๒
อิงฟ้าปีสาม มารยาทงาม และรักเด็กค่ะ
“สวัสดีค่ะ”
“...”
“สวัสดีค่ะ”
“...”
“สวัสดีค่ะ”
ศศิมาประนมมือไหว้ ส่งเสียงทักทายตลอดทางจนกระทั่งเดินมาถึงโต๊ะทำงานในแผนกบัญชีและการเงิน วางกระเป๋าสะพายลงบนโต๊ะ แล้วเอ่ยทักทายคนที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ “พี่นุชสวัสดีค่ะ”
นิดานุชยิ้มรับน้อยๆ ที่มุมปาก ก่อนถอดหูฟังออก “มาแต่เช้าเชียว กินอะไรมาหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ” ศศิมาตอบ ขณะนั่งลงบนเก้าอี้ เก็บกระเป๋าไว้ในลิ้นชัก แล้วจึงเปิดคอมพิวเตอร์
“นั่งเล่นไปก่อนนะ แผนกนี้เริ่มงานกันตรงเวลาเลยละ” นิดานุชว่า ก่อนจะปิดหูฟัง แล้วตักโจ๊กในชามขึ้นมารับประทานต่อ
“ค่ะ” ศศิมาขานรับแผ่วเบา เพราะที่พักอยู่ไกลจากที่ทำงานพอสมควร ดังนั้นเธอจึงต้องเผื่อเวลามากกว่าการเดินทางไปมหาวิทยาลัยร่วมชั่วโมง ซึ่งก็นับว่าเป็นการวางแผนที่ได้ผลดีไม่น้อย เมื่อเธอสามารถพาตัวเองมาถึงที่ทำงานก่อนเวลาเริ่มงานสี่สิบนาที ทำเวลาได้ดีกว่าเมื่อวานยี่สิบนาที
ศศิมาไม่ปล่อยให้เวลาว่างเปล่าประโยชน์ หญิงสาวหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดแอปพลิเคชันยอดฮิตเพื่อโพสต์ขายเสื้อผ้า โดยเธอมีหน้าที่เป็นเพียงตัวกลางในการโพสต์ขายเท่านั้น เมื่อลูกค้าโอนเงินชำระค่าสินค้า เธอก็จะส่งยอดพร้อมกับโอนเงินต่อไปยังร้านค้า โดยหักค่าส่วนต่างที่เธอบวกเพิ่มออก จากนั้นทางร้านค้าก็จะส่งสินค้าไปยังลูกค้าคนดังกล่าวเอง
งานนี้ดูเหมือนจะง่ายแต่ไม่ง่ายเลย เพราะไม่มีสินค้าจริงอยู่ในมือ เธอจึงต้องสอบถามรายละเอียดต่างๆ จากทางร้านค้าให้ครอบคลุมภายในครั้งเดียว หากไม่จำเป็นเธอจะไม่ส่งข้อความไปรบกวนทางร้านค้า เพราะตัวแทนจำหน่ายไม่ได้มีเธอเพียงคนเดียว และการมีข้อมูลที่ครบถ้วนก็ทำให้เธอมั่นใจ ตอบลูกค้าได้สมเหตุสมผล ซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ลูกค้าเลือกที่จะซื้อขายกับเธอ
เวลาสี่สิบนาทีผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อถึงเวลาเริ่มงาน ปรางค์ทิพย์ เลขานุการฝ่ายจึงมอบหมายงานให้เธอทำ ซึ่งผู้อำนวยการฝ่ายแจ้งเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานว่า สัปดาห์แรกจะให้เธอเรียนรู้งานภาพรวมโดยจะมีปรางค์ทิพย์เป็นพี่เลี้ยง
“งานของพี่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการประสานงานระหว่างแผนก รวบรวมข้อมูลจัดทำเอกสารต่างๆ ตามที่พี่ก้องต้องการใช้” ปรางค์ทิพย์เอ่ยพาดพิงถึงก้องเกียรติ ผู้เป็นผู้อำนวยการฝ่าย
“...”
“พี่เพิ่งส่งเอ็กซ์เซลให้ทางเมล อิงฟ้าช่วยเอาข้อมูลจากเอกสารเล่มนี้กรอกใส่เอ็กซ์เซลให้ที”
“ได้ค่ะ” ศศิมารับคำ รับเอกสารเล่มหนาจากปรางค์ทิพย์ แล้วเดินกลับไปนั่งโต๊ะของตัวเองเพื่อเริ่มทำงาน
“ปะ ไปกินข้าวกัน”
ศศิมาละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ แล้วเงยหน้าขึ้นพร้อมยิ้ม “อิงเอาอาหารมาจากบ้านค่ะพี่ปรางค์”
“อ้าวเหรอ งั้นฝากนุชดูน้องด้วยก็แล้วกัน” ปรางค์ทิพย์หันไปทางนิดานุชที่วันนี้พกข้าวกล่องมาจากบ้านด้วยเช่นกัน
นิดานุชพยักหน้ารับ ก่อนจะลุกขึ้น “ไปกินในแพนทรีกัน”
“ค่ะ” ศศิมายิ้มรับพร้อมกับเปิดลิ้นชัก เพื่อหยิบกล่องอาหารในกระเป๋าสะพายใบเขื่อง
การฝึกงานในช่วงเช้าดำเนินไปอย่างราบรื่น ศศิมาสามารถสรุปใจความและนำตัวเลขไปใส่ในเอ็กซ์เซลได้ถูกต้อง ส่วนในช่วงบ่ายปรางค์ทิพย์เริ่มให้เธอเดินเอกสาร
“พี่ปรางค์จำได้ทั้งหมดเลยหรือคะ” ศศิมากะพริบตาปริบๆ เพราะอาคารสำนักงานแห่งนี้มีทั้งหมดยี่สิบชั้น แบ่งสัดส่วนหกชั้นต่อหนึ่งกลุ่มธุรกิจ ซึ่งในแต่ละกลุ่มธุรกิจยังมีการเปิดบริษัทลูกอีกหลายสิบบริษัท ลำพังแค่จำชื่อบริษัทและแผนกต่างๆ ภายใต้กลุ่มประกันและการเงินเธอก็แทบจะร้องขอชีวิตแล้ว
“พี่ทำงานที่นี่มาตั้งห้าปี เดินทั่วหมดแล้วจ้ะ” เลขานุการสาวว่า ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเมื่อเห็นสีหน้าของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ “หน้าตาเราตอนเหวอนี่จ้อจี้ดีเหมือนกันนะ”
“จะเกิดอะไรขึ้นคะ ถ้าอิงเอาเอกสารไปส่งผิดชั้น ผิดแผนก ผิดกลุ่มบริษัท” ศศิมาถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล ถึงแม้ว่าจะดูขาดๆ เกินๆ ไปบ้าง แต่เรื่องงานเธอจริงจังเสมอ โดยหารู้ไม่ว่าแท้ที่จริงแล้วศัตรูของความจริงจังของเธอก็คือความเกินๆ ขาดๆ ที่ไม่มีใครเหมือนนั่นเอง
“ก่อนที่จะไปถึงขั้นว่ามันจะเกิดผลเสียยังไงบ้าง เราต้องเตรียมการทุกอย่างกันที่จุดเริ่มต้น”
“ยังไงคะ” นักศึกษาสาวทำตาโตเท่าไข่ห่าน จนคนสอนงานหลุดขำอีกหน
“ต้องมีสติ”
“งานยากเลยละค่ะถ้างั้น” ศศิมาหัวเราะกลบเกลื่อน พลันเสียงเตือนของดุจตะวันก็ดังแว่วเข้ามาในหู แล้วแบบนี้เธอจะเป็นคนปกติได้สักกี่วัน
“อีกอย่างไม่ต้องกลัวว่าจะจำแผนก จำบริษัท จำชั้นผิดเพราะพี่มีตัวช่วย” ปรางค์ทิพย์ว่าก่อนจะวางผังอาคารลงบนโต๊ะ
“ขอบคุณค่ะ” ศศิมารีบลุกขึ้นจากเก้าอีก ประนมมือขึ้นระหว่างอก ค้อมศีรษะ แล้วย่อเข่าลง
“มีลายแทงแล้วงั้นเริ่มงานกันเลยนะ” ปรางค์ทิพย์ว่าพลางผายมือไปยังแฟ้มเสนอเซ็นที่วางอยู่บนโต๊ะ
“ได้ค่ะ” นักศึกษาสาวรับคำ หอบแฟ้มเสนอเซ็นจำนวนสี่แฟ้มเดินไปกดลิฟต์ หลับตานึกถึงผังอาคารจนกระทั่งประตูลิฟต์เปิดออก
หญิงสาวนำแฟ้มเสนอเซ็นจำนวนสามแฟ้มไปส่งให้เลขานุการหน้าห้องของผู้บริหารชั้นสิบเก้า ก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นยี่สิบเพื่อนำแฟ้มเอกสารที่เหลือไปส่งยังส่วนของผู้บริหารสูงสุด
“ผู้บริหารระดับสูง สูงสมชื่อจริงๆ”
“อาพัฒน์ครับ ต้นน้ำอยากกินผลไม้สดชื่นๆ” เด็กชายตัวกลมเงยหน้าขึ้นเอ่ยกับผู้ช่วยของบิดา
“ครับ” พัฒน์ยิ้มรับ กวาดตามองหาแม่บ้านที่มักเดินทำความสะอาดอยู่รอบๆ ทว่าในเวลานี้กลับไม่มีใครอยู่ในครรลองสายตาเลยสักคน
“ไม่มีใครอยู่เลย” เด็กชายสมุทรว่าขณะมองตามสายตาของผู้ช่วยบิดา
“...”
“แม้แต่ป้ามุกก็ยังไม่อยู่ ต้นน้ำคงอดกินแล้ว” หนูน้อยยกแขนป้อมขึ้นกอดแล้วถอนหายใจ
พัฒน์หลุดเสียงหัวเราะด้วยความเอ็นดู “คุณมุกเอาเอกสารไปส่งที่ห้องทำงานของเจ้าสัวกับคุณหญิงครับ”
“อ๋อ” ถึงจะพยักหน้าคล้ายกับเข้าใจ แต่คนที่อยากกินผลไม้ก็ไม่ได้เข้าใจอะไรไปมากกว่าเสียงท้องที่ร้องดังโครกคราก
“อาจะเข้าไปดูในห้องครัว แต่คุณต้นน้ำต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่เดินไปไหน” พัฒน์ว่า เพราะผู้เป็นนายติดสายวิดีโอคอลกับต่างประเทศ ดังนั้นเขาจึงพานายน้อยออกมานั่งเล่นตรงชุดโซฟาหน้าห้องทำงาน
“ต้นน้ำสัญญาว่าจะไม่ขยับตัวเลยแม้แต่นิดเดียว” เด็กชายยกนิ้วก้อยข้างขวาขึ้นพร้อมกับหรี่ตาลง
“เก่งมากครับ” พัฒน์ว่าก่อนจะเดินเข้าไปดูผลไม้ในห้องครัว
“ขวาหรือซ้ายล่ะทีนี้” ทางฝั่งนักศึกษาฝึกงานที่เพิ่งขึ้นมายังชั้นสูงสุดของอาคารสำนักงานเป็นครั้งแรกก็รั้งๆ รอๆ อยู่ตรงหัวบันได
“พี่คนสวย”
“...”
ขณะที่ลังเลว่าควรจะเดินไปทางทิศใดอยู่นั้น เสียงเล็กใสก็ดังขึ้นจากมุมหนึ่ง ศศิมาหันขวับไปมองตามเสียงแล้วระบายยิ้มกว้าง “เรียกพี่หรือครับ”
เด็กชายตัวกลมพยักหน้า
“บ้าจริง เด็กไม่โกหกด้วย ขอเขินมั้ยพี่จี้” ศศิมาหัวเราะคิกคัก เดินเข้าไปหาเจ้าตัวเล็กที่นั่งกอดอกอยู่บนโซฟาตัวยาว “นั่งทำอะไรอยู่คนเดียวครับสุดหล่อ”
สุดหล่อตัวเล็กยิ้มเขิน ย่นจมูกน้อยๆ ก่อนตอบ “รอป๊าทำงานครับ”
“ป๊าหนูทำงานอยู่ที่นี่หรือคะ ดีจังได้ทำงานกับผู้บริหารสูงสุดด้วย”
“พี่คนสวยมาหาใครครับ” คนที่ตามบิดามาทำงานตั้งแต่ยังพูดไม่ชัดเอ่ยถาม
“ประธานกรรมการบริหาร” แม้จะรู้ว่าตัวเองสนทนาอยู่กับเด็ก แต่กระนั้นศศิมาก็หลุบตาลงอ่านโน้ตที่ปรางค์ทิพย์ติดเอาไว้
“ชื่อยาวจัง” เด็กชายยกมือขึ้นเกาท้ายทอย ความจริงเขารู้จักลุงป้าน้าอาชั้นนี้เกือบจะทุกคน แต่ก็ไม่เคยได้ยินว่ามีใครชื่อยาวขนาดนี้มาก่อน
ศศิมาหัวเราะจนตัวงอ อดไม่ได้ที่จะลูบศีรษะเล็กด้วยความเอ็นดู “แล้วสุดหล่อล่ะครับชื่ออะไร”
“ต้นน้ำครับ”
“ชื่อเพราะจัง”
“ทุกคนก็บอกต้นน้ำแบบนี้” เด็กชายยืดอกขึ้นก่อนอวดด้วยความภูมิใจ และนั่นก็ทำให้คนเส้นตื้นหัวเราะหนักขึ้นกว่าเดิม
“หลงตัวเองใช้ได้เหมือนกันนะเรา ห่อใส่ถุงเอากลับไปเล่นที่บ้านดีไหมเนี่ย”
เด็กชายทำตาวาว “ต้นน้ำไปได้หรือครับ”
“ไปไม่ได้สิ ขืนพี่แอบพาต้นน้ำไปจริงๆ ยังไม่ทันถึงป้ายรถเมล์พ่อแม่ของต้นน้ำก็คงตามไป ‘แหก’ อกแล้ว”
เด็กชายขมวดหัวคิ้วเป็นปม “สุภาพบุรุษไม่ทำร้ายสุภาพสตรี ป๊าของต้นน้ำไม่ ‘แหวก’ อกพี่คนสวยหรอกครับ”
“...”
เอาเข้าไป จาก ‘แหกอก’ กลายเป็น ‘แหวกอก’ เสียได้ ศศิมายิ้มแหย แต่กระนั้นก็อดชื่นชมบิดามารดาของเด็กชายไม่ได้ “พ่อแม่หนูสอนมาดีเหลือเกิน”
“แม่ไม่สอน”
“หา” ศศิมาเบิกตากว้าง
“ป๊าบอกไม่ต้องหา แม่ของต้นน้ำตายแล้ว ตามหาไม่เจอหรอก”
“...”
ทั้งที่ตั้งใจจะเอ่ยคำลา เพื่อเดินตามหาห้องประธานกรรมการบริหาร แต่สองขากลับย่อลงนั่งคุกเข่าเบื้องหน้าโซฟา วางมือลงบนศีรษะทุยอีกครั้งอย่างอ่อนโยน “พี่ขอโทษครับ”
“ขอโทษทำไมครับ” เด็กชายเอียงหน้าถามตาแป๋ว
“พี่พูดจาไม่คิด ต้นน้ำให้อภัยพี่ได้ใช่ไหมครับ”
“ต้นน้ำเป็นสุภาพบุรุษ ต้นน้ำใจดีกับคนสวยทุกคนอยู่แล้ว”
ถึงจะฟังดูทะแม่งๆ แต่กระนั้นศศิมาก็พยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม “พี่ต้องไปทำงานแล้ว เราจะได้เจอกันอีกมั้ยเนี่ย”
เด็กชายพยักหน้า “พี่คนสวยชื่ออะไรครับ ต้นน้ำจะได้ไปหาถูก”
“อิงฟ้าจ้ะ”
“พี่นางฟ้า” เด็กชายทำตาโต
“น่ารักจริงๆ เลยลูก” ศศิมาจับแก้มยุ้ยด้วยความมันเขี้ยว ก่อนจะลุกขึ้น
“พี่นางฟ้าให้ต้นน้ำเป็นลูกเหรอ”
ศศิมายกขาข้างขวาค้างกลางอากาศ หลุบตามองเด็กชายตัวน้อยที่เงยหน้ารอฟังคำตอบตาใสแจ๋ว “ต้นน้ำอยากให้พี่เป็นหรือครับ”
เด็กชายพยักหน้าแรงๆ “ต้นน้ำอยากมีแม่เหมือนเพื่อนๆ”
สายตาไร้เดียงสาที่มองมา ทำให้คนที่ยืนอยู่หูพร่าตามัว ศศิมาจึงพยักหน้ารับน้อยๆ
“เย้ ต้นน้ำ มีแม่เป็นนางฟ้าแล้ว”
“มันเขี้ยวจริงๆ เด็กคนนี้” ศศิมาหัวเราะร่วน ก่อนจะตัดใจเอ่ยคำลาเพื่อนำเอกสารเสนอเซ็นไปส่งยังห้องประธานกรรมการบริษัท
...
“อาพัฒน์มาแล้ว” เด็กชายร้องทักผู้ช่วยของบิดาที่เดินกลับมาหา
“คุณป้าแม่บ้านกำลังปอกผลไม้อยู่ครับ อีกสักพักคงยกออกมา” พัฒน์ตอบ เป็นจังหวะที่ธีร์เปิดประตูห้องทำงานออกมาพอดี
“อาธีร์ ป๊าคุยงานเสร็จหรือยังครับ” เด็กชายร้องถาม
“ครับ” ธีร์ตอบพร้อมกับผายมือ
“ป๊า” ทันทีที่วิ่งกลับเข้ามาในห้อง เด็กชายก็ปีนขึ้นไปนั่งบนตักของบิดา
“แอบหนีไปเล่นซนที่ไหนมาหืม” ชลชาติกดจมูกลงบนกระหม่อมบุตรชายก่อนถาม
“ต้นน้ำไม่ได้ซนที่ไหน ต้นน้ำทำงานอยู่หน้าห้อง”
ชลชาติระบายยิ้มบางๆ “แล้วทำเสร็จหรือเปล่า”
เด็กชายพยักหน้าก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นส่ายหน้า “ยังครับ พรุ่งนี้ทำต่อ”
ชลชาติ ธีร์ และพัฒน์หัวเราะแผ่วเบา เด็กชายมักใช้เหตุผลเช่นนี้เสมอเมื่ออยากมาวิ่งเล่นที่ออฟฟิศ
“แล้วค่าแรงวันนี้จะให้ป๊าจ่ายเป็นอะไรดี” ชลชาติถาม
“เค้กค้าบ” เด็กชายตอบเสียงดังฟังชัด ก่อนจะนึกเรื่องสำคัญที่ตั้งใจจะเล่าให้บิดาฟังขึ้นมาได้ “ป๊า ต้นน้ำเจอพี่นางฟ้า”
“นางฟ้า?” ชลชาติทวนคำ
เด็กชายพยักหน้าแรงๆ “พี่นางฟ้าคนสวยให้ต้นน้ำเป็นลูกด้วย”
ชลชาติเหลือบตามองไปทางพัฒน์กับธีร์เป็นเชิงถาม ซึ่งผู้ช่วยทั้งสองก็ส่ายหน้าน้อยๆ แทนคำตอบ
“เจอที่ไหนลูก” ชลชาติถามต่อ
“ที่นี่ พี่นางฟ้าใจดี จับแก้มตรงนี้แล้วก็ลูบหัวต้นน้ำด้วย” เด็กชายเล่าพร้อมยิ้มกว้าง
แม้ว่าบุตรชายของตนจะรู้จักมักคุ้นกับพนักงานที่นี่ดี แต่ก็ไม่เคยมีใครถูกเนื้อต้องตัวถึงขั้นจับแก้มลูบหัวทายาทของเขาแบบนี้มาก่อน ชลชาติตั้งใจจะซักต่อ ทว่าประตูห้องทำงานก็ถูกเคาะและเปิดออกเสียก่อน
“ท่านประธานให้ท่านรองไปพบที่ห้องค่ะ” มุกภาตารายงาน
“อืม” ชลชาติพยักหน้า แล้วโน้มใบหน้าลงเอ่ยกับบุตรชาย “ไปหาอากงกับคุณย่ากันนะครับ”
“ผลไม้ของต้นน้ำ” เด็กชายเบนสายตาไปทางพัฒน์
พัฒน์ยิ้มรับ แล้วหันไปเอ่ยกับมุกภาตา “ถ้าแม่บ้านยกผลไม้มา ให้ตามไปที่ห้องท่านประธานนะครับ”
“ได้ค่ะ” มุกภาตารับคำ รอจนกระทั่งผู้เป็นนาย นายน้อย และผู้ช่วยทั้งสองคนเดินออกไปแล้วจึงปิดประตูห้องทำงาน
ความคิดเห็น |
---|