2

บทที่ ๒ หมีหรือน้องหมาที่แสนเชื่อง


บทที่ ๒ หมีหรือน้องหมาที่แสนเชื่อง
“ผมต้องขอโทษคุณกริซด้วยนะครับ ที่พนักงานของผมซุ่มซ่าม”
อลงกตยกมือไหว้ขอโทษธณริศ เขาพาชายหนุ่มเข้ามาที่ห้องรับรองด้านหลังเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า หลังจากนั้นก็ให้ผู้จัดการญฯ ไปนำเสื้อมาให้ชายหนุ่มเปลี่ยน โชคดีที่รูปร่างของอลงกตกับธณริศนั้น
ใกล้เคียงกัน เรื่องมีอยู่ว่า ชายหนุ่มกำลังดูการแสดงแต่ถูกพนักงานเสิร์ฟชนเครื่องดื่มที่กำลังดื่มหกใส่จนเสื้อเลอะ
“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ แขกในร้านเยอะ พนักงานคุณคงไม่ได้ตั้งใจหรอก”
“แต่มันแย่มาก ทำอะไรไม่ระวังเลย ผมจะสั่งพักงานพนักงานคนนี้สักสองวัน”
“อย่าถึงอย่างนั้นเลย ผมไม่ได้เป็นอะไร แค่เสื้อเลอะ เห็นทีผมคงต้องขอยืมเสื้อคุณใส่กลับห้องก่อน แล้ววันหลังค่อยเอามาคืน”
“ด้วยความยินดีครับ ผมต้องขอโทษกับความผิดพลาดของลูกน้อง ขอเชิญคุณกริซพักผ่อนตามสบายนะครับ ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ก็ขอเชิญออกไปสนุกต่อได้เลย ผมขอตัวออกไปตรวจดูความเรียบร้อยข้างนอกก่อน”
อลงกตโค้งตัวออกไป ทิ้งให้ธณริศอยู่ตามลำพัง ห้องนี้น่าจะเป็นห้องรับรองของแขก เพราะมีโซฟาตัวใหญ่ อีกทั้งด้านในยังมีห้องน้ำ และบาร์เครื่องดื่ม อาจไว้สำหรับแขกที่ต้องการความเป็นส่วนตัวก็ได้ ชายหนุ่มหยิบมือถือขึ้นมาดู มีข้อความจากหนุ่มทั้งสองกระเด้งขึ้นมาเตือนหลายครั้ง เขานัดกับศรุตและรามิลที่ผับฝั่งตรงข้าม แม้จะหงุดหงิดแต่นี่อาจจะเป็นโอกาสอันดีที่เขาจะได้ขอตัวกลับก่อน ธณริศตั้งใจว่า จะไม่กลับเข้าไปหน้าเวทีอีกแล้ว เพราะตั้งใจปล่อยไบรอันไว้ตามลำพัง เท่าที่เห็นตอนก่อนออกมา ชายหนุ่มเพิ่งจะเรียกดาวเด่นของบาร์มาร่วมโต๊ะด้วย เขารีบเข้าไปผลัดเสื้อและนำเสื้อตัวเดิมใส่ถุงเอาไว้ตอนที่ผลักประตูออกมาก็ได้ยินเสียงเอะอะที่หน้าห้อง..
“คุณผู้หญิงเมาแล้ว กลับเถอะนะคะ”
พนักงานต้อนรับสาวที่มีชื่อว่า เยลหลี เข้ามาช่วยพยุงหญิงสาว หล่อนเพิ่งจะลงจากเวทีในสภาพเดินโซเซแค่มองวงหน้าแดงก่ำก็รับรู้ได้ว่า คงไม่มีสติเท่าใดนัก หญิงสาวโวยวาย
“ฉันไม่กลับ ฉันยังไม่เมาสักหน่อย หรือว่า คุณกลัวว่า ฉันไม่มีเงินซื้อดริ้งก์ นี่ไงเงินฉันมีเป็นฟ่อน”
หญิงสาวควักธนบัตรปึกใหญ่ออกมาเพื่อพิสูจน์ พนักงานต้อนรับส่ายหน้า
“ดิฉันไม่ได้หมายความว่า อย่างนั้นแต่ว่า คุณน้องเมามากแล้ว”
คนตรงหน้าชะงัก ถลึงตาโต แค่นเสียงดังใส่
“คุณเรียกใคร น้อง ฉันไม่ใช่เด็กนะ”
ธณริศซึ่งยืนมองเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นอยากจะเข้าไปตอกหน้าอีกฝ่ายให้สาสม ถึงแม้หญิงสาวจะจงใจแต่งหน้าจัดแต่ก็ไม่อาจกลบความเนียนใสของเนื้อแท้ได้เลย ผิวกายเปล่งปลั่งของสาวแรกรุ่นดูยังไงก็เห็นอยู่ดี
“เอาเถอะค่ะ ไม่ใช่...ก็ไม่ใช่ แต่คุณเมาแล้ว กลับเถอะนะคะ ดิฉันจะให้ รปภ เรียกรถให้”
เยลหลีทำท่าจะหิ้วปีกหญิงสาวออกไปจากร้าน แต่หล่อนกลับยื้อแขนเอาไว้
“ฉันยังไม่กลับ ฉันต้องการพาผู้ชายสักคนกลับบ้าน ใครก็ได้”
พนักงานต้อนรับตาโตมากกว่าเดิม สูดหายใจเข้าลึกเหมือนต้องข่มความโกรธอย่างยิ่งยวด
“คุณคะ เด็กของเราไม่ได้มีไว้ขายนะคะ หน้าที่คือ นั่งเป็นเพื่อนคุยในบาร์เท่านั้น”
“เออ...นั่นล่ะ ฉันต้องการผู้ชายสักคน คุณไปพามาให้ฉันเลือกเดี๋ยวนี้”
เยลหลีถอนหายใจ พร้อมส่ายหน้า ไม่เคยเห็นลูกค้าที่ดื้อดึงขนาดนี้มาก่อน แค่มองก็รู้ว่า คนตรงหน้าคือ เด็กสาว บางทีอาจจะหนีแม่มาเที่ยวหรือไม่ก็มาเพื่อประชดแฟน
“ดิฉันคงทำอย่างนั้นไมได้หรอกค่ะ คุณเมามากแล้ว เชื่อดิฉันเถอะนะคะ กลับไปก่อน”
“ไม่กลับ ฉันต้องการเพื่อนนั่งดื่ม ไม่ได้ยินหรือไง”
“แต่คุณเมา”
“ฉันไม่เมา ยังเดินตรงอยู่เลย”
ร่างบางที่พยายามจะเดินโชว์แต่ผลของแอลกอฮอล์ที่อยู่ในสายเลือดทำให้ร่างนั้นโงนเงน ธณริศส่ายหน้า เขายืนดูเหตุการณ์อยู่พักหนึ่งแล้วนานพอจะรู้สึกว่า ช่างเป็นการกระทำที่ไร้สาระสิ้นดี ป่วยการที่จะสนใจเด็กไม่รู้จักโต ชายหนุ่มตัดสินใจเดินแซงหล่อนไปแทนแต่แล้วกลับรู้สึกถึงแรงกระชากจากด้านหลัง เขาชะงักเหลือมองมือเล็กบางที่แตะอยู่ตรงท่อนแขน
“นายนั่นล่ะ ไปนั่งที่โต๊ะกับฉันเดี๋ยวนี้”
ใบหน้าคมสันแดงขึ้นด้วยความโกรธ ถ้าหากสายตาของเขาเป็นเปลวเพลิงคงแผดเผาหล่อนให้กลายเป็นจุลไปแล้ว
“ว่า อะไรนะ”
“ฉันบอกว่า ฉันเลือกนายยังไงล่ะ”
ใบหน้าที่รกรื้นไปด้วยหนวดและเคราบึ้งตึง จ้องหญิงสาวกลับ ร่างสูงมากว่าร้อยแปดสิบกระเถิบมาชิด สีหน้าหาเรื่องเต็มที่
“แต่คุณคะ ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่...”
“ฉันต้องการคนนี้ จ่ายเท่าไหร่ก็ได้ฉันสู้ไม่อั้น แค่นี้พอไหม”
หญิงสาวควักเงินในกระเป๋าออกมาและยัดใส่มือพนักงานต้อนรับโดยไม่รู้เลยว่า ใบหน้าของผู้ชายตรงหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ ดวงตาสีฟ้าเจือเทาวาวโรจน์ราวเหมือนหมีร้ายที่กำลังจะตะปบเหยื่อให้ตายคามือ
“นี่หนู ถ้าคิดจะเอาเงินค่าขนมมาซื้อตัวกันละก็ ฝันไปเถอะ เมามากแล้วก็กลับบ้านนอนซะ”
หญิงสาวถลึงตาโต จ้องชายหนุ่มด้วยความโกรธที่โดนสบประมาทแอลกอฮอล์ทำให้หล่อนลืมตัวแม้จะด้อยกว่าด้วยรูปร่างที่เล็กว่าเท่าตัวแต่กลับใช้นิ้วจิ้มอกอีกฝ่าย
“คุณเรียกใครหนู ฉันไม่ใช่เด็กแล้ว”
ธณริศกวาดมองคนตรงหน้า จริงอยู่หล่อนไม่ใช่เด็ก เพราะสัดส่วนที่แม่ให้มานั้นช่างอวบอูมเตะตา แต่สิ่งที่หญิงสาวทำเพื่อประชดต่างหากที่ควรถูกเรียกว่า เด็ก
“ก็ว่า เธอนั่นล่ะ เป็นเด็กเป็นเล็ก ริอ่านเที่ยวโฮสต์บาร์งั้นหรือ แล้วนี่พ่อแม่รู้หรือเปล่าว่า มาเที่ยว ไหนเบอร์ผู้ปกครองเอามา จะได้เรียกคนที่บ้านให้มารับ”
มือที่เอื้อมมาหมายดึงกระเป๋า หญิงสาวกอดกระเป๋าแน่น หล่อนหันไปหาพนักงานต้อนรับสาวแค่นเสียง
“นี่คิดจะกระชากกระเป๋างั้นหรือ ฉันเพิ่งรู้นะว่า ที่นี่ต้อนรับลูกค้ากันแบบนี้ ก็ดี ฉันจะป่าวประกาศให้ทั่ว ต่อไปจะได้ไม่มีคนมาอุดหนุนอีก”
“อย่านะคะคุณ เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว คุณผู้ชายไม่ใช่พนักงานของร้านเราจริงๆ ค่ะ เชิญคุณกลับไปดีกว่า”
“ไม่..ฉันไม่กลับ ฉันจะหิ้วผู้ชายคนนี้กลับบ้าน ได้ยินไหม จะเรียกเท่าไหร่ ฉันสู้ไม่อั้น” คนเมายังไม่หยุดโวยวาย
“บ้าไปกันใหญ่แล้วนะ ชักจะเหลืออดแล้วนะ เมามากก็กลับบ้านไปนอนนะหนู อย่าทำให้คนอื่นเขาต้องเดือดร้อนเพราะนิสัยเสียๆ หน่อยเลย”
“กล้าดียังไงถึงมาว่าฉัน”
“ทำไมจะไม่กล้า เลิกสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นเสียที มานี่”
ธณริศคว้าจับข้อมือหญิงสาว เข้าหันไปทางพนักงานต้อนรับพร้อมกับพยักหน้า ทั้งสองกึ่งลากกึ่งจูงหญิงสาวออกไปทางประตูหน้า พิมพ์ภิดาสะบัดมือออกอย่างแรง หล่อนจึงเซไป
“กรี๊ด ปล่อย กล้ารังแกฉันหรือ คอยดูนะ ฉันจะฟ้อง”
“เอะอะ ก็ฟ้อง เนี่ยนะ คนที่บอกว่า ตัวเองไม่ใช่เด็ก กลับไปส่องกระจกที่บ้านดูก่อนเถอะ หน้าตาอย่างเธอใครๆ เขาก็รู้ว่า เป็นเด็กริอ่านจะเที่ยวบาร์ ถ้าเป็นน้องนุ่งจะจับตีก้นเสียให้เข็ด”
พิมพ์ภิดาถลันเข้ามาหาอย่างลืมตัว หล่อนเงื้อมือหมายตบ แต่ธณริศกลับยืดตัวเต็มความสูง ใบหน้าที่ดูขึงขังทำให้หญิงสาวเริ่มชะงัก หล่อนหันมองไปรอบๆ และพบว่า สายตาทุกคู่กำลังมองมาอย่างตำหนิ ใบหน้าแดงก่ำค่อยๆ เผือดลงทุกขณะ
“คุณรังแกฉัน”
“เรียกว่า สั่งสอนจะดีกว่า เป็นเด็กไม่อยู่ส่วนเด็ก อย่าริอ่านทำตัวประชดชีวิต มันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นหรอก จำเอาไว้”
“แกบอกว่า ใครจะซื้อดริ้งก์ให้นะไอ้หมี”
เสียงหัวเราะผนวกกับใบหน้าล้อเลียนของศรุตทำเอาธณริศถึงกับฉุน เขากับพนักงานต้อนรับช่วยกันพาเมรีขี้เมาออกมาจากร็อกซี่บาร์ จากนั้นก็ข้ามถนนมาที่ไนต์คลับแห่งนี้ทันที เนื่องจากย่านนี้เป็นแหล่งของสถานบันเทิงและบังเอิญเหลือเกินที่บาร์ที่เขาชวนไบรอันไปนั่นก็อยู่ตรงข้ามนี่เอง
“จะขำอีกนานไหมวะ คนยิ่งหงุดหงิดอยู่”
ธณริศโพล่งด้วยเสียงอันดัง คนตรงหน้ามีชื่อว่า ศรุตเป็นเพื่อนสมัยเรียนที่ต่างประเทศด้วยกัน อันที่จริงยังมีอีกคนคือ รามิล แต่อีกฝ่ายติดธุระจึงขอตัวกลับก่อน
ชายหนุ่มรู้จักกับเพื่อนรักทั้งสองตั้งแต่สมัยเรียนเอ็มบีเอที่ต่างประเทศ ใครจะรู้ว่า เหตุการณ์เฉียดที่เกิดขึ้นในค่ำคืนหนึ่งจะทำให้นักเรียนไทยสามคนกลายเป็นเพื่อนสนิทกันจนถึงทุกวันนี้ รามิลเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี บุคลิกนิ่งๆ เหมือนไม่มีพิษมีภัยแต่แท้จริงแล้วเป็นเสือซุ่ม ส่วนศรุตมีฉายาว่า เจ้าชายน้ำแข็งเพราะชอบวางมาดขี้เก๊ก ทั้งสามฉลองวันก่อนเปิดเทอมด้วยการไปนั่งดื่มในผับ แต่โชคร้ายที่ดันถูกรุมผิดตัวเพราะคิดว่า เป็นอีกคนที่มีเรื่องกัน ทั้งสามถูกไล่ล่าในตรอกแคบๆข้างผับ สถานการณ์คับขันทำให้ต้องช่วยเหลือกันและกัน
“แล้วจะหงุดหงิดไปทำไม มีผู้หญิงมาซื้อดริ้งก์ให้ก็แสดงว่า แกหล่อถูกใจ แถมหุ่นก็ล่ำบึกแบบนี้เขาก็คิดว่า เป็นพนักงานในโฮสต์บาร์”
ศรุตพูดขึ้นบ้าง ธณริศยยอมรับว่า ตนหุ่นดี นั่นก็เพราะเขาชอบเล่นกีฬาแทบทุกชนิด
“แต่ฉันไม่ใช่โว้ย เด็กนั่นตาถั่ว มองยังไงวะถึงได้คิดว่า ฉันเป็นพนักงานไปได้”
ธณริศยอมรับว่า โมโหที่โดนหญิงสาวสบประมาท แต่พอคิดถึงนัยน์ตาหม่นเศร้าของหญิงสาวก็อดรู้สึกตะหงิดๆขึ้นมาไม่ได้ ป่านนี้คงนั่งร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่หน้าบาร์แล้วละมัง
“เด็ก....” ศรุตพูดย้ำ “ อย่าบอกนะว่า คนที่คิดจะซื้อเครื่องดื่มเลี้ยงนายเป็นเด็กน่ะ”
“ไม่ใช่แค่เด็ก แต่เด็กมาก” เขาลากเสียงยาว”มัธยมต้นหรือเปล่าก็ไม่รู้”
ส่วนที่เด่นสะดุดตาเกินวัยมัธยมคงเป็นหน้าอกหน้าใจ เขารู้ว่า หล่อนจงใจแต่งตัวให้เกินวัยเพื่อเข้ามาเที่ยวบาร์
“ไม่น่าเป็นไปได้ เด็กมัธยมต้นนะหรือจะมาอยู่ในสถานที่แบบนี้”
“มันก็ไม่แน่ไอ้ศรุต เดี๋ยวนี้เขาไม่ตรวจบัตรหรอก ขอให้เงินถึง ใจถึงเป็นพอ”
“ถามจริง แกมั่นใจหรือ นั่นเป็นเด็กจริงๆ ไม่ใช่ผู้หญิงที่แค่หน้าเด็ก”
“เด็กชัวร์ แต่อายุเท่าไหร่ไม่แน่ใจ คอยดูนะ ถ้าเจอกันอีกครั้งละก็ จะจับมาตีก้นเสียให้เข็ด” ชายหนุ่มกระดกออนเดอะร็อกตรงหน้ารวดเดียวหมด เขารู้สึกเสียเชิงที่ถูกผู้หญิงชี้นิ้วซื้อตัว รู้ไปถึงไหนอับอายไปถึงนั่น
“ฮึ จะตีก้นเด็กหรือขย้ำเด็กลงท้องกันแน่...ไอ้หมี”
ชื่อเล่นของธณริศคือ กริซ แต่เพื่อนซี้อย่างศรุตและคามินมักจะล้อว่า เขาคือ หมีกริซลี่ดีๆ นี่เอง ยามโมโหก็พร้อมจะอาละวาดทุกอย่าง แต่ยามเงียบรูปร่างที่ใหญ่โตทรงพลังอำนาจก็พาให้ทุกคนไม่กล้าหือ
“ฉันทำแน่ ถ้าขืนยังมายุ่งกับฉันอีกละก็ ฉันนี่ล่ะ จะสวมวิญญาณหมีโหดฉีกหล่อนให้เป็นชิ้นๆ”
“แล้วฉันจะคอยดู ว่า แกจะฉีกเนื้อเหยื่อหวานๆ นั่นจริงหรือเปล่า”
ศรุตแกล้งพูดหยอก แต่ธณริศไม่ขำด้วย สำหรับเขาแล้วเกลียดเด็กเป็นที่สุด ผู้หญิงล้วนแต่วุ่นวาย ก่อแต่เรื่องเดือดร้อนไม่ได้หยุด ดังนั้นลูกทีมของเขาล้วนแล้วแต่เป็นชายหนุ่มเกือบเก้าสิบเปอร์เซ็นต์
“น่าฉีกเนื้อต่างหาก อย่าให้เจอรอบหน้านั้น แม่เด็กแสบ”
“ขอเตือนไว้อย่างนะ โบราณว่า เกลียดอะไรมักได้อย่างนั้น ฉันมีลางสังหรณ์ว่า แกกับเด็กนั่นจะต้องได้เจอกันอีกเร็วๆ นี้”
ลางสังหรณ์ของศรุตเป็นจริงในอีกสองชั่วโมงต่อมา เพราะเมื่อสามหนุ่มตัดสินใจแยกย้ายกันกลับ ธณริศก็เดินออกมาด้านนอก เขาจอดรถไว้ในซอยข้างร็อกซี่บาร์ แต่พอมองไปหน้าที่ประตูกลับพบหญิงสาวคนเดิมนั่งฟุบอยู่
“นั่นใช่ เด็กที่แกพูดถึงหรือเปล่าวะ”
“เออนั่นล่ะ” ชายหนุ่มพยายามมองผ่านเหมือนไม่สนใจ หญิงสาวยังคงนั่งอยู่แต่สภาพผิดกับเดิมอย่างลิบลับ
“แล้วทำไมถึงได้นั่งพังพาบอยู่อย่างนั้นล่ะ”
“ก็เมาแอ๋นะสิถามได้”
หญิงสาวผมเผ้ายุ่งเหยิง หน้าตาเลอะไปด้วยมาสคาร่า คงเพราะผ่านการร้องไห้ แถมเจ้าตัวยังโก่งคออาเจียนครั้งแล้วครั้งเล่า หลังจากนั้นก็ไปนั่งฟุบหน้าพิงกำแพงด้านหนึ่งของบาร์ ยามที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าขยับจะเข้าไปช่วยแต่กลับเจอสายตาขู่ฟ่อๆ ของเจ้าหล่อนจนพากันถอยหนี
“สงสัยเมาจนจำทางกลับบ้านไม่ได้มากกว่า”
“ก็ช่างปะไร ริจะดื่มก็ต้องหัดรับผิดชอบตัวเอง”
“จะดีหรือไอ้หมี แต่งตัวล่อเสือล่อตะเข้แบบนี้ ประเดี๋ยวโดนลากขึ้นรถไปทำปู้ยี่ปู้ยำจะทำยังไง”
“แล้วมันหน้าที่ของฉันหรือไง ญาติก็ไม่ใช่ แถมฉันยังไม่รู้จักบ้านหล่อนด้วยซ้ำ เพิ่งจะเจอกันเมื่อตะกี้ หล่อนเป็นใครฉันก็ไม่รู้”
“งั้นแล้วแต่แกแล้วกัน ถือเสียว่า ฉันไม่เห็น ทางใครทางมันก็แล้วกัน”
ศรุตโยนให้เพื่อนตัดสินใจ ไม่อยากวุ่นวายแล้วจึงขอตัวแยกย้าย ธณริศขบกรามจนเป็นสันนูน เขาเดินไปยังรถของตัวเอง แม้ปากจะบอกว่า ไม่สนใจแต่สายตาเจ้ากรรมกลับคอยวนเวียนไปมองหญิงสาว คน
ที่ป่าวประกาศว่า ตัวเองไม่ใช่เด็กกำลังซบหน้ากับกำแพงร้านบาร์อย่างน่าสมเพช ปลายหางตาเหลือบเห็นใบหน้ารูปไข่เปื้อนไปด้วยน้ำตา
ภาพตอนที่เด็กสาวไลฟ์สดกับใครบางคน บางทีหล่อนอาจจะประชดแฟนหรือไม่ก็ทะเลาะกับที่บ้าน ธณริศสั่งตัวเองว่า ไม่ต้องหันไปมองเพราะไม่ใช่ธุระ แต่พอเดินลึกเข้าไปในซอยแล้วกลับได้ยินเสียงฝีเท้าตามมา ชายหนุ่มหันขวับกลับมาพอเห็นว่า ใครเดินตามก็ตะคอกใส่
“เดินตามมาทำไม”
หญิงสาวชี้นิ้วใส่หน้าตัวเอง หัวเราะร่วน ตาสองข้างปรือฉ่ำเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ พูดด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้
“ฉันเปล่า ก็แค่อยากจะเดินรับลมเล่น” สีหน้าของหล่อนยามนี้แดงก่ำด้วยฤทธิ์เหล้า แค่เดินก็ยังไม่ตรงทางด้วยซ้ำ
“ก็เห็นอยู่ว่า เดินตาม ยังจะมาเถียงอีก”
“ฉันบอกว่า เปล่ายังไงล่ะ ฉันก็แค่เวียนหัว แล้วโลกก็หมุน หมุน หมุน แล้วฉันก็เห็นตัวอะไรไม่รู้โต้โต หนวดเครารกรุงรัง หรือว่า จะเป็นหมี”
นิ้วบางจิ้มมาใส่หน้าในจังหวะเดียวกับที่ใบหน้ารูปไข่ยื่นเข้ามาใกล้ ลมหายใจที่เจือไปด้วยแอลกอฮอล์รดใบหน้า คนถูกเรียกว่า เป็นหมีผงะ จ้องมอง เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่า ผู้หญิงตรงหน้ามีดวงตาที่สวยมากเพราะใสกระจ่างราวกับดาวบนท้องฟ้า ผิวแก้มบัดนี้แดงก่ำด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์แต่ที่ทำให้ชายหนุ่มถึงกับตกตะลึงกลับเป็นเรียวปากอิ่ม ยิ่งเจ้าตัวกัดเม้มริมฝีปาก ก็ทำให้รู้สึกว่า น่าจูบ..
‘น่าจูบ...งั้นหรือ ไอ้กริซ เอ็งมันบ้า นี่มันคนเมานะโว้ย’
สมองด้านที่มีเหตุผลก่นด่าตัวเอง ธณริศเรียกสติกลับมามองหล่อนอีกครั้ง หญิงสาวยืนโงนเงนก่อนจะคะมำเข้ามาหา ธณริศรวบเอวเจ้าหล่อนเอาไว้
“เฮ้ย...ระวังหน่อยหนู เดี๋ยวก็ล้มหน้ากระแทกพื้น ปากแตกกันพอดี”
“ทะ...ทำไมหน้าคุณมันซ้อนกันแบบนี้ หรือว่า คุณจะเป็นทศกัณฑ์ ใช่...คุณเป็นยักษ์ ยักษ์ตัวโต้โต คุณเป็นหมี หรือว่า เป็นยักษ์”
หญิงสาวผงกศีรษะขึ้นพูดน้ำเสียงยานคาน ตาคู่สวยปรือฉ่ำ มือพยายามไขว้คว้าชายหนุ่มเพื่อพยุงตัว ธณริศเบี่ยงตัวหลบ ครางต่ำในลำคอ เมื่อถูกอีกฝ่ายพยายามจะจับแก้ม
นอกจากหล่อนจะหาว่า เขาเป็นหมีแล้ว ยังมาลูบคลำเขาเหมือนหมีเทดดี้แบร์เสียอีก ไม่รู้จักหมีขี้โมโหเสียแล้ว แต่แล้วจู่ๆ การเคลื่อนไหวของคนตรงหน้าก็หยุดชะงัก แถมน้ำหนักตัวก็ทิ้งลงมามากขึ้นเรื่อยๆ ธณริศเขย่าเรียก
“เฮ้...หนู หนู”
เขาเขย่า แต่ทุกอย่างก็เงียบ ไม่มีการตอบสนองจากคนตรงหน้าเมื่อก้มมองก็พบว่า เจ้าตัวหลับไปเสียแล้ว เขาเขย่าตัวหล่อนอีกครั้งแต่ยังได้ผลเช่นเดิม
“นี่ตื่นสิ บอกให้ตื่น อย่าบอกนะว่า เมาหลับตรงนี้”
เขาหน้าบึ้ง สบถออกมาย่างหงุดหงิด
“โธ่...โว้ย นี่มันวันอะไรกันวะ จะมาหลับตรงนี้เนี่ยนะ บ้าฉิบ!”
ซวยๆๆ นั่นคือ สิ่งที่ธณริศบอกตัวเอง สุดท้ายเขาก็ตัดใจทิ้งเด็กสาวไว้ที่นั่นไม่ได้ ความใจอ่อนที่ซุกซ่อนอยู่ ณ ก้นหลืบของหัวใจทำให้ตัดสินใจพาหญิงสาวกลับมาขึ้นรถของตน แม้ฉากหน้าเขาจะแสร้งว่า ไม่แคร์กับอะไรเลย แต่ลึกๆ ลงไปแล้วชายหนุ่มก็รู้ดีว่า ไม่ใช่
เขาค้นตัวจนทั่วแต่ไม่พบอะไรที่พอจะบอกได้เลยว่า บ้านของเด็กสาวอยู่ที่ไหน ภายในกระเป๋าสะพายมีเพียงเงินสดปึกใหญ่ทั้งหมดล้วนแต่เป็นของใหฒ่ ธณริศเดาว่า หล่อนคงเพิ่งจะกดมาจากเอทีเอ็มที่ไหนสักแห่ง เครดิตการ์ดมีชื่อ นามสกุลซึ่งบอกให้รู้ว่า หล่อนเป็นลูกครึ่ง ไม่มีคีย์การ์ดหรือเอกสารที่บอกว่า เจ้าหล่อนพักที่ไหน หรือว่า เอกสารส่วนที่เหลือจะอยู่ในถุงกระดาษที่หล่อนหิ้วมาด้วย แต่ตอนนี้มันอันตราธานหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ เมื่อไม่มีทางเลือกชายหนุ่มจึงจำต้องพาเด็กสาวกลับมาที่คอนโดฯ ของตนแทน
ยามที่ด้านล่างอาสาช่วยประคอง แต่ธณริศปฏิเสธ เขาอุ้มหล่อนขึ้นมาถึงห้อง แต่เด็กสาวก็อาเจียนออกมาเสียอีก เขาอุ้มหล่อนไปนอนในห้องน้ำ และเปลี่ยนผ้าปูที่นอนใหม่ แต่พอเข้าไปถึงก็พบว่า หญิงสาวเจ้าปัญหาอาเจียนออกมาอีกรอบ เขาทำความสะอาดร่างกายหล่อน สวมชุคลุมด้วยเสื้อเชิ้ตและกลับไปล้างห้องน้ำ เมื่อทำความสะอาดตัวเองเสร็จ พอกลับมาถึงที่นอนหญิงสาวก็หลับไปอีกแล้ว
ใบหน้ายามไม่มีเครื่องสำอาง ตอบข้อสงสัยได้ทุกอย่าง หล่อนน่าจะอายุไม่ถึงสิบหกด้วยซ้ำ ผิวขาวจัด มีความเปล่งปลั่งของวัยสาว เรือนผมเป็นสีน้ำตาล หยักศก ขาวจัด ยามเปียกน้ำลู่กับใบหน้าเห็นถึงความอ่อนเยาว์ ขอบตาสองข้างแดงก่ำเหมือนเจ้าตัวเพิ่งผ่านการร้องไห้อย่างหนัก
ธณริศต้องทนข่มใจ แม้ว่า หญิงสาวจะเป็นแค่เด็ก แต่กลับมีเรือนกายเย้ายวน ไม่ต่างจากนางแมวยั่วสวาท ตอนที่ปลดเสื้อผ้าออกจากร่างกายหล่อน และเห็นเรือนร่างขาวกลมกลึง เขาก็แทบจะข่มใจเอาไม่ไหว เด็กสาวมีเรือนร่างที่สมบูรณ์จนทำให้ผู้ชายยอมตายได้ เอวของหล่อนคอดเล็ก ทรวงอกงามอวบอิ่มเกินตัว แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ได้ล่วงรู้เลยว่า กำลังตกอยู่ในอันตรายมากแค่ไหน
คนเมามืออยู่ไม่สุกเริ่มปาดป่ายไปตามแผงอกเขาอย่างซุกซน ธณริศกัดกรามแน่น ตัดใจอุ้มหญิงสาวไปนอนบนโซฟา แต่แล้วหล่อนกลับดิ้นจนตกลงมาที่พื้น สุดท้ายเมื่อไม่มีทางเลือกเขาจึงอุ้มมานอนบนเตียงของตนแทน เมื่อมองนาฬิกาก็พบว่า ตีสามแล้ว เขาไม่มีเวลาคิดหาเหตุผลอื่นอีก ร่างกายเหนื่อยล้า เปลือกตาสองข้างหนักอึ้งจนลืมแทบไม่ไหว
ธณริศทิ้งตัวลงนอนข้างๆ เขาเหลือบมองหญิงสาว ได้หวังว่า ที่บ้านหล่อนคงไม่ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจในคืนนี้ เพราะไม่เช่นนั้นแล้วเขาอาจจะต้องตกเป็นผู้ต้องหาพรากผู้เยาว์ไปโดยไม่รู้ตัว
ตัวเล็กแค่นี้แต่ขยันก่อนเรื่องดีนัก ชายหนุ่มถอนหายใจ สั่งตัวเองว่า ต้องหลับ ไม่นานใจก็เริ่มนิ่ง ลมหายใจสม่ำเสมอและเริ่มเข้าสู่ภวังค์ ความเย็นของเครื่องปรับอากาศที่เปิดไว้จนแรงสุดทำให้หญิงสาวหนาว หล่อนโหยหาความอบอุ่นจึงใช้วงแขนกอดชายหนุ่มเอาไว้ ทั้งสองผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยโดยไม่รู้ว่า พรุ่งนี้จะเกิดเรื่องยุ่งยากตามมาอย่างไม่มีวันสิ้นสุด...
มีเพื่อนเคยบอกว่า เวลาดื่มหนัก ตื่นเช้ามาจะปวดหัว พิมพ์ภิดาไม่เคยเชื่อจวบจนกระทั่งวันนี้ เพราะอาการปวดหัวจนแทบจะแตกปลุกหล่อนให้ตื่นแต่สิ่งที่ทำให้ตาคู่สวยเบิกกว้างกลับเป็นสภาพโดยรอบห้องที่ไม่คุ้นตาเอาเสียเลย
หล่อนอยู่ที่ไหนกัน พิมพ์ภิดามองไปรอบๆ อีกครั้งสมองทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น ความทรงจำเมื่อคืนเลือนรางจนนึกอะไรไม่ออก คงเป็นเพราะเตกีลาร์เพียวสามช็อตทำให้สมองหล่อนว่างเปล่า หญิงสาวจำได้ลางๆ ว่า ขึ้นไปเต้นโชว์และไลฟ์สดเพื่อยั่วโมโหมารดา แต่ความจำนอกเหนือจากนั้นว่างเปล่า
มือถือที่วางอยู่ข้างเตียงหน้าจอดับสนิท จากสภาพห้องแล้วน่าจะเป็นห้องนอนของใครสักคน เฟอร์นิเจอร์และผ้าปูสีเข้ม ทำให้เดาว่า เจ้าของน่าจะเป็นผู้ชายและคงมีฐานะดีมาก เพราะสภาพห้องกว้างขวาง แต่เมื่อสายตามองต่ำจนเห็นถึงบางอย่างที่วางอยู่รอบเอว นัยน์ตาคู่หวานก็เบิกกว้าง
หญิงสาวเคยอ่านฉากนี้ในนิยายนับครั้งไม่ถ้วน แต่เมื่อมาเจอกับตัวเองกลับอึ้งพูดไม่ออก คนที่นอนอยู่ข้างๆ เป็นผู้ชาย ในสภาพเปลือยท่อนบน หัวไหล่กว้างที่มีกล้ามเนื้อเป็นมัดดูสวยราวกับประติมากรรมชิ้นเอกของศิลปิน แต่ที่ทำให้พิมพ์ภิดาหายใจไม่ออกก็เพราะอุ้งมือใหญ่ของเขาอยู่ห่างจากเนินอกของหล่อนไม่ถึงคืบต่างหาก
หญิงสาวกลั้นใจเลิกผ้าห่มขึ้น เพื่อเคลื่อนกายออกจากอ้อมกอดแต่ทำได้ยากเพราะร่างโตทับผ้าอีกฝั่งเอาไว้ เมื่อเห็นสภาพใต้ผ้าห่มอ้าปากค้างยิ่งกว่าเดิม ทั้งเนื้อทั้งตัวของหล่อนตอนนี้เหลือเพียงบรากับแพนตี้เท่านั้น พิมพ์ภิดาอยากจะร้องกรี๊ดแต่ก็ต้องกลั้นเอาไว้ สมองสั่งให้มีสติ ในโรงเรียนอินเตอร์สอนเรื่องเพศศึกษามาหลายครั้ง หญิงสาวจึงไม่ใช่นางเอกที่ตื่นมาแล้วร้องโวยวายว่า ตัวเองตกอยู่ในห้องผู้ชาย ก่อนอื่นต้องรีบสำรวจความผิดปกติก่อน หล่อนเป็นสาวบริสุทธิ์ที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่คนในโรงเรียน ดังนั้นหากพลาดพลั้งมีอะไรกับผู้ชายย่อมต้องมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น แต่ตอนนี้ทุกอย่างปกติ ไม่มีอาการเจ็บแปลบที่ซอกขา
พิมพ์ภิดาแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก หล่อนเพ่งเข้าใจสิ่งที่สู่ขวัญพร่ำเตือนมาตลอด หล่อนแค่อยากประชดแม่ แต่กลับพาตนมาอยู่ในอันตราย
ไม่ได้การ...หล่อนต้องรีบออกไปจากที่นี่ ก่อนที่’นายหมียักษ์’จะตื่น พิมพ์ภิดาอยากเรียกชายหนุ่มข้างกายว่า หมี เพราะรูปร่างสูงใหญ่ หัวไหล่กว้าง กล้ามเนื้อเป็นมัดๆ แม้ว่า บนใบหน้าคมจะรกรื้นไปด้วยหนวดและเคราแต่ก็ไม่อาจปิดบังความหล่อเหลาได้เลย ชายหนุ่มมีขนตางอนยาวขนาดผู้หญิงยังอาย แถมยังมีริมฝีปากแดงจัด
พิมพ์ภิดากลั้นใจผลักมือออก แต่ท่อนแขนกำยำช่างหนักเหลือเกิน เมื่อพยายามยกออกเขากลับดึงตัวหล่อนไปกอดไว้เสียอีก เนื้อแนบเนื้อจนรับรู้ได้ถึงความเปลือยเปล่าของผู้ชายตรงหน้า หลักฐานแห่งความเป็นชายดุนดันอยู่ตรงท้องน้อย หล่อนหวีดร้องด้วยความตกใจเพราะไม่ชินกับความใกล้ชิดขนาดนี้
เสียงร้องทำให้หมีตัวโตปรือตาขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะสบถเป็นภาษาอังกฤษออกมาหลายครั้ง เขากระเด้งตัวไปชิดริมเตียง ดูตกใจไม่แพ้หล่อน
พิมพ์ภิดาเพ่งมองคนตรงหน้า เพิ่งนึกได้ว่า ผู้ชายคนนี้คือ คนที่หล่อนเจอในบาร์โฮสต์นั่นเอง ชายหนุ่มก้าวลงจากเตียง หญิงสาวรีบยกมือปิดตาเพราะร่างตรงหน้าเปลือยเปล่า หลักฐานแห่งความเป็นชายที่ตื่นมาอรุณสวัสดิ์เด่นหราอยู่ตรงหน้า หล่อนเงี่ยฟังและเดาว่า ชายหนุ่มกำลังสวมเสื้อ พอเสียงเงียบลงก็รีบถามขึ้นทันที
“ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
ใบหน้าของชายหนุ่มพูดบึ้ง โต้กลับ
“เธอเมา แล้วจู่ๆ ก็มาล้มใส่”
“คุณก็เลยพาฉันมาค้างที่นี่ห้องเนี่ยนะ”
“เออสิ แล้วจะให้พาไปไหนละ ไม่มีที่อยู่ โทรศัพท์มือถือก็ดันดับเสียอีก ดีแค่ไหนแล้วที่ไม่ทิ้งให้นอนข้างถนน”
“แล้วเสื้อผ้าฉันล่ะ ทำไมเหลือแค่นี้”
ชายหนุ่มชี้นิ้วไปในห้องน้ำ ส่ายหน้า
“นู่น...ชุดที่เลอะอ๊วกอยู่ในห้องน้ำ ยังไม่มีเวลาซัก”
หญิงสาวเพิ่งได้คำตอบว่า เพราะอะไรหล่อนถึงไม่ได้ใส่ชุดเดิมแต่มีเพียงซับในบนล่างเท่านั้น ความอายทำให้รีบดึงผ้าห่มมาคลุมตัวไว้อีกฉัน
“แล้วถุงเสื้อฉันล่ะ คุณเห็นบ้างไหม”
“ไม่รู้สิ คงตกอยู่หน้าร้านมั้ง ไม่ได้สังเกต” ชายหนุ่มโต้
ในนั้นมีชุดนักเรียนอยู่ พิมพ์ภิดาเรียกแท็กซี่จากหน้าบริษัท หลังจากนั้นก็เข้าไปซื้อชุดใหม่ในร้านที่อยู่ตรงข้ามก่อนจะเข้าไปเที่ยวร็อกซี่บาร์เพื่อประชดแม่ หญิงสาวไลฟ์สดผ่านทางเฟซบุ๊คเพื่อยั่วโมโหมารดาแถมยังดื่มเหล้าย้อมใจเพื่อจะขึ้นไปเต้นอย่างยั่วยวนบนเวที แต่พอลงมาหน้าจอโทรศัพท์กลับว่างเปล่า
พิมพ์ภิดามั่นใจว่า มารดาต้องเห็นไลฟ์นั่นเพราะในเฟซบุ๊คเป็นเพื่อนกัน แต่ท่านไม่โทรมา อาจเป็นเพราะใครบางคนห้ามเอาไว้ ความกลัดกลุ้มทำให้สั่งเครื่องดื่มมาเพิ่มอีก หลังจากนั้นก็จำอะไรไม่ได้อีก
“ใครเป็นคนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ฉัน”
หล่อนถามทั้งๆ ที่กลัวคำตอบ แอบหวังว่า ชายหนุ่มอาจจะมีแม่บ้านใจดีแบบในละครที่ลุกขึ้นมาช่วยกลางดึก แต่เท่าที่ดูความเป็นไปได้คงน้อยเท่ากับศูนย์ ดูจากสภาพห้องแล้วชายหนุ่มน่าจะอยู่คนเดียว
“แน่ใจนะว่า ที่ถามทนรับความจริงได้”
“ทำไมจะไม่ได้ ก็ฉันโตแล้ว”
“ทำเป็นปากเก่ง รู้ตัวไหมว่า อันตรายขนาดไหน ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่น ป่านนี้เธอไปลงเอยที่ม่านรูดที่ไหนสักแห่งแล้ว”
“แหวะๆ บ่นเป็นลุงแก่ไปได้ แล้วมันเรื่องอะไรของคุณล่ะ”
พิมพ์ภิดาโต้ ผู้ชายตรงหน้าอายุเท่าไหร่กันนะ คงเพราะใบหน้ารกรื้นไปด้วยหนวดและเคราทำให้ดูไม่ออก แต่ที่สะดุดตากลับเป็นริมฝีปากหยักลึกสีแดงจัดนั่นต่างหาก
“ใช่ ฉันแก่ ส่วนเธอน่ะมันเด็กไม่รู้จักโต”
“คุณว่า ใครเด็ก”
“ก็เธอไง รีบโทรหาพ่อแม่ได้แล้ว ป่านนี้คงตามหาตัวให้วุ่น ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจหรือยังไงก็ไม่รู้”
พิมพ์ภิดาขอบตาร้อนผ่าว หล่อนอยากให้มารดาทำเช่นนั้นจริงๆ แต่ภาพที่ท่านกดตัดสายต่อหน้าต่อตาทำให้อดน้อยใจไม่ได้ บางทีท่านอาจจะไม่ได้แคร์หล่อนด้วยซ้ำ ทิฐิทำให้โต้ไปว่า
“ฉันโตแล้ว ทำไมต้องโทร”
“นี่ถามจริงๆ ไม่มีใครรออยู่ที่บ้านเลยหรือไง หรือว่า เป็นเด็กบ้านแตก แล้วปู่ยา ตายายล่ะ มีใครเป็นห่วงบ้างไหม”
พิมพ์ภิดาเม้มปากแน่น ลำคอแห้งผากยิ่งกว่าเดิม แม้บ้านใหญ่โตแต่หล่อนมีแค่แม่ชื่นที่คอยห่วงใย และที่กลับดึกแต่อาจจะไม่มีคนรู้ด้วยซ้ำ งานที่บริษัทของอรุณาเอาแน่เอานอนเรื่องเวลาไม่ได้ หลายครั้งประชุมดึกจนถึงเที่ยงคืน
“จะมีหรือไม่มี มันเกี่ยวอะไรกับคุณด้วย”
“เอาเถอะ ขี้เกียจเถียงด้วยแล้ว เธอจะมีหรือไม่มีคนห่วง ก็ไม่ใช่เรื่องของฉัน รีบแต่งตัว แล้วก็ออกไปได้แล้ว”
“ฉันไม่อยากกลับ”
“เฮ้ย...ไม่กลับได้ไง เอานี่ไป แล้วก็รีบๆ ออกไปซะ น่ารำคาญ”
พิมพ์ภิดาลอบมองคนตรงหน้าอีกครั้ง จะว่าไปแล้วเขาก็ไม่ใช่คนร้าย ไม่เช่นนั้นคงฉวยโอกาสหล่อนไปแล้ว แผนการที่หญิงสาวตั้งใจคือ จะหาผู้ชายสักคนที่โฮสต์บาร์มาเป็นตัวล่อเพื่อยั่วโมโหแม่ แต่หล่อนพลาดเพราะดันเมาเละจนแผนล้มไม่เป็นท่า ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่ทำตามแผนเดิมด้วยการจ้างผู้ชายตรงหน้าล่ะ พนักงานของโฮสต์บาร์ล้วนแล้วแต่มีงานประจำ แต่ที่ต้องไปทำงาน ก็คงเพราะต้องการรายได้ คะเนดูจากห้องพัก ค่าผ่อนคงแพงหูฉี่ ดังนั้นชายหนุ่มอาจต้องการเงินมาจ่ายค่าที่พักก็เป็นได้
“คุณเป็นพนักงานของโฮสต์บาร์ใช่ไหม ฉันมีข้อเสนอดีๆ ให้ สนใจไหม”
ชายหนุ่มตรงหน้าถลึงตาโต จ้องหน้าหญิงสาวอย่างโกรธจัด
“นี่หนู มองฉันให้ชัดๆ ฉันเหมือนเด็กนั่งบาร์ตรงไหน” คนตรงหน้าส่ายหัวอย่างหงุดหงิด แต่พิมพ์ภิดาไม่สน หล่อนแค่ต้องการบรรลุความต้องการของตัวเองเท่านั้น
“อ้าว...ใครจะไปรู้ ก็เห็นอยู่ในบาร์ ก็คิดว่า เป็นพนักงาน ไม่ใช่ก็ไม่ใช่สิ ทำไมต้องเสียงดังด้วย ฉันก็แค่อยากเจรจาธุรกิจ”
“ธุรกิจของเด็กอมมือนะสิ ไปไกลๆ เลย”
“ฉันไม่ได้พูดเล่นๆ นะ ฉันรู้นะว่า คุณเป็นคนดี ถึงได้อยากจ้างคุณทำงานให้ งานง่าย เงินดี แค่ทำตามที่ฉันสั่ง ไม่เห็นยาก”
ชายหนุ่มคำรามในลำคอ ใบหน้าคมสันกลายเป็นสีแดงจัดในเสี้ยววินาที เขากระชากหล่อนลงจากเตียง พิมพ์ภิดาหวีดร้องด้วยความตกใจ มือสองข้างรวบผ้าห่มเอาไว้เพื่อปกปิดเรือนร่าง หล่อนถูกชายหนุ่มลากเข้าไปในห้องน้ำ
“หยุดเพ้อเจ้อได้แล้วก็แต่งตัวซะ ออกไปจากห้องฉันให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นฉันจะให้ยามโยนเธอออกไป”
พิมพ์ภิดายังไม่ยอมแพ้ หล่อนดิ้นพยายามแกะมือของชายหนุ่มออกเพื่อจะต่อรอง
“เดี๋ยวสิ นี่คุณไม่สนใจข้อเสนอของฉันเลยสักนิดหรือ งานดี เงินดีนะจะบอกให้ ฉันเป็นเศรษฐีมีเงินจ่ายไม่อั้น”
“ไม่!”
“แต่เราตกลงกันได้นะ อยากได้เท่าไหร่บอกมาสิ เรื่องแบบนี้เราตกลงกันได้”
ร่างสูงจับตรงหัวไหล่บีบอย่างแรง แค่นเสียง
“กลับบ้านเดี๋ยวนี้ ความอดทนของฉันมีจำกัด ขืนยังพูดจาเลอะเทอะอีก รับรองว่า ถูกเตะโด่งออกไปแน่”
“แค่ถามดู ทำไมต้องดุด้วย ทำเป็นหมีขี้ป่นไปได้”
“ดุสิ กับเด็กเพี้ยนๆ อย่างเธอ แค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำ รีบออกไปจากห้องฉันเร็วที่สุด น่ารำคาญ หวังว่า ชาตินี้เราคงไม่ต้องเจอกันอีก แค่คืนนี้ฉันก็รู้สึกว่า ซวยจนไม่รู้จะซวยยังไงแล้ว ลาทีลาขาด อย่าได้เจอกันอีกเลย”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น