0
บทนำ หมากรุก
บทนำ หมากรุก
You cannot play at chess if you are kind- hearted (French Proverb)
คุณไม่สามารถเล่นหมากรุกสากลได้ถ้าคุณเป็นคนใจอ่อน
“ว่าไง ยอมเซ็นไหม”
ร่างสูงใหญ่ราวกับรูปสลักนั่งทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง เพียงแค่ได้ยินเสียงประตูเปิดเขาก็ถามขึ้นราวกับรู้ล่วงหน้าว่า ผู้เข้ามาเป็นใคร
“ยอมครับ แต่ก็โกรธมาก ขู่ว่า จะฟ้อง” ชายอีกคนซึ่งรับหน้าที่’จัดการ’ ทุกๆ เรื่องให้ พยักหน้า
“ก็เอาสิ เราทำทุกอย่างรัดกุมดีแล้ว ถ้าคิดว่า จะชนะคดีได้ก็เชิญ”
ธณริศโคลงศีรษะอย่างไม่ยี่หระ ใบหน้าคมสันที่แทบไม่มีรอยยิ้ม ทุกคนรู้แต่เพียงว่า เขาคือ ลูกชายเพียงคนเดียวของ’เดล’ เจ้าของบริษัทดีคิงส์ บริษัทเงินทุนหนาจากอเมริกาที่ไล่เทคโอเวอร์บริษัทในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกเป็นว่าเล่น เมื่อซื้อได้เขาก็ส่งต่อให้ทีมบริหารเข้าไป ‘โล๊ะ’ของที่ไม่ต้องการทิ้ง ปรับปรุงระบบยกเครื่องภายในใหม่จนพร้อมที่จะขายต่อ ส่วนต่างของราคาที่ขายได้คือ กำไรที่ทำให้ดีคิงส์กลายเป็นบริษัทที่มีรายได้สูงติดอับดับโลกเลยทีเดียว
“แต่มันอาจทำให้หุ้นตก พีอีในตลาดอาจจะผันผวน เราอาจคุมเกมยาก”
“นายกำลังดูถูกฉันอยู่นะเดร็ก คนอย่างฉันเดินหมากแล้วไม่เคยพลาด”
เดร็กเป็นผู้ช่วยมือฉกาจทำงานกับธณริศมาหลายปี และก็นานพอที่จะรู้ว่า หากเจ้านายทำหน้าบึ้งจะตามมาด้วยอะไร ธณริศเอาจริงเอาจังกับงาน น้อยครั้งมากที่จะฉุนเฉียวนั้นก็เพราะมั่นใจว่า ตนควบคุมทุกอย่างได้ แต่ถ้าหากมีใครกล้าทำให้ผู้ชายคนนี้โมโหแล้วละก็ จะได้เห็นชายหนุ่มในอีกโหมดหนึ่ง ชื่อเล่นที่เรียกว่า กริซ หรืออีกที่เพื่อนๆ ชอบแหย่ว่า กริซลี่ อันหมายถึง สีน้ำตาลขี้โมโหที่นักเดินป่าทุกคนต่างหวาดผวายามได้เจอ
ชายหนุ่มอายุแค่สามสิบห้าแต่เฉลียวฉลาดรู้ทันคู่ต่อสู้ทุกอย่าง เขาเรียนจบมหาวิทยาลัยด้วยเกรดสูงลิ่ว ไหวพริบเป็นเยี่ยมแถมยังมีลูกล่อลูกชน เดลถึงได้มอบทุกอย่างให้ลูกชายดูแลและตัดสินใจแต่เพียงผู้เดียว
“ผมคงกังวลเกินไปหน่อย เอกสารทุกอย่างอยู่ในนี้ เชิญคุณกริซตรวจดูก่อนนะครับ”
ธณริศชำเลืองมองแฟ้มเอกสารอย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก เขาเลื่อนซองสีขาวส่งให้เดร็ก ด้านในคือ เอกสารซึ่งระบุค่าตอบแทน ส่วนตัวเงินได้โอนเข้าบัญชีชายหนุ่มไปเรียบร้อยแล้ว
“หวังว่า คงพอใจกับค่าเหนื่อยที่ฉันโอนให้นะ นายมีเวลาพักหนึ่งอาทิตย์ ก่อนเราจะเริ่มต้นงานชิ้นต่อไป”
“มีงานเข้ามาอีกหรือครับ”
นับตั้งแต่มาถึงเมืองไทยธณริศก็ทุ่มเทกับงานจนไม่มีเวลาหยุดพัก ทั้งที่ปกติแล้วหลังจากเทคโอเวอร์บริษัท ธณริศมักจะทิ้งช่วงเพื่อให้ทีมเก็บกวาด ปรับปรุงได้ทำงานก่อนจะนำออกมาขายในตลาด ส่วนตัวเขาคอยเป็นที่ปรึกษาแต่ครั้งนี้เพราะอะไรถึงรีบ
“ใช่ ทาร์เกตต่อไปของเราคือ โรงแรมเซ้าท์เฮเว่น”
ชื่อ โรงแรมตากอากาศชื่อดังของประเทศไทยในจังหวัดภูเก็ตทำเอาผู้ช่วยหนุ่มตาโต ไม่มีใครไม่รู้จักเพราะเพราะเมื่อปีที่แล้ว โรงแรมเซ้าท์เฮเว่นได้รับการจัดอันดับว่า เป็นรีสอร์ทที่ดีที่สุดในประเทศไทยเลยทีเดียว ห้องพักหรูหรา ทั้งหมดเป็นแบบพูลวิลล่าจำนวนห้าสิบหลัง โรงแรมมีพื้นที่กว้างขวางกินเนื้อที่ถึงแปดสิบไร่ ราคาที่พักแพงหูฉี่ แต่นักท่องเที่ยวรวมถึงลูกค้าไฮโซก็ยินดีที่จะจ่ายเพื่อแลกกับความสะดวกสบายและความอลังการของที่พัก วิวของหน้าต่างเผยให้เห็นทะเลรอบทิศจนถึงขนาดมีคนเปรียบเทียบว่า นี่คือ สวรรค์บนดิน
เมื่อหนึ่งปีก่อนเจ้าของเพิ่งจะออกโครงการบ้านจัดสรรสุดหรูในพื้นที่ติดกัน และมีการขุดทะเลสาบที่มีทางเชื่อมต่อกับทะเลเพื่อให้ลูกค้าทุกคนสามารถใช้บริการแหล่งน้ำ ทั้งการล่องเรือ รวมถึงเล่นกีฬาทางน้ำ ทุกคนต่างคิดว่า กิจการต้องไปได้สวย แต่ข้อมูลเบื้องลึกที่ธณริศสืบทราบมานั้นต่างกันราวฟ้ากับเหว
“มิสเตอร์ไบรอัน รู้ข่าววงในหรือครับ”
“ใช่ ผมสืบดูแล้ว เป็นเรื่องจริง”
มิสเตอร์ไบรอันคือ กลไกลสำคัญที่ทำให้ธณริศเจรจาปิดดีลธุรกิจได้สำเร็จมาหลายครั้ง รวมถึงบริษัทล่าสุดที่เพิ่งเทคโอเวอร์ไป กว่าดีคิงส์จะเทคโอเวอร์บริษัทหนึ่งนั้นได้นั้น ต้องอาศัยข้อมูลเจาะลึกในทุกด้าน เพื่อจะมั่นใจว่า กิจการที่จะซื้อจะทำกำไรมากกว่าจะเป็นหนี้สะสมของบริษัท
“ไม่น่าเชื่อ ผมยังคิดว่า เขากำลังจะเปิดโครงการเฟส สอง สาม และสี่ตามมาเสียอีก”
“นั่นคือ สิ่งที่ทุกคนคิด แต่ที่จริงตรงกันข้าม เราถึงต้องรีบคว้าโอกาสนี้เอาไว้ ไบรอันเพิ่งบอกข้อมูลลับกับฉัน ดังนั้นเราจะช้าไม่ได้”
“เกมส์นี้ชักสนุกเสียแล้ว คุณกริซเรียนให้เดลทราบหรือยัง”
“ยัง...ผมกำลังรอให้เขาโทรมา”
เวลาท้องถิ่นที่เมืองไทยกับลอสแองเจลลิสต่างกัน แต่แม้จะอยู่คนละประเทศแต่เดลก็รับรู้ความเป็นไปทุกอย่างของบริษัท ในยุคที่เทคโนโลยีล้ำสมัยประเทศที่อยู่ห่างกันมากแต่กลับเชื่อมต่อกันได้แทบจะตลอดเวลา
“งั้นผมคงต้องขอตัวไปพักก่อน จะได้เตรียมลุยโปรเจคใหญ่ด้วยกัน”
เดร็กเก็บซองเข้าไปในเสื้อสูทของตน
”ตามสบาย แล้วผมจะโทรไปเรียก นี่ผมกำลังเตรียมของขวัญให้ไบรอัน ในฐานะที่เขาช่วยทำกำไรให้บริษัท”
“ของขวัญหรือครับ”
“กว่าจะหาได้ก็คิดอยู่นาน ไบรอันถูกใจอะไรยากมาก แต่ผมมั่นใจว่า เขาต้องชอบสิ่งนี้”
ธณริศหันไอแพดไปทางผู้ช่วยคู่ใจ หน้าที่เปิดค้างอยู่คือ เว็บไซด์ของผับแห่งหนึ่ง พอเห็นภาพที่อยู่เดร็กตาโตราวกับไข่ห่าน
“นี่คุณกริซจะพา ไบรอันไปที่นั่นงั้นหรือ”
“เออสิ หรือว่า นายอาสาจะพาเขาไปแทนล่ะ ฉันๆจะได้พัก”
เดร็กรีบโบกไม้โบกมือ สันกรามและหูแดงก่ำไปหมด
“โอ๊ยไม่ไหวครับ ถ้าเป็นผับทั่วๆ ไป ผมพอช่วยได้ แต่อันนี้ ขอผ่าน”
“จะปล่อยฉันไปคนเดียวเนี่ยนะ”
“ผมขอโทษจริงๆ เรื่องบาร์โฮสต์ผมไม่ถนัด”
ธณริศมองคนสนิทแล้วโคลงศีรษะ เขาโบกมือเป็นเชิงอนุญาตพร้อมกับพูดว่า
“เอาเถอะ รีบไปพัก ก่อนฉันจะเปลี่ยนใจ อย่าลืมเตรียมตัวให้พร้อม แล้วรอฉันเรียก”
เดร็กพยักหน้า โค้งตัวออกไปทิ้งให้ธณริศมองหน้าจอขอไอแพดอย่างครุ่นคิด บาร์โฮสต์หรือที่คนทั่วไปรู้จักกันว่า เป็นสถานที่คลายเหงาสำหรับสาวๆ แต่นอกจากผู้หญิงแล้วผู้ชายจำนวนมากก็ชอบจะไปนั่งเล่นหาเพื่อนคุย เขารู้จักมิสเตอร์ไบรอันมานานจึงรู้ว่า อีกฝ่ายเป็นชายรักชาย ไบรอันเคยมีแฟนแต่ถูกทิ้งไปเมื่อหลายปีก่อน หลังจากนั้นก็ครองตัวเป็นโสดมาตลอด ดังนั้นพอธณริศเอ่ยปากชวน หนุ่มใหญ่ก็ตอบตกลงทันที
ธณริศต้องสอบถามข้อมูลจากคนเคยไปเที่ยวเพื่อให้แน่ใจว่า บาร์แห่งนี้จะไม่มีการขายบริการแฝงอยู่ด้วย เขาไม่อยากให้เกิดปัญหาตามมากับไบรอัน แม้ว่า ค่าดริ้งก์ของที่นี่จะแพงกว่าที่อื่น แต่ชายหนุ่มก็ยอมสู้ ไบรอันยืนยันจะมาตามนัด ยังเหลือเวลาอีกถึงสามชั่วโมง ชายหนุ่มเบือนหน้ากลับมายังแฟ้มเอกสารตรงหน้า กำลังจะเริ่มต้นอ่านแต่แล้วมือถือบนโต๊ะก็ดังขึ้นเมื่อเห็นสัญลักษณ์ของการโทรผ่านระบบไลน์ก็รีบกดรับ..
“ทุกอย่างเรียบร้อยใช่ไหม”
“ทุกอย่างเป็นไปตามแผน คุณไม่ต้องห่วง”
ธณริศรายงานทันที ใบหน้าของพ่อบุญธรรมคงจะแต้มไปด้วยรอยยิ้ม เดลคงนอนเล่นอยู่ในห้องนอนรอเวลาออกไปพบปะสังสรรค์กับเพื่อนๆ
คฤหาสน์ของเดลตั้งอยู่ในเบเวอรี่ฮิลล์ เมืองลอสแองเจลลิส ซึ่งถือเป็นถิ่นคนรวย มีห้องนอนสิบห้อง สนามเทนนิส สระว่ายน้ำ พื้นที่จอดรถไม่ต่ำกว่าสิบคัน
ภายในห้องนอน เฟอร์นิเจอร์เป็นแบบเรียบ เน้นประโยคใช้สอยเป็นหลัก มุมหนึ่งจัดเป็นโต๊ะสำหรับวางหมากรุก เดลไม่เหมือนมหาเศรษฐีคนอื่นๆ เพราะไม่ชอบออกไปงานเลี้ยง เขาไม่ดื่มเหล้าเพราะมีปัญหาสุขภาด ทั้งเบาหวานความดัน
กิจกรรมยามว่างที่โปรดปรานคือ การเล่นหมากรุก บ่อยครั้งที่เดลชอบให้คนรถขับไปส่งที่สวนสาธารณะห่างจากคฤหาสน์หลายสิบไมล์ เพียงเพื่อจะไปเล่นหมากรุกและถกปัญหาเศรษฐกิจกับเพื่อนวัยเดียวกัน เพื่อนสนิทของเดลไม่ใช่มหาเศรษฐี แต่เป็นคนไร้บ้านที่รวมกลุ่มเป็นสภากาแฟอยู่ที่สวน ทุกวันพวกเขาจะพบปะสังสรรค์กัน เล่นหมากรุกกันไป พูดคุยกันไป
“ฉันไม่ได้หมายถึง งาน แต่หมายถึงแกต่างหาก ไปเมืองไทยได้เจออะไรดีๆ บ้างไหม”
“อะไรดีๆ ของคุณหมายถึงอะไร”
“ก็หมายถึง คนที่จะทำให้แกเลิกครองตัวเป็นโสด แล้วใช้ชีวิตแบบคนปกติแทนการกินน้ำมันเครื่องเหมือนหุ่นยนต์แบบนี้สิ”
เดลพูดติดตลก เขามักจะแซวลูกชายว่า ทำแต่งานจนไม่ยอมมองสาวๆ
“ยัง”
ธณริศตอบเสียงเรียบ สำหรับเขาแล้วเรื่องผู้หญิงแทบไม่ได้อยู่ในความคิดเลยแม้แต่น้อย ไม่ใช่ว่า เขาไม่มีความต้องการเหมือนผู้ชายคนอื่นๆ ตรงกันข้าม ฮอร์โมนเพศของเขายังพลุ่งพล่านแต่ธณริศเลือกที่จะใช้มันไปกับงาน เขาเปลี่ยนคู่นอนแทบทุกอาทิตย์ แต่มีกติกาว่า เจ้าหล่อนต้องยอมเป็นแค่ของเล่นชั่วคราวเท่านั้น ชายหนุ่มยังไม่เคยคิดจะหาห่วงมาผูกคอ และแน่นอนเรื่องมีเมียนั้นลืมไปได้เลย เหตุการณ์ฝังใจในช่วงวัยรุ่นทำให้เข็ดขยาด
“สรุปว่า ที่แกไปเมืองไทยสามอาทิตย์ ยังไม่เห็นขาอ่อนใครสักคนงั้นสิ”
“ถ้าคุณหมายถึงว่า ผมนอนกับใครที่เมืองไทยหรือยัง คำตอบก็คือ ยัง”
“เย็นชาเหมือนใครวะ”
เดลบ่นใส่โทรศัพท์ ธณริศกดปุ่มเฟสไทม์บนไอแพดเพื่อให้เห็นหน้าพ่อบุญธรรมชัดขึ้น เขาเหลือบมองมุมเดิมบนโต๊ะที่มีกระดานหมากรุกวางอยู่ ทุกอย่างยังเหมือนครั้งสุดท้ายก่อนจะมา หมากรุกตานั้นยังไม่รู้แพ้รู้ชนะ
“เหมือนคุณมั้ง”
“ไม่จริง สมัยหนุ่มๆ มีแต่สาวๆ ชมว่า ฉันปากหวานลีลาดี บนเตียงฉันไม่เคยขาดผู้หญิง รู้เอาไว้เสียด้วย” เดลพูดติดตลก
“แต่ตอนนี้คุณเจ็ดสิบกว่าแล้ว และก็เลิกหิ้วผู้หญิงมานอนที่บ้านแล้วด้วย”
“แกรู้ได้ยังไง ไม่แน่ฉันอาจจะซุกพวกหล่อนเอาไว้ใต้เตียงก็ได้ แต่แกไม่เห็นเอง”
ธณริศกลับโต้ไป รู้ดีว่า เดลแกล้งพูด สุขภาพของพ่อบุญธรรมไม่ได้ดีนัก ผลการตรวจครั้งสุดท้ายมีความดันสูง หมอจึงสั่งงดกิจกรรมหนักๆ ให้เดินออกกำลังกายได้นิดหน่อยเท่านั้น เดลต้องควบคุมอาหาร ลดน้ำหนักเรื่องจะนอนกับสาวนั้นลืมไปได้เลย
“วันนี้จะออกไปเล่นหมากรุกกับโจไหม”
“โจ ไม่สบาย แอดมิดอยู่ไอซียู เห็นว่า ต้องทำบายพาสหลอดเลือดหัวใจ เห็นทีคงจะไม่ได้เล่นหมากรุกด้วยกันอีกนาน”
โจเป็นเพื่อนสนิทที่ไม่มีอะไรเหมือนเดลเลยแม้แต่น้อย ทั้งสีผิว เพราะโจคือ อเมริกันนิโกร ผิวคล้ำตามสายเลือดในตัว ผมหยิกขอดจนติดหนังศีรษะ ฐานะยากจน มิตรภาพของทั้งสองเริ่มต้นขึ้นที่ตาหมากรุก หลายครั้งที่ธณริศอิจฉาโจที่มีเวลาอยู่กับเดลมากกว่าเขาด้วยซ้ำ
“ถ้าเบื่อ มาเล่นหมากรุกกับผมที่เมืองไทยก็ได้นะ”
“ไม่ล่ะ ขี้เกียจนั่งเครื่องบิน เมื่อยก้น เอาไว้รอแกกลับมาที่นี่ดีกว่า หมากรุกกระดานสุดท้ายยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ”
เดลพูด ธณริศจับได้ถึงความเหงาในน้ำเสียงนั้น แต่เดลก็ยังคงเป็นเดลอยู่วันยังค่ำที่ไม่ปริปากเคยบอกคนอื่นว่า รู้สึกยังไง
“ผมจะรีบสะสางงานที่นี่แล้วรีบกลับไป”
“ไม่ต้องรีบหรอก ฉันไมใช่คนแก่ขี้เหงา ที่โทรมาถาม ก็เพื่อให้แน่ใจว่า แกไม่ได้ทำเงินของบริษัทกระเด็นหลุดมือไปเท่านั้น”
“นอกจากไม่กระเด็นแล้ว ผมยังทำกำไรให้บริษัทคุณอีกหลายสิบล้าน รู้เอาไว้ด้วย” ธณริศโอ่
“แน่ใจอย่างนั้นเลยหรือ กะอีแค่บริษัทเล็กๆ ที่เทคโอเวอร์เนี่ยนะ” เดลปรามาศ
“ไม่ใช่บริษัทนี้ แต่เป็นโรงแรมที่ผมกำลังจะซื้อให้คุณต่างหาก คุณรอฟังข่าวดีก็แล้วกัน อีกไม่นาน คนจะต้องทึ่งที่ดีคิงส์ สามารถสร้างเม็ดเงินมหาศาลภายในเวลาไม่ถึงเดือน”
ธณริศวางโทรศัพท์ไปแล้วแต่เขายังไม่มีกะจิตกะใจจะอ่านเอกสารตรงหน้า ความทรงจำในอดีตยังแจ่มชัด ว่าครั้งหนึ่งเขาคือ เด็กยากจนเนื้อตัวสกปรกที่ซุกตัวอยู่ข้างถังขยะด้วยความหวาดกลัว
จนกระทั่งมีรถหรูคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดเทียบ ธณริศตอนนั้นผอมแกรนถูกดึงขึ้นรถ ท่ามกลางพ่อค้าที่วิ่งไล่ นั่นก็เพราะเขาขโมยอาหาร
เขาเป็นเด็กกำพร้า ถูกทิ้งไว้ข้างบ้านซอมซ่อหลังหนึ่งตั้งแต่แบเบาะ ยายที่เลี้ยงเขามาบอกว่า ธณริศคงเป็นลูกของเด็กวัยรุ่นใจแตกสักคนหนึ่งที่ถูกนำมาทิ้งหลังคลอดได้ไม่นาน เขาน่าจะมีเชื้อสายฝั่งตะวันตกไม่มากก็น้อย เพราะเส้นผมเป็นสีน้ำตาลเข้ม ไม่ดำ แถมนัยน์ตายังมีสีฟ้าเจือเทาดูแปลกตา
ยายบอกว่า ทนเสียงร้องแหกปากของเขาไม่ไหว จึงนำเด็กทารกมาเลี้ยง อาศัยนมบริจาคจากคนข้างบ้านบ้าง หรืออาศัยนมจากแม่ลูกอ่อนที่อยู่บ้านติดกันบ้าง แต่เดิมเขาไม่ได้ชื่อ กริซ แต่รูปร่างที่แกรนเพราะไม่ค่อยมีอะไรกินทำให้ดูตัวโย่ง ยายจึงเรียกติดปากว่า ไอ้แกร็น
เมื่อโตขึ้นหน่อยเขาก็ต้องช่วยยายทำขนมขาย ขนมของยายไม่ได้ขายดีแต่พอเลี้ยงตัวได้ ชีวิตของธณริศต้องอยู่อย่างอดๆ อยากๆ จนวันหนึ่งเมื่อยายตัดช่องน้อยเสียชีวิตไป เขาซึ่งอายุแค่เจ็ดขวบ ไม่มีที่ไป ครั้นจะอาศัยอยู่ในบ้านเดิมก็บังเอิญที่ดินแถวนั้นถูกเวรคืนพอดี เด็กชายจึงต้องเร่ร่อน ขโมยของกินไปวันๆ อาศัยนอนข้างถนน นอนในตรอก นอนตรงป้ายรถเมล์บ้าง จนกระทั่งวันหนึ่งเขาหิวจนทนไม่ไหว เข้าไปขโมยไก่ย่างในร้านแห่งหนึ่ง แต่เคราะห์ซ้ำกรรมซัดอาหารที่ขโมยมาถูกนักเลงเจ้าถิ่นแย่งไปเสียอีก
เด็กชายวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน หลบอยู่ข้างถังขยะด้วยความหวาดกลัวจนกระทั่งเดลมาเจอ ชายสูงวัยเล่าว่า เห็นตั้งแต่ตอนที่เขาแอบเข้าไปในร้าน แต่ด้วยความสงสารจะออกเงินให้ แต่แล้วเขากลับหายตัวไปเสียก่อน เดลนั่งรถกลับโรงแรม แต่บังเอิญเจอเขาเสียก่อน
ตอนแรกเดลแค่ต้องการแค่เลี้ยงอาหารเด็กเพราะสงสาร แต่พอได้สบตาและเห็นถึงความกล้าหาญของเด็กชาย แม้ร่างกายจะเต็มไปด้วยบาดแผล แต่ก็สู้ยิบตาไม่ยอมใคร สุดท้ายเดลตัดสินใจพาธณริศกลับต่างประเทศด้วย เขาอาศัยเส้นสายและอำนาจเงินผนวกกับหลักฐานเท็จอีกหลายอย่างกว่าจะพาเด็กชายกลับประเทศไปได้ เรื่องราวของธณริศควรจะจบลงอย่างแฮปปี้เอนดิ้งแต่เปล่าเลย นั่นก็เพราะเดลไม่เหมือนพ่อบุญธรรมคนอื่น
เดลไม่ใช่คนรักเด็ก จึงไม่เคยกอดไม่เคยหอม เด็กชาย เหมือนเขาทำสิ่งที่ควรทำด้วยการช่วยให้เด็กชายได้มีชีวิตที่ดีขึ้นเท่านั้น ธณริศแม้จะถูกเลี้ยงดูเป็นอย่างดีแต่กลับรู้สึกว้าเหว่นั่นก็เพราะสิ่งที่เด็กชายโหยหาไม่ใช่เงินแต่เป็นความรัก
ธณริศรู้ตัวว่า ทำตัวไร้เหตุผล เขาในวัยเก้าขวบ โหยหาความรักความอบอุ่น สิ่งที่เดลมอบให้คือ เงินทอง ความสะดวกสบาย ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่ไม่อาจเติมเต็มหลุดดำอันกว้างใหญ่ในใจ เดลมีลูกสามคน ต่างโตมีครอบครัวและแยกย้ายกันไปอยู่บ้านของตัวเอง นานๆ ครั้งที่จะกลับมาเยี่ยมพ่อ ลึกๆ ลงไปแล้วเดลคงเหงา ดังนั้นพอเหงาเขาจึงสอนให้เด็กอายุเก้าขวบเล่นหมากรุกเป็นเพื่อน
เด็กชายจำเทคนิคการเล่นที่พ่อบุญธรรมเคยสอนได้อย่างแม่นยำ เขาเป็นคนฉลาดไอคิวสูงมากกว่าร้อยแปดสิบ ยามโรงเรียนหยุด แทนที่จะได้ออกไปเล่นกับเพื่อนแต่เดลกลับขอให้ธณริศเล่นหมาก
รุกเป็นเพื่อน ช่างเป็นเกมที่น่าเบื่อสำหรับเด็ก แต่พอโตขึ้นความเบื่อก็กลับเป็นท้าทาย สุดท้ายก็กลายเป็นความอยากเอาชนะ แต่น่าแปลกที่เขาเล่นหมากรุกเก่งมาก แต่ไม่เคยชนะเดลได้เลยสักครั้ง
เดลสอนอะไรหลายๆ อย่างรวมถึงทัศนคติในการดำรงชีวิต การจะอยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารต้องรู้ทำทุกอย่างด้วยสมอง ธณริศเองก็มักจะนำสิ่งที่บิดาบุญธรรมสอนมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ เพราะเหตุนี้เองเขาจึงไม่เคยเรียกเดลว่า พ่อ แต่เรียกว่า คุณ แต่เดลก็ไม่เรียกร้อง สิ่งที่เขาต้องการคือ เพื่อนเล่นหมารุกเท่านั้น
เขามีรูปร่างสูงบึกบึนอันเป็นผลของการชอบเล่นกีฬาทุกชนิด ทุกวันธณริศจะว่ายน้ำ เล่นยิม ถ้าว่างก็จะออกไปเล่นกีฬากลางแจ้ง ผิวที่คร้ามแดดเพราะสายเลือดผสมในตัว ใบหน้าหล่อเหลาหาตัวจับยาก อีก คิ้วเข้มพาดอยู่เหนือนัยน์ตาคมกริบสีสันแปลกตา ยามจ้องมองลูกค้าสาวๆ ก็พากันใจละลาย ยามทำหน้านิ่งคนจะคิดว่า ดุแต่ยามโกรธจัดน่ากลัวยิ่งกว่า
สำหรับคนอื่นเขาคือ ผู้ชายเย็นชา ดุดันหากถูกขัดใจ นั่นก็เพราะปมในอดีต ชายหนุ่มเหลือบมองไปที่ตู้โชว์ ภายในมีตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลตั้งอยู่ สีของมันเริ่มซีด แต่ธณริศก็ดูแลมันเป็นอย่างดี เพราะมันคือ ตัวแทนของเหตุการณ์ในวันนั้น วันที่ธณริศสาบานกับตัวเองว่า ไม่มอบหัวใจให้ใครอีกชั่วชีวิต
ภาพถ่ายในกรอบซึ่งวางอยู่ในตู้ คือ ตัวแทนของธณริศคนเก่า ใบหน้าของเขายามสวมชุดมาสคอต์หมีสีน้ำตาล ช่างเปี่ยมไปด้วยความสุข แต่นั่นคือ ภาพสุดท้าย ธณริศคนเก่าได้ตายไปแล้วพร้อมกับรักครั้งแรกที้เขาไม่มีวันลืม แต่จะจำมันไว้เพื่อเตือนตัวเองตลอดไป
ผู้หญิงล้วนแต่ไม่จริงใจ หล่อนพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อความต้องการของตัวเอง ผู้ชายก็แค่เหยื่อที่เจ้าหล่อนจะปั่นหัวเล่นยังไงก็ได้ แต่ธณริศไม่ใช่ผู้ชายคนเดิมอีกแล้ว เขาคือ หมีกริซลี่ที่พร้อมจะตะปบทุกคนให้คว่ำถ้าหากใครคนนั้นกล้าขวางทาง...
“จะรีบไปไหนหรือเพลิน”
สาวน้อยในชุดเครื่องแบบนักเรียนถามขึ้น เพราะเมื่อกระดิ่งดังขึ้น พิมพ์ภิดาก็รีบร้อนเดินออกจากห้องเรียนทันที วันนี้เป็นวันสอบวันสุดท้ายช่วงกลางเทอม ขณะที่นักเรียนทุกคนต่างมีแผนจะไปฉลองวันสอบเสร็จกับเพื่อนๆ แต่สาวน้อยกลับมีแผนการอื่น
“ฉันจะไปหาแม่ที่บริษัท”
เพื่อนสนิทตาโต อ้าปากพะงาบๆ อยู่หลายนาทีกว่าจะหาเสียงตัวเองเจอ สู่ขวัญรู้จักนิสัยเพื่อนรักเป็นอย่างดี หากมุ่งมั่นขนาดนี้คงไม่มีอะไรทำให้เปลี่ยนใจได้
“จะดีหรือเพลิน ไหนแม่แกห้ามไม่ให้เข้าบริษัทไม่ใช่หรือ”
ต้นเหตุเกิดจากเมื่อสัปดาห์ก่อนที่พิมพ์ภิดาบุกเข้าไปอาละวาดในบริษัทจนอรุณาโกรธจัด สั่งห้ามเด็ดขาดไม่ให้ลูกสาวเข้าไปยุ่งย่ามอีก ถ้าไม่เช่นนั้นจะถูกลงโทษด้วยการกักบริเวณและตัดเบี้ยเลี้ยง ใครๆ ก็
รู้ว่า อรุณาหรือมาดามอุ๊ ประธานบริษัท ซึ่งเป็นสาวเก่ง แกร่ง และเด็ดขาดขนาดไหน ถ้าออกคำสั่งขนาดนี้แล้วมีผู้ขัดขืนคงเป็นเรื่องแน่
“แต่วันนี้ฉันต้องคุยกับแม่ให้รู้เรื่อง”
คนนอกอาจมองว่า พิมพ์ภิดาก้าวร้าว แต่สู่ขวัญเท่านั้นที่รู้ดีว่า เพื่อนสาวมีปม อรุณาเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ กิจการของบริษัทขายตรงเครื่องสำอางมียอดทะลุเป้า ทำกำไรได้ปีละหลายร้อยล้าน มีสมาชิกในเครือข่ายเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี อรุณาคือ ต้นแบบของผู้หญิงเก่ง มั่นใจ ใบหน้าสวยดูอ่อนกว่าวัยจนหลายคนไม่รู้ว่า อายุมากแล้ว สื่อหลายแขนงตั้งชื่อให้ว่า มาดามอุ๊
ขณะที่มารดาเป็นสาวสังคมแต่จอร์ช เป็นเพียงเชฟที่มาเปิดร้านอาหารที่เมืองไทย แต่โชคร้ายที่เขาถูกหุ้นส่วนโกงจนต้องปิดร้าน จอร์ชตกงานจึงรับหน้าที่เลี้ยวลูก แต่อรุณางานยุ่งมากต้องออกงานสังคมแทบทุกวัน ช่องว่างระหว่างสามีภรรยาจึงกว้างขึ้น ทั้งสองทะเลาะกันบ่อยครั้งจนจบลงด้วยการหย่าร้าง
จอร์ชตัดสินใจย้ายกลับไปแคลิฟอร์เนีย ความเหงาจึงทำงานหนัก ร่างกายอ่อนเพลีย ในวันเกิดเหตุจอร์ชขับรถประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต พิมพ์ภิดาโทษว่า ทุกอย่างเป็นความผิดของมารดา เพราะในคืนเกิดเหตุ จอร์ชโทรหาภรรยาแต่หล่อนไม่ได้รับสายเพราะกำลังออกงานสังคมกับลูกน้องหนุ่มคนหนึ่ง
พิมพ์ภิดาไม่ยอมอภัยให้แม่ หล่อนโทษอรุณาว่า เป็นต้นเหตุให้บิดาเสียชีวิต แม่กับลูกจึงทะเลาะกันหนักขึ้น อรุณาเอาแต่เงียบไม่ยอมเอ่ยถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แม่กับลูกจึงเหมือนคนแปลกหน้าต่อกัน จุดแตกหักอยู่ที่รฐกร เขาเป็นผู้จัดการฝ่ายขายที่ทำตัวสนิทสนมกับประธานบริษัทอย่างออกนอกหน้า จนเกิดข่าวลือว่า ทั้งสองกิ๊กกัน
“มีเรื่องอะไรไว้คุยที่บ้านไม่ดีกว่าหรือ เรื่องภายในครอบครัว คนอื่นรู้น้อยที่สุดเป็นดี”
“แต่แม่จงใจหลบหน้าฉัน โทรไปก็ไม่รับ โทรหาคุณวิมล ก็บอกว่า งานยุ่ง แล้วจะให้ฉันทำยังไง”
“แม่แกอาจจะงานยุ่งจริงๆ ก็ได้”
“ไม่จริง ถ้ายุ่งแม่จะมีเวลาควงผู้ชายคนนั้นไปกินข้าวได้ยังไง”
เมื่อสองวันก่อนคอลัมน์ซุบซิบลงรูปคู่ของอรุณากับรฐกร ทั้งสองไปกินข้าวด้วยกัน นักข่าวตีข่าวว่า นี่อาจจะเป็นรักครั้งใหม่ของมาดามอุ๊ ทำให้พิมพ์ภิดาร้อนใจมาก หล่อนจ้างคนสืบเรื่องของรฐกรและพบว่า ชายหนุ่มคบผู้หญิงหลายคนเพื่อผลประโยชน์แต่เนื่องจากเป็นการให้ด้วยเสน่ห์หาจึงยังไม่มีคดีติดตัว
“แต่แม่แกมีสิทธิ์ที่จะเลือกคบใครก็ได้”
“แต่ต้องไม่ใช่ไอ้แมงดานั่น แกก็รู้นี่ว่า มันต้องการผลาญสมบัติแม่ ”
พิมพ์ภิดาโกรธจัดโพล่งออกไป ภาพถ่ายที่ลงในหนังสือซุบซิบคือ รูปที่อรุณากับรฐกรพากันขึ้นคอนโดฯ ฝ่ายชาย คืนนั้นหญิงสาวร้องไห้จนตาบวม หล่อนไม่เข้าใจว่า ทำไมมารดาซึ่งเก่งในทุกๆ เรื่องถึงดูเรื่องง่ายๆ แค่นี้ไม่ออก สู่ขวัญยื้อแขนเพื่อนรักเพื่อปรามพร้อมกับจุ๊ปากให้หรี่เสียงลง
“เบาๆ หน่อยสิเพลิน คนมองกันใหญ่แล้ว แกไม่อายหรือ”
“อายทำไม ไอ้รฐกรต่างหากที่ต้องอาย ฉันรู้นะว่า มันคิดอะไรอยู่”
ตลอดเวลานับตั้งแต่มีข่าว อรุณามักกลับบ้านดึก พอขึ้นไปถึงห้องก็ลงกลอนล็อกประตูแม้ว่า พิมพ์ภิดาจะหาโอกาสคุยเรื่องนี้แต่มารดาก็เอาแต่หลบเลี่ยง ลึกๆ ลงไปแล้วหญิงสาวเริ่มไม่มั่นใจว่า อรุณาจะหลงรักหนุ่มรุ่นน้องจริงๆ หรือไม่
“อคติเกินไปหรือเปล่า ไม่แน่นายรฐกรอะไรนั่นอาจจะรักแม่แกจริงก็ได้นะ ไม่ดีหรือ แม่แกจะได้มีคู่คิด ไหนๆ พ่อแกก็เสียไปตั้งสองปีแล้ว”
“ไม่...ฉันรู้จักมันดี คนอย่างมันไม่เคยรักใครจริง นี่อย่าบอกนะว่า แกเห็นด้วยกับการที่แม่จะเอาไอ้รฐกรมาเป็นพ่อเลี้ยงฉัน”
“ฉันขอไม่ออกความเห็นอะไรทั้งนั้น ถึงยังไงเสียฉันก็เป็นคนนอก เรื่องนี้แกคุยกับแม่เองดีกว่า แต่ที่ฉันพูดก็เพราะอยากให้แกใจเย็นลงสักหน่อยมีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจากัน”
“ไม่รู้ล่ะ วันนี้ฉันต้องคุยให้รู้เรื่อง แต่ถ้าแม่ไม่ฟังละก็...”
“กะ...แกคิดจะทำอะไร”
สู่ขวัญหน้าซีด รู้ดีว่า พิมพ์ภิดามีลูกบ้าเยอะ ยิ่งอยู่ในอารมณ์เหวี่ยงสุดขีดแบบนี้ด้วย เพื่อนสาวเคยนุ่งกางเกงสั้นกุดพร้อมกับเสื้อกล้ามตัวบางจ๋อยเดินดุ่มๆ เข้าไปในบริษัท เพียงเพื่อให้อรุณาหันมาสนใจ
“แกอย่ารู้เลย”
“อย่าทำบ้าๆ นะเพลิน คิดให้รอบคอบก่อน การที่แกทำอะไรพิลึกๆ นอกจากแม่จะเสียหน้าแล้ว ตัวแกเองก็อาจจะตกอยู่ในอันตรายด้วยนะ ฉันเป็นห่วง”
“เอาเถอะ ฉันไม่ทำให้ตัวเองตกอยู่อันตรายหรอกน่า เชื่อมือสิ”
“แน่หรือ ฉันเห็นหน้าแกแล้วไม่ไว้ใจเลย”
“ทำไม ไม่เชื่อใจฉันหรือ
สู่ขวัญถอนหายใจ ตอบว่า
“ใช้คำว่า เป็นห่วงจะดีกว่า เสียดายที่วันนี้ฉันไปเป็นเพื่อนแกไม่ได้ ที่บ้านนัดนัดกินข้าวเย็นวันเกิดคุณย่า”
พิมพ์ภิดาตบบ่าเพื่อนรัก สู่ขวัญคือ เพื่อนที่หล่อนรักที่สุด สู่ขวัญมาจากครอบครัวอบอุ่น แม้จะอายุสิบแปดแล้วแต่ก็ยังมีผู้ปกครองมารับมาส่งทุกวัน วันไหนที่พ่อกับแม่ไม่ว่างก็จะส่งคนขับรถมาจอดรอหน้าโรงเรียน ถ้ากลับบ้านผิดเวลาหน่อยก็จะมีทั้งพ่อแม่ ปู่ย่า โทรตาม หลายครั้งที่พิมพ์ภิดาอิจฉาเพื่อนที่มีคนคอยรักห่วงใย
ขณะที่บ้านหล่อนนั้นใหญ่โตแต่ทว่าเงียบเหงา บ้านมีแต่ตัวตึกและคนรับใช้ไม่ต่ำกว่าสิบคน แต่ผู้อาศัยอยู่ในบ้านกลับเหินห่าง มีเพียงป้าชื่นซึ่งเป็นแม่บ้านเก่าแก่เพียงคนเดียวเท่านั้นที่ห่วงใยหล่อน
หลังจากบิดาเสียชีวิต พิมพ์ภิดาก็ได้รับเงินจากกรมทัณฑ์ประกันชีวิตเป็นจำนวนมาก แต่เงินมากมายกลับไม่อาจซื้อความสุข เพราะคนที่หล่อนรักเพียงคนเดียวก็คือ แม่
อรุณาทำตัวเหินห่างเมื่อรฐกรเข้ามาใกล้ชิด จึงทำให้พิมพ์ภิดาไม่แน่ใจว่า ข่าวลือที่ว่า มารดาจะแต่งงานใหม่อาจเป็นเรื่องจริง รฐกรไม่ใช่คนดีแต่ต้องการปอกลอกมารดาเท่านั้น พิมพ์ภิดามักจะปรับทุกข์กับสู่ขวัญ หลายครั้งที่กลุ้มใจจนนอนกอดรูปพ่อและร้องไห้จนหลับไป
“แกไปเถอะไม่ต้องห่วง ฉันสัญญาว่า จะไม่บู๊เกินไป”
“เชื่อได้แน่นะ”
“ก็สัญญาแล้วจะเอายังไงอีก”
“เอาเถอะ ฉันจะคอยเอาใจช่วยนะ ถ้ามีอะไรโทรหาฉันได้ตลอด ถึงจะไปกินข้าวกับครอบครัวแต่ฉันก็ยังรับโทรศัพท์ได้”
สู่ขวัญยื้อไหล่เพื่อนรักเข้าหาตัว พิมพ์ภิดาเอียงหน้ามาซบพร้อมถอนหายใจ
“แกเข้าใจใช่ไหมว่า ฉันจำเป็นต้องทำ”
“ฉันรู้ ว่าแกเจ็บปวด แต่จำที่ฉันบอกได้ไหม บางเรื่องก็ต้องรู้จักปล่อยวาง พระพุทธเจ้าสอนว่า สัตว์โลกทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรม ถ้ารฐกรไม่ใช่คนดี สักวันหนึ่งกรรมก็ต้องตามทัน”
“พอเลย เลิกยกธรรมะมาสอนฉันได้แล้ว ถึงยังไงก็ฟังไม่เข้าหัวหรอก แกรีบไปขึ้นรถเถอะคนขับจอดรอนานแล้ว”
พิมพ์ภิดาเหลือบไปมองรถที่คุ้นตาซึ่งจอดอยู่หน้าโรงเรียน สู่ขวัญพยักหน้า หล่อนโบกมือและเดินไปขึ้นรถโดยมีหญิงสาวอีกคนมองตาม เมื่อเพื่อนรักขึ้นรถเรียบร้อยพิมพ์ภิดาก็หยิบมือถือออกมา กดหาใครบางคนเอ่ยว่า
“แม่ยังอยู่ที่บริษัทใช่ไหม”
ปลายสายตอบมา หล่อนคลี่ยิ้มพร้อมกับโบกเรียกแท็กซี่และก้าวขึ้นไปในทันที