5

บทที่ ๕ เดินหมาก


บทที่ ๕ เดินหมาก
“ทำหน้าเครียดอีกแล้วนะครับพี่อุ๊ เราอุตส่าห์มาประชุมที่รีสอร์ตในภูเก็ตเชียวนะ แต่พี่ทำหน้าเหมือนกินยาขมเข้าไปซะงั้น”
รฐกรเอ่ยขึ้น น้ำเสียงน้อยใจ เขากับอรุณาเดินทางมายังภูเก็ตด้วยเที่ยวบินเช้าสุด ขณะที่พนักงานคนอื่นๆ เดินทางด้วยรถบัสตั้งแต่เมื่อคืนมาถึงในเวลาไล่เลี่ยกัน หลังจากปล่อยให้ทุกคนเข้าไปทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อย การประชุมก็เริ่มต้นขึ้น งานครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างพนักงานซึ่งเป็นระดับหัวหน้า โดยวันแรกเป็นการประชุมทำกิจกรรมในห้อง ส่วนวันที่สองมีประชุมแค่ช่วงเช้า บ่ายปล่อยให้พักผ่อนตามอัธยาศัย แล้วก็เดินทางกลับ คืนนี้จะมีงานเลี้ยงสังสรรค์เป็นแฟนซีสวมหน้ากาก รฐกรวางแผนไว้เซอร์ไพรส์อรุณา
เขาอุตส่าห์จองห้องพักสุดหรูซึ่งเป็นพูลวิลล่าซึ่งเห็นพระอาทิตย์ขึ้น แต่พอมาถึงอรุณากลับขอให้เขาเปิดห้องพักอีกแห่งเพราะกลัวคำครหา สำหรับรฐกรแล้วอดน้อยใจไม่ได้ เขาตามจีบอรุณามาพักใหญ่แล้ว แต่ทุกครั้งหล่อนมักจะขีดเส้นกั้นความสัมพันธ์เอาไว้ สิ่งที่เขาทำได้ก็แค่ จับมือ หอมแก้มเป็นบางเวลา แต่จนแล้วจนเล่า อรุณาก็ยังไม่ยอมมีสัมพันธ์ทางกายด้วย หล่อนมักจะอ้างว่า ยังไม่พร้อมแต่ลึกๆ ลงไปแล้วเขาคิดว่า หล่อนยังมีเยื่อใยกับสามีเก่ามากกว่า
ถ้าเทียบกับคู่ขาคนอื่นๆ ที่ผ่านมา อรุณามีภาษีดีกว่ามาก แม้หล่อนจะอายุสี่สิบห้า แต่ใบหน้ายังคงเต่งตึงเหมือนสาวๆ เรือนร่างที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี แม้จะงานยุ่งแต่อรุณาก็ทำโยคะทุกวันตอนก่อนนอน หล่อนหาเวลาไปออกกำลังกายในฟิตเนสอาทิตย์ละสองครั้ง แถมยังควบคุมอาหาร อรุณาไม่ชอบทำศัลยกรรม ดังนั้นเคล็ดลับความอ่อนเยาว์จึงอยู่ที่อาหารและการออกกำลังกาย หล่อนบริโภคผลไม้และผักสด เนื้อสัตว์มีแค่ปลาเท่านั้น ยามเดินด้วยกันจึงมองแทบไม่ออกถึงความแตกต่างด้านอายุมากนัก
แต่สิ่งที่รฐกรสนใจไม่ใช่หน้าตาหรือรูปร่าง แต่เขาสนใจทรัพย์สินที่อรุณามีต่างหาก เขาสืบรู้มาว่า นอกจากบริษัทบูลเวฟแล้ว อรุณายังมีทรัพย์สินอีกมากมาย ทั้งที่ดิน คอนโด รวมถึงหุ้นในธนาคาร แต่อุปสรรคสำคัญกลับเป็นลูกสาววัยรุ่น รฐกรเคยพยายามญาติดีกับพิมพ์ภิดาแต่อีกฝ่ายตั้งแง่ไม่ยอมรับท่าเดียว จนเขาต้องเปลี่ยนแผนมาเป็นการยุยงให้สองแม่ลูกแตกคอกัน
เขารู้ว่า พิมพ์ภิดาหวงแม่ ดังนั้นจึงหาทางปล่อยรูปคู่ผ่านสื่อ ภาพที่หลุดไปลงหนังสือกอสซิปนั้นมาจากการแอบถ่าย รฐกรจ้างยามที่เฝ้าคอนโดถ่ายภาพไว้แล้วนำไปเผยแพร่ ทั้งนี้เพื่อกระพือข่าวว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับมาดามอุ๊ไปถึงระดับไหนแล้ว และนั่นถือเป็นการยิงปืนนัดเดียวแต่ได้หลายต่อ หนึ่งคือ เป็นการปรามชายหนุ่มคนอื่นที่คิดจะเป็นคู่แข่ง สองคือ เป็นการประกาศให้คนในบริษัทรู้ว่า เขากับอรุณาคบกัน และข้อสุดท้ายก็คือ ทำให้พิมพ์ภิดาเต้นเร่าๆ ด้วยความโกรธ แผนการทุกอย่างกำลังไปได้สวย เมื่อพิมพ์ภิดาทำตัวประชดชีวิตด้วยการไปเที่ยวบาร์โฮสต์ อรุณาโกรธจัด ฟางเส้นสุดท้ายระหว่างสองแม่ลูกกำลังถูกขึงจนตึง อีกไม่นานเขาเชื่อว่า ทุกอย่างจะถึงจุดแตกหัก เขาคาดการณ์ไว้ว่า พิมพ์ภิดาจะต้องหนีไปเมืองนอกและตอนนั้นแผนการทุกอย่างก็จะสำฤทธิ์ผล เส้นทางระหว่างเขากับอรุณาจะไม่มีอุปสรรคใดๆ อีก
“พี่เป็นห่วงบ้าน”
“ห่วงบ้านหรือว่า ห่วงน้องเพลินกันแน่”
“ทั้งสองอย่างนั้นล่ะ ฐาแน่ใจนะว่า การที่พี่ไม่คุยกับลูกแบบนี้ คือทางออกที่ดี”
“แล้วพี่อุ๊ จะทำยังไงละครับ จะยอมให้น้องเพลินข่มขู่งั้นหรือครับ ผมว่า น้องเพลินคงอยากเรียกร้องความสนใจมากกว่า ถึงได้ไปเที่ยวที่แบบนั้น นี่ดีนะครับที่ผมพอรู้จักนักข่าวอยู่บ้าง รูปของน้องเพลินเลยยังไม่ได้ถูกเผยแพร่ออกไป ไม่อย่างนั้นบริษัทของเราคงต้องเจอปัญหาแน่ ลูกค้าอาจจะไม่เชื่อมั่นเรา...”
“เพลินต้องการประชดพี่”
“งั้นพี่อุ๊ก็ต้องยิ่งใจแข็งเอาไว้ เชื่อผมเถอะ พอเห็นว่า พี่อุ๊ไม่สนใจ ต่อไปน้องเพลินก็เลิกทำตัวแบบนี้ไปเอง พื้นฐานน้องเพลินไม่ใช่เด็กเกเรไม่ใช่หรือครับ”
พิมพ์ภิดาไม่ใช่เด็กใจแตก ทุกอย่างที่ทำไปล้วนเกิดจากความน้อยใจล้วนๆ เขาแสร้งปลอบอรุณาให้เข้มแข็ง แต่สำหรับคนเป็นลูกก็จะคิดว่า แม่ไม่สนใจ มันคือ แผนการอันแยบยลที่จะแยกทั้งคู่ออกจากกัน ปฏิกิริยาที่กำลังรอวันปะทุกำลังจะสำเร็จ
“จริง แต่พี่ก็อดห่วงไม่ได้”
“พี่อุ๊ควรเอาเวลามาโฟกัสเรื่องงานดีกว่านะครับ เชื่อผมสิ แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น”
“งานเลี้ยงเย็นนี้เรียบร้อยดีไหม”
“ไม่มีปัญหาครับ ผมกำชับรายละเอียดกับพนักงานเอาไว้แล้ว ทุกอย่างจะเป็นไปตามแผน”
“ฐาว่า อะไรนะ”
“อ้อ...เปล่าครับ ผมหมายถึงว่า เขารู้กำหนดการณ์ทุกอย่างแล้ว พี่อุ๊ไม่ต้องห่วง แค่ทำใจให้สบาย แล้วยิ้มเยอะๆ หน่อย บอกตามตรง ผมเห็นพี่ทำหน้าเครียดแบบนี้แล้วไม่สบายใจเลย”
เขาเอื้อมมือมาแตะข้างแก้ม ส่งสายตาหวานมาให้ อรุณาเบี่ยงตัวหลบ
“อย่าสิฐา ประเดี๋ยวคนอื่นมาเห็นเข้าจะนินทาเอาได้”
“กลัวทำไมครับ คนอื่นเขาก็รู้ว่า เราเป็นแฟนกัน”
“ฐา”
“หรือพี่อุ๊เปลี่ยนใจแล้ว งั้นเรากลับไปเป็นเพื่อนก็ได้ครับ ผมทนได้” รฐกรลดมือลงพร้อมกับคลายมือที่เกาะกุม อรุณาสัมผัสได้ถึงความห่างเหิน หล่อนเอื้อมมือมาแตะแขน
“อย่าเพิ่งน้อยใจสิ”
“ไม่ให้คิดยังไงไหว พี่อุ๊ทำเหมือนผมน่ารังเกียจ แค่จะเดินจูงมือกันยังทำไม่ได้เลย นี่มันยุคสมัยไหนแล้วครับแล้วผมก็จริงใจกับพี่”
“พี่ขอโทษ พี่กำลังเครียดเรื่องลูกน่ะ”
“ผมทราบครับ ผมถึงไม่อยากให้พี่คิดมากเรื่องน้องเพลินยังไงครับ ป่านนี้คงนอนดูโทรทัศน์อยู่ที่บ้านสบายใจแล้ว”
“พี่เองก็แปลกใจ ป้าชื่นบอกว่า เพลินไม่ยอมลงจากห้องทั้งวันเลย”
“น้องเพลินคงกำลังใช้ความคิดอยู่นะครับ อยู่บ้านก็ดี พี่จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงยังไงละครับ ไม่รู้ล่ะ ผมไม่ให้พี่อุ๊ทำหน้าบึ้งแล้ว เรารีบกลับเข้าไปในห้องประชุมเถอะครับ ผมอยากรีบประชุมให้เสร็จจะได้พาพี่อุ๊ไปชมพระอาทิตย์ตกดินกัน”
อรุณาพยักหน้า หล่อนสอดมือเข้าไปในอุ้งมือใหญ่เดินตามรฐกรเข้าไปโดยไม่รู้หรอกว่า ด้านหลังมีสายตาของใครคนหนึ่งมองจ้องอยู่ เขาหยิบมือถือขึ้นมาส่งข้อความ
“ทุกอย่างเรียบร้อย ไม่มีใครระแคะระคายเลยว่า คุณมา คืนนี้พบกัน”
พิมพ์ภิดาตรวจดูความเรียบร้อยจากกระจกเป็นครั้งสุดท้าย นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ที่หล่อนต้องสวมเสื้อผ้าที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง หญิงสาวต้องทิ้งเสื้อผ้าและซื้อใหม่หมดเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เหมือนผู้หญิงก๋ากั่น ทั้งที่ก่อนหน้านี้หล่อนก็เหมือนกับวัยรุ่นทั่วๆ ไป ที่ชอบเล่นสนุก ชีวิตติดอยู่กับโซเชียล ทั้งทวิตเตอร์ เฟสบุ๊ค และอินสตราแกรม อย่างหลังนี้พิมพ์ภิดาชอบที่สุด หล่อนรู้สึกเหมือนกำลังเขียนหนังสือเล่มหนึ่งเมื่อโพสต์เรื่องราวของตัวเองลงไป
สมัยที่จอร์ชยังอยู่มักจะคุยผ่านไดเร็กแมสเสจกับหล่อนทุกวัน บางวันก็คุยไลน์ แม้จะอยู่ห่างไกลกันคนละซีกโลก แต่สองพ่อลูกสนิทกันมาก ทุกวันหล่อนจะกดดูเรื่องราวกิจวัตรประจำวันของพ่ออยู่เสมอ พิมพ์ภิดารับรู้ได้ว่า พ่อเสียใจที่ต้องหย่าขาดกับแม่ ผิดกับแม่ของหล่อนที่วันๆ ทำแต่งงาน อินสตราแกรมของท่านมีแค่เรื่องราวในบริษัท เช้านี้ประชุมที่นั่นบ่ายประชุมที่นี่ พบปะกับใครบ้าง ช่างเป็นอะไรที่จืดชืด น่าเบื่อ
หล่อนควรจะเปิดอกพูดเรื่องนี้กับแม่ว่า ต้องการเวลาจากท่านบ้างแต่จุดแตกหักกลับเป็นการที่พ่อเสียชีวิต พิมพ์ภิดาโทษทุกๆ อย่างรอบตัวรวมถึงโทษตัวเอง และแน่นอนโทษแม่ ดังนั้นพอรู้ว่า ท่านเริ่มคบกับรฐกร หล่อนจึงลงทุนสืบเรื่องราวของผู้ชายคนนั้น
หญิงสาวเคยพยายามคุยกับแม่ แต่สุดท้ายด้วยอุปนิสัยที่ต่างกัน เรื่องก็จบลงด้วยการทะเลาะทุกครั้ง พิมพ์ภิดาจำได้ว่า ครั้งสุดท้ายที่มารดาพูดกับหล่อนเกินห้านาทีคือ ตอนที่หล่อนใส่สายเดี่ยวกับกางเกงยีนสั้นกุดไปเดินร่อนอยู่ในบริษัท หลังจากนั้นหล่อนก็แปลความเอาเองว่า หากจะต้องการให้แม่สนใจก็ต้องทำอะไรที่มันสุดโต่ง
พิมพ์ภิดายอมรับว่า ทุกครั้งที่ทำอะไรแบบนี้ หล่อนรู้สึกอายตัวเอง อย่างเช้าวันที่กลับมาจากโฮสต์บาร์ หล่อนใช้เวลาอาบน้ำเกือบชั่วโมง มือถูไปตามร่างกายฟอกสบู่นับครั้งไม่ถ้วนเพียงเพื่อจะลบความละอายออกไปจากใจ แต่สุดท้ายหล่อนก็ต้องทำ
ร่างบางมองเงาสะท้อนในกระจก หญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านหน้าตอนนี้เหมือนไม่ใช่ตัวเอง ชุดสายเดี่ยวสีดำรัดรูปสั้นเสมอหู เผยให้เห็นเรียวขาขาวเนียนกลมกลึง สายเดี่ยวบนบ่าทั้งสองข้างเล็กจนแทบจะโอบอุ้มเนินทรวงไว้ไม่มิด เพื่อนหลายคนบอกว่า หล่อนซ่อนรูป แม้จะยังเป็นวัยรุ่นแต่ทรวงทรงองค์เอวไม่ต่างอะไรกับผู้หญิงอายุยี่สิบห้า อกเป็นอก เอวเป็นเอวแถมยังมีรูปร่างสูงกว่าเพื่อนคนอื่นๆ
ใบหน้ารูปไข่ถูกแต่งด้วยเครื่องสำอางจนหนาเตอะ ลิปสติกสีแดงเลือดนกจนดูเหมือนสาวกร้านโลก ผนวกกับการทาเล็บเป็นสีแดงเช่นเดียวกัน หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึก รวบรวมกำลังใจเป็นครั้งสุดท้าย หล่อนต้องทำได้เหมือนกับทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา พิมพ์ภิดาผลักประตูออกไป รถกอล์ฟจอดรออยู่ด้านหน้า แต่ตอนนั้นเองประตูของวิลล่าที่อยู่ติดกันก็เปิดออกมาด้วย พอเห็นว่า ใครออกมาจากห้องนั้นตาคู่สวยก็เบิกกว้าง..
“เธออีกแล้วหรือ มาทำอะไรที่นี่”
ธณริศเป็นฝ่ายโพล่งขึ้นก่อน คิดไม่ถึงว่า โลกจะกลมถึงเพียงนี้ อุตส่าห์มาไกลถึงภูเก็ตแต่กลับต้องมาเจอกับเด็กสาวจอมป่วนคนเดิมเสียอีก
“ฉันต่างหากที่ต้องถามว่า คุณมาทำอะไรที่นี่ หรือว่า มารับแขก”
ชายหนุ่มหน้าตึงเปรี๊ยะ ถ้าหากว่า นัยน์ตาของเขาเปล่งพลังแสงพิฆาตได้ ผู้หญิงตรงหน้าคงคอหลุดขาดกระเด็นไปแล้ว
“เป็นเด็กเป็นเล็กพูดจาให้มันดีๆ หน่อย”
“แหม...แหย่เล่นแค่นี้ต้องโมโหด้วย คุณก็เก่งเหมือนกันนะ อุตสาห์มีคนซื้อดริ้งก์พามาไกลถึงภูเก็ต เสน่ห์แรงไม่เบา คราวนี้มาค้างสักกี่วันละ แล้วเจ้านายที่บาร์ไม่ว่าเอาหรือ”
แม้จะเป็นคำพูดทีเล่นทีจริงแต่ธณริศก็โกรธจนควันออกหู เด็กสาวตาถั่วจนมองไม่ออกว่า เขาไม่ใช่เด็กบาร์หรือหล่อนแกล้งยั่วโมโหกันแน่ หมีขี้โมโหตวาดลั่น
“หยุดพูดเดี๋ยวนี้”
“โกรธจริงๆ หรือ ฉันล้อเล่นน่า ฉันไม่ขัดขวางทางทำมาหากินของนายหรอก มิน่าตอนฉันเสนองาน นายถึงไม่ยอมรับ คงมีขาประจำอยู่เยอะแล้วละสิ” ยามหัวเราะ นัยน์ตาหล่อนเป็นประกาย แต่ธณริศกำลังโกรธจนหูอื้อตาลายจึงไม่มีเวลาชื่นชม
“ยังไม่หยุดอีก หรือว่า อยากถูกเตะลงจากรถ”
“น้อยๆ หน่อย นี่มันรถกอล์ฟของโรงแรม ใครๆ ก็มีสิทธิ์นั่ง หรือไม่จริง”
หญิงสาวทำท่าเหมือนจะหาพวกโดยการยักคิ้วหลิ่วตาให้คนขับ ธณริศสังเกตว่า พนักงานเอาแต่อมยิ้ม
“พูดมาก “
“ถ้ารำคาญนักก็อย่าฟังสิ คุณเป็นฝ่ายทักฉันก่อนเองนะ ช่วยไม่ได้”
“สรุปว่า เธอมาทำอะไรที่นี่กันแน่ หรือว่า วางแผนป่วนใครอีก คราวนี้คงไม่กระโดดขึ้นไปเต้นอะโกโก้บนเวทีอีกนะ”
หญิงสาวเป็นฝ่ายหน้าตึงเมื่อโดนย้อน ธณริศรับรู้ได้ว่า จี้จุดอ่อนของหล่อนได้ตรงเผง เขากวาดตามองการแต่งกายและพบว่า ยังคงคอนเซปต์เดิมคือ นุ่งน้อยห่มน้อย เขายอมรับว่า หล่อนมีรูปร่างที่ดีมาก เอวคอดเล็ก สะโพกผาย เรียวขาเนียนสวยไร้ที่ติ แม้แต่คนขับรถยังลอบมองเด็กสาวเป็นระยะๆ
“นั่นมันเรื่องของฉัน นายไม่เกี่ยว”
“ไม่เกี่ยวแน่ เพราะครั้งนี้ฉันจะไม่เห็นแก่มนุษย์ธรรมจนยื่นจมูกไปช่วยเธอเด็ดขาด”
“ใครอยากขอความช่วยเหลือนายมิทราบ คนเขาไม่ได้ขอ” เด็กสาวเบ้หน้าพร้อมแลบลิ้นใส่
“เธอนี่มัน...”
ธณริศไม่เคยเจอใครกวนประสาทเท่าผู้หญิงตรงหน้ามาก่อน เขากวาดตามองหล่อนอย่างรังเกียจ
“ดูแต่งเนื้อแต่งตัวเข้าสิ เสื้อผ้าไม่มีที่มันมิดชิดกว่านี้ หรือว่า ไม่มีใครสอน”
หญิงสาวตรงหน้าเม้มปากแน่น ธณริศเห็นถึงความเจ็บปวดที่อยู่ในแววตา ตัวเขาเองก็เคยผ่านจุดนั้นมาก่อน จึงทำให้รู้ดีว่า การประชดชีวิตไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย รังแต่จะทำให้ตัวเองตกต่ำ ยิ่งเป็นเด็กสาวหน้าตาสะสวยด้วยแล้ว โอกาสที่จะพาชีวิตดิ่งลงเหวเมื่อต้องเจอกับมารสังคมเป็นไปได้สูง หล่อนอาจจะลงเอยที่ม่านรูดที่ไหนสักแห่งก่อนที่จะได้สำนึก หรือไม่ก็อาจจะตั้งครรภ์เพราะความเมาโดยไม่รู้ว่า ใครเป็นพ่อ เขาจึงอยากเตือนสติ แม้จะรู้ว่า หญิงสาวอาจฟังไม่เข้าหูเลยด้วยซ้ำ
“ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของคุณ ฉันจะใส่อะไรมันก็เรื่องของฉัน”
“แน่สิ มันไม่ใช่เรื่องของฉัน เพราะเราสองคนไม่รู้จักกัน ทางที่ดีไม่ต้องเข้ามาทักหรือพยายามรู้จักกันอีก ฉันก็จะทำเช่นนั้นเหมือนกัน”
“เออ...ฉันก็ไม่ได้อยากทักนายนักหรอกน่า ที่ยอมคุยด้วยก็เพราะเห็นแก่เรื่องวันนั้น แต่ต่อไปนี้ต่อให้หางตาฉันก็ไม่แล”
“แน่ใจนะ”
“แน่นอนพันเปอร์เซ็นต์ จำเอาไว้นะ คนอย่างฉัน ไม่มีวันคุกเข่าอ้อนวอนใครซ้ำสองหรอก ต่อให้ต้องนอนข้างถนน ฉันก็ไม่ขอให้คุณช่วย”
“จำคำของเธอเอาไว้ให้ดีๆ ก็แล้วกัน ฉันจะรอดูว่า เด็กใจแตกอย่างเธอจะไปรอดสักกี่น้ำ”
รถก็จอดหน้าพูลคลับพอดิบพอดีจึงเป็นการยุติการโต้แย้งนั้นลง หญิงสาวหน้าตาบูดบึ้ง รีบร้อนลงจากรถก่อนจะหันมามองธณริศอย่างเคียดแค้น หล่อนเดินจ้ำเข้าไปในตัวตึกราวกับกลัวว่า ชายหนุ่มจะวิ่งตามไป แต่เขากลับเดินลอยหน้าลอยตาลงจากรถเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
“คุณท่านรู้จักกับผู้หญิงคนนั้นหรือครับ”
“ไม่รู้ แค่เคยเจอ” ธณริศไม่ได้โกหก เขายังไม่รู้ชื่อ เด็กสาวด้วยซ้ำ แต่เคราะห์ซ้ำกรรมซัดต้องมาเจอกับหล่อนถึงสองครั้ง
“แปลกดีนะครับ”
“แปลกยังไงหรือ”
“ก็ดูยังวัยรุ่นอยู่ แถมมาพักคนเดียว ท่าทางจะรวยมาก”
“รู้ได้ยังไงว่า เธอรวย”
“พนักงานต้อนรับบอกว่า เธอควักเงินสดมาจ่ายค่าห้อง” ธณริศไม่แปลกใจ ครั้งก่อนนั้นเขาก็เคยเห็นเงินในกระเป๋าถือของหล่อนเป็นปึกๆ หญิงสาวคงเป็นลูกคนรวยที่อยากเที่ยว
“เด็กเดี๋ยวนี้ก็แบบนี้ละ พ่อแม่ไม่มีเวลา ให้แต่เงิน ก็เลยต้องมาเที่ยวคนเดียว”
“แต่ผมสงสัยว่า เธอจะมากับพวกบลูเวฟ”
ชายหนุ่มมองไปที่ป้ายที่ปิดอยู่หน้าพูลคลับ เขาเพิ่งเห็นว่า วันนี้มีบริษัทมาจัดประชุม เขาเคยเห็นชื่อบริษัทนี้อยู่บนบิลบอร์ดโฆษณาตอนรถแล่นผ่านทางด่วน น่าจะเป็นบริษัทเครื่องสำอาง อีกทั้งตอนนี้หน้าห้องอาหารก็มีป้ายว่า มีปาร์ตี้ของพนักงาน ลูกโป่งสีสันสดใสที่ประดับประดาอยู่บ่งว่า มีงานเลี้ยง
“เธอถามเรื่องบริษัทงั้นหรือ”
“ใช่ครับแถมยังถามเรื่องงานเลี้ยงคืนนี้ด้วย”
“ช่างเถอะ เรื่องของเด็กเพี้ยนๆ ฉันไม่สนหรอก”
“แต่เธอพักอยู่ห้องติดกับคุณท่านนะครับ คงต้องระวังหน่อย เด็กสมัยนี้ชอบเล่นยา บางทีก็ทำอะไรแผลงๆ”
“ขอบใจที่เตือนนะ คืนนี้ฉันจะล็อกห้องลงกลอนอย่างดีเลย ต่อให้มีเสียงอะไรฉันก็จะไม่เปิดออกมาเด็ดขาด”
ธณริศรับคำแล้วส่ายหน้า เขาควักเงินออกจากกระเป๋าส่งให้เป็นทิปกับคนขับรถ และเดินเข้าไปตามทางเดิน ตายังมองป้ายของบริษัทแต่ขณะที่กำลังเลี้ยงเข้าห้องอาหาร ผู้ชายผมทองคนหนึ่งก็ปราดเข้ามาทัก...
พิมพ์ภิดาสั่งตัวเองว่า ไม่ควรสนใจคำพูดไร้สาระ เพราะในที่สุดแล้วผู้ชายคนนั้นก็เป็นคนแปลกหน้า เขาอาจเคยช่วยหล่อนไว้ก็จริง แต่ตอนนี้บุญคุณสิ้นสุดแล้ว เพราะคำพูดประชดประชันเมื่อครู่ หญิงสาวทั้งโกรธทั้งเจ็บใจ หล่อนผิดที่กล้าหาญไปต่อปากต่อคำด้วย จึงถูกชายหนุ่มประชด
สู่ขวัญพูดถูกว่า เพิ่งจะเจอกันจึงยังไม่รู้จักนิสัยใจคอ พิมพ์ภิดาจะยอมให้คำพูดนั้นมาทำให้เสียสมาธิไม่ได้ หล่อนอุตส่าห์มาไกลถึงภูเก็ต ร่างบางเชิดหน้าขึ้นมองเข้าไปในพื้นที่จัดเลี้ยงของโรงแรม
ป้ายที่โชว์เด่นหราอยู่ด้านหน้า บอกว่า ข้อมูลที่ได้รับมานั้นถูกต้อง คืนนี้บริษัทบลูเวฟจะมีงานเลี้ยงของพนักงาน โชคดีที่เป็นปาร์ตี้สวมหน้ากาก ดังนั้นการจะแฝงตัวเข้าไปในงานคงไม่ใช่เรื่องยากนัก
หญิงสาวแสร้งทำทีเป็นเดินไปลงทะเบียนขณะที่มีพนักงานนั่งอยู่แค่คนเดียว หล่อนฉวยโอกาสที่พนักงานหันไปคุยโทรศัพท์ ทีเป็นเซ็นชื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วและหยิบหน้ากากที่วางไว้ขึ้นมาสวม หล่อนทำเป็นรีๆ รอๆ แสร้งคุยโทรศัพท์ หลังจากนั้นพอสบโอกาสก็แฝงตัวเข้าไปงานทันที
บนเวทีมีลูกโป่งประดับประดาอยู่ โต๊ะด้านหน้ายังว่าง น่าจะเว้นไว้ให้กับพนักงานอาวุโส ถ้าเดาไม่ผิด มารดาของหล่อนจะต้องนั่งโต๊ะติดหน้าเวที หญิงสาวเดินไปที่ซุ้มอาหาร ทำเป็นเลือกของกินเล่นใส่จาน ระหว่างนั้นก็ปราดตามองไปรอบๆ เพื่อหารฐกร
พิมพ์ภิดามั่นใจว่า เขาต้องมาร่วมงานในคืนนี้ สายของหล่อนแจ้งว่า เขามาถึงที่นี่พร้อมกับอรุณา ด้วยเที่ยวบินแรกสุด ตั้งแต่มาถึงชายหนุ่มก็ทำตัวติดกับมารดาแจ รูปถ่ายที่สายส่งมาให้ทำให้หญิงสาวโมโหขึ้นไปอีก แต่สิ่งที่ทำให้หญิงสาวทนแทบไม่ได้ นั่นคือ สิ่งที่สายพูดมาว่า
“แว่วๆ ว่า คืนนี้คุณฐา จะทำเซอร์ไพรส์ท่านประธาน แต่ไม่รู้ว่า เรื่องอะไร”
สิ่งเดียวที่หญิงสาวกลัวคือ รฐกรจะขอมารดาแต่งงาน พิมพ์ภิดาไม่แน่ใจว่า มารดาของหล่อนจะจอตอบรับหรือไม่ นานวันไปหล่อนก็ยิ่งรู้สึกเป็นส่วนเกิน ความกลัดกลุ้มทำให้เผลอหยิบแก้วไวน์จากบริการขึ้นมาดื่มสองแก้วรวด แขกเริ่มทยอยเข้ามาในงาน แต่มารดาก็ยังไม่มาถึง เสียงดนตรีสนุกสนานดังขึ้น พิธีกรชายหญิงในเสื้อผ้าสีสันสดใสกระโดดขึ้นไปบนเวที ก่อนที่จะมีเสียงเป่าปากจะดังขึ้น พนักงานทุกคนต่างลุกขึ้นยืนโยกย้ายสะโพกไปตามจังหวะเพลง
พิมพ์ภาดาจำต้องโยกตัวตาม หล่อนแทบจะทนให้เพลงจบลงไม่ไหว สายตามองผ่านหน้ากากที่สวมอยู่เพื่อหาคนที่ต้องการ พนักงานเริ่มเข้ามาในพื้นที่จัดงานจนเต็ม เพลงดำเนินมาถึงตอนสุดท้าย พิธีกรซึ่งทำหน้าที่นักร้องไปด้วยโค้งตัวลง เสียงตบมือดังกึกก้องและอรุณาก็ปรากฏตัวขึ้นข้างหนึ่งของเวที เสียงเป่าปากแสดงความยินดีตามด้วยเสียงตบมือ
อรุณาโบกมือให้กับทุกคน เสียงนั้นจึงเงียบลง หล่อนกล่าวเปิดเป็นเชิงพิธีการ พนักงานต่างตั้งใจฟัง งานวันนี้คือ ปาร์ตี้ที่จัดขึ้นเพื่อกระชับสัมพันธ์ระหว่างพนักงานระดับบริหาร เพื่อให้การทำงานมีบรรยากาศที่ดีขึ้นแถมยอดขายเมื่อไตรมาศที่แล้วก็พุ่งทะลุเป้า ตอนนี้บริษัทบูลเวฟกลายเป็นบริษัทเครื่องสำอางขายตรงอันดับหนึ่งของประเทศไปแล้ว พิมพ์ภิดาเม้มปากแน่น ไม่แปลกหรอก เพราะแม่ของหล่อนทุ่มเทเวลา ทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับบริษัทมากแค่ไหน วันทั้งวันท่านแทบจะอยู่ที่บริษัทมากกว่านอนบ้านเสียด้วยซ้ำ
ขนาดหล่อนซึ่งเป็นลูกแท้ๆ ยังมีโอกาสเจอแม่น้อยมาก เสียงร้องเรียกท่านประธานๆ ดังก้องไปทั่วห้องประชุม คนอื่นอาจจะอิจฉาว่า แม่ของหล่อนทำงานเก่ง เป็นที่รักของลูกน้อง แต่สำหรับลูกสาวแท้ๆ กลับเต็มไปด้วยความขมขื่น หล่อนกับแม่เหมือนคนแปลกหน้า ท่านไม่รู้ด้วยซ้ำว่า หล่อนสอบวันไหน ปิดเทอมวันไหน หล่อนจะต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยเมื่อไหร่ อรุณาไม่เหมือนแม่คนอื่นๆ ที่ไปรับไปส่ง เอาใจใส่ดูแลลูก พิมพ์ภิดามองมารดาที่อยู่บนเวที และตอนนั้นเองจู่ๆ ไฟในห้องประชุมก็ดับลง หญิงสาวมองไปรอบๆ ด้วยความตกใจ
เสียงอื้ออึงดังขึ้น พนักงานส่วนหนึ่งที่อยู่ใกล้ประตูรีบผลักออกไปเพื่อแจ้งเจ้าหน้าที่โรงแรมให้ตรวจดูระบบไฟ ภายในห้องพลันเงียบ และตอนนั้นเอง เทียนก็ถูกจุดขึ้น จากคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างของห้อง และค่อยๆ ต่อกันไป ความมืดถูกแทนที่ด้วยแสงจากเทียนเล่มน้อยที่อยู่ในมือทุกคน พิมพ์ภิดามองเทียนที่ถูกยัดมาใส่มือ
“รีบจุดเสีย คุณฐากำลังจะเซอร์ไพรส์ท่านประธาน”
พิมพ์ภิดามือเย็นเฉียบ ภาวนาขอให้สิ่งที่คิดไว้ไม่เป็นจริง หล่อนมองเทียนที่ถูกจุดจากพนักงานเพื่อสร้างความโรแมนติก พนักงานทุกคนไม่รู้ว่า หล่อนเป็นใคร เมื่อมองไปที่เวทีป้ายงานปาร์ตี้บริษัทก็ถูกแทนที่ด้วยป้ายรูปหัวใจ ก่อนที่ชายหนุ่มในชุดสูทสีขาวจะเดินเข้ามาพร้อมกับช่อดอกไม้ที่ใหญ่มาก กุหลาบสีแดง
พันดอกที่อุ้มมาเรียกเสียงฮือฮาจากทุกคน หญิงสาวจะถลันไปหน้าเวทีแต่แล้วพนักงานที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับยื้อมือไว้
“เฮ้ยจะไปไหน อย่าเข้าไป คุณฐาจะขอแต่งงานท่านประธาน”
พิมพ์ภิดากลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่อีกแล้ว หล่อนมองมารดาที่ยืนอึ้งอยู่บนเวที ทุกอย่างต่อจากนั้นเปรียบเสมือนภาพสโลว์โมชั่นเมื่อรฐกรก้าวขึ้นไปบนเวที เขาพูดผ่านไมค์ถึงความรักที่มีต่อมารดาก่อนจะคุกเข่าลง ในมือมีกล่องกำมะหยี่และแหวนเพชร ท่ามกลางเสียงตบมือร้องเชียร์ หญิงสาวมองหน้ามารดาเห็นว่า ท่านตกใจก่อนที่นัยน์ตาคู่นั้นจะเปล่งประกายด้วยความสุข ท่านลังเลครู่หนึ่งก่อนจะที่รฐกรจะพูดออกไมค์ว่า
“แต่งงานกับผมนะครับ ผมรักพี่อุ๊”
อรุณาไม่คิดว่า รฐกรจะฉวยโอกาสงานเลี้ยงของบริษัทขอแต่งงาน ท่ามกลางสายตาที่มองมาอย่างช่วยลุ้น บรรยากาศในงานเต็มไปด้วยความชื่นมื่น ทุกคนกำลังรอให้อรุณาตอบตกลง ในฐานะประธานบริษัทถ้าหล่อนปฏิเสธ ก็จะทำให้งานประชุมวันนี้กร่อย แต่ถ้าหากถามถึงความรู้สึกลึกๆ แล้ว อรุณาก็คิดว่า หล่อนยังไม่พร้อม
หล่อนเพิ่งรู้จักรฐกรได้ไม่นาน ที่สำคัญคือ ปัญหาระหว่างแม่ลูกเปรียบเหมือนอะไรที่ค้ำคออยู่ หล่อนยังไม่มีโอกาสได้พูดกับลูกสาวเลยสักครั้งเพราะงานยุ่ง หากข่าวแพร่ออกไป พิมพ์ภิดาคงไม่เข้าใจ แต่เสียงตบมือลุ้นเป็นจังหวะพร้อมเสียงเชียร์ที่ว่า
“แต่งเลย แต่งเลยๆๆ” ทำให้อรุณาลังเล รฐกรสวมชุดสูทเต็มยศคุกเข่าอยู่ตรงหน้า มิน่าเขาถึงพูดว่า แผนการทุกอย่าง ก็เพราะชายหนุ่มเตรียมเรื่องนี้มาแล้ว พนักงานในบริษัทเองก็ดูเหมือนจะอยู่ข้างชายหนุ่ม
“พี่อุ๊ครับ ว่า ไงละครับ ผมคุกเข่านานแล้วนะ”
ชายหนุ่มตรงหน้าอ้อน พิธีกรพูดผ่านไมค์เป็นเชิงแซว
“หรือว่า คุณฐา จะต้องคุกเข่าทั้งคืนนะ ท่านประธานจะว่ายังไงบ้าง พวกเราช่วยกันเชียร์หน่อยเร็ว” พิธีกรบนเวทีเหย้าภายในใจแบ่งเป็นสองฝักสองฝ่าย อรุณาพยายามชวนให้ชายหนุ่มลุกขึ้น
“ลุกขึ้นมาก่อนเถอะฐา เรื่องนี้เอาไว้ค่อยพูดกันทีหลัง”
“ไม่ได้ครับพี่ ผมต้องการได้คำตอบ นะครับพี่อุ๊ นะ” ชายหนุ่มอ้อนอีก รอบห้องประชุมมีเสียงเป่าปากเชียร์ คนที่ตบมือยังตบต่อเนื่อง พิธีกรสาวมองด้วยสายตากลั้วยิ้ม
“คือว่า พี่...”
“ผมรักพี่อุ๊นะครับ ทุกคนในห้องประชุมนี้เป็นพยาน ผมรักพี่จริงๆ ใจคอพี่จะไม่เห็นแก่ผม ก็สงสารพนักงานคนอื่นๆ ที่คอยเชียร์อยู่ก็ได้นะครับ”
“แต่งเลย แต่งเลย แต่งเลย”
“ฐาคือว่า พี่...”
“พี่ไม่ได้รังเกียจผมใช่ไหมครับ พี่ๆ น้องๆ ทุกคนที่นี่ก็รู้ ให้โอกาสผมได้ดูแลพี่เถอะนะครับ พี่อุ๊เหนื่อยมามากแล้ว”
อรุณายังลังเลพอหันไปเห็นสายตาที่จ้องสุดท้ายหล่อนก็จำต้องพยักหน้า รฐกรผุดลุกขึ้นจากพื้น เขาหยิบแหวนออกมาจากกล่องกำมะหยี่และสวมเข้าที่นิ้วนางข้างสาย เสียงตบมือดังลั่น นักดนตรีบนเวทีเล่นเพลงประกอบในงานแต่งงาน ทุกคนตบมือเสียงดังลั่น แต่แล้วกลับมีหญิงสาวในชุดสายเดี่ยวเดินตรงออกมา หล่อนก้าวขึ้นมาบนเวที กระชากไหล่อรุณา
“แม่ทำอย่างนี้ไม่ได้”
บรรยากาศในงานเต็มไปด้วยความเงียบ ชนิดที่ว่า ถ้ามีเข็มสักเล่มตกก็คงได้ยิน ทุกคนจ้องไปที่หญิงสาวชุดดำ ก่อนที่เจ้าตัวจะกระชากหน้ากากออกและจ้องมองอรุณา น้ำตาไหลออกมาอาบสองแก้ม ภายในห้องประชุมเงียบกริบเมื่อททุกคนจำได้ว่า คือ ลูกสาวประธานบริษัทที่เคยมาอาละวาด
“เพลิน”
“ใช่ค่ะ หนูเอง แม่คงไม่คิดใช่ไหมว่า หนูจะมาที่นี่ แต่หนูยอมให้แม่แต่งงานกับมันไม่ได้”
อรุณาเพิ่งได้สติ หล่อนชักสีหน้าบึ้ง เอื้อมมือมาจับมือลูกสาว
“มีอะไรเอาไว้ไปคุยที่บ้าน ตอนนี้แม่ยุ่ง”
พิมพ์ภิดาสะบัดมือออก นัยน์ตาเต็มไปด้วยความตัดพ้อ หล่อนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
“ไม่! หนูจะคุยที่นี่ แม่จะแต่งงานกับไอ้แมงดาคนนี้ไม่ได้”
มีเสียงอื้ออึงดังขึ้นในห้องประชุม รฐกรหน้าตึง อรุณาจ้องหน้าลูกสาวอย่างโกรธจัด
“เพลิน พูดอะไรออกมา แม่บอกว่า ให้กลับไปคุยที่บ้านไง ไม่เข้าใจหรือ”
“บ้านที่แม่ไม่เคยกลับนะหรือ แล้วเมื่อไหร่ละ ที่เราสองคนแม่ลูกจะได้คุยกัน แม่เอาเวลาไปให้มันแต่ไม่เคยสนใจหนูเลย”
“หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ”
“หนูไม่หยุด แม่เลือกมาว่า แม่จะเลิกกับมันหรือว่า แม่จะอยู่กับหนู”
อรุณาเม้มปากแน่น หล่อนได้ยินเสียงซุบซิบอยู่รอบๆ ตัว คนที่คุมลูกน้องเป็นพันๆ ยิ่งรู้สึกเสียหน้า กี่ครั้งแล้วที่ลูกสาวทำให้เสียการปกครอง ทุกคนคงมองว่า หล่อนเป็นตัวตลก
“แม่บอกให้หยุดไง”
“แม่เลือกมา ว่า หนูหรือมัน พูดมาชัดๆ ตรงนี้”
“เพลินจะมากเกินไปแล้วนะ” อรุณาตะคอก แต่พิมพ์ภิดายังคงจ้องหน้า รฐกรปราดเข้ามาไกล่เกลี่ย บรรยากาศในงานกร่อยลงถนัดใจ
“กลับห้องก่อนเถอะครับคุณเพลิน คุยที่นี่ไม่ดีหรอก นี่มันงานเลี้ยงของบริษัท”
“แกไม่ต้องยุ่ง ไม่ต้องมาสะเออะ นี่มันเรื่องของฉันกับแม่ แกเป็นคนนอกไม่ต้องมาเสือก”
“เพลิน ก้าวร้าวเกินไปแล้วนะ ลูกไปว่า ฐาแบบนั้นได้ยังไง ถึงยังไงเขาก็อายุมากกว่าลูก”
พิมพ์ภิดาน้ำตาไหลพราก มองมารดาอย่างตัดพ้อ หล่อนน้อยใจอย่างที่สุด จ้องหน้ากลับ
“นี่แม่ว่า เพลินหรือคะ แม่เห็นมันดีกว่าใช่ไหม สรุปแม่จะเลือกใคร”
“แม่ไม่เลือกใครทั้งนั้น แม่ขอสั่งให้ลูกกลับห้องเดี๋ยวนี้ คุณวิมล มาพาเพลินออกไป”
“แม่” หญิงสาวร้องไห้กลั้นสะอื้น สายตาของคนทั้งห้องจัดเลี้ยงต่างมองมาที่หล่อน วิมลเดินเข้ามาและโค้งก่อนจะจับข้อมือหล่อนและพยายามลากออกไป แต่หญิงสาวสะบัดออก
“แม่เลือกมันใช่ไหม แม่เลือกไอ้แมงดาคนนี้แทนลูกสาวของตัวเอง แม่ไม่เคยรักหนูเลย แม่ใจร้าย”
เป็นครั้งแรกที่หล่อนทำตัวเหมือนเด็กขี้โวยวาย โหยหาความรักแต่อ้อมกอดที่ไม่เคยได้รับตั้งแต่เล็กจนโต ยิ่งผนวกกับแววตาที่มองอย่างเย็นชาก็ทำให้พิมพ์ภิดาเหมือนถูกแส้นที่มองไม่เห็นโบยตี หล่อนไม่เคยแน่ใจว่า มารดาคิดยังไงจนถึงตอนนี้ รฐกรปราดเข้ามา เขากุมมืออรุณาเอาไว้ ท่านไม่สะบัดออกแต่กลับกุมมือตอบ
“คุณวิมล เรียกรถโรงแรมกลับไปส่งเพลินที่สนามบินเดี๋ยวนี้ แล้วก็พาเพลินกรุงเทพฯด้วย มีอะไรไว้พูดกันที่นั่น”
“ไปค่ะคุณเพลิน”
“ไม่!...ปล่อยฉัน”
วิมลจ้องมอง แค่นน้ำเสียงเย็นชา
“เชื่อดิฉัน ไปเถอะนะคะ คุณไม่สมควรอยู่ที่นี่”
ภาพมารดาที่หันหลังให้ทำให้พิมพ์ภิดาแทบล้มทั้งยืน หล่อนยกมือปิดหน้าร้องไห้และวิ่งออกไป ท่ามกลางเสียงอื้ออึงโดยรอบ วิมลวิ่งตามออกไป พอถึงหน้าห้องประชุมก็พยายามเกลี้ยกล่อมหญิงสาว
“คุณเพลินรออยู่ที่นี่นะคะ ดิฉันจะไปเรียกรถ เราจะกลับกรุงเทพฯ กัน”
“ไม่ ฉันไม่ไป เธอนั่นล่ะไปให้พ้น”
“แต่ท่านประธานสั่งให้คุณกลับกรุงเทพฯ”
“ช่างสิ ฉันไม่สน ในเมื่อแม่เลือกไอ้แมงดานั่นต่อจากนี้แม่ก็ไม่มีลูกอย่างฉันอีก เราสองคนขาดกัน”
มือที่สะบัดออกพร้อมกับร่างบางที่วิ่งออกไป วิมลพยายามวิ่งตามแต่แล้วพิมพ์ภิดากลับวิ่งหายไปท่ามกลางความมืด เลขาสาวถอนหายใจ
“คุณเพลินนะ ทำเรื่องยุ่งอีกแล้ว นี่จะทำยังไงกันต่อดี”
วิมลจำเดินกลับเข้าไปในล็อบบี้ หล่อนเดาว่า พิมพ์ภิดาพักที่นี่ ตอนนี้งานเร่งด่วนก็คือ ต้องรีบหาเบอร์ห้องพักให้เร็วที่สุดก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป...


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น