บทที่ ๙

บทที่ ๙

 

            พิชชาภาไม่ได้ออกไปสั่งอาหารอย่างที่พฤกษ์แนะนำ แต่หลบมานั่งเงียบๆ ที่โต๊ะม้าหิน แล้วนั่งมองภาพในโทรศัพท์อย่างชั่งใจว่าควรจะโทร. ไปเคลียร์กับธัชนันท์เลยดีไหม หรือว่าควรรอจนถึงเย็นนี้ เพราะครอบครัวของเขาจะมารับประทานอาหารที่บ้านหล่อน แต่ถ้าให้รอจนถึงตอนนั้นคงไม่มีโอกาสซักชายหนุ่มแน่ เพราะการไต่สวนเรื่องรูปต่อหน้าผู้ใหญ่ดูจะเป็นการหักหน้าเขา

               พิชชาภาจึงตัดสินใจว่าหล่อนจะส่งข้อความพร้อมรูปถ่ายของชญานีไปให้แฟนหนุ่มดู แต่หล่อนก็ยังไม่ได้ส่ง เพราะพฤกษ์เดินเข้ามาพร้อมชามก๋วยเตี๋ยวและขวดน้ำดื่ม

               “ผมคิดอยู่แล้วเชียวว่าคุณจะต้องมานั่งหน้าเหี่ยวอยู่ตรงนี้ ถ้าคุณไม่สบายก็กลับบ้านไปพักเถอะ”

               “ฉันไม่ได้เป็นอะไรเสียหน่อย แล้ววันนี้คุณจัดงาน ทำไมถึงไม่บอกฉันก่อน จะได้แต่งตัวสวยๆ”

               “ผมก็แค่จัดกิจกรรมประจำเดือนให้เด็กผู้ด้อยโอกาส แล้วก็มีเพื่อนๆ มาร่วมเลี้ยงอาหารขนมให้เด็กๆ นิดหน่อย คุณไม่ต้องห่วงหรอก เพราะผมไม่เคยถ่ายภาพออกสื่อ”

               “คุณนี่ก็แปลกคนนะ ปกติเวลาคนทำอะไรที่ดูดีจะต้องรีบถ่ายลงโซเชียลมีเดีย อวดให้ชาวโลกได้รับรู้ ถ้าคนรู้ว่าสวนของคุณจัดกิจกรรมเพื่อการกุศลอาจมีคนมาซื้อกระบองเพชรมากขึ้นก็ได้นะ”

               “ผมไม่ได้ทำเพื่อหวังผลอะไรนี่คุณ” พฤกษ์ตอบเสียงเรียบ

               “ปิดทองหลังพระว่างั้นเหอะ” พิชชาภาเอ่ยด้วยน้ำเสียงประชดหน่อยๆ 

               “ผมไม่ได้หวังอะไรทั้งนั้นแหละ แค่อยากแบ่งปันพื้นที่ให้เด็กที่ขาดโอกาสได้เรียนรู้สิ่งที่ดีและมีประโยชน์ คุณคงไม่เข้าใจหรอก เพราะชีวิตของคุณมีพร้อมทุกอย่าง” พฤกษ์หันมาเอ่ยกับหล่อนด้วยน้ำเสียงจริงจัง

               “มีพร้อมทุกอย่างก็ใช่ว่าจะมีความสุขหรอกนะ” พิชชาภาเอ่ยเสียงเศร้า

               “วันนี้คุณเป็นอะไร ท่าทางดูเซ็งๆ” 

คำถามตรงไปตรงมาของพฤกษ์ทำให้พิชชาภามองหน้าชายหนุ่มอย่างชั่งใจว่าควรเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้เขาฟังดีไหม อาจเป็นเพราะความเชื่อใจและไว้ใจ ทำให้หล่อนยอมเปิดปากเล่าเรื่องที่กลัดกลุ้มใจให้เขาฟังจนหมดเปลือก

               “ผมว่าถ้าคุณสงสัยก็ถามเขาไปตรงๆ เลยดีกว่า สุดท้ายแล้วก็อยู่ที่คุณตัดสินใจว่าจะเชื่อเขาหรือเปล่า”

               “แล้วถ้าเขาแต่งเรื่องหลอกฉันล่ะ” พิชชาภาถามเสียงแผ่ว

               “คุณไม่ใช่คนโง่นะ แค่จะยอมรับความจริงหรือเปล่านี่อีกเรื่องนึง แต่ก่อนที่คุณจะจัดการปัญหานี้ รีบกินก๋วยเตี๋ยวก่อนมันจะอืดเถอะ” 

               “ทำไมคุณถึงดีกับฉันจัง” พิชชาภาเอ่ยกับชายหนุ่มด้วยความซึ้งใจ เขาเป็นคนตรงๆ ไม่ใช่คนพูดจาอ่อนหวานเอาใจ แต่กลับสัมผัสได้ถึงน้ำใจและความใส่ใจที่มีต่อหล่อน

               “ก็ผมเป็นคนดีไง แล้วคุณก็อย่าหลงคิดไปล่ะว่าที่ผมทำแบบนี้เพราะผมชอบคุณ ผมแค่ไม่อยากรับผิดชอบถ้าคุณเกิดเป็นอะไรไปตอนทำงานที่สวนของผม” 

               คำพูดของพฤกษ์ทำลายความรู้สึกดีๆ เมื่อครู่ไปสิ้น 

               “ฉันไม่มีทางคิดอะไรกับคุณแน่ คุณก็อย่าคิดไปเองว่าฉันปลื้มอะไรคุณนักหนา...จริงๆ เราควรจะคุยกันให้รู้เรื่องว่าเมื่อไหร่คุณถึงจะยอมตกลงขายที่ ฉันจะได้ไม่อยู่ที่นี่เพื่อสร้างปัญหาให้คุณรำคาญ”

               “คุณจัดการปัญหาของคุณให้ได้ก่อนเถอะแล้วค่อยมาคุยกัน” 

พูดจบพฤกษ์ก็เดินหนี ปล่อยให้พิชชาภามองตามอย่างเคืองจัด จนแล้วจนรอดหล่อนก็ยังไม่ได้โทร. ไปเคลียร์ปัญหากับธัชนันท์อย่างที่ตั้งใจไว้ เพราะเด็กหญิงตัวแสบถือถ้วยไอศกรีมมายื่นให้หล่อน

               “พี่มานั่งทำอะไรที่นี่คนเดียว หรือว่ายังโกรธฝ้าย” เด็กหญิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงจ๋อยๆ

               “เปล่า พี่แค่ออกมานั่งพัก”

               “จริงนะ ถ้าพี่ไม่โกรธก็ไปนั่งด้วยกันกับพวกหนู หรือว่าพี่รังเกียจที่พวกหนูเป็นเด็กสลัม”

               “พี่ไม่เคยคิดแบบนั้นเลยจริงๆ นะ” พิชชาภารีบแก้ตัว และตักไอติมที่เด็กหญิงมีน้ำใจเอามาให้เข้าปาก 

               “งั้นก็ไปด้วยกันค่ะ” 

แล้วเด็กหญิงฝ้ายก็จูงมือหล่อนไปนั่งร่วมวงกับเด็กคนอื่นๆ ซึ่งนั่งพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน พิชชาภาเป็นฝ่ายนั่งฟังเงียบๆ เสียส่วนใหญ่ และได้ความว่าพฤกษ์และเพื่อนๆ ร่วมกันจัดกิจกรรมให้เด็กๆ ในสลัมทุกเดือน กิจกรรมก็มีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นวาดรูป ปั้นเซรามิก จัดสวนกระบองเพชร หรือบางครั้งก็มีการสอนทำอาหารหรือขนมง่ายๆ แต่ที่เด็กๆ ชอบกันมากเพราะมีอาหารและขนมให้กินฟรี

               อันที่จริงครอบครัวของหล่อนก็ทำการกุศลบ่อยๆ บริจาคเงินให้มูลนิธิและวัดปีละหลายล้านบาท ซึ่งผลพลอยได้จากการทำบุญก็คือนำไปลดหย่อนภาษีได้ แต่ไม่มีผู้บริหารคนไหนมาร่วมทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์แบบนี้ ยิ่งได้ฟังจากเด็กๆ หลายคนซึ่งไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ เพราะครอบครัวไม่มีเงินและต้องช่วยครอบครัวทำงาน กิจกรรมที่สวนแห่งนี้ก็เป็นแหล่งให้ความรู้ซึ่งบางคนก็ได้ความรู้เล็กๆ น้อยๆ จากที่นี่จนสร้างอาชีพได้ 

               อย่างฝ้ายเองก็นำความรู้จากการทำสวนถาดกระบองเพชรทำสวนถาดมาวางขายที่ร้านกาแฟเป็นรายได้เสริมให้ครอบครัวได้ การให้ความช่วยเหลือด้วยความรู้นั้นสามารถต่อยอดได้มากกว่าการบริจาคเงินและทำให้รู้สึกว่าการให้ด้วยใจที่บริสุทธิ์นั้นมีความหมายจริงๆ ซึ่งพิชชาภาก็เพิ่งสัมผัสการเป็นผู้ให้เป็นครั้งแรก หัวใจของหล่อนพองฟูและมีความสุขอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

               “พวกเราไม่เคยเจอพี่มาก่อน พี่เป็นแฟนครูพฤกษ์หรือเปล่าครับ” 

อยู่ดีๆ เด็กชายป้อมซึ่งอายุมากที่สุดในกลุ่มก็โพล่งขึ้นมา เล่นเอาพิชชาภาทำหน้าไม่ถูก เพราะไม่คิดว่าจะถูกถาม แต่แล้วพฤกษ์ซึ่งเพิ่งเดินมาก็ตอบถามคำถามแทน

               “แก่แดดนะเรา พี่เพิร์ลเขาแค่มาช่วยงานครูไม่กี่วันแหละ” 

               “งั้นพี่เนตรก็คือแฟนครูใช่ไหมครับ ทำไมเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเจอพี่เนตรเลยล่ะครับ” เด็กชายป้อมยังไม่เลิกซัก

               “พี่เนตรเขางานยุ่งน่ะสิ...ถามถึงพี่เนตรแบบนี้แสดงว่าป้อมคิดถึงพี่เนตรละสิ” 

               “ครับ ผมว่าพี่เนตรเก่งและน่ารักดี เหมาะกับครูพฤกษ์มากๆ เลย”

               พิชชาภาฟังแล้วเหมือนถูกมีดทิ่มแทงใจ ถึงหล่อนจะไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับพฤกษ์ แต่ก็ยอมไม่ได้หากตัวเองดูด้อยกว่าเนตรนพิน 

               “แล้วพี่ไม่เหมาะกับครูพฤกษ์ตรงไหน พี่ว่าพี่สวยกว่าพี่เนตรนะ” พิชชาภาแย้งอย่างไม่ยอม

               “พี่เพิร์ลหึงครูพฤกษ์จริงๆ ด้วย เมื่อกี้ผมก็แกล้งพูดไปงั้นเองแหละ เพราะอยากรู้ว่าพี่เพิร์ลเป็นแฟนครูพฤกษ์จริงหรือเปล่า” 

               พิชชาภาถึงกับอึ้งไปเมื่อถูกเด็กแกล้งหลอกถาม หล่อนไม่ได้หึงพฤกษ์จริงๆ นะ ให้สาบานเลยก็ยังได้

               “พี่ก็แค่รู้สึกไม่แฟร์ที่ป้อมพูดว่าพี่เนตรสวยกว่าพี่” พิชชาภาปฏิเสธปากคอสั่นพลางหันหน้าไปทางพฤกษ์ให้ช่วยพูด แต่ชายหนุ่มกลับตอบด้วยหน้านิ่งๆ

               “ครูว่าพี่เพิร์ลเขาก็น่าจะแอบชอบครูนิดนึงแหละ แต่ปากแข็ง อย่าไปแกล้งแซวพี่เขานักเลย เดี๋ยวเขาจะไม่ยอมมาช่วยสอนพวกเราอีก”

               พิชชาภามองหน้าพฤกษ์เป็นเชิงว่าฝากเอาไว้ก่อนเถอะ แต่น่าแปลกที่หล่อนไม่เคยโกรธเขาลงเลยสักครั้ง 

               กิจกรรมวันนี้สิ้นสุดราวบ่ายสองโมง เด็กๆ ต่างแยกย้ายกันกลับ บรรยากาศสวนไอเลิฟแคคตัสกลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง แต่ยังเหลือเวลาอีกสองชั่วโมง ขืนหล่อนขอกลับก่อนเวลา พฤกษ์อาจหาว่าหล่อนอู้งานได้ แต่กลายเป็นว่าเขาเป็นฝ่ายไล่หล่อนกลับ

               “คุณแน่ใจนะว่าจะให้กลับเลย ไม่มีงานอะไรให้ฉันทำแล้วจริงๆ เหรอ” พิชชาภาถามย้ำ

               “สภาพคุณตอนนี้ไม่พร้อมจะทำงานอะไรหรอก จริงๆ ผมอยากไล่คุณกลับตั้งแต่เจอหน้าแล้ว” 

               “งั้นคุณให้ฉันอยู่จัดสวนถาดทำไมล่ะ” พิชชาภาจ้องหน้าอีกฝ่าย

               “ผมก็แค่คิดว่าถ้าคุณได้นั่งสงบจิตสงบใจเงียบๆ คงจะได้สติและคิดแก้ไขปัญหาได้ดีขึ้น ขืนปล่อยคุณกลับไป คุณจะยิ่งฟุ้งซ่าน”

               พฤกษ์อ่านหล่อนขาดทะลุปรุโปร่ง ถึงเขาจะรู้จักหล่อนได้ไม่นาน แต่กลับรู้จักหล่อนดีกว่าเพื่อนๆ ที่หล่อนคบหาอยู่เสียอีก

               “ขอบคุณนะ ตอนนี้ฉันใจเย็นลงแล้ว บางทีฉันก็แอบกลัวคุณ เพราะเหมือนคุณจะรู้จักฉันดีเกินไป ถามจริงๆ เถอะ คุณแอบชอบฉันอยู่หรือเปล่า”

พิชชาภามองตาอีกฝ่ายอย่างพยายามค้นหาความจริง ถึงหล่อนจะไม่ได้เป็นคนเจนจัดเรื่องความสัมพันธ์ แต่การที่ใครคนหนึ่งรับรู้ความรู้สึกนึกคิดหรือการกระทำของอีกฝ่ายได้อย่างลึกซึ้ง มันก็ต้องมีใจให้กันบ้างแหละน่า แล้วไหนจะตอนที่เขาตอบคำถามป้อมว่าหล่อนคงแอบชอบเขานิดๆ ก็ดูเหมือนเขาอ่อยหล่อนอยู่ในที

               “ถ้าผมชอบคุณจริงๆ คุณจะชอบผมเหรอ”

               พอเจอพฤกษ์ถามกลับแบบนี้ พิชชาภากลับเป็นฝ่ายถูกต้อนจนมุม ถึงพฤกษ์จะเป็นคนดี ทำให้หล่อนสบายใจเมื่ออยู่ใกล้ๆ คอยช่วยเหลือหล่อนทุกอย่าง แต่เขากับหล่อนก็ต่างกันมากเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นความเป็นอยู่ สังคม หรือแนวทางการใช้ชีวิต คนที่มีชีวิตต่างกันมากๆ มันจะคบกันได้จริงๆ หรือ

               “ผมพูดเล่นน่ะคุณ ทำหน้าเครียดเชียว เราสองคนก็เป็นได้แค่คนรู้จักนั่นแหละ ผมว่าการที่คนเรามาเจอกันมันเป็นเรื่องบุญกรรม ผมไม่อยากสร้างเวรสร้างกรรมกับคุณต่อก็เลยทำดีเพื่อตัดเวรกับคุณไง”

               “นี่คุณกำลังว่าฉันเป็นเจ้ากรรมนายเวรของคุณงั้นสิ” พิชชาภาถามเสียงสูง จนแล้วจนรอดหล่อนกับเขาไม่เคยพูดจาดีๆ กันได้นาน

               “ก็แล้วแต่คุณจะคิด”

               “ถ้าคุณเหม็นหน้าฉันขนาดนี้ จะให้ฉันมาช่วยงานที่สวนของคุณทำไม” 

               “เพราะผมอยากให้คุณได้เห็นไงว่าสวนของผมมีค่ามากกว่าเงินหกล้านบาทของคุณ ถ้าคุณมีเหตุผลดีๆ ว่าทำไมผมถึงควรขายที่ดินผืนนี้ ผมอาจขายที่ให้คุณก็ได้”

               “ฉันจะพยายามหาคำตอบนี้ให้ได้เร็วที่สุด เพราะฉันอยากหมดเวรหมดกรรมกับคุณแล้วเหมือนกัน ถ้าคุณไม่มีงานให้ฉันทำแล้ว ฉันขอกลับเลยนะ” 

พูดจบพิชชาภาก็คว้ากระเป๋าเดินออกจากสวน ทั้งที่ใจจริงหล่อนยังไม่พร้อมจะกลับบ้านเลย 

               ทันทีที่พิชชาภาก้าวเท้าเข้ามาในบ้าน มารดาก็เดินปราดมาหาหล่อนด้วยสีหน้าบึงตึ้งและสั่งให้รีบไปแปลงโฉมโดยด่วน ซึ่งห้องนอนของหล่อนเวลานี้ถูกปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นสถานเสริมความงาม

               “แม่บอกแล้วใช่ไหมว่าให้กลับบ้านมาเร็วๆ เห็นไหมว่าแม่เตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแค่ไหน เรามีเวลาบำรุงผิวแค่ชั่วโมงเดียวแล้วก็ต้องรีบแต่งหน้าทำผม เพราะครอบครัวของน้าดาจะมากันตอนหนึ่งทุ่มตรง”

               “ทำไมเพิร์ลจะต้องแต่งตัวอะไรมากมายด้วยคะ ก็แค่กินข้าวกันที่บ้าน” พิชชาภาถอนใจเฮือกใหญ่

               “ก็นั่นแหละ ยังไงวันนี้เพิร์ลต้องดูสวยที่สุด เพราะวันนี้เป็นวันสำคัญของลูก ถ้าเกิดมีการตกลงขอแต่งงานกันขึ้นมา เวลาออกสื่อจะได้ไม่พลาด”

               “เราไม่ต้องป่าวประกาศทุกเรื่องออกสื่อไม่ได้เหรอคะ เพราะบางทีเพิร์ลอาจจะไม่แต่งงานกับพี่เท็ด”

               คำพูดของหล่อนทำให้มารดาจ้องหน้าหล่อนราวกับว่าเห็นมนุษย์ต่างดาวมายืนตรงหน้า

               “เพิร์ลเป็นอะไรหรือเปล่า แม่ว่าเพิร์ลดูแปลกไปตั้งแต่ไปทำงานที่สวนกระบองเพชร เพิร์ลต้องถูกใครล้างสมองมาแน่ๆ ยังไงเพิร์ลก็ต้องแต่งงานกับเท็ด” พรรณีประกาศเสียงกร้าว พิชชาภาทำหน้าหน่ายๆ เพราะรู้ว่าเถียงไปก็ไม่มีประโยชน์

พรรณีสั่งให้ทีมเสริมความงามจัดการแปลงโฉมพิชชาภาอย่างเร่งด่วน ซึ่งผลก็ออกมาเป็นที่น่าพอใจ การแปลงโฉมโดยมืออาชีพทำให้พิชชาภากลับคืนสู่สภาพคุณหนูเพิร์ลแสนสวยคนเดิม ผิวพรรณที่คล้ำขึ้นจากแดดและใบหน้าที่แห้งกระด้างชุ่มชื้นขึ้นทันตา ยิ่งได้เมกอัปอาร์ติสต์ชื่อดังมาช่วยแต่งหน้าให้ พิชชาภาก็ยิ่งดูสวยจนน่าตะลึง

หากเป็นแต่ก่อนพิชชาภาคงปลื้มกับรูปโฉมของตัวเองไม่น้อย แต่ตอนนี้หล่อนกลับรู้สึกว่าเครื่องสำอางที่ฉาบบนใบหน้าดูเหมือนหน้ากากมากกว่าใบหน้าที่แท้จริง คงจะจริงอย่างที่มารดาพูด หล่อนคงถูกล้างสมองแล้วจริงๆ

“เพิร์ลว่าหน้าเข้มไปหน่อยไหมคะ อยากให้ดูบางกว่านี้หน่อย” พิชชาภาท้วงช่างแต่งหน้าด้วยความเกรงใจ 

“ไม่เข้มไปหรอกจ้ะ เดี๋ยวพอถ่ายรูปมันจะดูจืดไปเลย อีกอย่างพี่แต่งหน้าให้น้องเพิร์ลเบาๆ ไม่ได้ เพราะตอนนี้ผิวของน้องเพิร์ลหมองไปมาก”

               พอช่างแต่งหน้าย้อนแบบนี้พิชชาภาก็พูดไม่ออก เพราะช่วงนี้หล่อนละเลยการดูแลผิวจริงๆ ผ่านไปสามชั่วโมงเศษ พิชชาภาก็สวยพร้อมด้วยชุดเดรสลูกไม้สีเบจแบรนด์หรูที่มารดาจัดหามาให้ มันสวยพอที่จะเป็นชุดงานหมั้นได้เลยทีเดียว แต่พิชชาภาก็ไม่แน่ใจว่าคืนนี้มารดาจะลงทุนสูญเปล่าหรือเปล่า เพราะหล่อนจะต้องคุยกับธัชนันท์เรื่องรูปถ่ายนั้นให้รู้เรื่องก่อนที่พวกผู้ใหญ่จะตกลงเรื่องงานมงคล

               วันนี้ธัชนันท์ผู้มักอ้างว่างานยุ่งเสมอมาพร้อมกับครอบครัวก่อนเวลานัดหมายครึ่งชั่วโมง แน่นอนว่าพรรณีรีบพาพิชชาภาไปต้อนรับครอบครัวเพื่อนสนิททันที เพราะคงกลัวว่าหากปล่อยให้ภิมุขพูดคุยกับครอบครัวของธัชนันท์ตามลำพัง การแต่งงานที่วาดหวังไว้จะไม่มีวันเกิดขึ้น จะว่าไปแล้วพิชชาภาก็อยากให้คุณปู่ทำอะไรก็ได้เพื่อยับยั้งการแต่งงานครั้งนี้

               “วันนี้เพิร์ลสวยจังเลย ตอนแรกพี่นึกว่าน้าณีพานางแบบที่ไหนมาด้วย” ธัชนันท์ชมหล่อนทันทีที่เดินเข้ามา แต่พิชชาภาไม่ได้ปลื้มกับเขาชมของเขาเลยสักนิด เพราะดูออกว่าเขาพูดเพื่อเอาใจ

               “ขอบคุณค่ะ วันนี้พี่เท็ดเลิกงานเร็วนะคะ ปกติช่วงค่ำๆ พี่จะมีนัดกับลูกค้าตลอด” พิชชาภาอดเหน็บเขาไม่ได้

               “พี่งานยุ่งจริงๆ นะเพิร์ล แต่พอพี่ว่าง พี่รีบก็จัดคิวให้เพิร์ลเป็นคนแรกเลย” ธัชนันท์พูดเสียงหวาน

               พิชชาภาไม่ตอบอะไร หล่อนสวัสดีบิดามารดาของเขาและพูดคุยเรื่องสัพเพเหระซึ่งส่วนใหญ่เป็นคำชมเยินยอว่าหล่อนสวยและเก่ง พิชชาภาอยากหาจังหวะเหมาะๆ เพื่อคุยกับธัชนันท์เป็นการส่วนตัว แต่หล่อนก็ไม่มีโอกาส ซ้ำตอนนี้ก็ถึงเวลารับประทานอาหารค่ำพอดี

               “วันนี้ที่มากันทั้งครอบครัวมีเรื่องอะไรหรือเปล่า” ภิมุขผู้ไม่เคยอ้อมค้อมเอ่ยขึ้นหลังจากรับประทานอาหารไปได้พักหนึ่ง

               “แหม คุณพ่อคะ คุณดากับครอบครัวตั้งใจมาอวยพรวันเกิดคุณพ่อย้อนหลังจริงๆ ค่ะ แต่ก็มีเรื่องสำคัญที่อยากเรียนคุณพ่อด้วยเกี่ยวกับการแต่งงานของเพิร์ลกับเท็ด”

               “เพิร์ลไม่เคยพูดเรื่องนี้กับฉันเลย” ภิมุขเอ่ยเสียงตึง ทำให้บรรยากาศอึมครึมขึ้นมาทันที

               “เพิร์ลยังไม่คิดเรื่องงานแต่งงานค่ะคุณปู่” พิชชาภามีโอกาสได้พูดหลังจากนั่งเงียบอยู่นาน ขืนหล่อนนิ่งเฉย อาจต้องแต่งงานกับธัชนันท์ทั้งที่ยังไม่พร้อม

               “ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ วันก่อนเพิร์ลยังพูดกับแม่อยู่เลยว่าพร้อมแต่งงานแล้ว และพวกเราทุกคนก็คิดว่าจริงๆ แล้วเพิร์ลไม่ควรทำงานหนักอีก”

               “เธอก็เลยคิดว่าการแต่งงานคือทางออกที่ดีสำหรับเพิร์ลงั้นสิ” ภิมุขจ้องหน้าลูกสะใภ้เขม็ง

               “คุณพ่อเองก็เลี้ยงเพิร์ลมาอย่างสุขสบาย ไม่เคยให้ลำบาก จู่ๆ ให้เพิร์ลมาทำงานหนักแบบนี้ ทุกคนก็เป็นห่วง ดูเพิร์ลตอนนี้สิคะ ดูได้ที่ไหน ทั้งดำ หมอง แล้วก็ซูบไปเลย”

               “ฉันไม่เห็นว่าเพิร์ลจะดูผิดปกติตรงไหน เผลอๆ ดูดีกว่าแต่ก่อน...อีกอย่างเพิร์ลเป็นคนพูดเองว่าไม่อยากแต่งงาน จะตกลงอะไรก็ต้องถามความสมัครใจของเจ้าตัว”

               “ผมว่าที่เพิร์ลบอกว่าไม่พร้อมแต่งงานเป็นเพราะงอนผมมากกว่า ขอเวลาผมคุยกับเพิร์ลเป็นการส่วนตัวสักครู่ได้ไหมครับ” 

               พิชชาภารีบเดินตามธัชนันท์ไปคุยที่ระเบียงหน้าบ้าน และเป็นฝ่ายเริ่มการสนทนาด้วยการเปิดรูปที่ชญานีส่งมาให้ชายหนุ่มดูทันที

               “พี่เท็ดจะอธิบายเรื่องนี้ว่ายังไงคะ”

               ธัชนันท์เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย

               “พูดไปเพิร์ลอาจไม่เชื่อ แต่พี่กับเจนไม่ได้มีอะไรกันจริงๆ วันนั้นพี่นัดคุยงานกับเจนแล้วลืมแฟลชไดรฟ์ไว้ เจนเก็บไว้ก็เลยแวะมาให้พี่ที่ร้านอาหารก็แค่นั้น”

               ธัชนันท์เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นซ้ำยังไม่หลบตา ทำให้พิชชาภาชักเริ่มไม่แน่ใจว่าหล่อนระแวงชายหนุ่มไปเองหรือเปล่า

               “พี่เท็ดจ้างเจนให้เป็นพรีเซนเตอร์ฟิตเนสเหรอคะ ทำไมเจนไม่เห็นเล่าให้เพิร์ลฟังเลย” พิชชาภาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนลง 

               “ทางบริษัทเพิ่งตัดสินใจและเซ็นสัญญากับเจนวันที่เรานัดกินข้าวกันนั่นแหละ ใครส่งรูปนั้นมาให้เพิร์ลเหรอ”

               “พี่หญิงค่ะ”

               พอพิชชาภาบอกชื่อลูกพี่ลูกน้องไป ธัชนันท์ก็ถอนใจและมองหน้าหล่อนอย่างอ่อนใจ 

               “เพิร์ลก็รู้ว่าพวกญาติๆ เขาอิจฉาเพิร์ลกันทั้งนั้น ยิ่งตอนนี้เพิร์ลได้ทำโพรเจกต์ใหญ่ก็คงยิ่งหมั่นไส้ เลยหาเรื่องทำให้เพิร์ลทะเลาะกับพี่”

               “แต่พี่หญิงไม่ได้เป็นคนร้ายกาจขนาดนั้นนะคะ” พิชชาภาแก้ตัวเสียงอ่อย ถึงหล่อนจะไม่ได้สนิทสนมกับชญานีมากนัก เรื่องหมั่นไส้กันอาจจะมีบ้างนิดหน่อย แต่ก็ไม่น่าจะคิดร้ายกับหล่อนถึงขนาดกุเรื่องนี้ขึ้น

               “เพิร์ลเป็นคนมองโลกในแง่ดีเกินไป ไม่มีพี่น้องคนไหนที่เพิร์ลไว้ใจได้ทั้งนั้นแหละ ทุกคนก็หวังสมบัติของคุณภิมุขกันทั้งนั้น แต่เพิร์ลไม่ต้องเป็นห่วงนะ ต่อไปพี่จะเป็นคนดูแลเพิร์ลเอง” ธัชนันท์เอ่ยพลางเอื้อมมากุมมือหล่อน

               “ดูแลยังไงคะ ทุกวันนี้พี่เท็ดแทบไม่มีเวลาว่างให้เพิร์ลเลย บางทีเพิร์ลยังสงสัยเลยว่าพี่เท็ดรักเพิร์ลจริงๆ หรือเปล่า จริงๆ เราควรจะเลิกกัน เพราะเพิร์ลไม่มั่นใจในตัวพี่เท็ดอีกต่อไปแล้ว” 

ความรู้สึกในใจของพิชชาภาพรั่งพรูออกมาหลังจากที่เก็บความอึดอัดและความน้อยใจนี้มานาน น้ำตาไหลทั้งที่พยายามห้ามตัวเองไม่ให้แสดงความอ่อนแอนี้ออกมา 

               ธัชนันท์ดึงตัวหล่อนมากอดไว้อย่างปลอบประโลมและเอ่ยเสียงสั่นเหมือนกับเขารู้สึกผิดมากจริงๆ

               “พี่ขอโทษ พี่ไม่คิดว่าจะทำให้เพิร์ลเสียใจมาโดยตลอด ที่พี่ยุ่งๆ ไม่ค่อยมีเวลาให้เพิร์ล เพราะพี่เอาแต่ทำงานจริงๆ พี่อยากให้ฟิตเนสที่กำลังจะเปิดประสบความสำเร็จ จะได้พิสูจน์ให้คุณปู่ของเพิร์ลเห็นว่าพี่คือคนที่เหมาะสมจะดูแลเพิร์ลได้”

               “พี่เท็ดพูดจริงเหรอคะ”

               “จริงสิ พี่จะโกหกเพิร์ลทำไม หรือว่าตอนนี้เพิร์ลไม่ได้รักพี่แล้ว พี่ว่าเพิร์ลดูเปลี่ยนไปตั้งแต่ไปทำงานที่สวนกระบองเพชร”

               พิชชาภานิ่งเงียบไป หล่อนยอมรับว่าตัวเองเปลี่ยนไปจริงๆ ตั้งแต่ได้รู้จักพฤกษ์และทำงานที่สวนกระบองเพชร รวมทั้งความรู้สึกหวั่นไหวแปลกๆ ที่ก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว กลายเป็นว่าคนที่นอกใจอาจไม่ใช่ธัชนันท์ แต่เป็นตัวหล่อนเสียเอง นึกแล้วก็ได้แต่ละอายใจ

               “พี่เท็ดคิดมาก เพิร์ลก็ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่พอได้ทำงาน เพิร์ลเลยได้รู้ว่าการทำอะไรให้สำเร็จ แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย ก็สร้างคุณค่าให้ชีวิตได้”

               “เพิร์ลเปลี่ยนไปมากจริงๆ แหละ ปกติเพิร์ลไม่ใช่คนคิดมากหรือซีเรียสแบบนี้เลย มิน่าล่ะ น้าณีถึงได้เป็นห่วงและอยากให้เพิร์ลเลิกทำงานมาเป็นแม่บ้านให้พี่”

               “เพิร์ลยังไม่พร้อมแต่งงานค่ะพี่เท็ด อย่างน้อยก็ขอให้ทำโพรเจกต์นี้ให้สำเร็จก่อน เพิร์ลไม่อยากให้ใครมาดูถูก”

               “เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาเลย พี่ช่วยงานนี้ได้โดยที่เพิร์ลไม่ต้องเหนื่อย รับรองว่าจะไม่ให้ใครดูถูกเพิร์ลได้แน่”

               “แต่เพิร์ลอยากทำงานนี้เอง” พิชชาภาแย้งเสียงอ่อน 

               “อย่าหลอกตัวเองอีกเลย เพิร์ลไม่เหมาะกับการทำงานหรอก ความสุขของเพิร์ลจริงๆ อยู่ที่การชอปปิง ได้แต่งตัวสวยๆ ใช้ชีวิตดีๆ มากกว่า ขอให้พี่ได้ดูแลเพิร์ล แต่งงานกับพี่นะ”

               พิชชาภาเงียบ คำขอแต่งงานจากปากของธัชนันท์ที่รอคอยมานานได้เกิดขึ้นแล้ว หล่อนควรดีใจและตอบตกลงทันทีไม่ใช่หรือ แต่ทำไมหล่อนถึงลังเลก็ไม่รู้

               “เพิร์ลขอเวลาคิดสักนิดได้ไหมคะ มันปุบปับซะจนเพิร์ลทำตัวไม่ถูกเลย”

               “ก็ได้ พี่หวังว่าจะได้ยินคำว่าตกลงเร็วๆ นี้นะ”

               ธัชนันท์กอดหล่อนแน่นกว่าเดิม แต่พิชชาภากลับรู้สึกว่ากำลังสวมกอดกับคนแปลกหน้า ต่างจากผู้ชายอีกคนที่แค่มองมาความอบอุ่นก็แผ่ซ่านไปถึงหัวใจ หรือว่าหล่อนไม่ได้รักธัชนันท์ แต่จะให้หล่อนเลิกกับเขาก็ดูท่าจะเป็นไปได้ยาก เพราะเขาคือคนที่เหมาะสมกับหล่อนที่สุด บางทีหล่อนควรให้โอกาสธัชนันท์อีกครั้ง และครั้งนี้เขาคงไม่ทำให้หล่อนรู้สึกโดดเดี่ยวหรือถูกละเลยเหมือนที่ผ่านๆ มา 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น