่มรื่นและความเป็นส่วนตัวได้เป็นอย่างดีจนชวนให้คิดว่าอยู่ต่างจังหวัด ทั้งที่จริงแล้วมันอยู่แถวชานเมืองกรุงเทพฯ นี้เอง

เจ้าของบ้านหลังนี้คือ รติยา ทรัพย์สิริหาญ หรือรุ้งพราย หล่อนเป็นลูกสาวคนเล็กของการุณและมาลินี ทรัพย์สิริหาญ มีพี่ชายสองคนคือรณพีร์หรือเมฆา เป็นพี่ชายคนโต และเป็นเจ้าของห้องเสื้อหรูมาเรียบูติกที่เหล่าดาราและเซเลบหลายคนเลือกใช้เสื้อผ้าใส่ไปงานเลี้ยงหรูหรา ส่วนพี่ชายคนรองคือรวิชญ์หรือพายุ เป็นวิศวกรคอมพิวเตอร์ให้บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง 

รติยาอายุห่างจากพี่ชายคนโตสิบปี เพราะเป็นลูกหลงของบ้าน แต่ก็เป็นลูกหลงที่ทุกคนทั้งรักทั้งหวง ทั้งน่าหยิกในเวลาเดียวกัน เพราะความดื้อรั้นของหล่อนเอง

ครอบครัวของหล่อนค่อนข้างมีฐานะจากการที่คุณปู่มีที่ดินมากมายแถวชานเมือง ซึ่งเมื่อก่อนนี้ที่ดินแปลงหนึ่งราคาไม่เท่าไร แต่พอมาถึงยุคพ่อของหล่อน เมืองเริ่มขยายตัว ที่ดินเหล่านั้นจึงราคาพุ่งสูงขึ้น ทำให้ปัจจุบันฐานะทางบ้านเข้าข่ายมีอันจะกินเลยทีเดียว ส่วนหล่อนซึ่งเป็นลูกสาวคนเล็กของครอบครัวก็กลายเป็นเหมือนไข่ในหินของบ้าน ถึงอย่างนั้นพ่อกับแม่ก็ไม่ได้เลี้ยงมาแบบคุณหนูที่ทำอะไรไม่เป็น งานบ้านงานเรือนหล่อนทำเองได้หมด ยกเว้นอย่างเดียวที่ทางบ้านไม่เคยปล่อย นั่นคือเรื่องการมีแฟน!

พอจะมีใครก้าวเข้ามาแจกขนมจีบ ก็จะเจอพี่ชายสองคนทำตัวเป็นไม้กันหมา ตรวจสอบทุกอย่าง ขุดประวัติซักกันละเอียดยิบ จนคนที่เข้ามาจีบต่างถอยทัพยกธงขาวกันไปหมด สาเหตุที่เป็นอย่างนั้นเพราะหล่อนมีลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งเป็นญาติฝั่งแม่ที่อายุไล่เลี่ยกัน แต่ถูกผู้ชายหลอกว่ารัก สุดท้ายก็แค่หลอกฟันแล้วทิ้ง แล้วลูกพี่ลูกน้องคนนั้นก็ท้องตอนเรียนอยู่ปีสอง ความอับอายและความผิดหวังในรักทำให้ตัดสินใจจบชีวิตตัวเองด้วยการฆ่าตัวตาย

ทุกคนในบ้านจึงค่อนข้างอ่อนไหวกับเรื่องนี้มากโดยเฉพาะพี่ชายทั้งสองคน เพราะในสายตาพี่ชาย ไม่ว่าหล่อนจะอายุเท่าไรหรือโตแค่ไหน ก็ยังคงเป็นน้องสาวคนเล็กของบ้านอยู่ดี

แต่เพราะแบบนี้จึงทำให้บางครั้งรติยารู้สึกอึดอัดกับความรักความหวงที่มากเกินไป จนขอทำสัญญากับพ่อและแม่ว่า ถ้าหล่อนเรียนจบด้วยเกรดเฉลี่ยรวมถึงสามจุดศูนย์ศูนย์ พ่อกับแม่และพี่ชายจะต้องยอมให้หล่อนออกไปอยู่เองข้างนอก และห้ามพี่ชายสองคนบงการชีวิตหล่อนอีก

ทุกคนยอมตกลงตามข้อเสนอนี้ เพราะคิดว่ารติยาคงทำไม่ได้แน่ๆ เนื่องจากหล่อนไม่ใช่คนเรียนเก่งมาแต่ไหนแต่ไร เป็นเด็กที่เรียนอยู่ในเกณฑ์ปานกลางมาตลอด ไม่ใช่เด็กฉลาดหรือเด็กหัวกะทิของห้อง

ทว่าผลที่ออกมาคือหล่อนทำเกรดเฉลี่ยจบได้ตามที่ตกลงกันไว้ พ่อกับแม่และพี่ชายจึงจำใจต้องทำตามสัญญาให้หล่อนออกมาอยู่ด้วยตัวเอง แต่มีข้อแม้ว่าต้องกลับบ้านทุกวันอาทิตย์ แล้วบ้านที่หล่อนจะไปอยู่เองก็เป็นบ้านที่พี่ชายซื้อไว้และอยู่ในหมู่บ้านที่ห่างจากบ้านของพ่อกับแม่ไปแค่หนึ่งกิโลเมตร เป็นหมู่บ้านที่มีระบบรักษาความปลอดภัยดีเยี่ยม 

รติยายอมรับข้อแม้ที่ตั้งขึ้น หล่อนเริ่มใช้ชีวิตลันล้ามาตั้งแต่เรียนจบแล้วเข้าทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่งในตำแหน่งพนักงานฝ่ายจัดซื้อ แต่หล่อนไม่ใช่สาวปาร์ตีอยู่เป็นทุนเดิม มีดื่มบ้างนิดหน่อยเวลาเข้าสังคม แต่จะรู้ขีดจำกัดของตัวเอง พ่อกับแม่จึงไม่เป็นห่วงเรื่องนั้น

ทุกอย่างดูเป็นไปได้ด้วยดี จนกระทั่งพิษเศรษฐกิจโลกทำให้บริษัทปิดตัวลง และหล่อนก็ต้องมาเตะฝุ่นชั่วคราวระหว่างที่รอให้บริษัทที่ยื่นใบสมัครไว้เรียกตัวไปสัมภาษณ์งาน แต่รอแล้วรอเล่าก็ยังไม่มีใครเรียกไปเสียที

หญิงสาวหาวหวอดๆ ขณะเดินเข้าไปอาบน้ำทั้งที่ยังเมาขี้ตาอยู่ เรือนผมสีน้ำตาลเฮเซลนัตอ่อนๆ ยุ่งเหยิงเพราะเพิ่งตื่นนอน แต่ช่วยให้ใบหน้ารูปไข่ที่ดูเด็กอยู่แล้วยิ่งเด็กลงไปอีก จนมองเผินๆ นึกว่าเป็นเด็กเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัย 

เจ้าตัวเข้าไปยืนเมาขี้ตาอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำอยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะเริ่มอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า พอจัดการเสร็จก็ลงมาชั้นล่าง หามื้อเช้าที่สายแล้วกิน ได้ขนมปังไข่ดาวธรรมดากับไส้กรอกรมควันหอมกรุ่น

หล่อนยกอาหารที่ทำเสร็จไปวางบนโต๊ะรับแขก แล้วเดินไปเอาเสื้อผ้าที่ต้องซักใส่เครื่อง ก่อนจะกลับมานั่งกินมื้อเช้าง่ายๆ หน้าโทรทัศน์ พอกินเสร็จก็เก็บล้างตามปกติ 

แต่ตอนเดินออกมาจากห้องครัวหล่อนได้ยินเสียงรถยนต์แล่นมาจอดหน้าประตูบ้าน จึงเดินไปชะโงกดูตรงประตูชั้นในของตัวบ้าน คนขับรถเปิดกระจกและชะโงกหน้าออกมาทำท่าบุ้ยใบ้ว่าจะเอารถเข้าบ้าน

“เอ้า จะมาก็ไม่บอกกันก่อน”

รติยาพึมพำพลางส่ายหน้าเมื่อแม่เพื่อนตัวดีมาหาแบบไม่บอกไม่กล่าว หล่อนออกไปยังมุขหน้าบ้าน กดรีโมตเปิดประตูรั้วเพื่อให้เพื่อนขับรถเข้ามาจอดด้านใน ก่อนจะกดรีโมตปิดประตูหลังจากแม่เพื่อนตัวดีจอดรถเรียบร้อยแล้ว

พอเพื่อนรักก้าวลงจากรถ หล่อนก็ร้องทักทันที

“ลมอะไรหอบมาจ๊ะ คุณอารดา”

หล่อนร้องทักไปอย่างนั้นไม่ใช่ว่าเพื่อนไม่เคยมาหาที่บ้าน แต่เพราะเมื่อไรมาด้วยตัวเองแบบนี้ ไม่ใช่การโทร. หาหรือนัดไปกินอาหารข้างนอก แสดงว่ามีเรื่องต้องปรึกษา ‘ศิราณี’ อย่างหล่อนอีกแน่ๆ

“ลมคิดถึงแกน่ะสิ”

อารดาหรือปุ๊กตอบพลางทำหน้าเบ้ใส่ เจ้าหล่อนเป็นเพื่อนที่อายุมากกว่ารติยาถึงสี่ปี เนื่องจากช่วงจบมัธยมปลายป่วยหนักจนต้องรักษาตัวอยู่นาน กว่าจะหายดีกลับมาเรียนได้ เพื่อนที่เคยเรียนด้วยกันก็จบกันไปหมดแล้ว จึงต้องมาเรียนรุ่นเดียวกับรติยา ทำให้ตอนนี้อารดาอายุยี่สิบแปดปี อีกสองปีก็จะสามสิบแล้ว 

ทว่าแม้ทั้งสองคนจะอายุจะห่างกัน แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อความเป็นเพื่อนเลยแม้แต่น้อย

“แค่คิดถึงฉันเลยมาหา อื้อหือ ต่อให้อมพระมาพูดก็ไม่เชื่อ แล้วไหงทำหน้าแบบนั้น”

“เข้าบ้านก่อน ขอน้ำแก้วหนึ่ง แล้วจะเล่าให้ฟังหมดเปลือกเลย”

อารดากล่าวแล้วเป็นฝ่ายเดินนำเข้าบ้านไปหน้าตาเฉย เล่นเอาเจ้าของบ้านถึงกับทำหน้าเหลอและส่ายหน้าขำๆ หล่อนคงคิ้วกระตุกใส่ไปแล้ว ถ้าอีกฝ่ายไม่ใช่อารดาซึ่งเป็นเพื่อนสนิทและมาบ้านหลังนี้บ่อยจนเรียกว่าเป็นบ้านหลังที่สองไปแล้ว แต่ส่วนใหญ่อีกฝ่ายไม่เคยมาก่อนเที่ยงเลยสักครั้ง ดังนั้นแล่นหามาตั้งแต่ช่วงสายแบบนี้แสดงว่ามีอะไรแน่นอน

รติยาเดินตามเข้าไปในบ้านและหาน้ำมาบริการเพื่อน พอหล่อนนั่งลงบนโซฟาได้ คนที่เพิ่งมาถึงก็โอดครวญทันที

“แก...ฉันโดนเทอีกแล้วอะ” อารดาโอดครวญแล้วเริ่มร่ายยาวให้ฟัง “พี่เป้ที่ฉันคบด้วยเขาเทฉันแล้วอะแก เขาบอกว่าฉันน่าเบื่อ งอแง ทำตัวน่ารำคาญ”

“อีกแล้วเหรอ”

หล่อนไม่ได้ตกใจหรือแปลกใจ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อารดาอกหักและถูกบอกเลิก

“อีกแล้วอะแก ฉันอกหักอีกแล้ว”

อารดาเริ่มงอแงออดอ้อนแล้วโผเข้ากอดเพื่อน เอาหน้าซุกอกเพื่อนสาว ถูไถคลอเคลียจนรติยาต้องตบบ่า ทั้งปลอบทั้งขำอยู่ในใจ ก็เพราะอารดาเป็นแบบนี้น่ะสิถึงได้โดนเท ทำตัวเหมือนเก่ง เจนจัดเรื่องการคบหาผู้ชาย แต่จริงๆ แล้วงอแงจะตายไป

“โอ๋ๆ ไม่เสียใจนะ ไม่เสียใจนะคะหนูอารดา”

“ฉันทำตัวน่าเบื่อมากเลยเหรอ ฉันก็แค่อยากให้เขารู้สึกว่าฉันเป็นผู้หญิงที่ต้องการการปกป้อง อ้อนเก่ง ฉอเลาะเก่ง แต่ไหงมันผิดไปหมดจนกลายเป็นแบบนี้อีกแล้วอะ”

คนเป็นเพื่อนระบายออกมา แต่ไม่ได้ร้องห่มร้องไห้เสียใจ นี่อาจจะเป็นข้อดีของอารดาก็ได้ที่เจ้าตัวไม่ใช่พวกบ่อน้ำตาตื้น อะไรนิดอะไรหน่อยก็ร้องไห้ฟูมฟาย แต่เรื่องอ้อน เรื่องงอแงง้องแง้งเนี่ยไว้ใจได้เลย

“อย่าคิดมากสิ เขาแค่อาจจะไม่ได้ชอบแบบนี้ก็ได้ งวดหน้าคนใหม่แกก็ลองดูก่อนว่า คนที่เขาจีบแกหรือแกไปจีบเขาเป็นผู้ชายแนวไหน แล้วค่อยจูนมาเจอกันคนละครึ่งทาง จะได้คบกันยืดๆ”

“เพราะแบบนี้ไง ฉันถึงมาหาแก”

อารดาบอก จากที่กอดเอวซุกอกเพื่อนอยู่ก็เงยหน้าขึ้นและเปลี่ยนเป็นยิ้มแฉ่งใส่ ไม่เหมือนคนที่เพิ่งอกหักโดนบอกเลิกมาเลยสักนิด ไอ้แบบนี้สงสัยว่างานมันจะมางอกที่หล่อนอีกแล้วแน่ๆ 

“นี่แกเพิ่งถูกบอกเลิกมาแน่เหรอ ทำไมดูไม่สลดเลย”

“ฉันไม่ชอบทำตัวเป็นศาลาคนเศร้า กินน้ำตาต่างข้าว นี่มันปีสองพันยี่สิบแล้ว ผู้หญิงเราต้องสตรองให้ผู้ชายน้ำตาเช็ดหัวเข่า เวลาถูกบอกเลิกเราต้องโนสนโนแคร์ แล้วทำให้ผู้ชายเสียดายที่ทิ้งเราไป นี่คือคติของฉัน!” อารดาว่าแล้วยิ้มหวาน “เพราะฉะนั้น ฉันก็เลยจะมาชวนแกไปด้วยกัน”

อื้อหือ แม่คุณ! โนสนโนแคร์เกินไปแล้วหรือเปล่าคะคุณเพื่อน

“จะชวนฉันไปไหน”

“ไปหาผู้คนใหม่”

“ฮ้า! นี่เลิกคนเก่าปุ๊บก็จะหาคนใหม่เลยเหรอ มูฟออนเร็วไปแล้วแก”

รติยาอดไม่ได้ที่จะแหย่ด้วยวลีจากดาราคนหนึ่ง ที่ตอนนี้กลายเป็นวลีฮิตของใครหลายคนเวลาพูดถึงคนที่เพิ่งเลิกรากับแฟนแล้วหาแฟนใหม่ได้เร็ว หรือประกาศเปิดตัวแฟนใหม่แบบไม่มีอาการเสียใจเลยสักนิด

“ก็คนนี้เพิ่งคบกันได้แค่เดือนเดียวเอง ฉันทำใจได้ สบายมาก เลยจะชวนแกไปหาด้วยกัน”

“เดี๋ยวนะ ไปหาด้วยกัน?” หล่อนทวนถามแล้วก็ถึงบางอ้อ “อย่าบอกนะว่าจะใช้วิธีนั้นอีก”

“เป๊ะ ใช่เลย”

อารดาไม่ปฏิเสธเลยแม้แต่น้อยว่าสิ่งที่เพื่อนเดานั้นถูกต้อง แต่มีหรือที่รติยาจะยอมตกลง เพราะถ้าหล่อนยอมไปด้วยครั้งนี้ก็เท่ากับเป็นครั้งที่สาม!

เนื่องจากก่อนหน้านี้อารดาใช้วิธีไปขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามสถานที่ดังๆ เพื่อให้มีแฟน แล้วก็ได้มาจริงๆ แต่คบกันได้ไม่เท่าไรก็เลิก เป็นแบบนี้มาตลอด รายล่าสุดที่เจ้าตัวเพิ่งบอกว่าโดนเทก็ได้มาจากการขอพรเหมือนกัน

“ม่าย...” รติยาร้องปฏิเสธเสียงยานคาง “ฉันไม่ไปหาเจ้าพ่อเจ้าแม่หรืออะไรๆ ของแกอีกแล้ว ขี้เกียจ”

“ไม่ได้ แกจะขี้เกียจไม่ได้”

“ทำไมจะไม่ได้”

“ก็ก่อนฉันมาหาแก ฉันบังเอิญไปเจอไอ้นุ้ย มันกำลังจะไปจัดการเรื่องการ์ดแต่งงาน นุ้ยมันโชว์ภาพตัวอย่างการ์ดให้ฉันดู บอกว่าฉันได้เห็นเป็นคนแรกเลย เพราะยังไม่ได้เอาลงในไลน์กลุ่ม เนี่ย ดูสิ!”

อารดาเอ่ยถึงเพื่อนอีกคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋า แล้วเปิดภาพถ่ายการ์ดแต่งงานสีชมพูอมส้มให้เพื่อนดู ว่าที่เจ้าสาวคนนี้เป็นหนึ่งในกลุ่มเพื่อนที่มีกันอยู่หกคน และทุกคนก็มีแฟนกันหมด ส่วนคนนี้คือคนแรกที่จะแต่งงาน ทำให้ตอนนี้เหลือแค่อารดากับรติยาเท่านั้นที่ยังโสด

“โอ้โห เห็นคุยในไลน์กลุ่มว่าฝ่ายผู้ชายส่งผู้ใหญ่มาขอแล้ว แต่กำลังรอฤกษ์ นี่ได้ฤกษ์แล้วเหรอเนี่ย แบบนี้ฉันต้องเตรียมหาชุดแล้วละสิ ไหนดูซิธีมงานสีอะไร อ๊ะ สีชมพูเหรอ หวานแหววมาก”

รติยาพึมพำขณะดูภาพการ์ดในโทรศัพท์ แต่พอเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนตัวดี หล่อนก็ได้แต่ถอนหายใจเมื่อเห็นเพื่อนสนิทหน้างอเป็นม้าหมากรุก

“ดูทำหน้าเข้า อะไรมันจะห่อเหี่ยวปานนั้น”

“ต้องห่อเหี่ยวสิ ก็ฉันไม่อยากแต่งงานคนสุดท้ายของกลุ่มนี่ แถมอีกสองปีฉันก็สามสิบแล้ว เวอร์จินยังไม่เคยเสียเลยนะแก”

สิ้นเสียงบ่นกึ่งโอดครวญของเพื่อน รติยาก็แทบสำลัก ไม่รู้ว่าควรขำหรือสงสารดี 

“ตกลงแกอยากมีแฟนหรือแกอยากเสียเวอร์จิน เอาดีๆ”

“ทั้งสองอย่าง เอ๊ย ไม่ใช่ มีแฟนสิ แต่ไม่รู้แหละ ยังไงแกก็ต้องไปกับฉัน”

อารดาสรุปแล้วมัดมือชกเสร็จสรรพอย่างเอาแต่ใจ แต่ก็รู้ว่าเอาแต่ใจกับรติยาได้ เพราะแม้จะชอบบ่นใส่บ้างอะไรบ้าง แต่ก็เป็นเพื่อนที่ไม่ค่อยปฏิเสธเพื่อน ออกแนวใจแข็งแต่ก็ใจดี

“แบบนี้อีกแล้วนะไอ้ปุ๊ก”

“นะๆๆ ครั้งนี้ครั้งสุดท้าย ไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยนะ”

รติยาส่ายหน้าปฏิเสธ แต่คนที่อุตส่าห์ถ่อสังขารมาบ่นให้ฟังถึงที่ก็ไม่นำพาอาการปฏิเสธนี้เลยสักนิด ยังคงรบเร้าให้หล่อนตกลงให้ได้ เพราะรู้ว่าอย่างไรเสียเพื่อนก็ต้องยอมใจอ่อนอีกตามเคย

แล้วก็จริงอย่างที่อารดาคาดไว้ เพราะสุดท้ายรติยาก็ใจอ่อนจนได้

“เฮ้อ...” 

หญิงสาวถอนหายใจแล้วได้แต่ส่ายหน้าเพลียๆ ให้คนที่อยากมีแฟนนักหนา แต่คนถูกส่ายหน้าใส่กลับยิ้มแฉ่ง หน้าบานเป็นจานเชิง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังโอดครวญจะเป็นจะตาย 

“ถามจริง แกไม่เบื่อเหรอ”

“เรื่องอะไร”

“ก็...เวลาเจอญาติหรือใครๆ แล้วเขาถามแกด้วยคำถามเดียวกันหมดอย่างกับถูกโปรแกรมมา มีแฟนหรือยัง เมื่อไหร่จะแต่งงาน ถามซ้ำๆ ซากๆ แถมบางคนนะ พอเราแต่งงานมีลูกก็ถามต่ออีก เมื่อไหร่จะมีคนที่สองที่สาม”

“พอดีฉันยังไม่เคยโดนถาม รอดตัวไป”

“แต่ฉันโดน แล้วถึงไม่โดนถาม ฉันก็อยากมีแฟนกับเขาบ้าง แล้วก็ต้องเป็นแฟนที่คบกันจนแต่งงานมีลูกด้วยกันเลย ไม่ใช่คบแป๊บเดียวเลิกแบบนี้” อารดาโอดครวญก่อนจะถามต่อ “แล้วแกน่ะ จะอยู่เหี่ยวเฉาคนเดียวอย่างนี้ต่อไปเหรอ”

“เปล่า แค่ตอนนี้ยังไม่พร้อม”

หล่อนปฏิเสธ เพราะลำพังตอนนี้ต้องเอาตัวเองให้รอด มีงานทำให้ได้ก่อนพ่อแม่และพี่ชายจะจับได้ว่าเตะฝุ่นอยู่ เรื่องแฟนไว้ทีหลังก็ยังไม่สาย!

“ไม่พร้อมหรือว่าหน่วยคัดกรองที่บ้านยังไม่ไฟเขียวกันแน่จ๊ะ”

อารดาเอ่ยอย่างรู้ทัน แต่คนเป็นเพื่อนที่ถูกจับไต๋ได้กลับยักไหล่ใส่ ไม่ได้อนาทรร้อนใจสักนิด แถมยังบอกอีกว่า

“ไม่ต้องมากัดฉันเลย ว่าแต่คราวนี้แกจะลากฉันไปที่ไหน”

“อยุธยา”

“อยุธยา! เล่นใหญ่ไปแล้ว สองครั้งก่อนยังแค่ในกรุงเทพฯ เอง”

รติยาเท้าความถึงการขอพรหาแฟนของเพื่อน ที่สองครั้งก่อนหน้านี้ไปขอพรที่สถานที่ชื่อดังซึ่งหลายคนหลายสำนักยืนยันว่าขอแล้วได้ผลรวดเร็วจริง อารดาไปขอมาแล้วและก็ได้ผลจริง ได้แฟนเป็นตัวเป็นตนในเจ็ดวัน แต่คบได้ไม่นานก็โดนขอเลิก ประหนึ่งว่าเจ้าตัวเป็นคนไม่มีดวงความรักอย่างนั้นละ

“ดีเท่าไหร่แล้ว ฉันไม่ชวนแกไปขอพรที่วัดชื่อดังที่ฮ่องกงด้วยกัน”

“อันนั้นก็เกินไป”

“ใช่ไหมล่ะ เพราะฉะนั้นแค่อยุธยานี่ถือว่าใกล้แล้ว ขึ้นทางด่วนถึงบางปะอินแล้ววิ่งถนนเส้นหลัง แป๊บเดียวก็ถึงวัดแล้ว ชิลๆ ค่ะ” 

อารดาว่ายาวเหยียด แต่คนถูกชวนถึงกับทำหน้าเหลอ เพราะรู้ว่าแม่เพื่อนตัวดีเป็นจอมหลงทิศหลงทาง ขับรถยังต้องพึ่งจีพีเอสทุกที แต่นี่พูดได้เป็นฉากๆ ก็แสดงว่า...

“นี่ตรวจสอบเส้นทางมาเรียบร้อยแล้วเหรอ”

“แน่นอน ฉันดูมาเรียบร้อย ทั้งทางไปวัดและร้านของกิน เดี๋ยวเลี้ยงกุ้งแม่น้ำแกจานใหญ่ๆ เลย”

“งกๆ แบบแก เวลาใจป้ำขึ้นมานี่บอกตรงๆ ฉันชักไม่ไว้ใจเลย” 

รติยาแซว เพราะรู้ว่าเพื่อนเป็นแม่สาวสายงก ขนาดเวลาไปซื้อของในห้างด้วยกันยังใช้เครื่องคิดเลขหารเปรียบเทียบสินค้าแบบสุดๆ แล้วยังมีวีรกรรมลืมปั๊มเวลาจอดรถในห้าง แต่พอเดินมาขึ้นรถแล้วกำลังจะถึงป้อมตรวจบัตรนึกขึ้นได้ วนรถกลับไปจอดใหม่เพื่อเดินไปปั๊มบัตร ไม่ยอมเสียค่าจอดรถ 

แม้จะเรียกว่าเป็นสาวสายงกตัวจริง แต่นิสัยอื่นๆ ก็ไม่ได้แย่นัก มีบ้างที่เจ้าหล่อนทำตัวงอแงจนน่าปวดหัว แต่ก็ไม่ได้บ่อย เพื่อนๆ ในกลุ่มจึงมองข้ามเรื่องนี้ไป เพราะเอาจริงแล้วถ้าไม่นับนิสัยจุกจิกพวกนี้แล้ว อารดาก็ถือเป็นคนที่น่าคบหาคนหนึ่ง

“แหม ไปทั้งทีมันก็ต้องหาเรื่องกินเรื่องเที่ยวสักหน่อยสิ จริงไหม”

“แล้วจะไปวันไหน”

“วันนี้”

“วันนี้!” หล่อนร้องและปฏิเสธทันที “ไม่ได้อะ เย็นนี้ฉันต้องไปงานเลี้ยงกับแม่ เดี๋ยวกลับมาเตรียมตัวไปงานไม่ทัน แม่จะงอนเอา ไว้เป็นวันอื่นแทนนะ”

“งั้นไปพรุ่งนี้”

“รีบเหรอคะ” หล่อนอดแซวเพื่อนไม่ได้

“ก็อยากมีผัวอะค่ะ แล้วก็นะ ถ้าแกอยากขอแฟนด้วยอีกคนก็ได้ เราจะได้แต่งงานพร้อมกันเลยไงแก แต่งงานพร้อมกันเป็นแพ็กคู่ ประหยัดและได้ฟีลความสนุกสนานด้วย”

“ฝันหวานไปก่อนเลยย่ะ”

รติยาดับฝันเพื่อนเสียเลย แล้ววกกลับมาถามเรื่องสถานที่ที่อารดาจะพาไปว่าเป็นที่ไหน จากนั้นสองสาวก็เริ่มวางแผนกันว่านอกจากวัดที่อารดาอยากไปแล้ว จะแวะที่อื่นด้วยหรือไม่ จนกระทั่งได้ข้อสรุปแผนการเดินทางคร่าวๆ รวมถึงเวลาที่ชัดเจน

“โอเค ตกลงพรุ่งนี้เก้าโมงเช้าฉันจะมารับแกนะ”

“โอเค”

สองสาวนัดแนะกันเรียบร้อย อารดาอยู่คุยเรื่องเพื่อนในกลุ่มและวิดีโอคอลกับเพื่อนๆ อยู่สองชั่วโมงก่อนจะขอตัวกลับบ้าน ส่วนรติยานั่งเล่นเฟซบุ๊ก ดูนั่นดูนี่ไปเรื่อย จากนั้นก็ไปตากผ้าที่ซักเสร็จแล้ว กวาดบ้านถูบ้านอีกหน่อย จนกระทั่งช่วงบ่ายแก่ๆ หล่อนก็ขับรถไปที่บ้านของพ่อกับแม่เพื่อไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งหน้าทำผม ก่อนจะออกไปงานเลี้ยงด้วยกันตามที่แม่บังคับว่าต้องไปให้ได้

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น