บทที่ ๑

เด็กฝึกงานกับรองประธานบริษัท

“อิง รถมาแล้ว” ดุจตะวันตะโกนเรียกคนที่ยืนเก็บเมล็ดแห้งของดอกทานตะวันอยู่ข้างป้ายรถเมล์

ศศิมารีบม้วนผ้าเช็ดหน้าที่ใช้ห่อเมล็ดดอกทานตะวัน เก็บใส่กระเป๋าสะพายข้างแล้วรีบวิ่งตามดุจตะวันไปขึ้นรถโดยสารประจำทาง

“จะปลูกขึ้นเหรอ” ดุจตะวันถามหลังจากที่เบียดตัวขึ้นไปยืนบนรถได้แล้ว

“ไม่รู้สิ ต้องลองดูก่อน ถ้าขึ้นก็ดีจะได้เก็บเมล็ดขายออนไลน์” ศศิมายิ้มกริ่ม เพราะช่วยบิดามารดาทำไร่ทำนามาตั้งแต่จำความได้ เธอจึงกลายเป็นคนที่ชอบปลูกผักเพาะพันธุ์ต้นไม้ไปโดยปริยาย และเมื่อต้องเข้ามาเรียนต่อในมหาวิทยาลัยในเมืองกรุง เธอจึงต่อยอดสิ่งที่ชอบให้กลายเป็นรายได้ ควบคู่กับการรับทำงานพิเศษอื่นๆ

“ถ้าทำได้ก็ดี จะได้มีเงินเพิ่ม” ดุจตะวันคล้อยตาม เธอสองคนเรียนด้วยกันมาตั้งแต่ชั้นประถมศึกษา ช่วยเหลือเกื้อกูลรักใคร่สนิทสนมประหนึ่งพี่น้องร่วมอุทร ครั้นเมื่อจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายจึงจูงมือไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐแห่งเดียวกัน

“ค่าไฟมาแล้วใช่ไหม” ศศิมาถาม ครอบครัวของเธอมีอาชีพไร่ทำนาจึงไม่มีรายได้ประจำ ส่วนครอบครัวของดุจตะวันนั้นก็มีความยากลำบากไม่ต่างกัน นับว่ายังโชคดีที่ดวงเดือนผู้เป็นป้าของดุจตะวันแต่งงานกับนักธุรกิจนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ในยามที่รุ่งเรืองจึงซื้อบ้านซื้อรถด้วยเงินสด 

ครั้นเมื่อธุรกิจมีปัญหาสามีของป้าตรอมใจล้มป่วยและเสียชีวิตลงในที่สุด ทิ้งหนี้สินนับสิบล้านไว้ให้ดวงเดือนรับผิดชอบ ดวงเดือนจึงขายสินทรัพย์ที่มีชำระหนี้ไปบางส่วน แล้วเดินทางไปทำงานที่ต่างประเทศเพื่อหาเงินมาชำระหนี้ในส่วนที่เหลือ แต่ถึงแม้จะลำบากเพียงใดก็ไม่ยอมขายบ้านที่เคยใช้ชีวิตอยู่กับสามี เมื่อต้องเดินทางไปต่างประเทศจึงให้ดุจตะวันผู้เป็นหลานสาวมาอาศัยโดยไม่คิดค่าเช่า เพื่อให้ช่วยดูแลบ้านไม่ให้ทรุดโทรมระหว่างที่เธอไม่อยู่

เพราะเป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน ศศิมาจึงได้รับความเมตตาจากดวงเดือนให้เข้ามาอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนั้นด้วย เธอคิดไม่ออกเลยว่าหากต้องเช่าหอพักอยู่ เธอทั้งสองคนจะต้องรับทำงานพิเศษเพิ่มอีกกี่อย่าง เพราะลำพังค่าเทอม ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอาหาร และค่าเดินทางเธอสองคนก็แทบจะหายใจทางผิวหนัง

“อืม ห้าร้อยกว่าแน่ะ” ดุจตะวันถอนหายใจ อะไรที่ประหยัดได้เธอสองคนก็ช่วยกันประหยัด เครื่องปรับอากาศเป็นเพียงเครื่องประดับบ้านที่ไม่เคยเปิดใช้งานมาร่วมสามปี โทรทัศน์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ไม่รู้ว่าป่านนี้หนูจะกัดสายขาดไปหรือยัง เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้ประจำมีเพียงหม้อหุงข้าวกับพัดลม ชาร์จแบตเตอรี่โน้ตบุ๊กที่ออกเงินซื้อกันคนละครึ่งบ้างในช่วงที่ต้องพิมพ์รายงาน ส่วนโทรศัพท์ส่วนมากก็อาศัยชาร์จในห้องเรียน

“เอาน่า เราสองคนหาเงินเก่งอยู่แล้ว” ศศิมายักคิ้ว เธอรบกวนเงินพ่อแม่ในช่วงที่เข้ามาเรียนเทอมแรกเท่านั้น หลังจากปรับตัวได้ก็เริ่มหางานพิเศษทำ ไม่ว่าจะเป็นร้านกาแฟ พิมพ์งาน แจกเอกสาร ร้านข้าวต้มหน้าปากซอยล้วนแล้วแต่ทำมาแล้วทั้งนั้น อะไรที่ทำแล้วได้เงินเธอไม่เคยเกี่ยง ถึงจะเหนื่อยกาย แต่เธอก็มีความสุขที่ได้แบ่งเบาภาระของทางบ้าน ภูมิใจทุกครั้งที่กำเงินจากน้ำพักน้ำแรงไปจ่ายค่าเทอม

ดุจตะวันยักคิ้วตอบรับ ก่อนจะเปลี่ยนบทสนทนาไปยังเรื่องสำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้นไม่กี่นาทีหลังจากนี้ “ฉันตื่นเต้นจังเลยแก ฝึกงานวันแรกไม่รู้จะเจออะไรบ้าง”

“ฉันก็ทั้งตื่นทั้งเต้น อยากรู้จังว่าธุรกิจนี้เขาบริหารจัดการกันยังไง”

“บริหารยังไงไม่รู้ รู้แต่ว่าบริษัทนี้ให้เบี้ยเลี้ยงนักศึกษาฝึกงานมากกว่าบริษัทอื่นตั้งสองพัน” ดุจตะวันว่าเสียงตื่นเต้น

“โชคดีจังเลยเนาะที่ได้ฝึกที่นี่” ศศิมายิ้มแต้ ความจริงแล้วเบี้ยเลี้ยงที่พวกเธอได้รับเท่ากันกับเพื่อนๆ คนอื่น เพียงแต่ว่าที่นี่เพิ่มค่าเดินทางให้อีกคนละสองพันบาท “อยากจะกราบแนบอกเจ้าของบริษัทสักที”

“ย่ะ เจ้าของบริษัทใหญ่ขนาดนั้น คงจะมีเวลาว่างมาให้แกกราบหรอก” ดุจตะวันหัวเราะร่วน

“สี่เดือนที่ฝึกงานฉันจะต้องกราบผู้มีอุปการคุณให้ได้ แกคอยดู” ศศิมาหมายมาดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“ถ้าแกคิดจะวิ่งไปขวางหน้ารถเพื่อกราบขอบพระคุณแล้วละก็ กรุณาทำตอนที่อยู่คนเดียว ฉันไม่ขอเอี่ยวด้วย” เพราะรู้จักนิสัยใจคอกันดี ดุจตะวันจึงรีบออกตัว

“แกก็ว่าไป ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่แสนขี้อาย จะกล้าทำอะไรบ้าดีเดือดได้ยังไง” ศศิมาว่าตาใสซื่อ

“แล้วแกจะทำยังไงไม่ทราบ”

“รูปติดบอร์ดคือคำตอบสุดท้าย” ศศิมาหัวเราะร่วน ซึ่งไม่ต่างกันเลยกับดุจตะวัน สองสาวเส้นตื้นหัวเราะจนตัวงอ ทว่าเมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาหลากหลายคู่ที่มองมา ก็ตระหนักรู้ว่าพวกเธอไม่ได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง แต่มีผู้ร่วมฟังเสียงหัวเราะที่ไม่เบาอีกหลายสิบชีวิตจึงรีบงับปากลง ค้อมศีรษะเป็นเชิงขอโทษผู้ร่วมเดินทาง สองนักศึกษาสาวเหลือบตามองกันเล็กน้อยเป็นสัญญาณพักเมาท์ ยืนเกาะราวรถเมล์อย่างสงบเสงี่ยมจนกระทั่งถึงจุดหมายปลายทาง

ลักษมีเมธี กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

ศศิมาเงยหน้าขึ้นอ่านป้ายหน้าอาคารสำนักงานขนาดใหญ่แล้วยืดอกขึ้น “แค่ได้มาฝึกงานยังรู้สึกว่าไหล่ตัวเองกว้างยืดได้มากกว่าทุกวัน”

“จำไว้นะยายอิงว่าให้ทำตัวเหมือนคนปกติ อย่าทำอะไรให้พี่ๆ เขากลัว” ดุจตะวันย้ำเป็นรอบที่สองร้อยสามสิบเจ็ด นับตั้งแต่รู้ว่าเธอทั้งสองผ่านการคัดเลือกให้เข้ามาฝึกงานที่นี่ เธอก็คอยเตือนเพื่อนสนิทที่บางครั้งก็คล้ายกับคนที่ไม่อยู่กับร่องกับรอย

ศศิมาโคลงศีรษะ ทั้งที่นิสัยใจคอก็แทบจะเรียกว่าโขลกออกมาจากพิมพ์เดียวกัน แต่ดุจตะวันก็ยังเน้นย้ำคล้ายกับเธอผิดแผกเสียเต็มประดา แต่กระนั้นก็ขี้เกียจที่จะต่อความยาวสาวความยืด เพราะในเวลานี้ทุกองคาพยพของเธอจดจ่ออยู่ที่ตึกสูงใหญ่ตรงหน้า หญิงสาวยักไหล่ให้เพื่อนสนิทก่อนจะเริ่มเขย่งก้าวกระโดดเข้าไปยังจุดแลกบัตร

ปี๊น!

ทว่าเขย่งไปได้ไม่ถึงสามเก้า แก้วหูก็แทบร้าวปริ

“ยายอิง!” ดุจตะวันตะโกนลั่นก่อนจะรีบวิ่งไปดึงศศิมาให้ขึ้นมายืนบนทางเท้า

“ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ” ศศิมาค้อมศีรษะขอโทษเป็นพัลวัน

...

“มีอะไร” คนที่นั่งอยู่เบาะหลังในส่วนของผู้โดยสารกดเลื่อนกระจกกั้นระหว่างส่วนของผู้โดยสารกับคนขับรถลง แม้ว่ารถสมรรถนะสูงจะเบรกกะทันหัน แต่กระนั้นน้ำเสียงที่ใช้ถามก็ยังเรียบเรื่อยไร้ซึ่งความตื่นเต้น

“มีคนกระโดดลงมาขวางทางครับนาย” ศักดิ์ คนขับรถมากฝีมือตอบ

“ใคร” ผู้เป็นนายถาม

“น่าจะเป็นนักศึกษาที่มาฝึกงานครับ”

“เป็นอะไรหรือเปล่า” ถึงจะถอนหายใจที่ต้องเสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่กระนั้นก็ยังมีกะจิตกะใจเอ่ยถาม

“ไม่เป็นไรครับ”

“อืม เตือนหน่อยก็แล้วกัน”

ศักดิ์ค้อมศีรษะรับ ก่อนจะลดกระจกฝั่งคนขับลง “ระวังหน่อยน้อง พรวดพราดลงมาแบบนี้มันอันตรายรู้ไหม”

“ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ”

ชลชาติเหลือบตามองคนที่ผงกศีรษะเป็นกิ้งก่าเล็กน้อย ก่อนจะหลุบตาลงมองเอกสารที่อ่านค้างไว้ดังเดิม

...

“เกือบไปแล้วมั้ยล่ะแก เพิ่งพูดไปหยกๆ ว่าให้ทำตัวเหมือนคนปกติ” ดุจตะวันตบหน้าผากตัวเองแรงๆ

“ขอโทษ” ศศิมายิ้มแหย

“ไม่เจ็บตรงไหนใช่ไหม”

ศศิมาส่ายหน้าแรงๆ

“งั้นก็รีบไปเถอะ ฉันไม่อยากสายตั้งแต่วันแรก” ดุจตะวันว่า

“อืมๆ” ศศิมาพยักหน้า ก้าวขาตามจังหวะม้าย่อง กวาดตามองไปรอบๆ ด้วยความระมัดระวัง

“ยายอิง!” ดุจตะวันร้อง แล้ววกกลับมาลากแขนคนที่มัวแต่โยกซ้ายโยกขวาให้เดินตาม

“หลอนอะ” ศศิมาเกาท้ายทอย พยายามควบคุมการเดินให้สงบเสงี่ยม เมื่อพาตัวเองมาถึงจุดแลกบัตรได้อย่างปลอดภัยแล้วจึงเป่าลมออกปากด้วยความโล่งอก

“ห้องประชุมพร้อมแล้วค่ะ” เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ก่อนที่เลขานุการหน้าห้องจะเปิดประตูเข้ามารายงานผู้เป็นนาย

ชลชาติพยักหน้ารับ ยกข้อมือซ้ายขึ้นดูหน้าปัดนาฬิกา “วันนี้ประชุมคงยืดเยื้อ คุณมุกกลับบ้านก่อนได้เลย ไม่ต้องรอ”

“ขอบคุณค่ะ” มุกภาตาค้อมศีรษะลง แม้ว่าผู้เป็นนายจะเจ้าระเบียบและเด็ดขาด แต่เมื่อรู้ว่าเธอมีครอบครัวมีลูกสาววัยเจ็ดขวบรออยู่ที่บ้าน ทุกครั้งที่มีประชุมในช่วงเย็นและหากเป็นหัวข้อที่ต้องหารือกันเป็นเวลานาน เขาก็จะให้เธอกลับบ้านก่อนเสมอ นับว่าเป็นโชคดีที่สุดของคนที่ทำงานในตำแหน่งเลขานุการ ส่วนผู้ช่วยอีกสองคนคือธีร์กับพัฒน์นั้น เนื่องจากเป็นหนุ่มโสดด้วยกันทั้งคู่ จึงร่วมหัวจมท้ายกับผู้เป็นนายได้ตลอดทั้งวันทั้งคืน

“ไปกันเถอะ” ชลชาติเงยหน้าขึ้นเอ่ยกับผู้ช่วยสองคนที่ยืนถือเอกสารรออยู่ ทว่ายังไม่ทันได้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เสียงเรียกเข้าจากสมาร์ตโฟนที่วางอยู่บนโต๊ะก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน

“ป๊า”

ชลชาติยกมุมปากขึ้นน้อยๆ ยามได้ยินเสียงใสดังแว่วมาตามสาย “ว่าไงครับลูก”

“ป๊าจะกลับมากินข้าวกับต้นน้ำมั้ยครับ” เด็กชายสมุทรเอ่ยถาม

“ป๊ามีงานด่วนคงกลับไปไม่ทัน”

“ว้า...”

ชลชาติหลุดเสียงหัวเราะแผ่วเบายามได้ยินเสียงถอนหายใจดังแว่วมาตามสาย “เป็นเด็กเป็นเล็กหัดถอนหายใจแล้วหรือเรา หืม”

“ป๊าก็ถอนหายใจแบบนี้”

นั่นประไร คนเป็นพ่อกลอกตามองเพดาน อาจเพราะเป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว และเขาเองก็เป็นคนดูแลบุตรชายด้วยตัวเองมาตลอด เจ้าตัวเล็กจึงจดจำและเลียนแบบคำพูดคำจาตลอดจนถึงบุคลิกภาพของเขาไปแทบจะทุกกระเบียด

“ต้นน้ำทำการบ้านเสร็จหรือยังครับ” ชลชาติพาเปลี่ยนเรื่อง

“ครับ คุณหญิงย่าบอกว่าต้นน้ำทำถูกทุกข้อ ต้นน้ำเก่งมากๆ” เด็กชายตัวน้อยยืดอกขึ้นขณะอวดตัว

“เก่งมากครับ หลังกินข้าวเสร็จต้นน้ำนอนที่ห้องคุณย่ากับอากงไปก่อนนะลูก” ชลชาติเอ่ยบอกบุตรชาย

“ถ้าป๊าเสร็จงาน ป๊าจะมาอุ้มต้นน้ำไปนอนที่ห้องใช่ไหม” เด็กชายเอ่ยถามเพื่อความมั่นใจ

“ครับ”

“ป๊าทำงานคนเดียวเลยเสร็จช้า งั้นพรุ่งนี้เลิกเรียนแล้วต้นน้ำจะไปช่วยตรวจงานนะครับ” เด็กนักเรียนชั้นอนุบาลสามว่าด้วยน้ำเสียงจริงจัง และนั่นก็ทำให้คนที่คร่ำเคร่งกับกองงานมาตลอดทั้งวันระบายยิ้มกว้างด้วยความชอบใจ

“ได้สิลูก งั้นป๊าไปประชุมก่อนนะครับ”

“ครับ ต้นน้ำรักป๊าที่สุด”

“ป๊าก็รักต้นน้ำ” ชลชาติบอกรักบุตรชายก่อนจะกดวางสาย จากนั้นจึงเดินออกจากห้องทำงานไปพร้อมกับผู้ช่วยทั้งสองคน

“แกแน่ใจนะยายอิง ว่าจะทำตอนนี้” ดุจตะวันหันซ้ายแลขวา ก่อนจะเอ่ยถามเพื่อนสนิทอีกหนเพื่อความมั่นใจ

“แน่สิแก บนไว้ไม่แก้ แกคิดว่าฉันจะนอนหลับลงหรือไง” ศศิมาว่า หลังจากรวบผมขึ้นมัดสูงปล่อยปลายเป็นหางม้าเรียบร้อยแล้ว วันนี้หลังจากรายงานตัว เธอ ดุจตะวัน และชนิศาเพื่อนร่วมคณะอีกคนจึงแยกย้ายกันไปฝึกงาน เธอได้ฝึกในฝ่ายบัญชีและการเงินของกลุ่มธุรกิจประกันและการเงิน ส่วนดุจตะวันฝึกงานในกลุ่มธุรกิจนำเข้ารถยนต์ ส่วนชนิศาฝึกในกลุ่มธุรกิจพลังงาน

ใหญ่โตมโหฬารเหลือเกิน ไม่เสียแรงที่เธอบนบานเอาไว้ในวันแรกที่เข้ามาสัมภาษณ์กับฝ่ายบุคคล และเมื่อสิ่งที่เธอขอไว้สัมฤทธิผลจึงรีบมาแก้บนในวันที่เริ่มต้นฝึกงานวันแรก สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะได้รับรู้ว่าเธอเป็นคนมีสัจจะ และรับพิจารณาคำขอพรของเธอในข้อถัดไป ที่เธอจะขอหลังจากแก้บนพรข้อแรกเรียบร้อยแล้ว

“จะทำอะไรก็รีบๆ เถอะ เดี๋ยวจะดึกไปกว่านี้” ดุจตะวันเร่ง

“อืม” ศศิมาพยักหน้า ด้วยการแก้บนที่ว่าไม่เหมาะจะทำในช่วงที่มีคนพลุกพล่าน ดังนั้นหลังจากเลิกงานเธอทั้งสองจึงลองเดินหาร้านกาแฟและร้านอาหารใกล้ๆ เผื่อมีร้านไหนรับสมัครพนักงานพาร์ตไทม์ที่ทำช่วงหลังเลิกงานได้ เธอทั้งสองคนก็จะมีรายได้ระหว่างฝึกงานเพิ่มอีกทาง และเดินกลับมายังสำนักงานลักษมีเมธี กรุ๊ปอีกครั้งในช่วงหลังพระอาทิตย์ตกดิน

“สองทุ่มเก้านาที ฤกษ์งามยามดี ยายไอเปิดเพลง” ศศิมาร้องบอก และเมื่อดุจตะวันเปิดเพลงบรรเลงจากโทรศัพท์มือถือ จึงเริ่มยกแขน ก้าวขา กรีดปลายนิ้วร่ายรำ

ภายในห้องประชุมบนชั้นสิบสอง ผู้บริหารระดับสูงต่างก็คร่ำเคร่งกับการตรวจทานเอกสารสำคัญ เพื่อวางแผนในการเทกโอเวอร์บริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งในเวียดนาม เหตุที่ต้องวิเคราะห์และวางแผนให้ละเอียดถี่ถ้วนนั้น เพราะยังมีบริษัทอื่นที่ต้องการเทกโอเวอร์บริษัทแห่งนี้ด้วยเช่นกัน 

ชลชาติลุกขึ้นจากเก้าอี้หัวโต๊ะเพื่อเขียนใจความสำคัญบนบอร์ดที่ตั้งไว้ติดกระจก ชายหนุ่มเขียนตัวเลขที่อยู่ในใจ พร้อมกับจำนวนปีที่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจวิเคราะห์ความคุ้มทุน

“สามปี ห้าปี สิบปี” ชลชาติเคาะปากกาเคมีกับบอร์ดก่อนจะเดินไปพิงกระจกเพื่อใช้ความคิด ทว่าเพียงหลุบตาลงเพื่อทำสมาธิ สายตาก็สบกับการร่ายรำเบื้องหน้าศาลพระภูมิเทวา

เป็นไปไม่ได้! 

สิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติไม่มีอยู่จริง ชายหนุ่มหลับตาแล้วลืมตาขึ้นเพ่งมองอีกครั้ง สิ่งที่ไม่ได้อยู่เหนือธรรมชาติก็ยกมือขึ้นตั้งวง พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองปลายนิ้ว เพื่ออธิษฐานขอพรเป็นข้อที่สอง

‘เรียนจบแล้วขอให้หนูได้ทำงานที่นี่ด้วยเถิด สาธุ’

เมื่อสายตาจับภาพด้านล่างได้อย่างชัดเจนแล้ว คนที่ยืนพิงกระจกอยู่ก็ได้แต่ถอนใจ 

นักศึกษาอีกแล้วอย่างนั้นหรือ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น