1
บทที่ ๑ ประชดชีวิต
บทที่ ๑ ประชดชีวิต
พิมพ์ภิดามองตึกระฟ้าตรงหน้า หญิงสาวเคยมาที่นี่หลายครั้งแล้ว แต่วันนี้ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีก ครั้งล่าสุดที่หล่อนบุกมาอาละวาดแต่กลับถูกไล่ออกไป สายตาที่มองมาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นแม้กระทั่งยามเฝ้าประตูรวมถึงพนักงานคนอื่นๆ แต่คงเพราะรู้ฤทธิ์ลูกสาวคนเดียวของท่านประธานจึงไม่มีใครกล้าเข้ามาขวาง หญิงสาวกดลิฟต์ขึ้นไปจนถึงหน้าห้องทำงาน และกำลังจะเลี้ยวเข้าไปห้องประชุมซึ่งอยู่สุดทางเดิน แต่กลับมีใครบางคนมาห้ามเอาไว้
วิมลสวมชุดสูทกระโปรงแบบผู้หญิงทำงานสีหวาน ใบหน้าของเลขาอายุสามสิบปลายบึ้งตึง พิมพ์ภิดารีบพูดสิ่งที่ต้องการไปทันที
“แม่อยู่ไหน ฉันต้องการพบแม่”
“คุณอรุณาออกไปพบลูกค้า วันนี้คงไม่กลับเข้ามาค่ะ”
พิมพ์ภิดารู้ดีว่า วิมลโกหก หล่อนมีสายในบริษัทคอยรายงานว่า วันนี้มีประชุมใหญ่ อรุณาจะไม่ออกไปไหนทั้งวัน หญิงสาวนำเงินส่วนหนึ่งจ้าง ‘สาย’ อันได้แต่ยามเฝ้าประตูด้านล่าง พนักงานอีกหลายคน ทั้งที่เพื่อสืบเรื่องของมารดา ทุกวันจะมีข้อความส่งเข้าโทรศัพท์รวมถึงรูปภาพประกอบเพื่อให้รู้ว่า มารดาทำอะไรบ้าง พบปะใครบ้าง
“ไม่จริง ฉันรู้นะว่า แม่อยู่ที่นี่ คุณวิมลอย่ามาขวางดีกว่า”
หญิงสาวถลันเข้าไปที่ประตูเตรียมผลักเข้าไป แต่กลับถูกยื้อมือเอาไว้
“คุณอรุณาไม่อยู่จริงๆ ค่ะ เชิญคุณเพลินกลับไปก่อนเถอะค่ะ”
“ไม่ต้องมาโกหก ฉันรู้นะว่า แม่อยู่ แม่หลบอยู่ในห้องประชุมใช่ไหม ทำไมถึงไม่ยอมออกมาพบฉัน”
สายตากวาดมองประตูบานใหญ่ที่อยู่ในสุด เนื่องจากผนังทั้งหมดค่อนข้างเก็บเสียงจึงไม่รู้ว่า ด้านในมีอะไร
“คุณอรุณาไม่อยู่จริงๆ ค่ะ”
“ฉันไม่เชื่อ ต้องขอเข้าไปดูให้เห็นกับตา”
ร่างที่กางมือกั้นเอาไว้ทำเอาพิมพ์ภิดาโกรธจัด หล่อนถลึงตาดุแต่วิมลกลับไม่หลบตาและจ้องตอบ เท่านั้นเองหญิงสาวก็รู้ดีว่า ทั้งหมดต้องเป็นคำสั่งของอรุณานั่นเอง
“นี่คุณกล้าขวางทางฉันหรือ รู้ไหมว่า ฉันเป็นใคร”
“อย่าทำให้ดิฉันลำบากใจเลยนะคะคุณเพลิน ยอมกลับไปดีๆ ดีกว่า”
“นี่ขู่ฉันหรือ”
“ดิฉันไม่ได้ขู่ แต่คุณอรุณาสั่งไว้ว่า ห้ามคุณเพลินเข้ามาที่บริษัท เท่าที่ดิฉันยอมให้คุณขึ้นมาถึงบนนี้ก็ถือว่า มากแล้วแต่ถ้าคุณเพลินยังดื้อ ดิฉันคงต้องจัดการขั้นเด็ดขาด”
วิมลหันไปทางพนักงานรักษาความปลอดภัยที่ยืนคุมเชิงอยู่สองคน พิมพ์ภิดาเพิ่งสังเกตว่า วันนี้มีคนมาเพิ่ม โดยที่ครั้งก่อนหน้าห้องจะมีแค่เลขาสาวนั่งอยู่เท่านั้น คงเป็นคำสั่งของมารดาอีกเช่นเคย
“คุณจะทำอะไร”
“ทำอะไรก็ได้เพื่อไม่ให้คุณเพลิน เข้าไปในห้องนั้น”
“กล้ามากนะ ไม่รู้หรือว่า ฉันเป็นใคร”
“ดิฉันทราบค่ะว่า คุณเพลินคือ ลูกสาว แต่คุณอรุณาสั่งเอาไว้ ดิฉันกับลูกจ้างคนอื่นๆ ก็ต้องทำตาม คุณเพลินกลับไปเถอะนะคะ”
“ฉันไม่กลับ วันนี้ฉันต้องคุยกับแม่ให้รู้เรื่อง”
ร่างบางที่ดึงดันเข้าไปแต่วิมลคว้ามือเอาไว้ หล่อนพยักหน้าพนักงานรักษาความปลอดภัยทั้งสองคนจึงปราดเข้ามาจับข้อมือสองข้าง พร้อมกับล็อกแขนหล่อนในลักษณะหิวปีกทั้งสองข้าง พิมพ์ภิดาโวยวาย
“นี่คุณจะทำอะไร ปล่อยฉันนะ บอกให้ปล่อย”
หญิงสาวดิ้นโวยวาย วิมลจึงให้พลาสเตอร์ปิดปากหล่อนไว้ ยามทั้งสองคนหิ้วปีกพิมพ์ภิดาเข้าไปในลิฟต์และกดลงไปด้านล่าง โดยมีวิมลตามไปด้วย หล่อนถูกขนาบโดยชายตัวโตสองคน ครั้นพอจะดิ้นต่อก็ถูกวิมลถลึงตาใส่ สีหน้าจริงจังบอกว่า อีกฝ่ายเอาจริง
“อย่าดื้ออีกเลยค่ะ ฉันยังไม่อยากจับคุณมัดเอาไว้”
“นี่คุณกล้าหรือ ปล่อยฉันนะ”
หญิงสาวพูดด้วยเสียงอู้อี้ พยายามออกฤทธิ์ออกเดชแต่เพราะมือแข็งแรงที่ประดุจคีมเหล็กทำให้สู้แรงไม่ไหว เมื่อลิฟต์เปิดออก ยามทั้งสองคนก็พาพิมพ์ภิดาไปด้านหลังบริษัท วิมลดึงพลาสเตอร์ที่ปิดปากออก พร้อมขู่
“เธอร้ายมากนะ ฉันจะฟ้องแม่ว่า เธอกล้าทำอย่างนี้กับฉัน พวกแกทุกคนจะถูกไล่ออก”
“นี่คือ คำสั่งของคุณอรุณาค่ะ คุณเพลินอย่าดื้ออีกเลยนะคะ ในเมื่อคุณอรุณาไม่ต้องการพบ ต่อให้คุณพยายามบุกมาสักกี่ที ท่านก็จะให้จับคุณโยนออกไปแบบนี้ทุกครั้ง เห็นใจดิฉันที่ต้องทำคำสั่งด้วยเถอะค่ะ”
“นี่คุณ” พิมพ์ภิดาถลันเข้ามาอีก แต่ถูกยามตัวโตสองคนขวางเอาไว้ หล่อนประเมินกำลังอยู่ในที เมื่อรู้ว่า ไม่มีทางสู้ได้จึงได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“คอยดูนะ ในเมื่อแม่ไม่ยอมคุยกับฉันดีๆ ก็เอาสิ จะได้รู้ว่า ใครแน่กว่าใคร ฉันจะทำให้แม่ต้องอับอายจนกว่าแม่จะยอมพูดกับฉัน”
ร่างบางหันหลังขวับเดินจากไป มือถือของวิมลดังขึ้น หล่อนตอบว่า
“เรียบร้อยแล้วค่ะ ดิฉันกำลังจะกลับขึ้นไปเดี๋ยวนี้”
ภายในห้องประชุมที่เป็นช่วงพักครึ่ง ประธานบริษัทนั่งอยู่เพียงลำพัง เคราะห์ดีที่อรุณาคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าว่า ลูกสาวจะบุกมาจึงสั่งให้ลูกน้องทุกคนพักรับประทานอาหารว่าง เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ หลังจากนั้นจึงมอบให้วิมลเป็นผู้จัดการแทน
หล่อนรู้ดีว่า ลูกสาวต้องการคุยเรื่องข่าวกอสซิปในหนังสือเมื่อหลายวันก่อน หล่อนคิดไม่ถึงว่า จะถูกแอบถ่าย อรุณาพยายามติดต่อกับหนังสือฉบับนั้นเพื่อขอลบรูปแต่ช้าเกินไป ข่าวที่หล่อนขึ้นคอนโดฯ ของรฐกรถูกเผยแพร่ไปทั่ว ไม่เพียงแต่ลูกสาวที่เห็นพนักงานแทบทุกคนในบริษัทก็รู้เห็นด้วย
อรุณายอมรับว่า สนิทสนมกับรฐกร แต่ยังไม่พร้อมจะใช้คำว่า แฟน โดยเฉพาะเมื่อหล่อนกับลูกยังมีปัญหาคาราคาซังกัน
พิมพ์ภิดาเป็นเด็กเอาแต่ใจ ลูกสาวรักจอร์ชมากเมื่อเขาตายก็โทษว่า เป็นความผิดของหล่อน อรุณายอมรับว่า ทำงานยุ่งจนไม่มีเวลา หล่อนมอบให้สามีเป็นผู้ดูแลลูกแต่เมื่อถึงจุดที่ไม่อาจประครองครอบครัวเอาไว้ได้ช่องว่างระหว่างหล่อนกับลูกสาวก็ร้าวลึกจนยากแจะแก้ แม้ว่า แม่ชื่นซึ่งเป็นแม่ครัวเก่าแก่จะพยายามประสานเป็นกาวใจแต่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรดีขึ้นเลย
อรุณาแอบมองเหตุการณ์ทั้งหมดจากจอมอนิเตอร์ของกล้องวงจรปิด และเห็นตั้งแต่ลูกสาวลงรถมาแล้ว หล่อนเฝ้าดูเลขาสาวจัดการกับพิมพ์ภิดาและได้แต่หวังว่า ลูกสาวจะยอมรามือ เมื่อได้ยินเสียงผลักประตูก็เงยหน้าขึ้น
“ขอบใจมากนะวิมลที่ช่วยจัดการธุระให้”
เลขาสาวมีท่าทางลำบากใจ คงเพราะได้รับคำสั่งให้จัดการขั้นเด็ดขาด ไม่ใช่ว่า อรุณาไม่รักลูก แต่ พิมพ์ภิดาถูกตามใจจนเคยตัว อย่างเมื่อหลายวันก่อนลูกสาวบุกเข้ามาที่บริษัททำให้ภาพลักษณ์เสียหาย หล่อนในฐานะประธานบริษัท ต้องดูแลลูกน้องเป็นพันๆ คนแต่กลับต้องมาตกม้าตายเพราะถูกลูกสาวเข้ามาต่อว่า สำหรับอรุณาแล้วบริษัทแห่งนี้สำคัญมาก หลังจากบิดามอบมรดกบริษัทให้ หล่อนต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อกอบกู้มัน สภาพของบริษัทที่จวนจะล้มมิล้มแหล่ แต่ด้วยมันสมองอันชาญฉลาดทำให้พลิกจากวิกฤตกลับมาผงาดได้อีกครั้ง แต่ทุกอย่างแลกมาด้วยหยาดเหงื่อ การตั้งใจทำงาน ดังนั้นอรุณาจะไม่ยอมให้ใครทำให้พังอย่างเด็ดขาด
“แต่คุณเพลินดูเหมือนจะโกรธมาก โวยวายใหญ่ ดิฉันกลัวว่า เรื่องคงไม่จบง่ายๆ แค่นี้”
“โกรธก็ดี เพลินต้องถูกดัดนิสัยเสียบ้าง ที่นี่เป็นบริษัทของคุณตาจู่ๆ จะเข้ามาอาละวาดตามใจได้ยังไงกัน”
“แต่คุณหนูเพลินคงอยากคุยกับท่านประธาน...” เลขาสาวหรี่เสียงลง อรุณารู้ดีว่า อีกฝ่ายกำลังจะพูดเรื่องอะไร ข่าวกอสซิบไม่เพียงส่งผลต่อลูกสาวแต่ยังส่งผลถึงพนักงานทุกคนในบริษัท ตั้งแต่เริ่มมาทำงาน อรุณาก็ตั้งใจว่า จะบริหารงานให้ดีที่สุด หล่อนเอาจริงเอาจังกับทุกเรื่องเพราะเชื่อว่า มันคือ รากฐานของความสำเร็จ แต่การต้อง ‘คิด’ ทุกอย่างเพียงลำพังทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า รฐกรก้าวเข้ามาในจังหวะที่หล่อนรู้สึกเหมือนสองบ่าแบกรับความรับผิดชอบที่หนักอึ้งเหลือกำลัง
หล่อนยอมรับว่า ถูกใจผู้จัดการฝ่ายการตลาด เพราะเขาเป็นเก่ง มีหัวคิดทันสมัย โปรเจคหลายอย่างที่เสนอมาค่อนข้างถูกใจหล่อน
คืนที่สามีเสียชีวิต หล่อนกำลังไปออกงานสังคม รฐกรก็ไปด้วย พิมพ์ภิดาจึงคิดว่า ทุกอย่างเป็นความผิดของหล่อนที่ไม่ยอมรับสาย เมื่อสามีเสียชีวิต อรุณาก็จมอยู่กับความทุกข์ หล่อนมุทำแต่งาน ด้วยความบังเอิญเมื่อวันหนึ่งหล่อนทำกุญแจหล่นหาย รฐกรจึงอาสาไปส่งที่บ้าน
เวลาหนึ่งชั่วโมงที่ได้คุยกันทำให้ได้รู้จักนิสัย ชายหนุ่มไม่เที่ยวเตร่เหมือนผู้ชายคนอื่นๆ เขามีความคิดก้าวไกล หลายอย่างที่เสนอมาทำให้อรุณาได้ไอเดียไปต่อยอดอีกมาก
ทั้งสองเริ่มไปไหนมาไหนด้วยกัน อรุณายอมรับว่า ส่วนหนึ่งเพราะความเหงา หล่อนกับลูกสาวทะเลาะกันไม่เว้นแต่ละวันจนความสัมพันธ์คล้ายคนแปลกหน้า คนอื่นอาจคิดว่า หล่อนไม่รู้สึกอะไรแต่แท้จริงแล้วอรุณายังโทษตัวเองที่เป็นต้นเหตุให้สามีเสียชีวิต ทุกครั้งที่คิดถึงจอร์ชหล่อนต้องเสียน้ำตาทุกครั้งแต่พอเลี่ยงที่จะพูดถึง ลูกสาวก็คิดว่า หล่อนไม่แคร์เสียอีก
“ถ้าอยากรู้อะไร ก็ต้องรอให้ฉันกลับไปบ้านเสียก่อน ฉันเป็นถึงประธานบริษัท แต่กลับมาถูกลูกสาวชี้หน้าด่าปาวๆ ต่อหน้าพนักงานเป็นพันๆ คน มันใช้ได้ที่ไหน”
“คุณหนูเพลินยังเด็ก คงยังไม่เข้าใจว่า อะไรควรไม่ควร”
“เด็กที่ไหนวิมล อายุจะสิบแปดแล้ว จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยอยู่ปีนี้ ฉันว่า เพลินถูกตามใจจนเสียคนมากกว่า”
“แต่ดิฉันเป็นห่วงคุณเพลิน กลัวจะเตลิดไปกันใหญ่” เลขาสาวแย้ง แม้จะทำงานด้วยกันไม่นานนัก แต่วิมลเป็นคนมีน้ำใจ เลขาสาวเป็นคนมีระเบียบ ทำงานได้อย่างเรียบร้อย
“แล้วเธอคิดว่า ฉันไม่ห่วงหรือ ฉันห่วงเพลินมากกว่า ใคร แต่ที่ต้องทำก็เพื่อกำราบเสียบ้าง เราเลิกพูดเรื่องนี้กันเถอะ ฉันตัดสินใจไปแล้ว เธอไปแจ้งทุกคนว่า อีกสิบห้านาทีพบกันที่ห้องประชุม เราจะเริ่มประชุมกันต่อ”
“ได้ค่ะ ท่านประธาน”
“ฉันขอเวลาอ่านเอกสารนี้อีกนิดเดียว ประเดี๋ยวตามเข้าไป”
วิมลโค้งตัวออกไป แต่กลับมีใครอีกคนผลักประตูเข้ามาแทน อรุณาเงยหน้ามอง รฐกรนั่นเอง เขาเดินเข้ามาพร้อมกับเครื่องดื่มแก้วโปรดของหล่อน ชายหนุ่มโค้งพร้อมกับยิ้ม
“ดื่มกาแฟแก้เครียดครับท่านประธาน”
“แกล้งแซวพี่อีกแล้ว”
“ผมไม่ได้ล้อครับ แค่คิดว่า พี่อุ๊น่าจะกำลังปวดขมับ ปวดต้นคอ และก็อยากได้เครื่องดื่มเย็นชื่นใจสักแก้ว นี่ผมอุตส่าห์ซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปซื้อที่ร้านโปรดของพี่เลยนะครับ”
ชายหนุ่มวางเครื่องดื่มซึ่งเป็นน้ำมะนาวผสมกับแพชั่นฟรุ๊ต ด้านบนเป็นกาแฟขมๆ แต่ด้านล่างจะเป็นส่วนผสมของน้ำผลไม้และน้ำมะนาว ให้ความขมหวานตัดกันอย่างลงตัว เครื่องดื่มแก้วนี้อรุณาเคยพูดว่า ชอบตอนที่ทั้งสองออกไปกินอาหารค่ำด้วยกัน
“เอาใจแบบนี้ จะขอโบนัสพี่เพิ่มหรือเปล่า”
“ไม่กล้าครับ ผมรู้ว่า วันนี้พี่อุ๊เครียด”
อรุณาหน้าเผือด หล่อนเบื่อที่ต้องถูกนินทา หลายครั้งที่เรื่องระหว่างหล่อนกับอดีตสามีถูกขุดคุ้ยขึ้นมาพูดกันอย่างสนุกปาก
“ผมเดาถูกจริงๆ ด้วย พี่อุ๊คิ้วขมวดเลย ไม่เอาครับ ดื่มก่อนดีกว่า เดี๋ยวเวลาเข้าประชุมจะได้มีพลัง ผมยังมีโปรเจคเด็ดๆ อยากนำเสนออีกนะครับ”
อรุณายกเครื่องดื่มขึ้นจิบ ความเย็นของน้ำแข็งทำให้ความหงุดหงิดคลายลงได้มาก รฐกรเป็นคนช่างสังเกต พอรู้ว่า หล่อนเครียดก็มักจะหาวิธีพูดให้ผ่อนคลายหรือไม่ก็ชวนไปทำอะไรที่ไม่เคยทำ ชีวิตที่เคยอยู่อย่างเงียบเหงาพลันสดใสขึ้น
“พี่อยากเป็นอย่างฐาบ้าง ไม่รู้ ไปเอาพลังเยอะแยะมาจากไหน”
“เป็นเพราะผมอยากให้พี่อุ๊ยิ้มยังไงละครับ พี่อุ๊เป็นคนบ้างาน พอพูดถึงงานแล้ว เรื่องกลุ้มๆ ก็หายไปจริงไหมครับ”
รฐกรพูดถูก ทุกครั้งที่อรุณากลุ้มใจก็มุงานหนักให้ลืม ความเหนื่อยทำให้หัวถึงหมอนก็หลับ จึงไม่มีเวลากังวลอะไรอีก
“นี่ฐาล้อพี่อยู่งั้นหรือ”
“ผมพูดความจริง พี่เครียดเรื่องน้องเพลิน แต่ผมก็เป็นอีกหนึ่งเสียงที่สนับสนุนว่า พี่ทำถูก”
“ฐาไม่คิดว่า โหดเกินไปหรือ”
“ไม่เลยครับ ผมคิดว่า ที่ผ่านมาพี่อุ๊ใจดีเกินไปต่างหาก น้องเพลินถึงได้ออกฤทธิ์ออกเดชขนาดนี้”
ครั้งล่าสุดที่ลูกสาวมาอาละวาดที่บริษัท สร้างความอับอายให้ผู้เป็นแม่อย่างมาก นั่นก็เพราะภายในบริษัทมีคู่ค้ามานั่งรออยู่ การโต้เถียงกันของสองแม่ลูกทำให้ภาพลักษณ์ของบริษัทเสียหาย
“เพลินเป็นลูกสาวพี่ พี่มีหน้าที่ต้องดูแล”
“เราถึงต้องสอนน้องเพลินว่า อะไรควรไม่ควรยังไงละครับ แกโตแล้ว ไม่ใช่เด็ก แถมยังเป็นลูก ย่อมไม่มีสิทธิ์มาก้าวก่ายความสุขของแม่”
มือที่เอื้อมมาเกาะกุมทำให้อรุณาชะงัก แม้จะสนิทกับรฐกรมากแต่ก็ยังไม่กล้าใช้คำว่า แฟน ทั้งสองอายุห่างกันร่วมสิบห้าปี แต่ด้วยบุคลิกของอีกฝ่ายที่ดูเป็นผู้ใหญ่ แต่บางอย่างที่ทำให้หล่อนไม่สบายใจ อาจเพราะอายุที่ต่างกัน ฐานะระหว่างเจ้านายกับลูกน้องทำให้หล่อนยังไม่กล้ายอมรับความรู้สึกนั้นเต็มตัว
จอร์ชคือ รักแรกของหล่อน แต่เพราะความแตกต่างด้านเชื้อชาติและความห่างเหิน อรุณาต้องรับช่วงบริษัทต่อจากบิดา ช่วงก่อนหน้านั้นบริษัทเครื่องสำอางขายตรงกิจการไม่ดีนัก แต่พอหล่อนเข้ามารับช่วงต่อก็ปรับกลยุทธ์ทางการตลาดให้ดีขึ้น ความรับผิดชอบที่ถาโถมเข้ามาทำให้อรุณาลืมเรื่องอื่นไปเสียสิ้น หลายครั้งที่งานยุ่งจนลืมนัดกินข้าวกับสามี จอร์ชน้อยใจที่หล่อนไม่มีเวลาให้ ทั้งสองจึงทะเลาะกันจนจบลงด้วยการหย่าร้าง
“แต่เพลินคงยังรับไม่ได้”อรุณาค่อยๆ ดึงมือออกจากเกาะกุมอย่างช้าๆ
จอร์ชคือ สามีที่ดีและเป็นพ่อที่ดี เขาใกล้ชิดกับพิมพ์ภิดามากที่สุด คอยไปรับไปส่งและช่วยทำการบ้าน แต่เพราะหล่อนละเลยครอบครัว ความสัมพันธ์จึงพังลง
“แล้วเมื่อไหร่ละครับ ที่น้องเพลินจะรับได้ หรือเราสองคนต้องรอกันไปจนแก่”
“แต่พี่สงสารลูก”
“พี่อุ๊จะคิดถึงแต่น้องเพลินจนไม่สนใจความสุขของตัวเองหรือครับ ผมยอมไม่ได้ พี่ก็รู้ว่า ผมคิดยังไงกับพี่”
รฐกรรุกต่อ ยามอยู่ด้วยกันสองต่อสอง เขาไม่เคยลังเลที่จะเปิดเผยความรู้สึกในใจของตน อรุณารู้ดีว่า เขารักหล่อน ชายหนุ่มพร่ำบอกเสมอ เพียงแต่หล่อนเองที่ยังไม่พร้อมจะเริ่มต้นกับใคร
“พี่รู้ แต่พี่คงต้องขอเวลา”
“นานเท่าไหร่ละครับ เราสองคนต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ นี้ไปอีกนานแค่ไหน”
แม้จะยังไม่มีสัมพันธ์ทางกายต่อกัน แต่ข่าวลือที่แพร่ออกไปรวมถึงรูปถ่ายที่หนังสือซุบซิบลงก็สร้างความร้อนใจกับอรุณาเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะรูปที่หล่อนขึ้นไปนั่งเล่นที่คอนโดของรฐกร และข่าวนี้เองทำให้พิมพ์ภิดาเริ่มงอแงจนบุกมาถึงที่นี่
“ไหนฐาบอกว่า รอพี่ได้ยังไงล่ะ”
“ผมรักพี่ จะให้รอกี่เดือนกี่ปี ผมก็พร้อม แต่ถ้าจะให้ผมอยู่เฉยๆ ทนดูพี่กลุ้มใจแบบนี้ ผมทนไม่ได้”
“เพลินแค่หวงพี่”
“ด้วยการกีดกันไม่ให้พี่มีความรักงั้นหรือครับ แย่ที่สุด”
“แต่พี่...”
“เอาเถอะ ผมคงยุ่งมากเกินไป เอาเป็นว่า พี่จะทำอะไรก็ตามใจเถอะครับ ยังไงเสียผมก็เป็นคนนอก”
พอเห็นสีหน้าของรฐกรแล้วอรุณาก็ใจอ่อน ในบรรดาผู้ชายที่ผ่านเข้ามา เขาคือ คนที่รู้ใจหล่อนที่สุด นอกจากนั้นยังเอาอกเอาใจหญิงสาวเป็นอย่างดี นับตั้งแต่สามีเสียชีวิต นี่คือ ช่วงเวลาที่หล่อนมีความสุขที่สุดแม้จะเจือด้วยความกังวลว่า ลูกสาวอาจจะรับไม่ได้ก็ตาม
“อย่าพูดแบบนี้สิ ฐาไม่ใช่คนอื่นสำหรับพี่”
ใบหน้าที่เคยหม่นลงกลับแต้มไปด้วยรอยยิ้ม ฐากรกุมมือหล่อนขึ้นมาและจุมพิตตรงหลังมือพร้อมกับดึงอรุณาเข้ามากอด
“พี่พูดจริงๆ ใช่ไหมครับ”
“จริงสิ ฐาพูดถูก พี่ไม่ควรรู้สึกผิด”
“ดีแล้วล่ะครับ ตอนนี้ใครจะว่ายังไงพี่อุ๊ก็ต้องเข้มแข็งเอาไว้ คอยดูสิครับพอน้องเพลินรู้ว่า ไม่มีใครสนใจ ขี้คร้านจะกลับมาขอโทษพี่”
“พี่ก็หวังว่า เป็นอย่างนั้น ขอบใจมากนะที่อยู่ข้างพี่”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ เราประชุมกันต่อเถอะครับ และหลังเลิกประชุม ผมจะพาพี่อุ๊ไปชิมอาหารร้านหนึ่ง บรรยากาศดีมาก”
“คืนนี้เลยหรือ”
“ครับพี่ ผมอุตส่าห์จองโต๊ะไว้ข้ามเดือนเลยนะครับ พี่คงไม่ปล่อยให้ผมรอเก้อใช่ไหม”
สีหน้าของชายหนุ่มรุ่นน้องทำเอาอรุณาใจอ่อนอีกครั้ง สุดท้ายก็พยักหน้า
“ก็ได้ งั้นประชุมเสร็จ เราออกไปหาอะไรกินด้วยกัน ทำงานเครียดได้พักเสียหน่อยก็ไม่เสียหายหรอกจริงไหม”
“จริงที่สุดครับ”
พิมพ์ภิดากระดกเบียร์กระป๋องที่สองลงคอเพื่อดับกลุ้ม พ่อเคยสอนว่า เวลากลุ้มใจไม่ควรใช้แอลกอฮอล์เพื่อแก้ปัญหา แต่ใครจะสนในเมื่อหัวใจหล่อนเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม หญิงสาวไม่เคยคิดว่า จะถูกจับโยนออกจากบริษัทแต่สิ่งที่เกิดขึ้นตอกย้ำว่า หล่อนคงไม่ใช่ลูกสาวสุดที่รักอีกต่อไปแล้ว
มารดาคงเกลียดหล่อนถึงได้กล้าเช่นนี้ หรือไม่ท่านก็อาจจะหมดความอดทนกับพฤติกรรมขวางโลกของหล่อน หญิงสาวยอมรับว่า ทำเกินไปในบางเรื่อง แต่นั่นก็เพราะต้องการเรียกร้องความสนใจ หากข่าวลือว่า ท่านกำลังจะแต่งงานกันเป็นจริง สุดท้ายพิมพ์ภิดาก็จะกลายเป็นหมาหัวเน่า
หญิงสาวหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาภายในมีรูปของบิดาเก็บอยู่ ขอบตาร้อนผ่าว น้ำตาเม็ดเป้งๆ รินอาบสองแก้ม หล่อนมองภาพของพ่อ สีหน้าท่านยิ้มแย้ม นี่คือ รูปถ่ายครอบครัวใบเดียวที่ยังเหลืออยู่ หญิงสาวคิดถึงพ่อจับใจ หากท่านอยู่คงจะสอนหล่อนได้ว่า ควรทำอย่างไร
อุบัติเหตุทำให้พิมพ์ภิดาโกรธ ถ้าหากวันนั้นรับโทรศัพท์ ทุกอย่างคงไม่ลงเอยแบบนี้ หล่อนยังจำสิ่งที่พ่อบอกได้เป็นอย่างดี ท่านเคยชวนให้หญิงสาวย้ายไปอยู่ที่อเมริกาเพื่อเรียนต่อ หลังจากพ่อเสีย ชีวิตของหล่อนก็เคว้ง
เสียงกระดิ่งประตูของร้านสะดวกซื้อ ดังก้องอยู่ข้างหูแต่พิมพ์ภิดากลับจ้องไปยังประตูหน้าตึกแล้วดื่มเบียร์เพื่อดับกลุ้ม หล่อนไม่ได้ถอดใจกลับบ้านอย่างที่ควรจะเป็น แต่กลับมานั่งอยู่ตึกฝั่งตรงข้ามเพื่อรอ หญิงสาวแอบเห็นรถสีดำที่จอดรอ พร้อมคนขับรถ อีกไม่นานมารดาก็คงจะออกมา หล่อนจะต้องคุยให้รู้เรื่อง..
ในที่สุดการรอคอยก็สิ้นสุดลง พิมพ์ภิดาลุกขึ้นจ้องไปยังฝั่งตรงข้าม ร่างที่คุ้นตาเดินออกมา แต่ที่ทำให้หญิงสาวปวดร้าวก็คือ ท่านไม่ได้อยู่คนเดียว ข้างกายมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเดินออกมาด้วย รฐกรสวมสูทสีน้ำเงินเข้ม ใบหน้าขาวจัดสไตล์หนุ่มเกาหลี ภายนอกแม้จะดูเรียบร้อยแต่ลึกๆ ลงไปแล้วพิมพ์ภิดารู้ดีว่า นั่นคือ หน้ากาก
หล่อนจ้างนักสืบติดตามรฐกรจนรู้ว่า ชายหนุ่มเคยสนิทสนมกับสาวใหญ่หลายคน ทรัพย์สินที่รฐกรมีล้วนแล้วแต่ได้มาด้วยความเสน่หา ทั้งคอนโดมิเนียมสุดหรู รวมถึงรถที่มีสาวใหญ่คนหนึ่งดาวน์ให้ แต่ครั้นพอเอาข้อมูลนี้ให้มารดาดูแต่ท่านกลับไม่เชื่อ อรุณาเดินไปที่รถก่อนจะพูดบางอย่างคนขับรถจึงขับรถออกไป ดูเหมือนท่านต้องการกลับกับรฐกรตามลำพัง
พิมพ์ภิดาพยายามจะข้ามไปฝั่งตรงข้ามแต่เพราะติดสัญญาณไฟ หล่อนตัดสินใจโทรเข้ามือถือ แต่สิ่งที่เห็นคือ มารดามองหน้าจอแต่แล้วก็หันไปหารฐกรราวกับจะถามความเห็น เขากดตัดสาย หญิงสาวโทรซ้ำอีก แต่สุดท้ายก็ถูกทำเช่นเดิมซ้ำถึงห้าครั้ง
หญิงสาวรอจนสัญญาณข้ามถนนเปลี่ยนเป็นสีเขียว แต่พอหล่อนจะข้ามไป รฐกรก็มองมา เขารีบจูงอรุณาไปขึ้นรถของตนที่จอดอยู่ พิมพ์ภิดาไม่แน่ใจว่า มารดาเห็นหล่อนหรือไม่ แต่สิ่งที่ทำให้หล่อนเจ็บก็คือ เห็นท่านกดตัดสายหล่อนเป็นครั้งที่หกด้วยตัวเอง พิมพ์ภิดาข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามได้ในที่สุด ในจังหวะเดียวกับที่รถแล่นออกไป น้ำตาที่พยายามกลั้นเอาไว้ไหลลงมาอีกอย่างห้ามไม่อยู่ นัยน์ตาคู่สวยพร่าเลือนเมื่อมองภาพตรงหน้า ก่อนที่หญิงสาวจะตัดสินใจทำบางอย่าง พิมพ์ภิดาโบกมือเรียกแท็กซี่ รถแล่นมาจอดตรงหน้า หล่อนเอ่ยว่า
“ไปร็อกซี่บาร์ อโศก”
หญิงสาวก้าวขึ้นรถ ปาดน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง ในเมื่อมารดาไม่แคร์หล่อนเลย หล่อนก็จะทำบางอย่างเพื่อให้ท่านหันมามองบ้าง มารดาจะต้องรู้ว่า ความอับอายที่แท้จริงเป็นเช่นไร..
ร็อกซี่บาร์ต่างจากสิ่งที่ธณริศคิดเอาไว้พอสมควร ด้วยการตกแต่งด้านนอกที่หรูหรากว่าผับอื่นๆ บ่งถึงว่า เจ้าของค่อนข้างพิธีพิถัน แม้ว่า ในเมืองไทยโฮสต์บาร์จะไม่ได้เป็นที่นิยมมากนัก อาจเพราะไม่อาจทำการโปรโมทได้มากเหมือนที่เที่ยวอื่นๆ ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการล้วนแต่เป็นคนมีเงินแทบทั้งนั้น ลูกค้าหลักของโฮสต์บาร์ คือ ผู้หญิง ส่วนใหญ่เป็นวัยทำงาน ต้องการมาหาที่นั่งดื่ม พักผ่อน คลายเครียด ภายในบาร์จะมีหนุ่มๆ หน้าตาดีมาคอยดูแลเพื่อให้พวกหล่อนคลายเหงา
ธณริศรู้จักที่แห่งนี้โดยการแนะนำของเพื่อนซึ่งมาใช้บริการ หลังจากนั้นชายหนุ่มก็เข้าไปเช็คในเว็บไซด์เพราะต้องการแน่ใจว่า จะไม่ทำให้เกิดเรื่องเดือดร้อนตามมาในภายหลังกับไบรอัน นับตั้งแต่รู้จักกันเมื่อห้าปีก่อน ไบรอันก็มอบข้อมูลเจาะลึกมาให้หลายอย่าง การที่บริษัทดีคิงส์สามารถทำกำไรทะลุเป้าได้ก็เพราะผู้ชายคนนี้ สีหน้าของไบรอันบ่งชัดว่า ดีใจ
“ขอบคุณมากนะกริซ ผมไม่คิดเลยว่า คุณจะหาของขวัญถูกใจแบบนี้ให้”
“ใจเย็นก่อนไบรอัน ผมแค่พาคุณมาพักผ่อน ส่วนของขวัญ คุณคงต้องเลือกเอาเอง”
เขากำลังหมายถึง หนุ่มน้อยหน้าตาดีราวกับนายแบบที่อยู่ภายในร้านที่จะมานั่งเป็นเพื่อน บางส่วนกำลังเตรียมขึ้นแสดงบนเวที
“สวัสดีครับคุณกริซ นี่คงเป็นคุณไบรอัน เชิญครับ ผมเตรียมโต๊ะหน้าสุดไว้ให้คุณแล้ว”
“คุณคือ...” ธณริศหรี่ตามองคนตรงหน้าอย่างประหลาดใจ เขาจึงแนะนำตัว
“ผม เอริ์ทไงครับ เราคุยกันทางไลน์ จำได้ไหมครับ”
“อ๋อคุณนี่เอง”
นอกจากเพื่อนจะบอกเรื่องบาร์โฮสต์นี้แล้ว ยังส่งไลน์ของเจ้าของมาให้ เขามีชื่อจริงว่า อลงกต พอในโปรไฟล์เป็นหนุ่มผิวขาวสไตล์เกาหลีคนหนึ่งแต่พอมาเห็นตัวจริงก็ยิ่งประหลาดใจเพราะชายหนุ่มยังดูเด็กมาก
“ผมยังคิดว่า คุณอายุมากกว่านี้เสียอีก”
“นั่นเป็นรูปที่ใช้ติดต่อลูกค้าครับ ต้องดูเป็นทางการนิดหนึ่ง เราไปนั่งที่โต๊ะดีไหมครับ อีกไม่กี่นาทีการแสดงจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว”
ธณริศพยักหน้า เขาหันไปทางไบรอันที่ยิ้ม ก่อนเดินตามเจ้าของร้านเข้าไป ที่นั่งของสองหนุ่มอยู่หน้าสุดติดเวที ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบๆ ด้านหน้าสุดของร้านทำเป็นเวทียกขึ้นไป มีทางเดินเป็นรูปตัวแอล เก้าอี้ของแขกวีไอพีจะอยู่ด้านหน้า คงเพื่อความใกล้ชิดกับหนุ่มหล่อที่จะออกมาแสดงนั่นเอง อลงกตภายมือให้ไบรอันกับธณริศนั่ง
“รับเครื่องดื่มอะไรดีครับ ผมจะสั่งให้”
“ไม่ยักรู้ว่า เจ้าของร้านบริการดีอย่างนี้”
“สำหรับคุณสองคนเป็นกรณีพิเศษครับ ถ้าเป็นคนอื่นผมมี ลูกน้องคอยดูแลให้”
เจ้าของร้านบุ้ยใบ้ไปทางหญิงสาวคนหนึ่ง หล่อนสวมชุดเดรสสั้น แต่งหน้าจัดคอยต้อนรับแขกอยู่ ภายในบาร์แห่งนี้ค่อนข้างกว้างขวาง แขกส่วนหนึ่งชอบดูการแสดงจึงจองโต๊ะมานั่งหน้า การแสดงก็เป็นพวกการเต้นของดาวเด่นประจำบาร์ แขกบางส่วนที่ชอบนั่งดื่มเฉยๆ ก็มักจะสั่งเครื่องดื่มที่เราเรียกว่า ดริ้งก์ และรอให้พนักงานต้อนรับพาหนุ่มๆ มาให้เลือก ถ้าหากลูกค้าคนไหนถูกใจก็จะซื้อเครื่องดื่มให้กับเด็กและเรียกมานั่งด้วย กฎเหล็กของที่นี่ก็คือ ห้ามเด็กมีสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างเด็ดขาด ทำได้ก็แค่นั่งคุยเป็นเพื่อน หากมีการเจรจาอะไรที่มากกว่านั้นและทางร้านจับได้จะถูกไล่ออกทันที
“วันนี้ลูกค้าเยอะจริงๆ นะครับ”
“ครับ วันศุกร์อย่างนี้ ปกติลูกค้าเต็มทุกโต๊ะ แต่ถ้าวันธรรมดาก็ซาไปบ้าง”
“เพราะอะไรคุณถึงมาเปิดบาร์อย่างนี้”
ธณริศถามออกไปตรงๆ เขาแปลกใจเพราะภาพลักษณ์ของเจ้าของร้านดูจะเป็นหนุ่มวัยทำงานมากกว่าจะเป็นนักเที่ยว ผิวพรรณที่สะอาดสะอ้านรวมถึงริมฝีปากแดงจัดอย่างคนสุขภาพดีบอกให้รู้ว่า เขาดูแลตัวเองเป็นอย่างดี ไบรอันเองก็คงชื่นชมเจ้าของร้านถึงกับมองตาไม่กะพริบ
“ผมเบื่องานประจำ คุณกริซก็รู้ พนักงานกินเงินเดือนอย่างเรา ทำงานงกๆ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้อะไร อย่างมากก็ได้โบนัสนิดหน่อย แต่เผลอๆ อาจจะถูกเลย์เอาท์เมื่อไหร่ก็ได้ ยิ่งเศรษฐกิจไม่ดีก็ยิ่งแล้วใหญ่ ตกงานได้ทุกเมื่อ”
“แล้วทำไมไม่เป็นผับ ทำไมถึงเลือกโฮสต์บาร์”
“เพราะผมรู้สึกว่า คนขี้เหงามีเยอะนะสิครับ ผมอยากให้ทุกคนมีความสุข”
ลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาใช้บริการบาร์โฮสต์มักจะเป็นผู้หญิง บ้างก็แต่งงานแล้วแต่ไม่มีความสุข บ้างก็เป็นผู้หญิงวัยทำงานแต่ไม่มีครอบครัว พวกนี้กระเป๋าหนักและพร้อมจะจ่ายเงินเพียงเพื่อให้คนมานั่งคุย และเอาใจ ช่วงหลังก็มีหนุ่มๆ แวะมาเที่ยวบ่อยขึ้นจนตอนนี้ลูกค้าก็มีอย่างละพอๆ กัน
“คุณมองการณ์ไกล ผมว่า อีกหน่อยกิจการแบบนี้น่าจะไปได้สวย สังคมยิ่งเครียด คนก็ยิ่งหาทางออก” ไบรอันพูดขึ้น ส่งสายตาหวานฉ่ำไปให้กับเอริ์ท เขายิ้มหวานรับ
“นี่คุณไบรอันกับคุณกริซคงไม่ได้กำลังหาข้อมูลเพื่อเทคโอเวอร์บาร์ของผมหรอกใช่ไหม”
“โอ๊ยเปล่าครับ ใครจะกล้า แค่ดูผมก็รู้แล้วว่า กิจการของคุณกำไรคืนละหลายแสน ใครจะกล้าเทคโอเวอร์ละครับ กระเป๋าผมคงไม่หนักพอ”
เจ้าของร้านหัวเราะ เสียงดังชอบใจ
“สรุปว่า จะรับเครื่องดื่มอะไรดีครับ”
“ผมขอวอดการ์ “ ไบรอันสั่งก่อนแล้วจึงหันไปหาธณริศบ้าง
“ผมขอบายดีกว่า ผมแค่แวะมาส่งคุณไบรอัน”
“อะไรกันครับคุณกริซ แค่ดื่มแก้วเดียวเอง เอาเป็นว่า ผมขอแนะนำโมฮิโต๊ะสูตรใหม่ของทางร้านสักแก้วนะครับ นั่งชมการแสดงก่อนแล้วค่อยกลับ”
โมฮิโต๊ะหมายถึง ค๊อกเทลที่มีส่วนผสมของเหล้ารัมคิวบา น้ำมะนาว น้ำเชื่อมและโซดาตามด้วยกลิ่นมินท์
“ใช่กริซ นั่งดื่มด้วยกันก่อน จะรีบกลับไปไหน หรือคุณมีสาวๆ รออยู่”
“เปล่า ผมแค่ไม่ค่อยชินเท่าไหร่”
“เอาน่า อยู่สักชั่วโมงคิดว่า อยู่เป็นเพื่อนผม คุณก็ไม่ได้มีนัดอะไรไม่ใช่หรือ”
ธณริศมองคนตรงหน้าอย่างสังเกต สีหน้าของไบรอันบอกชัดว่า อยากให้เขานั่งเป็นเพื่อน
“บังเอิญมี...แต่คงยังไม่รีบ”
“นัดใครไว้หรือ”
“เพื่อนครับ สมัยเรียนที่อเมริกา เห็นว่า จะมากันแถวนี้”
“ไม่รู้ล่ะ ไหนคุณบอกว่า จะให้ของขวัญผม ผมยังไม่ให้คุณกลับจนกว่าผมจะหาเพื่อนที่ถูกใจ และถ้าถึงตอนนั้นผมจะเตะก้นคุณออกไปจากร้านเอง” ไบรอันพูดติดตลก ธณริศจึงหันไปหาเจ้าของร้านและพยักหน้า
“งั้นผมขอเครื่องดื่มที่คุณเอริ์ทแนะนำก็แล้วกันนะ ไหนๆ ไบรอันขอมาแล้ว จะรีบกลับเลยเดี๋ยวจะเสียน้ำใจ”
“ได้เลยครับ ผมจะรีบให้เด็กจัดมาให้โดยด่วน ขอให้คุณทั้งสองสนุกกับการแสดงของเรานะครับ”
อลงกรโบกมือเป็นสัญญาณ ครู่เดียวไฟในร้านก็หรี่ลงพร้อมกับเปลี่ยนเป็นไฟที่สาดไปมา เสียงเพลงสนุกสนานเริ่มต้นขึ้น บนเวทีมีชายหนุ่มหน้าตาดีหุ่นล่ำโยกย้ายตามจังหวะเพลง ธณริศควรจะจ้องมองผู้ชายบนเวทีแต่แล้วปลายหางตากลับไปสะดุดกับหญิงสาวคนหนึ่งที่เพิ่งมานั่งโต๊ะตัวที่ติดกัน...
ทันทีที่เสียงเพลงจังหวะเร้าใจดังขึ้นบนเวที หนุ่มอายุรุ่นยี่สิบจำนวนหกคนก็เดินออกมา พวกเขาต่างวาดลวดลายด้วยการเต้น ท่าเต้นสนุกสนานผสานกับความแข็งแรง เรียกเสียงกรี๊ดจากลูกค้าแทบทุกโต๊ะในร้าน หลายคนลุกขึ้นเต้นตามจังหวะบนเวที หนุ่มทุกคนต่างสวมเสื้อยืดสีขาวกางเกงยีนฟิตเปรี๊ยะ หุ่นที่ผ่านการฟิตมาอย่างดีจนเห็นกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ตรงหน้าท้องเรียงกันเป็นลูกๆ ช่วงไหล่กว้าง กล้ามเนื้อตึงแน่น ยิ่งจังหวะที่เร็วขึ้นหนุ่มทั้งหกซึ่งเป็นดาวเด่นของบาร์แห่งนี้ก็ยิ่งเต้นรำอย่างสุดเหวี่ยง หลายคนเต้นมาตามทางเดินรูปตัวแอลเพื่อให้ใกล้ชิดกับลูกค้ามากขึ้น
บ้างก็ดึงลูกค้าขึ้นเวทีไปเต้นด้วย ไฟสปอร์ตไลท์ที่ส่องจากด้านบนดูคล้ายกับไฟในผับต่างๆ จังหวะที่เร้าใจ การเต้นด้วยลีลาอันวาบหวิว เมื่อถึงท่อนกลางของเพลง หนุ่มทุกคนก็เริ่มถอดเสื้อยืดออกก่อนจะโยนเสื้อไปยังลูกค้าสาวใหญ่ที่นั่งอยู่สองฝั่งของเวที เสียงกรี๊ดดังกระหึ่มไปทั่วร้าน ทุกคนตบมือเชียร์
ไบรอันดูจะเพลิดเพลินกับการแสดงเป็นอย่างมาก ธณริศเห็นอีกฝ่ายจ้องหนุ่มที่เต้นอยู่ตรงกลางเวลทีพร้อมกับโยกตัวไปตามจังหวะเพลง หนุ่มคนกลางอายุน่าจะยี่สิบต้น แต่หน้าตาดีราวกับนายแบบ คิ้วเข้ม นัยน์ตาคมแถมยังขยันส่งสายตาลงมาให้กับไบรอันบ่อยครั้ง ธณริศมองไปรอบๆ เห็นลูกค้าทุกคนกำลังปล่อยตัวปล่อยใจไปกับจังหวะสนุกๆ
เขายอมรับว่า เบื่อเพราะไม่ได้มีรสนิยมชอบดูผู้ชายเต้น หรือเป็นเพราะผู้หญิงโต๊ะข้างๆ น่าสนใจกว่าก็ไม่ทราบได้
หล่อนอายุเท่าไหร่กันนะ..นั่นคือ คำถามที่ผุดขึ้นในสมองของธณริศ นับตั้งแต่หญิงสาวเข้ามานั่งเขาก็ห้ามสายตาตัวเองไม่ได้เลย ชุดเดรสสั้นกุดสีครีมที่เน้นส่วนโค้งส่วนเว้า สายเดี่ยวที่พาดอยู่เหนือหัวไหล่กลมกลึง หน้าอกหน้าใจล้นทะลักจนกลัวว่า สายเดี่ยวนั้นจะรับน้ำหนักไม่ไหว แต่ที่สะดุดตาธณริศกลับเป็นป้ายราคาที่โผล่พ้นชายกระโปรงต่างหาก ดูเหมือนนักเที่ยวคนนี้เพิ่งจะซื้อชุดมาหมาดๆ จนลืมตัด
ป้ายราคาออก แถมถุงของร้านก็ยังวางอยู่บนเบาะข้างๆ ที่หล่อนนั่ง เขาจำได้ว่า ร้านนั้นอยู่ตรงข้ามบาร์แห่งนี้นี่เอง
ผิวของหญิงสาวขาวกว่าชาวเอเชียทั่วๆ ไป ดูแล้วน่าจะเป็นลูกครึ่งสังเกตจากเส้นผมที่เป็นสีน้ำตาลอ่อน แต่น่าเสียดายที่ใบหน้าถูกพอกไว้ด้วยเครื่องสำอางจนหนาเตอะราวกับเจ้าตัวต้องการปิดบังอายุที่แท้จริง เขาแอบได้ยินพนักงานสาวเดินมาถามเรื่องเครื่องดื่ม เจ้าหล่อนสั่งเตกีลาร์เพียวทีเดียวสามช็อต
เขาเห็นหญิงสาวกระดกเหล้าเข้าปากราวกับจะใช้มันเพื่อย้อมใจ นัยน์ตาของหล่อนหม่นเศร้า ใบหน้าเจือไปด้วยความทุกข์ ระหว่างที่บนเวทีกำลังมีการแสดง หญิงสาวกลับหยิบมือถือขึ้นมา ธณริศแอบมองด้วยความอยากรู้และเห็นว่า หล่อนกำลังไลฟ์สด เขาฟังไม่ถนัดว่า หญิงสาวพูดอะไรลงไปแต่พอเห็นน้ำตาที่ไหลลงมาเป็นทางก็ทำให้ยิ่งสนใจ
การแสดงบนเวทีมาถึงจุดพีคเมื่อนักเต้นต่างแยกย้ายกันลงจากเวที หนุ่มคนกลางตรงมาดึงมือไบรอันขึ้นไปเต้นบนเวที เขาหันมาหาก่อนที่ธณริศจะโบกมือว่า ตามสบาย สิ่งที่เขาสนใจคือ หญิงสาวโต๊ะข้างๆ กำลังทำอะไรกันแน่
เขาเห็นหล่อนยื่นโทรศัพท์ให้พนักงานเพื่อให้อีกฝ่ายช่วยถ่ายวีดีโอให้ ก่อนที่เจ้าตัวจะกระดกเตกีลาร์รวดเดียวจนหมดเกลี้ยงแล้วกระโดดขึ้นไปเต้นบนเวทีบ้าง ท่าเต้นที่ยั่วยวน กับสะโพกกลมกลึงที่ร่อนอยู่ตรงหน้าช่างเป็นภาพบาดตา ธณริศอดไม่ได้ที่จะจ้องเรือนร่างของหล่อน
หญิงสาวทำให้ทุกคนฮือฮามากขึ้นด้วยการเลิกชายกระโปรงด้านหนึ่งขึ้นสูงจนเห็นเรียวขาเนียนกลมกลึง หล่อนเต้นวนรอบเสา ขณะที่ดาวเด่นของบาร์ตรงเข้าไปเต้นด้วย ท่าเต้นที่ดูเหมือนกับสาวเจนโลกมีเพียงธณริศเท่านั้นที่รู้ดีว่า นั่นคือ การแสดงฉากหนึ่งให้กับใครบางคนที่อยู่ปลายสายดูต่างหาก
หญิงสาวแสร้งทำท่าทางก๋ากั่นทั้งที่ความจริงเจ้าตัวเมา เสียงปรบมือเชียร์ เมื่อหล่อนกับดาวเด่นรวมถึงไบรอันต่างเต้นแข่งกัน เสียงเป่าปากดังไปทั่วร้านพร้อมกับการปรบมือเป็นจังหวะ ธณริศไม่รู้ตัวเลยว่า เผลอขมวดคิ้ว เขาหยิบเครื่องดื่มบนโต๊ะขึ้นดื่ม บอกไม่ถูกว่า เพราะอะไรถึงไม่ชอบใจ
เขามั่นใจว่า หญิงสาวบนเวทียังเด็ก อาจจะไม่ถึงสิบแปดด้วยซ้ำ เพราะอะไรหล่อนถึงได้มาอยู่ที่นี่ ความหงุดหงิดทำให้เผลอจ้องมองคนบนเวทีตาเขม็ง เขาดื่มเครื่องดื่มในจังหวะเดียวกับที่แผ่นหลังถูกกระแทกอย่างแรง เครื่องดื่มกระฉอกลงเต็มเสื้อพร้อมกับเสียงสบถของผู้ชายที่ชื่อ ธณริศ...