บทที่ ๑๐

บทที่ ๑๐

               

            ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความรู้สึกผิดที่หวั่นไหวไปกับพฤกษ์ หรือถูกกดดันจากมารดาที่เร่งให้แต่งงาน พิชชาภาจึงตอบตกลงหมั้นกับธัชนันท์เพื่อตัดปัญหา ถึงหล่อนจะยังไม่แน่ใจเรื่องความสัมพันธ์กับคนรักนัก แต่ในเมื่อเขาขอโอกาสแก้ตัว หล่อนก็ควรให้โอกาสดู ภิมุขไม่พอใจการตัดสินใจของหล่อนนัก แต่ท่านก็ปล่อยให้หล่อนตัดสินใจเรื่องนี้ด้วยตัวเอง

               “ความจริงป้าอยากให้แต่งงานกันเลยมากกว่า เพราะเท็ดกับเพิร์ลก็คบกันมาพักนึงแล้ว อีกอย่างป้าอยากอุ้มหลานแล้ว” ธนิดาท้วง แต่ประกิต บิดาของธัชนนท์ปรามเสียงอ่อน

               “คุณอย่าเพิ่งเร่งรัดเพิร์ลนักเลย ถ้าลูกชายคุณทำตัวดีๆ เดี๋ยวเพิร์ลก็ใจอ่อนยอมแต่งงานด้วยเองแหละ”

               “ผมสัญญากับทุกคนเลยนะครับว่าจะดูแลเพิร์ลเป็นอย่างดี รับรองว่าทุกคนจะได้ยินข่าวดีเร็วๆ นี้” 

ธัชนันท์เอ่ยพลางส่งยิ้มหวานให้หล่อน แต่พิชชาภากลับยิ้มไม่ออก

               “แล้วเราจะจัดงานหมั้นเมื่อไหร่ดีล่ะ ป้าอยากให้มันยิ่งใหญ่สมศักดิ์ศรีตระกูลของเรา” พรรณีเริ่มวางแผนงานด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น แต่ภิมุขที่นั่งเงียบเป็นผู้ฟังมาตลอดกลับขัดขึ้นมาเป็นครั้งแรก

               “จะจัดงานหมั้นให้มันเอิกเกริกฟุ่มเฟือยไปทำไม หมั้นไปแล้วก็ใช่ว่าจะเลิกกันไม่ได้ซะเมื่อไหร่ ฉันไม่อยากให้เพิร์ลมีข่าวเสียหาย ถ้ารักกันจริงก็แลกแหวนกันง่ายๆ พอเป็นพิธีก็พอ” 

               “คุณพ่อพูดแบบนี้เหมือนแช่งเลยนะคะ ยังไงเพิร์ลกับเท็ดก็ไม่มีทางเลิกกันแน่ๆ” พรรณีเอ่ยอย่างเคืองจัด

               “ฉันก็พูดตามความจริง และในฐานะที่ฉันเลี้ยงเพิร์ลมา ฉันขอยื่นคำขาดว่าจะไม่มีการจัดงานหมั้นใดๆ ทั้งนั้น”

               ครั้นภิมุขยืนยันเสียงแข็ง ทุกคนต่างก็นิ่งเงียบ ทางฝั่งครอบครัวธัชนันท์แม้จะไม่พอใจอย่างมาก แต่ก็ไม่กล้าขัดประมุขใหญ่แห่งวรกิจไพศาล เช่นเดียวกับพรรณีที่ได้แต่ทำเสียงฮึดฮัดในลำคอ ทว่าคนที่รู้สึกขอบคุณกับการตัดสินใจครั้งนี้ของภิมุขก็คือพิชชาภา หล่อนเห็นด้วยกับผู้อาวุโสอย่างยิ่ง

               

หลังจากที่ครอบครัวของธัชนันท์กลับไปแล้ว พิชชาภาอยู่คุยกับภิมุขต่อ พรรณีทำท่าเหมือนอยากอยู่ฟังว่าหล่อนจะคุยอะไรกับภิมุข แต่ก็จำใจยอมกลับไปที่บ้านก่อน เพราะพิชชาภาขอคุยกับภิมุขตามลำพัง

               “เพิร์ลโกรธปู่หรือเปล่าที่ไม่ยอมให้จัดงานหมั้น” ภิมุขเปิดประเด็นขึ้นมาก่อน

               “เพิร์ลต้องขอบคุณคุณปู่ต่างหากค่ะ เพราะยังไม่แน่ใจเลยว่าสุดท้ายแล้วจะเลิกกับพี่เท็ดหรือเปล่า” 

               “ปกติเพิร์ลจะเข้าข้างแฟนตลอดนะ เขาทำอะไรให้เพิร์ลไม่มั่นใจหรือเปล่า”

               “ก็มีบ้างค่ะคุณปู่ เขาบ้างานจนไม่สนใจเพิร์ลเลย แต่ก่อนเพิร์ลไม่ค่อยรู้สึกหรอกนะคะว่าเขาทำตัวห่างเหิน จนกระทั่งช่วงหลังๆ นี่แหละค่ะ” พิชชาภาเล่าไม่หมด เพราะหากเล่าเรื่องของฐิติกา ภิมุขคงจะไม่สบายใจ

               “พูดแบบนี้เพิร์ลเจอใครที่ดีกว่าเท็ดหรือเปล่า” ภิมุขเอ่ยพลางจ้องตาพิชชาภา ไม่มีทางที่ปู่ซึ่งเลี้ยงหล่อนมาแต่อ้อนแต่ออกจะดูไม่ออกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

               “เพิร์ลจะไปเจอใครได้ล่ะคะคุณปู่ ในเมื่อคุณปู่ส่งเพิร์ลไปทำงาน วันๆ ก็อยู่แต่สวนกระบองเพชร”

               “ก็อาจเป็นใครสักคนที่สวนกระบองเพชร เขาคนนั้นอาจทำให้หลานของปู่มีความสุขและสบายใจกว่าเท็ด”

               คำพูดของภิมุขทำให้พิชชาภาชักเริ่มสงสัยว่าคุณปู่ส่งคนมาคอยสืบเรื่องของหล่อนหรือเปล่า เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาไม่ว่าพิชชาภาจะทำอะไร ไม่เคยมีเรื่องไหนที่ภิมุขไม่รู้

               “คุณปู่พูดเหมือนรู้จักคนที่สวนกระบองเพชรดี” พิชชาภาพยายามจับพิรุธจากสีหน้าและแววตาของผู้อาวุโส แต่ภิมุขกลับเอ่ยด้วยสีหน้าท่าทางปกติ

               “ปู่ก็ต้องทำความรู้จักกับคนที่จะซื้อขายที่ดินด้วยสิ ปู่เคยเจอเจ้าของสวนกระบองเพชรคนนั้น ดูท่าทางเอาการเอางานไม่เลว เป็นชายหนุ่มที่ใช้ได้ทีเดียวละ”

               พิชชาภาถึงกับอึ้งไป เพราะปกติภิมุขไม่ใช่คนที่ชมใครง่ายๆ 

               “เพิร์ลก็ไม่เห็นว่าเขาจะขยันหรือเก่งอะไรขนาดนั้น ก็แค่ผู้ชายธรรมดาๆ คนนึงที่ชอบปลูกกระบองเพชร” พิชชาภาทำปากเบ้หน่อยๆ

               “แต่ผู้ชายคนนั้นเขาก็ดูแลเพิร์ลดีไม่ใช่เหรอ”

               “คุณปู่พูดแบบนี้แสดงว่าคุณปู่ส่งคนมาตามดูเพิร์ลใช่ไหมคะ”

               “ปู่ไม่ได้ทำแบบนั้นหรอกน่า เอาเป็นว่าปู่รู้ทุกอย่างก็แล้วกัน”

               “ถ้าอย่างนั้นคุณปู่คงรู้ใช่ไหมคะว่าคืนนั้นที่เพิร์ลไม่ได้กลับบ้าน เพิร์ลอยู่ที่ไหนกับใคร”

               ภิมุขอมยิ้มแทนคำตอบ

               “ปู่ไม่มีทางปล่อยให้เพิร์ลไปไหนกับใครตามลำพังโดยที่ปู่ไม่มั่นใจหรอก”

               “แล้วทำไมคุณปู่ถึงไว้ใจคุณพฤกษ์ล่ะคะ คุณปู่ไม่ได้รู้จักเขาดีเสียหน่อย”

               “ประสบการณ์ชีวิตล่ะมั้งที่ทำให้พอจะมองออกว่าใครเป็นยังไง สำหรับปู่แล้วคนที่เหมาะสมกับเพิร์ลไม่จำเป็นต้องเด่นดังหรือร่ำรวย ขอแค่เป็นคนรับผิดชอบและทำให้เพิร์ลมีความสุขก็พอ ซึ่งผู้ชายแบบนั้นคงไม่ใช่ลูกเขยแบบที่แม่ของเพิร์ลอยากได้” ภิมุขเอ่ยอย่างคนที่รู้จักลูกสะใภ้ของตัวเองดี

               “คุณแม่คงอยากให้เพิร์ลได้แต่งงานกับคนที่ดีพร้อมทุกอย่าง”

               “คนที่ดีพร้อมสำหรับแม่ของเพิร์ลอาจไม่ใช่คนที่ดีพร้อมที่สุดสำหรับเพิร์ล ปู่อยากให้เพิร์ลลองคิดดูให้ดีๆ ว่าใครที่เพิร์ลอยู่แล้วมีความสุขจริงๆ เพราะสุดท้ายแล้วเงินทองหรือชื่อเสียงอาจไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เรามีความสุขเสมอไป”

               พิชชาภายิ้มแห้ง...ถ้าผู้ชายคนที่มีพร้อมทุกอย่างคือคนเดียวกับคนที่ทำให้หล่อนมีความสุขได้ก็คงจะดี เพราะดูเหมือนคนที่ทำให้หล่อนมีความสุขจะไม่มีเยื่อใยให้หล่อนเลยแม้แต่น้อย

               “พฤกษ์จะไม่ถามจริงๆ เหรอว่าเนตรหายไปไหนมา” 

ทันทีที่เจอหน้าพฤกษ์ เนตรนพินก็ตัดพ้อด้วยท่าทางแง่งอน พฤกษ์อึดอัดใจทุกครั้งที่เนตรนพินแสดงท่าทางแบบนี้ แต่ไม่อยากต่อความกับหญิงสาว พูดมากไปเดี๋ยวจะหาว่าเขาใจร้ายอีก

               “เนตรก็ยุ่งๆ เรื่องปั้นกระถางไม่ใช่เหรอ นี่ก็ใกล้วันที่จะไปงานแฟร์ที่ขอนแก่นแล้ว ผมก็ไม่อยากกวน”

               “พฤกษ์ก็รู้นี่นาว่าเนตรมีเวลาให้พฤกษ์เสมอ ตามปกติเวลาพฤกษ์จัดกิจกรรมให้เด็กๆ พฤกษ์เคยชวนเนตรทุกครั้ง แต่เดี๋ยวนี้พฤกษ์มีผู้ช่วยแล้ว เนตรก็เลยไม่สำคัญอีก”

               พฤกษ์เงียบแทนการแสดงออกให้รู้ว่าเขาไม่พอใจ ซึ่งเนตรนพินก็ไม่ได้โง่จนอ่านสีหน้าเขาไม่ออก

               “เนตรขอโทษ เอาเป็นว่าเนตรจะพยายามไม่งอนพฤกษ์อีกบ่อยๆ พฤกษ์เตรียมกระบองเพชรที่จะไปขายพร้อมหรือยัง มีอะไรให้เนตรช่วยก็บอกนะ” เนตรนพินรีบเปลี่ยนเรื่องและเหลือบมองไปทางกระบองเพชรที่เขาแยกใส่ถาดไว้ว่าจะใส่กระถางขาย

               “งั้นเนตรช่วยผมแยกกระบองเพชรพวกนี้ใส่กระถางสองนิ้วก็แล้วกัน” 

พฤกษ์เอ่ยพลางเลื่อนอุปกรณ์ที่จะใช้เปลี่ยนกระถางให้เนตรนพิน เผื่อว่าหญิงสาวทำอะไรเพลินๆ จะได้ไม่คิดฟุ้งซ่านอีก แต่คงไม่ได้ผล เพราะเนตรนพินนั่งทำงานได้ไม่นานก็อดวกกลับมาเรื่องเดิมไม่ได้

               “เนตรก็ไม่อยากพูดถึงผู้หญิงคนนั้นให้พฤกษ์ต้องเสียอารมณ์หรอกนะ แต่เนตรอยากรู้ว่าพฤกษ์จะชวนเขาไปงานแฟร์ด้วยไหม” 

               “ผมว่าจะชวนนะ จะได้มีคนไปช่วยงานเรา”

               “ถ้าพฤกษ์อยากให้เขาไปด้วยก็ตามใจ แต่บอกไว้ก่อนว่าเนตรจะไม่ช่วยดูแล”

               “ผมว่าเขาก็ไม่อยากให้ใครมาดูแลหรอก คุณพิชชาภาเป็นคนตั้งใจทำงาน ไม่ได้หยิบโหย่งอย่างที่คิด” พฤกษ์ออกตัวแทนหญิงสาวโดยที่เขาก็แปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน

               “พฤกษ์ชอบเขาจริงๆ ใช่ไหม” เสียงของเนตรนพินสั่นหน่อยๆ 

               “ผมไม่จำเป็นต้องตอบเนตร” พฤกษ์เอ่ยเสียงขุ่น

               “เนตรรู้ว่าไม่มีสิทธิ์ถามคำถามนี้กับพฤกษ์ แต่ว่าคุณพิชชาภาไม่ใช่ผู้หญิงที่พฤกษ์ควรจะรัก เพราะเธอเพิ่งประกาศว่าจะหมั้นไปเมื่อวานนี้”

               เนตรนพินยื่นหน้าจอโทรศัพท์ซึ่งมีภาพข่าวของพิชชาภากับธัชนันท์ในอินสตาแกรมว่าทั้งคู่ตัดสินใจจะหมั้นหมายกัน พฤกษ์อ่านข่าวแล้วยอมรับว่าหัวใจเจ็บแปลบ แต่ก็ต้องเก็บอาการทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร

               “ผมดีใจกับเธอนะ” พฤกษ์เอ่ยสั้นๆ 

               “ถ้าพฤกษ์ดีใจกับคุณพิชชาภาได้จริงๆ เพราะถึงพฤกษ์จะรู้สึกดีกับเขาแค่ไหน ยังไงผู้หญิงคนนี้ก็ต้องเลือกแต่งงานกับคนที่อยู่ระดับเดียวกัน”

               “ผมรู้ตัวว่าผมเป็นใครและไม่เคยคิดเอาตัวไปเทียบใครด้วย เอาเป็นว่าเราเลิกพูดเรื่องนี้กันเถอะ มาคุยกันดีกว่าว่าจะเดินทางกันวันไหน”

               ครั้นพฤกษ์ตัดบทเสียงเข้ม เนตรนพินคงรู้ตัวแล้วว่าไม่ควรเอ่ยถึงเรื่องของพิชชาภาอีก จึงหยิบโทรศัพท์มาเปิดดูวันเดินทางไป-กลับ รวมไปถึงรายละเอียดการเดินทางซึ่งหญิงสาวเตรียมไว้พร้อมหมดแล้ว พฤกษ์ฟังไม่ค่อยรู้เรื่องนัก เพราะใจนึกถึงแต่พิชชาภาและโกรธตัวเองที่แอบมีความหวังว่าพิชชาภาอาจตัดสินใจเลิกกับคนรัก แต่สุดท้ายแล้วพิชชาภาก็เลือกคนที่คู่ควรกับเธอ การที่เขายังไม่ยอมขายที่ให้เธอคงเป็นเพราะเขาอยากถ่วงเวลาที่จะได้อยู่ใกล้ชิดเธออีกสักนิด และบางทีทริปงานออกร้านที่ขอนแก่นอาจเป็นงานสุดท้าย ก่อนที่เขาจะยอมขายที่ดินให้เธอและเลิกหวั่นไหวกับผู้หญิงผู้อยู่เกินเอื้อมเสียที

               พิชชาภาแต่งตัวเตรียมไปทำงานที่สวนกระบองเพชร แต่ยังไม่ทันได้ออกจากบ้านก็มีสายจากเพลินขวัญ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดของชาร์มมิงซีเครต (Charming secret) เครื่องสำอางแบรนด์ดังที่เคยทาบทามหล่อนมาเป็นพรีเซนเตอร์แล้วหลายครั้ง แต่พิชชาภาก็ปฏิเสธไปทุกครั้งเช่นกัน เพราะคิดว่าค่าตัวไม่คุ้มค่ากับการต้องทนให้ช่างภาพสั่งให้โพสท่าฉีกยิ้มหลายชั่วโมง แต่ตอนนี้หล่อนชักอยากถ่ายโฆษณาบ้างแล้ว การที่หล่อนหายหน้าหายตาไปจากสื่อทำให้ยอดไลก์ในอินสตาแกรมของหล่อนลดน้อยลงถนัดตา

               ใจจริงหล่อนอยากโพสภาพตอนหล่อนทำงานที่สวนกระบองเพชรอยู่หรอกนะ มันน่าจะลบภาพคุณหนูที่ดีแต่ใช้เงินได้ แต่สภาพของหล่อนที่สวนก็โทรมเกินกว่าจะออกสื่อได้ หรือถ้าจะลงภาพที่หล่อนทำกิจกรรมสอนเด็กผู้ด้อยโอกาสจัดสวนถาด เกิดพฤกษ์มาเห็นเข้าคงโกรธแน่ๆ หนทางเดียวที่จะกอบกู้ยอดไลก์ของคุณหนูพิชชาภาผู้แสนสวยและเฉิดฉายได้ก็คือการถ่ายโฆษณาเครื่องสำอางชิ้นนี้

               พิชชาภารอให้สายเรียกเข้าสักสองสามครั้งถึงจะกดรับสาย เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายคิดว่าหล่อนกระตือรือร้นจนเกินไป 

               “สวัสดีค่ะคุณขวัญ โทร. มาหาเพิร์ลแต่เช้ามีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่าคะ” พิชชาภาปั้นเสียงให้ฟังดูเนิบๆ

               “ขวัญต้องขอโทษคุณเพิร์ลด้วยนะคะที่โทร. มารบกวนแต่เช้า และที่โทร. มาก็เป็นเรื่องเดิมค่ะ คือทางเครื่องสำอางของเราสนใจอยากให้คุณเพิร์ลมาเป็นพรีเซนเตอร์จริงๆ เพราะไม่มีใครเหมาะสมกับอิมเมจสวยหรูดูแพงเท่ากับคุณเพิร์ลอีกแล้วค่ะ”

               คำว่าสวยหรูดูแพงคือคำยกยอที่ได้ใจพิชชาภาไปเต็มๆ เพราะหล่อนก็ให้คำจำกัดความตัวเองไว้เช่นนั้น

               “จริงๆ เพิร์ลไม่ค่อยสะดวกเลยค่ะ เพราะว่าตอนนี้งานยุ่งมาก แต่เห็นแก่คุณขวัญและทางบริษัทที่อยากให้เพิร์ลมาเป็นพรีเซนเตอร์ เพิร์ลก็เลยคิดว่าลองหน่อยก็ได้ค่ะ” 

               “ขวัญดีใจมากเลยค่ะ ถือเป็นเกียรติของบริษัทเราอย่างสูง พอดีวันนี้บริษัทเรามีประชุมเรื่องคอนเซปต์การถ่ายโฆษณาชิ้นนี้พอดี ไม่ทราบว่าคุณเพิร์ลพอจะสละเวลามาร่วมประชุมช่วงเก้าโมงได้ไหมคะ ราวๆ เที่ยงก็น่าจะเสร็จแล้ว”

               พิชชาภานิ่งคิดไปครู่หนึ่ง หล่อนคงต้องโทร. ไปลางานกับพฤกษ์สินะ ถ้าบอกไปตรงๆ ว่าหล่อนมีนัดเรื่องถ่ายโฆษณา เขาอาจหาว่าหล่อนไม่รับผิดชอบงาน ก็คงต้องอ้างว่าป่วย จะได้ดูน่าเชื่อถือหน่อย 

ทันทีที่พฤกษ์รับสาย พิชชาภาก็กระแอมใส่โทรศัพท์ทันที

               “คุณมาไอใส่ผมทำไมเนี่ย” พฤกษ์โวยวายทันที

               “ฉันไม่ค่อยสบาย วันนี้ขอลางานนะ” พิชชาภาพูดไปก็เค้นคอไอไปจนชักจะเริ่มแสบคอจริงๆ 

               “อยากไปเที่ยวกับแฟนก็บอกมาเถอะ ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าว่าที่คู่หมั้นถึงจะถูก” น้ำเสียงของพฤกษ์ฟังดูแดกดันแปลกๆ

               “คุณรู้ได้ไงว่าฉันจะหมั้น ฉันไม่ได้ลงรูปอะไรในไอจีเลยนะ” พิชชาภาอดสงสัยไม่ได้

               “เนตรเขาเห็นรูปที่แฟนคุณลง เอาเป็นว่าผมดีใจกับคุณด้วยก็แล้วกันที่ในที่สุดก็แก้ปัญหาได้” 

น้ำเสียงของชายหนุ่มฟังดูหมองหน่อยๆ ในตอนท้าย จนทำให้พิชชาภาอดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่าจริงๆ แล้วเขาอาจสะเทือนใจที่หล่อนลงเอยกับคนรัก

               “น้ำเสียงคุณฟังแล้วไม่เห็นดีใจเหมือนคำพูดเลย” พูดไปแล้วพิชชาภาก็อยากกัดปากตัวเองที่ถามออกไปแบบนี้

               “ผมต้องหัวเราะด้วยหรือไง” พฤกษ์กวนกลับ

               “ฉันไม่คุยกับคุณแล้ว” 

พิชชาภาชักเริ่มโกรธขึ้นมาจริงๆ หล่อนไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงของขึ้น แต่ถ้าเขาตอบว่าเสียใจที่หล่อนหมั้น หล่อนคงไปต่อไม่ถูกเหมือนกัน เลยตัดสินใจวางสายทันที ถึงจะวางสายไปพักหนึ่งแล้ว พิชชาภาก็ยังคงนั่งทำใจให้นิ่งสงบอยู่นานก่อนจะออกเดินทางไปพบเพลินขวัญ

               สำนักงานใหญ่ของบริษัทชาร์มมิงซีเครตตั้งอยู่ที่แยกราชประสงค์ หล่อนมาถึงก่อนเวลาเล็กน้อย เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์จึงพาหล่อนไปนั่งในห้องประชุมก่อนพร้อมนำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ

               “คุณพิชชาภารอสักครู่นะคะ การประชุมต้องเลื่อนไปตอนเก้าโมงครึ่ง เพราะผู้เข้าร่วมประชุมยังมาไม่ครบค่ะ ต้องขออภัยจริงๆ นะคะ” 

เพลินขวัญคงกลัวหล่อนจะวีนเลยส่งลูกน้องมารับหน้าแทน ถึงพิชชาภาจะไม่พอใจ แต่ก็ระงับอารมณ์เพื่อรักษาภาพลักษณ์ที่ดีเอาไว้

               “ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันรอได้” พิชชาภาฉีกยิ้มหวานให้อีกฝ่ายซึ่งมีสีหน้าโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด

               พิชชาภาอาศัยช่วงเวลานี้ตอบข้อความที่ส่งมาแสดงความยินดีเรื่องที่หล่อนตัดสินใจหมั้นหมายกับธัชนันท์ แต่หล่อนเลือกตอบข้อความของชญานีก่อน เพราะลูกพี่ลูกน้องสาวส่งข้อความมาหาหล่อนหลายสิบข้อความรัวๆ ในเชิงเป็นห่วง พิชชาภาตอบไปว่าหล่อนเคลียร์เรื่องฐิติกากับว่าที่คู่หมั้นแล้ว แต่ชญานีก็ยังไม่เชื่อและโทร. มาหาหล่อนทันที

               “อย่าหาว่าพี่ยุ่งเรื่องเพิร์ลเลยนะ แต่พี่ว่าแฟนเพิร์ลนอกใจแน่ๆ พี่ไปสืบรู้มาว่าเท็ดคบซ้อนกับฐิติกาจริงๆ แต่ที่เขาหมั้นกับเพิร์ลเพราะครอบครัวเท็ดมีปัญหาการเงิน”

               พิชชาภารู้สึกเหมือนถูกตบหน้า ทั้งโกรธและเสียใจ ไม่คิดว่าชญานีจะแต่งเรื่องเพื่อให้หล่อนมีปัญหากับคนรัก เรื่องที่ครอบครัวของธัชนันท์มีปัญหาเรื่องการเงินยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ เพราะนอกจากครอบครัวของเขาจะมีธุรกิจใหญ่แล้ว ธัชนันท์กำลังจะเปิดฟิตเนสหรูในย่านเศรษฐกิจถึงสามแห่งพร้อมกัน 

               “เพิร์ลหมั่นใจในตัวพี่เท็ดแล้วก็ครอบครัวของเขาค่ะ คุณแม่ของพี่เท็ดเองก็เป็นเพื่อนสนิทของคุณแม่ด้วย”

               “เธอมันอ่อนต่อโลก นี่แหละน้า คุณปู่เลี้ยงดูมาเหมือนไข่ในหินก็เลยคิดว่าทุกคนดีไปหมด เอาเถอะ ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร คอยดูก็แล้วกัน” ชญานีพูดอย่างฉุนๆ แล้ววางสาย

               พิชชาภาถอนใจอย่างโล่งอกที่ยุติบทสนทนานี้ได้ จนกระทั่งเก้าโมงครึ่ง เพลินขวัญและทีมงานก็เปิดประตูเข้ามาพร้อมกับหญิงสาวที่หล่อนไม่คาดคิดว่าจะได้พบ

               “สวัสดีจ้ะเพิร์ล ไม่ได้เจอกันนานเลย สบายดีไหม” ฐิติกาไม่เพียงแต่ทักทายด้วยน้ำเสียงดีใจเหมือนได้เจอเพื่อนสนิท ยังเดินปราดเข้ามาโอบเอวหล่อนด้วยท่าทางสนิทสนมอีกด้วย

               “ก็สบายดีจ้ะ เจนมาทำอะไรที่นี่เหรอ” พิชชาภาถามตรงๆ และสังหรณ์ใจว่าการปรากฏตัวของดาราสาวคนดังต้องไม่ใช่เรื่องดี 

               “ขวัญเชิญคุณเจนมาแคสต์งานด้วยค่ะ เพราะตอนแรกคุณเพิร์ลปฏิเสธว่าจะไม่รับงานนี้ แต่พอคุณเพิร์ลรับ ทีมงานของเราก็ติดต่อคุณเจนไปแล้ว คุณเพิร์ลคงไม่โกรธใช่ไหมคะ”

               พิชชาภาข่มความเดือดดาลในใจ แล้วฉีกยิ้มอย่างคนที่เจนจัดกับการออกสังคม

               “เพิร์ลเข้าใจดีค่ะว่าบริษัทก็ต้องเลือกคนที่เหมาะสมกับแบรนด์จริงๆ อันที่จริงถ้าคุณขวัญอยากให้เจนเป็นพรีเซนเตอร์ก็แจ้งเพิร์ลตรงๆ ได้เลยนะคะ ไม่ต้องเกรงใจกัน”

               เพลินขวัญยิ้มเจื่อนอย่างพูดไม่ออก ฐิติกาจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นๆ

               “คุณขวัญคงไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์นี้หรอก เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย เราขอเป็นฝ่ายถอนตัวเอง”

               การไกล่เกลี่ยของฐิติกาทำให้สีหน้าของผู้จัดการสาวย่ำแย่กว่าเดิม ทำไมพิชชาภาจะมองไม่ออกว่าจริงๆ แล้วบริษัทอยากเลือกใครเป็นพรีเซนเตอร์ แต่คนอย่างพิชชาภาไม่ยอมให้ใครหยามง่ายๆ เหมือนกัน เพราะหล่อนไม่เคยเป็นตัวเลือกของใคร ก็ลองวัดดูว่าใครจะเหมาะสมกว่ากัน

               “เราไม่อยากให้คุณขวัญลำบากใจเหมือนกัน เอาเป็นว่าเรามาแคสต์งานกัน แล้วให้บริษัทเป็นคนเลือก”

               เมื่อตกลงกันได้ การประชุมก็เริ่มต้นขึ้น เพลินขวัญอธิบายคอนเซปต์ของเครื่องสำอางไลน์ใหม่ที่ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ ซึ่งล้วนแต่เป็นของหายากและจัดได้ว่าเป็นของพรีเมียม สนนราคาจึงค่อนข้างสูง ตลอดจนบรรจุภัณฑ์ก็ดูหรูหราสมราคา ดังนั้นพรีเซนเตอร์ของเครื่องสำอางไลน์นี้จึงไม่ใช่แค่ต้องสวย หรู ดูดี แต่ต้องดูเป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องเสริมแต่ง

               พิชชาภามั่นใจว่าหล่อนสวยอย่างเป็นธรรมชาติ เพราะหล่อนไม่เคยทำศัลยกรรม ต่างจากดาราสาวที่ผ่านการผ่าตัดเสริมแต่งมานับครั้งไม่ถ้วนจนหาความเป็นธรรมชาติหรือของจริงบนใบหน้าไม่เจอ ดังนั้นไม่ต้องเดาเลยว่าใครจะชนะ แต่พิชชาภาก็กระหยิ่มใจได้ไม่นานเมื่อเพลินขวัญแจ้งว่าจะต้องถ่ายรูปหน้าสด

ถ้าเป็นก่อนหน้านี้หล่อนจะไม่กังวลเลย แต่สภาพหน้าสดของหล่อนตอนนี้ไม่พร้อมจะให้ใครเห็นทั้งนั้น 

               “ขอเชิญคุณเพิร์ลกับคุณเจนล้างหน้าก่อนนะคะ” 

เพลินขวัญให้ทีมงานพาหล่อนกับฐิติกาไปเตรียมตัว เมื่ออยู่ด้วยกันตามลำพังในห้องน้ำ ฐิติกาก็เปรยขึ้นมา

               “เราดีใจกับเพิร์ลด้วยนะ เพิร์ลกับคุณเท็ดเหมาะสมกันมาก เรามัวแต่ยุ่งๆ เลยไม่ได้ส่งข้อความมาแสดงความยินดี” แม้คำพูดจะฟังดูยินดี แต่น้ำเสียงและแววตากลับปิดไม่มิดว่าผู้พูดรู้สึกตรงกันข้าม

               “ขอบใจมากจ้ะ ถามจริงๆ เจนคิดว่าเรากับพี่เท็ดเหมาะกันจริงๆ เหรอ”

               “ถามอะไรแบบนั้น ใครๆ เห็นเพิร์ลกับคุณเท็ดอยู่ด้วยกันก็ต้องอิจฉากันทั้งนั้น”

               “แล้วเจนอิจฉาเราด้วยหรือเปล่า”

               “เพิร์ลพูดแบบนี้เราไม่สบายใจเลย หรือว่าเพิร์ลจะระแวงเรากับคุณเท็ดจริงๆ เรื่องรูปนั้นมันไม่มีอะไรเลยจริงๆ”

               “พี่เท็ดคงเล่าให้เจนฟังแล้วงั้นสิ จริงๆ เราเป็นเพื่อนกัน เจนไม่คิดจะโทร. มาอธิบายเรื่องนี้กับเราเลยเหรอ”

               ฐิติกาหัวเราะราวกับหล่อนเอ่ยเรื่องไร้สาระ 

               “ตายแล้ว เพิร์ลหึงเรากับคุณเท็ดจริงๆ นั่นแหละ เราเห็นข่าวหมั้นของเพิร์ลกับคุณเท็ดเมื่อคืนแล้วก็คิดว่าไม่น่าจะมีอะไรติดใจอีก คุณเท็ดน่าจะบอกเพิร์ลแล้วว่าลืมของ เราเลยขับเอาไปให้ก็เท่านั้น”

               “เราไม่ได้หึง แต่คนเป็นเพื่อนกันมีอะไรก็ควรคุยกันไม่ใช่เหรอ”

               “เอาเป็นว่าถ้าเราทำให้เพิร์ลไม่สบายใจก็ขอโทษแล้วกัน แต่การที่เพิร์ลระแวงแบบนี้เรารู้สึกดีจัง แสดงว่าเราคงมีดีพอที่จะแย่งคุณเท็ดไปได้”

ฐิติกาทำเหมือนพูดเล่น แต่พิชชาภาพูดไม่ออก เพราะไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้จากนางเอกสาวที่ตามปกติจะพูดจาอ่อนหวาน

               ในขณะที่หัวสมองของพิชชาภากำลังประมวลผลคำพูดของดาราสาวว่าพูดเล่นหรือพูดจริง ทีมงานก็มาตามหล่อนออกไปเทสต์หน้ากล้อง

               “ขอให้โชคดีนะเพิร์ล ผิวเพิร์ลคล้ำขึ้นแบบนี้น่าจะขึ้นกล้องดีละ ดูผิวเราสิ ขาวจนแทบจะสะท้อนแสงอยู่แล้ว ถ่ายออกมาไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงเหมือนกัน”

               อีกครั้งที่พิชชาภายังแปลคำพูดของดาราสาวไม่ออกว่าออกมาในเชิงบวกหรือลบ จึงได้แต่ยิ้มแห้งๆ ให้อีกฝ่ายก่อนจะเดินตามทีมงานไป

               หลังจากเทสต์หน้ากล้องเสร็จแล้ว ทีมงานใช้เวลาไม่นานนักเพื่อพิจารณาว่าใครจะได้รับเลือกเป็นพรีเซนเตอร์เครื่องสำอางไลน์ใหม่ พิชชาภาภาวนาให้เป็นหล่อน ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตที่หล่อนชักไม่แน่ใจว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ คำพูดของฐิติกายังคงกวนใจหล่อนอยู่ สาบานได้ว่าหล่อนไม่เคยคิดว่าฐิติกาจะเหนือกว่าหล่อน แต่เรื่องหน้ากล้อง หล่อนยอมรับว่าเป็นรอง

               หากพิจารณาเรื่องส่วนประกอบของใบหน้า พิชชาภามั่นใจว่าตา จมูก ปาก หรือแม้แต่รูปหน้าของหล่อนสมส่วนเป็นธรรมชาติกว่าอีกฝ่าย แต่ผิวหน้าของฐิติกาเรียบเนียนกว่าอย่างเห็นได้ชัด เพราะด้วยอาชีพที่ต้องออกสื่อ ทำให้ฐิติกาดูแลใบหน้าผิวพรรณอย่างพิถีพิถัน ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับเพลินขวัญและทีมงานแล้วว่าจะเลือกใครเป็นพรีเซนเตอร์

               “ขวัญและทีมได้พิจารณารูปถ่ายแล้วนะคะ เราตัดสินใจยากจริงๆ เพราะทั้งคุณเพิร์ลและคุณเจนดูสวยคนละแบบ แต่เนื่องจากเครื่องสำอางไลน์ใหม่ของเราต้องการโพรโมตให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์ที่ใช้จะทำให้กระจ่างใสจากภายใน เราก็เลยคิดว่าคุณเจนน่าจะเหมาะกับผลิตภัณฑ์ของเรามากกว่าค่ะ”

               พิชชาภานิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง แม้หล่อนจะเผื่อใจไว้บ้าง แต่พอถูกปฏิเสธเข้าจริงๆ ก็เสียหน้าอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ฝืนยิ้มและหันไปแสดงความยินดีกับฐิติกาที่ยิ้มกว้างอย่างเก็บอาการไม่อยู่ โดยเฉพาะนัยน์ตาที่ฉายแววของผู้ชนะ เห็นแล้วขัดหูขัดตาอย่างบอกไม่ถูก

               “ขอโทษด้วยนะเพิร์ล เราไม่ได้ตั้งใจจะแย่งงานนี้จากเพิร์ลเลย”

               ใครว่าไม่ได้ตั้งใจแย่ง หล่อนไม่เชื่อเลยสักนิด 

               “เราโล่งใจซะด้วยซ้ำ จริงๆ งานหน้ากล้องแบบนี้ไม่ใช่งานที่เหมาะกับทายาทธุรกิจหมื่นล้านอย่างเรา เราเห็นว่ามันน่าสนุกเลยทำ” พิชชาภาตอกกลับอีกฝ่ายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม รอยยิ้มแห่งชัยชนะของอีกฝ่ายหุบลง

               “ขวัญและทางบริษัทต้องขอขอบคุณคุณเพิร์ลมากๆ นะคะที่สละเวลาอันมีค่าและให้เกียรติบริษัทของเรา ถ้าโอกาสหน้าบริษัทของเรามีผลิตภัณฑ์ใหม่ที่พิเศษหรือลิมิเต็ดจริงๆ ทางเราจะเชิญคุณเพิร์ลมาเป็นพรีเซนเตอร์แน่นอนค่ะ”

เพลินขวัญพยายามรักษาน้ำใจ แต่กลับทำให้พิชชาภารู้สึกแย่กว่าเดิม

“ขอบคุณค่ะ แต่หลังจากนี้เพิร์ลคงไม่ว่าง เพราะมีทั้งงานธุรกิจของครอบครัว แล้วไหนจะต้องดูแลว่าที่สามีอีก ถ้าไม่มีอะไรแล้วเพิร์ลขอตัวก่อนนะคะ”

พิชชาภาเชิดหน้าเดินออกจากห้องด้วยท่าทางของนางพญา ไม่ว่าภายในใจจะรู้สึกหดหู่กับความพ่ายแพ้ครั้งนี้แค่ไหน แต่หล่อนก็จะเดินออกไปอย่างผู้ชนะ ตอนนี้พิชชาภานึกถึงใครคนหนึ่งจับใจ เพราะเขาเป็นเพียงคนเดียวที่จะปลอบใจและทำให้หล่อนผ่านพ้นวันแย่ๆ อย่างนี้ไปได้ 

สถานที่ที่พิชชาภาตรงดิ่งไปหลังออกจากบริษัทเครื่องสำอางชาร์มมิงซีเครตก็คือสวนกระบองเพชรไอเลิฟแคคตัส หล่อนมั่นใจว่าคนที่หล่อนอยากพบจะต้องสิงสถิตอยู่ที่นี่แน่ แล้วก็จริงดังคาด พฤกษ์กำลังก้มหน้าก้มตาผสมเกสรกระบองเพชรโดยไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำว่ามีใครเดินเข้ามา

“ถ้ามีใครบุกมาจี้หรือขโมยกระบองเพชร คุณคงไม่รู้ตัวสินะ”

“ผมรู้หรอกน่าว่าเป็นคุณ แค่เสียงฝีเท้าก็จำได้”

ถึงจะเป็นคำพูดธรรมดาๆ แต่หัวใจของพิชชาภากลับเต้นแรง เพราะเขาจำได้แม้กระทั่งรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของหล่อน 

“ฉันไม่ได้เดินเสียงดังขนาดนั้นเสียหน่อย คุณจะไม่ถามฉันหน่อยเหรอว่ามาที่นี่ทำไม” พิชชาภาถามด้วยน้ำเสียงเขินๆ

“คุณก็คงคิดถึงผมมั้ง ไหนบอกว่าป่วยไง”

“ฝันไปเหอะ ฉันหายดีแล้วก็เลยมา เพราะไม่อยากให้ใครว่าได้ว่าไม่รับผิดชอบงาน มีอะไรให้ฉันช่วยทำไหมล่ะ”

“งั้นคุณช่วยนับสต๊อกให้ผมก็แล้วกันว่าแอสโตรตรงนั้นที่แยกไว้มีกี่ต้น ผมจะเอาไปขายที่งานแฟร์ขอนแก่น” 

“คุณจะไปขอนแก่นเหรอ เมื่อไหร่ล่ะ” พิชชาภาชักตื่นเต้นขึ้นมา

“วันเสาร์นี้ ผมอยากชวนคุณไปด้วย คุณว่างไหมล่ะ หรือว่าต้องขออนุญาตว่าที่คู่หมั้นก่อน” 

น้ำเสียงของพฤกษ์ฟังดูประชดประชันแปลกๆ แต่พิชชาภาก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะเถียงกับชายหนุ่ม

“ฉันว่าง ว่าแต่แฟนคุณเถอะ เขาจะไม่อึดอัดเหรอที่ฉันไปด้วย” พิชชาภาหวาดๆ เมื่อนึกถึงสายตาที่ประกาศความเป็นเจ้าของของหญิงสาว

“ผมกับเนตรเป็นแค่เพื่อนกัน แล้วอีกอย่างผมจะชวนคุณตาไปด้วย”

“งั้นแสดงว่าเราจะได้ไปเที่ยวด้วยสิ ดีจังเลย ช่วงนี้ฉันเซ็งๆ เบื่อๆ อยู่พอดี” พิชชาภาตาเป็นประกาย บางทีการได้ไปเปลี่ยนบรรยากาศอาจทำให้เรื่องขุ่นๆ ในใจบรรเทาไปได้บ้าง

“ที่ผมชวนคุณไปเพราะอยากให้ไปช่วยงานต่างหาก แล้วก็อยากให้คุณได้เห็นสังคมของคนปลูกต้นไม้ จะได้เข้าใจว่ากระบองเพชรที่คุณมองว่ากระจอกไร้ค่า จริงๆ แล้วอาจสร้างความสุขได้มากกว่าข้าวของแพงๆ ในห้างของคุณ”

“คุณคงจะพยายามกล่อมไม่ให้ฉันซื้อที่คุณสินะ เสียใจด้วย ต่อให้ฉันอยากเปลี่ยนใจ แต่ยังไงโพรเจกต์ห้างสรรพสินค้าของคุณปู่ก็ต้องดำเนินต่อไป เอาเป็นว่าคุณอยากพาฉันไปล้างสมอง ฉันก็จะไป”

พิชชาภาและพฤกษ์ต่างทำงานกันเงียบๆ จนกระทั่งพฤกษ์เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน

“คุณมีอะไรอยากเล่าให้ผมฟังไหม คุณคงไม่ได้มาที่นี่เพียงเพราะเป็นห่วงงานหรอกนะ”

พิชชาภาตกใจหน่อยๆ เขารู้ได้อย่างไรว่าหล่อนมีเรื่องอยู่ในใจและอยากปรับทุกข์กับเขา

“คุณไม่ต้องมองผมแบบนี้หรอก สีหน้าท่าทางคุณบอกว่ามีเรื่องตั้งแต่เดินเข้ามาแล้ว มีอะไรก็เล่าให้ผมฟังนะ”

“คุณสัญญาได้ไหมว่าถ้าฉันเล่า คุณจะไม่เล่าให้ใครฟัง”

“เออน่า ผมไม่พูดต่อหรอก”

แล้วพิชชาภาก็เล่าทุกอย่างตั้งแต่เรื่องที่หล่อนตกลงรับหมั้นธัชนันท์เพราะไม่อยากขัดใจมารดา ทั้งที่ยังไม่มั่นใจเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างว่าที่คู่หมั้นกับฐิติกา หรือแม้แต่เรื่องที่ฐิติกาแย่งงานพรีเซนเตอร์เครื่องสำอาง 

“สรุปคือคุณเสียหน้า แล้วก็สงสัยว่าคุณฐิติกาจงใจแย่งงานนี้เหรอ”

“มันก็เป็นไปได้นะคุณ เจนอาจจะแค้นที่ฉันจะหมั้นกับพี่เท็ดก็ได้”

“คุณพูดแบบนี้เหมือนคุณปักใจเชื่อว่าว่าที่คู่หมั้นของคุณกับคุณฐิติกาเป็นกิ๊กกันเลย ผมว่าคุณคงคิดมากไปแล้วละ ในเมื่อคุณตัดสินใจจะหมั้นกับคุณธัชนันท์แล้ว คุณก็ต้องเชื่อมั่นในตัวเขา ส่วนคุณฐิติกาเขาก็เป็นดาราดังอยู่แล้ว จะได้งานนี้ก็ไม่แปลก”

“คุณไม่ได้พูดเพื่อให้ฉันสบายใจใช่ไหม”

“แล้วทำไมคุณต้องคิดอะไรที่มันแย่ๆ ด้วยล่ะ แต่ถ้าเกิดเขาจะกิ๊กกันจริง คนที่ควรละอายควรจะเป็นพวกเขาสองคน ส่วนเรื่องพรีเซนเตอร์คุณจะเสียหน้าทำไม ยังไงสิ่งที่คุณเป็นและมีอยู่ก็เหนือกว่าตั้งเยอะ คุณค่าของคุณอยู่ที่ตัวคุณเองนะ ไม่ใช่ตำแหน่งพรีเซนเตอร์อะไรนั่น”

“นอกจากปู่ของฉันก็มีคุณนี่แหละที่เวลาคุยด้วยแล้วสบายใจ ถ้าฉันคุยกับพี่เท็ดได้เหมือนคุยกับคุณก็คงดีสิ” หล่อนอดเปรียบเทียบพฤกษ์กับว่าที่คู่หมั้นหนุ่มไม่ได้

“คุณจะคุยกับเขารู้เรื่องหรือเปล่ามันคงไม่ใช่ปัญหาหรอก คุณตกลงจะหมั้นกับเขาแล้วนะ” พฤกษ์ตอบเสียงเรียบก่อนจะตัดบทด้วยการก้มหน้าก้มตาผสมเกสรต้นกระบองเพชรต่อไป

นั่นสินะ...ทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกปัญหาที่เกิดขึ้นในใจหล่อนตอนนี้ล้วนมาจากการตัดสินใจของหล่อนเองทั้งนั้น แล้วหล่อนจะคร่ำครวญไปทำไม สุดท้ายแล้วพิชชาภาต้องตอบตัวเองให้ได้ว่า หล่อนจะยอมทนอยู่ในความสัมพันธ์ที่มีแต่ความเคลือบแคลงนี้ได้จริงๆ หรือไม่

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น