7
ฤทธิ์เดชแม่ตาหนู
ฤทธิ์เดชแม่ตาหนู
คราที่ได้ทราบกิตติศัพท์ความใจดำของปู่ย่าพันรบจากเรื่องราวที่ชายหนุ่มเล่า ร้อยรักก็นึกจินตนาการว่าพวกเขาคงจะเป็นคนรวยแต่งตัวหรูหรา ดูถูกคนที่ต่ำกว่า และชอบกดผู้คนด้วยการปรายตามองแบบเหยียดๆ
ทว่า...ชายหญิงสูงวัยที่นั่งอยู่บนโซฟากลางบ้านตนนั้นกลับแต่งกายเรียบง่ายกว่าที่คิด ด้วยความเป็นสไตลิสต์ที่คุ้นเคยกับแบรนด์เสื้อผ้าเป็นอย่างดี มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเสื้อผ้าของทั้งคู่เป็นแบรนด์ที่ราคาจับต้องได้ ไม่แพงมากนัก
บุคลิกของพวกเขาก็ดูใจดีกับเธอ ทั้งยังมองเธอด้วยแววตาเอ็นดู จนเธอได้แต่งงระคนสงสัย เจอกันครั้งแรกก็เมตตาเธอขนาดนี้เชียวหรือ
“หนูร้อยรัก ตัวจริงสวยกว่าในรูปอีกนะ” พิชัยยุทธชมเชยพลางพินิจพิจารณาใบหน้าร้อยรักอย่างละเอียดถี่ถ้วน เข้าใจแล้วว่าทำไมตาหนูในฝันถึงได้หล่อน่ารักนัก แม่หน้าตาดีจัดอย่างกับดาราอย่างนี้นี่เอง
“ขอโทษนะหนู ทนายฉันสืบเรื่องหนูกับแม่หนูน่ะ ทนายฉันก็แค่เป็นห่วงรบ อยากรู้ว่ารบอยู่กับใคร อะไรยังไง หนูอย่าโกรธฉันกับทนายฉันเลยนะ” เอ่ยเสียงเรียบอย่างต้องการที่จะสานสัมพันธ์อันดีกับคนวัยสาว
“ไม่โกรธหรอกค่ะ รักเข้าใจ”
พิชัยยุทธยิ้มรับ และเริ่มกระบวนการสัมภาษณ์ว่าที่หลานสะใภ้ “ทำงานเป็นสไตลิสต์อิสระเหรอหนู”
“ค่ะ รับงานเป็นงานๆ ไป ตามแต่ใครจะมาจ้างให้รักช่วยหาเสื้อผ้าและดูแลลุคให้ค่ะ”
คนสูงวัยยิ้ม ในใจก็เริงร่า...ทำงานแบบอิสระ ไม่ต้องเข้าออฟฟิศ เลือกสรรจัดการชีวิตตัวเองได้ตามต้องการ ถ้าแต่งงานมีครอบครัว แล้วเลือกที่จะไม่รับงาน เพื่อให้เวลาลูกและสามี....ตาหนูกับพันรบคงจะอบอุ่นและมีความสุขมาก
“แล้วหนูมีแฟนหรือยัง”
“คะ?” หญิงสาวตกใจกับคำถาม พลันก็ทำหน้าเจื่อน เก้อกระดากที่โดนถามเรื่องส่วนตัว
“ทำไมต้องถามซอกแซกขนาดนี้ด้วยครับ” พันรบเอ่ยแทรก นัยน์ตาวาววับอย่างไม่ชอบใจ
“ฉันถามหนูร้อยรัก ไม่ได้ถามแกสักหน่อย” ปะทะฝีปากกับหลานชายแล้ว พิชัยยุทธก็สัมภาษณ์ต่อ “ว่าไงหนู มีแฟนหรือยัง”
“เอ่อ...ยังค่ะ”
“อืม...” ครางในลำคอเพราะคำตอบแสนถูกใจ แต่กระนั้นก็ยังวางใจไม่ได้ เขาเลยเอ่ยต่ออย่างต้องการจะหลอกถาม “แต่สวยขนาดนี้ สงสัยหนูคงมีคนจีบเยอะแน่เลย...ใช่ไหม”
“ก็...มีบ้างค่ะ”
“ฉันว่าไม่บ้างละมั้ง น่าจะเยอะเชียวละ” พิชัยยุทธเย้าหยอก ก่อนจะพุ่งเข้าประเด็นสำคัญ “แล้วหนูอยากแต่งงานตอนอายุเท่าไร”
คำถามของเขาทำร้อยรักหน้าเหลอ นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ส่วนพันรบ ด้วยความที่อยากจะรู้คำตอบเช่นกันเลยไม่ขัดอะไร นั่งเงียบรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ
“เอ่อ...หนูยังไม่ได้คิดเรื่องนี้เลยค่ะ”
“อืม...แล้วชอบผู้ชายแบบไหน อายุมากกว่าหรือน้อยกว่า” ลองหยั่งเชิงคนที่ตัวเองมุ่งหวังอยากได้มาเป็นหลานสะใภ้ ก่อนจะยิ้มมุมปากอย่างนึกสนุก แล้วเอ่ยทีเล่นทีจริง “ถ้าชอบคนอายุมากกว่า ลูกชายฉันก็ยังไม่ได้แต่งงานเลยนะ หล่อ หน้าที่การงานเยี่ยม สุขุม อบอุ่น...”
“ตกลงพวกคุณมาที่นี่ทำไมครับ” พันรบโพล่งแทรกด้วยเสียงที่พยายามบังคับให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยกำลังข่มกลั้นอารมณ์กรุ่นโกรธที่กำลังแผ่ซ่านไปทั่วอก เขาไม่ชอบเลยที่พิชัยยุทธนำเสนอพิธานให้ร้อยรัก
แค่นึกภาพว่าตนจะมีคู่แข่งแบบพิธาน ที่เสมอกันแค่หน้าตา แต่นอกนั้นเหนือกว่าตนในทุกด้าน พันรบก็นึกหวั่นจนใจสั่นไหวไปด้วยความกังวลมหาศาล
กลัวว่าร้อยรักจะสนใจอาตนจริงๆ
หวง...ไม่อยากให้เธอมองใคร
“รบจะเตรียมทำมื้อเที่ยงให้พี่กินไม่ใช่เหรอ ไปทำตอนนี้เลยได้ไหม” ร้อยรักหันไปเอ่ยกับคนข้างๆ ด้วยน้ำเสียงหวานใสที่ต้องการปลอบประโลมเขา
ก่อนที่คนแก่ทั้งสองจะโผล่มา พันรบกำลังอวดกับเธอว่าได้ฝีมือการทำอาหารจากผู้เป็นลุงมา เลยจะเตรียมทำมื้อกลางวันให้เธอกิน...และด้วยเห็นท่าไม่ดี เกรงว่าหลานและปู่จะเถียงกันยาว เธอเลยยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดเพื่อจบศึกฝีปาก
“นะ...พี่หิวแล้ว”
เจอเธอร้องขอซ้ำ พันรบก็ยังคงเงียบ และมองเธออย่างเป็นห่วง ร้อยรักเลยส่งสายตาที่สื่อความหมายให้เขามั่นใจว่าเธอรับมือได้
“ผมไปก็ได้ครับ”
เขาบอกพลางลุกเดินไปที่ครัวอย่างว่าง่าย ทำเอาพิชัยยุทธนึกทึ่งที่ร้อยรักจัดการหลานชายได้อยู่หมัดชนิดที่ว่าตนไม่มีทางทำได้
“รบดูฟังหนูจังนะ คนละโยชน์กับฉันเลย กับฉันนี่ตั้งท่าต่อต้านลูกเดียว” คนสูงวัยบ่นออกมา ก่อนจะถามคนรุ่นสาวตามตรง “หนูรู้เรื่องระหว่างรบกับฉันแล้วใช่ไหม”
“รู้แล้วค่ะ รบเล่าให้รักฟังทั้งหมดแล้ว” ร้อยรักยอมรับตามตรงเช่นกัน ก่อนจะถามดังเช่นที่พันรบถาม “ตกลงพวกคุณมาหารักทำไมคะ”
“เราก็แค่...อยากมาทำความรู้จักกับคนที่ตารบอยู่ด้วย อยากสานสัมพันธ์กันไว้”
“เพื่ออะไรคะ...เพื่ออยากให้ช่วยเรื่องรบใช่ไหม”
ร้อยรักจี้ถามจนคนแก่หน้าม้าน ก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆ นอกจากจะอยากเจอร้อยรักเพราะคิดว่าเธออาจจะมีความเกี่ยวข้องกับตาหนูในฝันแล้ว พิชัยยุทธยังรู้สึกว่าผู้หญิงที่อยู่ในหัวใจพันรบคนนี้อาจจะช่วยตนง้อหลานได้
ผู้ชาย...ให้แข็งกับใครๆ อย่างไร ทว่ากับเธอที่รักก็มักจะอ่อนเหลวได้เสมอ
ดูอย่างเมื่อกี้นั่นปะไร แค่ร้อยรักเอ่ยเสียงอ่อนเสียงหวานเข้าหน่อย หลานจอมดื้อก็หายพยศขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“ขออนุญาตถามอะไรตามตรงได้ไหมคะ” รอจนพิชัยยุทธและภารดีพยักหน้ารับ ร้อยรักก็ค่อยเกริ่น “พวกคุณ...รักรบไหมคะ”
คนแก่ฝ่ายชายไม่ตอบอะไร เอาแต่นิ่งเงียบพร้อมกับเหลือบมองไปยังห้องครัวอย่างอ่อนโยน ส่วนคนแก่ฝ่ายหญิงนั้นก็เข้าใจคนปากแข็งอย่างสามี เลยยอมพูดเอง
“รักสิหนู ฉันกับปู่ตารบรักตารบมาก”
พอได้คำตอบ ร้อยรักก็ถอนใจ “รัก...แล้วทำไมไม่พยายามให้สมกับที่บอกว่ารักล่ะคะ เคยขอโทษหลานแบบที่ออกมาจากใจบ้างไหม”
“ถ้าหนูจะหมายถึงเรื่องอดีต ตอนนั้นเราไม่รู้จริงๆ ว่าพ่อรบเขา...”
คนวัยสาวถอนใจใส่คนแก่ฝ่ายชายที่กำลังจะแก้ต่างให้ตนเอง ก่อนจะเอ่ยแย้ง “เวลาจะขอโทษใคร คุณจะมีเหตุผลมาประกอบการขอโทษเสมอเลยใช่ไหมคะ”
“...”
“คุณคงมีเหตุผลว่าเพราะอย่างนั้น เพราะอย่างนี้ สารพัดที่จะยกมาพูดเพื่อขอความเห็นใจจากรบ แต่คุณไม่เคยพูดออกมาเลยใช่ไหมว่า...ปู่ผิดเองรบ ปู่ขอโทษ รบยกโทษให้ปู่ได้ไหม”
พิชัยยุทธงันไป นั่นทำให้ร้อยรักได้คำตอบแจ่มชัดเลยว่าเขาไม่เคยเอ่ยวาจาขออภัยอย่างเป็นจริงเป็นจังกับพันรบเลย
“แค่ขอโทษหลานจากใจยังไม่เคยทำ แล้วจะมาเรียกร้องอะไรจากเขาคะ”
โดนวาจาที่เปรียบเสมือนดาบคมๆ มาปักที่กลางอก พิชัยยุทธก็อึ้ง ส่วนภารดีนั้นกลั้นขำเสียแทบแย่ ยิ่งมองท่าทีที่เถียงไม่ออกของสามีหัวแข็งก็ยิ่งขัน....ตาแก่เอ๊ย โดนว่าที่หลานสะใภ้ตอกหน้าตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน สะใจจริงจริ๊ง
ก่อนหน้าที่จะมาหาร้อยรัก ภารดีก็งงอยู่เหมือนกันว่าพันรบรักเธอคนนี้ตอนไหน และเหตุใดจึงมาหลงรักสาวที่อายุมากกว่าถึงห้าปี ไม่ยักจะสนใจสาววัยเดียวกัน แต่มาตอนนี้เธอก็เข้าใจและรู้ซึ้งแล้วว่า...ไม่ต้องไปหาเหตุผลหรอกว่าพันรบเธอรักเธอคนนี้ได้อย่างไร รักเมื่อไร เพราะคงไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการที่เธอคนนี้ควรค่าที่จะให้หลานชายรัก
ชอบเหลือเกินที่ร้อยรักกล้าปะฉะดะกับสามี เพราะแสดงให้เห็นว่าเธอคนนี้ไม่ใช่คนที่ยอมก้มหัวหวั่นเกรงบารมีหรือความยิ่งใหญ่ของใคร แต่จะทำในสิ่งที่เห็นว่าถูกต้องเท่านั้น
“รักจะไม่พูดถึงการกระทำในอดีตของพวกคุณ เพราะยังไงมันก็ผ่านมาแล้ว รักขอพูดแค่การกระทำในตอนนี้...สิ่งที่พวกคุณทำ มีแต่จะทำให้รบรู้สึกแย่ บีบให้เขาไปเจอโดยเอาเรื่องงานของแม่แรมมาเป็นเหยื่อล่อ...” ร้อยรักเอ่ยอย่างกรุ่นโกรธที่มารดาโดนลากเข้ามาเกี่ยวข้อง ก่อนจะเอ่ยต่ออย่างตัดสินใจแล้ว “ถ้าพวกคุณหวังจะให้รักช่วยเกลี้ยกล่อมรบ ให้รบไปอยู่กับพวกคุณ รักขอบอกเลยว่า รักไม่ทำค่ะ”
“ทำไมล่ะหนู” พิชัยยุทธถามอย่างไม่เข้าใจ
“รบน่ะ...เขาต้องว้าเหว่ อยู่แบบไม่มีพ่อแม่มานานนะคะ ในเมื่อตอนนี้รบไว้ใจและหวังให้รักกับแม่เป็นครอบครัวเขาด้วย รักก็จะไม่ผลักไสรบ รักจะไม่ทำให้เขารู้สึกว่ารักไม่ต้องการเขา หรือไม่อยากให้เขาอยู่ที่นี่”
ได้ฟังเหตุผลเข้า พิชัยยุทธก็หน้าเจื่อน อับจนคำพูดใดๆ ที่จะแย้งเธอได้
“คุณอยากให้ทุกอย่างแก่รบ เพราะอยากชดเชยความรู้สึกผิดที่มีต่อพ่อของเขา เป็นการซื้อความสบายใจให้ตัวเอง ไถ่โทษทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดี สุดท้ายคุณก็ทำทุกอย่างเพื่อตัวเอง ไม่ใช่เพื่อรบ” สาวสวยตอกหน้าคนสูงวัยอีกคราจนเขาหน้าเจื่อนกว่าเดิม “วันที่เขาไปหาคุณ คุณคงพูดจี้จุดเรื่องที่ไม่ควรพูด ตอนที่เขากลับมา เขาถึงได้หน้าเศร้ามาก แถมยังร้องไห้ด้วย”
พิชัยยุทธเบิกตากว้าง ถามอย่างแปลกใจ “รบร้องไห้ด้วยเหรอ ต่อหน้าฉัน เห็นเจ้าหลานตัวดีเอาแต่ตั้งท่าเถียงคอเป็นเอ็น...”
“ก็เหมือนใครล่ะฮะ”
“อะไรล่ะคุณ” คนโดนแหวหันไปบ่นอุบอย่างกระดากอายที่ภรรยาส่งเสียงแทรกมา
“คุณจะมาทำท่าแปลกใจอะไรมิทราบ ไอ้เรื่องทำเป็นแข็งต่อหน้าคนอื่น แล้วก็มาแอบร้องไห้น่ะ หลานมันได้ใครมาล่ะ”
“อย่ามาเผากันตอนนี้สิคุณ”
“ฉันจะเผา จะทำไม” โวยใส่อย่างหมั่นไส้ ก่อนจะเหน็บสามีให้หญิงสาวคนสวยฟัง “หนูรักรู้ไหม ตาแก่นี่น่ะขี้แยจะตายไป”
ร้อยรักหลุดยิ้ม ก่อนจะเอ่ยด้วยความเป็นกลางที่สุด “รักจะช่วยพวกคุณก็ต่อเมื่อได้เห็นว่าพวกคุณพยายามง้อหลานจนสุดความสามารถ และถ้าจะทำเพื่อรบจริงๆ ก็ยึดเอาความสุขเขาเป็นที่ตั้งเถอะค่ะ ไม่ใช่ยึดแต่ความสุขของตัวเอง”
ทุกวาจาของร้อยรักนั้นจี้ใจดำจนคนแก่ที่มักจะไม่ฟังใครอย่างพิชัยยุทธ ยอมฟังเธออย่างไม่อาจเถียงอะไรได้สักคำ
ชายสูงวัยมองเธอด้วยความประทับใจ...หนูร้อยรักคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ มีทั้งความอ่อนโยนที่มอบให้พันรบจากหัวใจ มีทั้งความเป็นผู้ใหญ่ซึ่งมากพอที่จะเป็นที่พักพิงให้พันรบที่อายุน้อยกว่าตัวเอง
เธอช่างเหมาะสมกับหลานชายเขาที่สุด
แม้จะรู้ว่าการมารับประทานมื้อกลางวันที่โรงอาหารของโรงเรียนพิริยศึกษาเพื่อหวังว่าตนจะได้เจอปราชญ์จะเป็นการกระทำที่น่าขันเพียงใด แต่พิธานก็ขอลุ้นดูสักตั้ง
สองขาของเขาก้าวเข้าไปในโรงอาหารด้วยความน่าเกรงขาม ท่ามกลางความตื่นเต้นของเหล่านักเรียนที่กำลังอึ้งเมื่อผู้อำนวยการหนุ่มมารับประทานอาหารร่วมกับพวกเขา
จัดการซื้อข้าวราดแกงเรียบร้อยแล้ว พิธานก็สอดส่ายสายตามองหาปราชญ์อยู่ครู่หนึ่ง ซึ่งก็ไม่น่าเชื่อเลยว่าสุดท้ายเขาจะได้เจอปราชญ์จริงๆ
เด็กชายนั่งอยู่ด้านในสุดของโรงอาหาร และน่าประหลาดเหลือเกินที่โต๊ะนั้นไม่มีใครนั่งกับปราชญ์เลย พอเขาเดินไปหา ปราชญ์ก็ยกมือไหว้
“สวัสดีครับ ผอ.”
“สวัสดี ทำไมนั่งคนเดียวล่ะปราชญ์” ถามพลางนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม
ส่วนคนโดนถามก็ยิ้มแหย “ผม...ไม่มีเพื่อนน่ะครับ”
“ไม่มีเพื่อน? ทำไมไม่มีเพื่อน”
“เอ่อ...คือ...ผม...”
ท่าทีอึกอักของเด็กชายปราชญ์ทำพิธานฉุกคิดได้ว่าอย่าเพิ่งจู้จี้ถามในตอนนี้ ด้วยอาจมีอะไรที่เด็กกำลังลำบากใจ เขาเลยเปลี่ยนคำถามเป็นเรื่องที่อยากรู้จนต้องมารับประทานมื้อกลางวันที่นี่
“น้าเธอเป็นยังไงบ้าง”
“ก็ต้องลางานยาวเลยครับ บ่นใหญ่เลย”
พิธานอมยิ้ม เมื่อนึกภาพการบ่นของปริมา ก่อนถามต่อ “แล้ว...อยู่กันแค่สองคนน้าหลานเหรอ”
“ครับ”
“ไม่มีใครมาคอยดูแลน้าเธอเลยเหรอ” สีหน้าปราชญ์งงงวยจนพิธานต้องขยายความ “ผอ. หมายถึงเพื่อน หรือไม่ก็...แฟน”
“อ๋อ น้าปริมขี้เกรงใจ ไม่ให้เพื่อนมาดูแลตัวเองหรอกครับ และน้าปริมก็ไม่มีแฟน น้าปริมโสดมาตลอดเลยครับ”
คำตอบนี้ทำเขายิ้มกว้างอย่างดีใจ จนเด็กชายปราชญ์เลิกคิ้วสงสัย และความที่กลัวเด็กจะจับไต๋ได้ว่าตนกำลังมาตีเนียนหลอกถาม พิธานเลยยกมือจับเนกไทแล้วยืดตัวตรง วางท่าให้ดูน่าเชื่อถือ
“เดี๋ยวหลังเลิกเรียนแล้วไปเจอ ผอ. ด้วยนะ ผอ. จะไปส่งบ้าน จะไปดูว่าคุณปริมอาการเป็นยังไงบ้าง เพราะยังไงนี่ก็คือความรับผิดชอบของ ผอ.”
สั่งการแล้วก็นั่งกินข้าวกลางวันกับเด็กชายปราชญ์ไปเงียบๆ พลางลอบยิ้มมุมปากอย่างสมใจที่ตัวเองกำลังจะได้เจอปริมา
คราที่ยายหนูในฝันบอกว่า ‘พ่อได้เจอแม่แล้วค่ะ...ต่อไปต้องทำให้แม่รักพ่อ และยอมมีหนูให้ได้นะคะ จุ๊บๆ’
ประโยคนี้ทำเขาครุ่นคิดไปอยู่พักหนึ่งว่าแม่ของแกเป็นใคร แล้วจู่ๆ ใบหน้าของหญิงสาวที่ทำให้ตนใจเต้นก็ลอยเข้ามาในมโนสำนึก จนทำให้เขาอบอุ่นและมั่นใจอย่างประหลาดว่าปริมาคือแม่ของยายหนู
ตอนที่บิดาเรียกไปคุยว่ามีผู้หญิงที่ชอบบ้างหรือยัง เขาเลยทำได้แค่บอกไปว่า ขอเวลาให้เขาได้ทำอะไรสักอย่างก่อน และอะไรที่ว่าก็คือการพิสูจน์ว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นเป็นความจริงหรือเขาละเมอเพ้อพกไปเอง
ซึ่งถ้ามีอะไรมารับประกันว่าเป็นความจริงละก็...พิธานก็จะสู้ขาดใจ เพื่อยายตัวเล็กสุดน่ารักในความฝัน และเพื่อตัวเองที่จะได้มีเมียกับเขาสักที
“ดูท่าแล้ว พวกเขาคงจะมาหาพี่รักอีกแน่ๆ เลยครับ ผมขอโทษนะครับพี่รัก ที่พวกเขามายุ่งวุ่นวายกับพี่รัก”
หลังจากออกมาส่งคนแก่ทั้งสองขึ้นรถของที่บ้านพิริยนารถเรียบร้อยแล้ว พันรบก็บ่นกับคนที่กำลังเดินเคียงกันเข้าไปในบ้านอย่างไม่ชอบใจ
ส่วนเธอนั้นอมยิ้มพลางแกล้งถาม “แล้วรบอยากให้พวกเขามาไหม”
“ก็...ไม่อยากหรอกครับ”
“จริงเร้อ...” มองเขาด้วยนัยน์ตาวิบวับเป็นเชิงล้อ “ใครน้อ ทำเป็นตึงตังใส่คนแก่ แต่ก็ตั้งใจทำอาหารกลางวันสุดฝีมือ”
“ผมตั้งใจทำให้พี่รักกินหรอก ทำเผื่อพวกเขาตามมารยาท...ก็แค่นั้น”
“จ้า ทำตามมารยาทเสียเยอะเลยนะ” แกล้งเย้าคนที่ทำเป็นตีรวนแก้เก้อใส่กัน เขาทำอาหารเสียหลายอย่าง แถมเมนูบางอย่างก็เป็นเมนูเบาๆ รสชาติไม่จัดมาก แบบที่ดูก็รู้ว่าตั้งใจทำให้คนแก่ ทางฝั่งคนแก่ทั้งสองก็กินไปน้ำตาคลอไป คงจะดีใจกันมากที่หลานยอมลงให้บ้าง
“พรุ่งนี้ก็จะทำงานแล้ว รบเตรียมตัวทุกอย่างพร้อมแล้วนะ” เธอเปลี่ยนไปถามเรื่องงานแทน ด้วยเห็นว่าเขาเขินจนหน้าแดงไปหมด พอเขาพยักหน้ารับก็บอกเรื่องตน “เดี๋ยวเย็นนี้พี่มีนัดดินเนอร์นะ ฝากบอกแม่พี่ด้วยล่ะ เผื่อพี่ออกไปก่อนแม่จะกลับ”
“ดินเนอร์กับผู้ชายเหรอครับ”
“ก็...อืม พี่เบี้ยวนัดเขามาหลายครั้งแล้วน่ะ” หญิงสาวชี้แจงไปแล้ว พันรบก็หน้าหมองจนร้อยรักเอะใจ “รบเป็นอะไร ทำไมทำหน้าแบบนี้”
“เปล่าครับ ผมไม่ได้เป็นอะไร”
ปากบอกว่าเปล่า...แต่หันหน้าหนีกัน ทำเอาร้อยรักชักใจไม่ดี จึงถามร้อนรนอย่างเป็นห่วง
“มีอะไรก็บอกพี่สิ”
“ช่างผมเถอะครับ”
“ไม่เอาน่า ไหนบอกพี่หน่อยเร็ว ว่าเป็นอะไร”
เสียงอ่อนหวานอย่างง้องอนกันของเธอทำพันรบใจอ่อนยวบ ถอนใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะบอกว่า “ผมไม่อยากให้พี่รักไป เดี๋ยวผมก็ทำงานแล้ว ไม่รู้ว่าตัวเองจะมีเวลาอยู่กับพี่รักและป้าแรมได้มากแค่ไหน ผมเลยอยากให้พี่รักอยู่กับผม...แต่ถ้าพี่รักอยากไปก็ไปเถอะครับ ผมจะไปมีสิทธิ์ห้ามอะไรได้ล่ะ”
แล้วชายหนุ่มก็หมุนตัว แสร้งตั้งท่าเตรียมขึ้นบันได ห่อไหล่เสมือนว่าตัวเองจ๋อยซึมเสียเต็มประดา...จะได้ผลไหมหว่า
“เดี๋ยวรบ!”
เสียงห้ามของเธอทำเขายิ้มกว้าง ก่อนจะรีบปรับสีหน้าให้เศร้าหมอง แล้วหันกลับไปตอบรับ
“ครับ”
“พี่...ไม่ไปแล้วละ พี่จะอยู่กับรบนะ”
ได้ฟังแล้วพันรบก็ยิ้มกริ่ม...เธอเลือกที่จะอยู่ด้วยกัน ไม่ได้เลือกไปกับผู้ชายอีกคน ทำเอาเขาทั้งสะใจทั้งสมน้ำหน้าไอ้บ้านั่นนัก ที่โดนเบี้ยวนัดอีกแล้ว
หึ!
‘ดินเนอร์ไปคนเดียวเถอะแก พี่รักต้องเป็นของฉัน ไม่ใช่ของแก!’
ใครๆ ก็ล้วนบอกว่าปริมาคือสาวแกร่งและบ้างานเป็นที่หนึ่ง ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เธอไม่เคยลางาน ไม่เคยหยุดงาน จนพี่ๆ ในบริษัทแทบจะยกตำแหน่งวิศวกรดีเด่นประจำองค์กรให้ ทั้งยังพูดแนะนำตลอดว่าอยากให้เธอพักและมีเวลาให้ตัวเองได้ผ่อนคลายบ้าง
พอเธอเปลี่ยนสถานะจากหญิงถึกมาเป็นเดี้ยงศรี ต้องใส่เฝือกที่แขน ก็ดันกลายเป็นว่ามีแต่คนมาเย้าแหย่ในทำนองยินดีด้วย บอกว่าคนบ้างานอย่างเธอจะได้ถือโอกาสพักผ่อนอยู่ที่บ้านเหมือนใครเขาบ้าง
และจากการได้ใช้โอกาสนี้มาตั้งแต่เช้า ปริมาก็เข้าใจทุกอย่างเลยว่าทำไมพี่ๆ ถึงอยากให้เธอได้พักบ้าง การยกเรื่องงานออกไปจากหัวก่อนทำให้เธอละทิ้งความรับผิดชอบต่างๆ ที่แบกไว้ไปได้เปลาะหนึ่ง
แม้จะทุลักทุเลเวลาต้องทำกิจกรรมต่างๆ แต่เพราะแขนอีกข้างยังใช้การได้ปกติ การดำรงชีพอยู่ในบ้านของเธอเลยไม่แย่นัก
เมื่อทำข้าวไข่เจียวเป็นมื้อกลางวันให้ตัวเองเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็นั่งๆ นอนๆ อยู่บนโซฟาดูการถ่ายทอดสดฟุตบอลทางโทรทัศน์ แต่เพราะหนังท้องตึงมาก หนังตาก็เลยหย่อน สุดท้ายปริมาก็หลับใหลไปทั้งที่มือยังคงถือรีโมตอยู่
เวลาผ่านไปนานเท่าไรก็ไม่อาจรู้ได้...รู้อีกทีปริมาก็ตื่นเพราะเสียงใสที่ดังข้างหู
“แม่ขา...แม่ขา...”
เธอผุดลุกขึ้นนั่ง หันไปหาเจ้าของเสียง และเบิกตากว้างอย่างตกใจสุดขีดเมื่อเห็นเด็กผู้หญิงหน้าตาจิ้มลิ้มสวมชุดกระโปรงสีขาว ซึ่งกำลังยิ้มร่าน่ามันเขี้ยวเหลือเกิน
“หนูเป็นใครเนี่ย หนูเข้ามาในบ้านฉันได้ยังไง”
ยายตัวเล็กหัวเราะคิกคัก ก่อนจะเอ่ยเจื้อยแจ้ว “มาได้ยังไงไม่สำคัญเท่ากับมาทำไมหรอกค่ะ”
“แล้วหนูมาทำไม แล้วเมื่อกี้เรียกฉันว่าอะไรนะ”
“แม่ไงคะ แม่ปริมของหนู หนูมาหาแม่ค่ะ”
“อย่ามามั่วนะเด็กน้อย แม่อะไร ฉันไม่ใช่แม่หนู” ปริมาปฏิเสธเสียงแข็ง ไม่ยอมรับสถานะที่เด็กน้อยเรียกเด็ดขาด
“จะไม่ใช่ได้ยังไงคะ” หนูน้อยเม้มปาก ทำหน้ามู่ทู่อย่างโกรธเคือง ก่อนจะเท้าเอวบอกแจ้วๆ “แม่คือแม่ของหนูค่ะ รู้ไว้ด้วย”
“บอกว่าไม่ใช่ไง ฉันไม่มีลูก”
“ต้องมี หนูจะมาเป็นลูกแม่”
ความต้องการอันแรงกล้าของหนูน้อยทำปริมาตาเหลือก ตื่นตระหนกจนแทบจะช็อก และในจังหวะที่เธอกำลังจะเถียงกลับว่าเธอไม่มีวันเป็นแม่ใคร เธอก็ดันสะดุ้งตื่นขึ้นมาเสียก่อน
พอสะบัดหัวเรียกสติสัมปชัญญะให้เข้ามาอยู่กับตน ก็พลันนึกรู้ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่ใช่เรื่องจริง มันเป็นเพียงแค่ความฝัน
เธอไม่ได้มีลูก ไม่มีเด็กผู้หญิงที่ไหนมาเรียกเธอว่าแม่
และในขณะที่กำลังถอนใจโล่งอกอยู่นั้นเอง หลานชายก็ไขลูกบิดเปิดประตูเข้ามาในบ้านพอดี เธอเลยหันไปหา กะว่าจะร้องทักต้อนรับหลานกลับบ้าน แต่ทำได้แค่อ้าปากค้าง เพราะมีคนร่างสูงในชุดสูทสุดเนี้ยบเดินตามหลานเข้ามาด้วย
“คุณ...ผอ.!”
เขายิ้มรับ ก่อนบอกอย่างสุภาพ “สวัสดีครับคุณปริม พอดีผมอยากมาดูว่าคุณเป็นยังไงบ้างน่ะ”
ยังไม่ทันที่ปริมาจะนึกออกว่าควรตอบเขาไปว่าอย่างไร ควรรับน้ำใจหรือให้เขากลับออกไป ปราชญ์ก็โพล่งถามขึ้นมาเสียก่อน
“น้าปริมเป็นอะไรครับ หน้าซีดมากเลย”
“พอดีน้าฝันร้ายน่ะ ฝันถึงเด็กผู้หญิงคนนึง มาเรียกน้าว่าแม่อยู่ได้ อยากจะบ้าตาย”
วาจาไม่สบอารมณ์ที่ระบายออกมาทำพิธานเบิกตากว้าง ตื่นเต้นยินดีจนหัวใจพองโต...เด็กผู้หญิงในฝันของปริมาต้องเป็นยายตัวเล็กแน่ๆ
ปริมาคือแม่ของยายหนูจริงๆ ด้วย!
ชายหนุ่มยิ้มกว้าง แสดงความเริงร่าผ่านสีหน้าจนปริมาผิดสังเกต
“คุณยิ้มอะไร”
“เอ่อ...เปล่าครับ ไม่มีอะไรหรอก” บอกปัดไปก่อน ก่อนทำหน้ามึนเดินไปนั่งข้างสาวเจ้า ถามถึงอาการของเธอเพื่อเบี่ยงประเด็น “คุณเป็นยังไงบ้าง อยู่บ้านวันนี้ โอเคไหม”
“ก็โอเค จริงๆ คุณไม่ต้องมาดูแลรับผิดชอบอะไรแล้วก็ได้ แค่ที่พาไปโรงพยาบาล จัดการทุกอย่างให้นั่นก็เพียงพอแล้วละ” ปริมาเอ่ยกับเขาอย่างเกรงใจ ก่อนจะหันไปหาหลานที่ยังคงยืนอยู่ “วันนี้เด็กวิคเตอร์นั่นยังแกล้งอยู่ไหม”
ชื่อที่ได้ยินทำพิธานขมวดคิ้ว ก่อนถามแทรก “วิคเตอร์...ปราชญ์มีปัญหากับวิคเตอร์เหรอ”
“ใช่! คุณรู้ไหม เด็กนั่นอิจฉาที่หลานฉันสอบเข้าด้วยคะแนนอันดับหนึ่ง เลยหาเรื่องแกล้งหลานฉันตลอด ล้อว่าหลานฉันจน ถ้าไม่สอบได้ทุนก็คงไม่มีปัญญามาเรียน แถมยังสั่งให้เพื่อนในห้องเลิกคบเลิกคุยกับหลานฉันด้วย” ปริมาฟ้องอย่างอดรนทนไม่ไหว และถามเสียงเขียวอย่างไม่พอใจ “ทำไมเด็กนั่นถึงได้มีอภิสิทธิ์ขนาดนี้คะ คุณผู้อำนวยการโรงเรียนพิริยศึกษา ฉันขอคำชี้แจงด่วน!”
พิธานอึ้งงัน ไม่คิดเลยว่าลูกชายของแวววิไลจะเกเรถึงเพียงนี้ พลันเข้าใจแล้วว่าทำไมปราชญ์จึงนั่งกินข้าวคนเดียว
ชายหนุ่มถอนใจ ก่อนจะพูดกับสาวเจ้าด้วยความใจเย็น “ก่อนอื่น ผมต้องบอกก่อนว่าผมไม่ได้ให้อภิสิทธิ์ใคร ผมยุติธรรมพอ”
“เหรอ แล้วทำไมเด็กนั่นถึงนิสัยนรกแตกขนาดนี้ล่ะฮะ” ปริมาโต้กลับเสียงแข็ง หันมาถามหลานอีก “ว่าไงปราชญ์ มีใครหนุนหลังเด็กนั่นใช่ไหม บอกน้ามา ไม่ต้องกลัวใคร”
“คือ...” ปราชญ์อึกอัก ก้มหน้าหนีสายตาเข้มงวดระคนห่วงใยของผู้เป็นน้า ก่อนจะสารภาพเสียงอ่อย “วิคเตอร์บอกว่า น้าของเขาคือแฟน ผอ. เพื่อนในห้องเลยอยู่ข้างเขาครับ”
“เด็กนั่นคือหลานของแฟนคุณนี่เอง!”
“ไม่ใช่นะครับ ผมไม่มีแฟนนะ” ผู้อำนวยการหนุ่มปฏิเสธด้วยน้ำเสียงร้อนรนทั้งกับคนที่ทำตาวาววับใส่กันและนักเรียนของตน “ผอ. กับน้าของวิคเตอร์ไม่ได้เป็นแฟนกัน”
ปริมาแบะปาก ถอนใจใส่เขา ส่วนปราชญ์ก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี เลยค้อมหัวให้ผู้ใหญ่แล้วหมุนตัวเพื่อจะเดินไปที่ครัวและเอาน้ำมาเสิร์ฟให้แขก
ครั้นเด็กชายเดินห่างออกไปแล้ว พิธานก็ย้ำความสัมพันธ์ของตนเองกับวิมพ์วิภาให้ปริมาได้ทราบอีกครา “ผมไม่ได้เป็นแฟนกับน้าของวิคเตอร์จริงๆ นะ ผมคิดกับเขาแค่น้องสาว”
“คุณจะเป็นแฟนหรือไม่เป็นแฟนกับใครมันก็เรื่องของคุณ ฉันไม่สน ฉันสนแค่ว่าเด็กนั่นนิสัยไม่ดี แกล้งหลานฉัน ไอ้หลานฉันมันก็ใจเย็นสงบปากสงบคำ กว่าจะยอมบอกว่าโดนแกล้ง ฉันก็ต้องเค้นแล้วเค้นอีก แถมยังไม่ชอบมีเรื่องกับใคร จนน้าอย่างฉันต้องเดือดร้อนแทน!”
“โอเคครับ ผมจะจัดการทุกอย่างให้เองนะ รับรองว่าปราชญ์จะไม่โดนวิคเตอร์แกล้งอีก เดี๋ยวผมไปคุยกับทางครอบครัวของวิคเตอร์ให้”
พิธานเอ่ยเสียงหนัก เขาไม่ได้ทำเพื่อเอาใจสาว แต่ทำเพราะนี่คือความถูกต้อง และไม่ได้มองว่ามันเป็นเพียงเรื่องของเด็กๆ อย่างไรก็ตามแต่ ปัญหาทุกอย่างในโรงเรียนพิริยศึกษาก็คือความรับผิดชอบของเขา
ผู้ใหญ่เคลียร์ใจกันเรียบร้อยแล้ว ปราชญ์ก็นำน้ำมาให้พอดี ก่อนจะขอตัวไปเปลี่ยนชุดนักเรียน ส่วนน้าสาวก็หันไปเอ่ยกับผู้อำนวยการหนุ่มอย่างเกรงใจอีกรอบ
“คุณ...ฉันไม่อยากให้คุณมาเดือดร้อนเพราะฉันเลย คุณ...กลับเลยก็ได้นะ ฉันโอเค”
พิธานฉุนกึ้กที่โดนไล่ ก่อนจะรั้นใส่เธอ “ผมยังไม่อยากกลับ ขอดูแลคุณสักหน่อยละกัน”
“ดูแลอะไร อย่าพูดอะไรทำนองนี้ได้ไหม ฉันขนลุกขนพองแปลกๆ”
“ทำไมล่ะ ไม่อยากให้ใครมาดูแลบ้างเลยเหรอ”
“ไม่อยาก ฉันไม่ใช่สาวนุ่มนิ่มที่ต้องให้ใครมาทะนุถนอม ฉันถึกกว่าที่คุณคิด”
“แล้วยังไงล่ะ สาวถึกจะอ่อนแอบ้างไม่ได้เลยเหรอ”
“ไม่ ฉันไม่อยากอ่อนแอ ฉันดูแลตัวเองได้!”
คำตอบขวานผ่าซากของปริมาทำพิธานกลืนน้ำลายดังเอื๊อก...หญิงสาวดูกล้าแกร่งเสียจนเขามีลางสังหรณ์ว่าหากเขาพูดจาจีบเธอโต้งๆ เธอคงจะไม่เขินจนหน้าแดงก่ำ แต่คงจะแผลงฤทธิ์ใส่ ไล่เขาออกจากบ้าน และไม่ยอมให้เขามาพบอีก
ถ้าเช่นนั้น...พิธานก็จะไม่จีบ แต่จะเอาข้ออ้างเรื่องแขนหักมาเจอแม่ยายหนูทุกวัน มาดูแลเธอโดยไม่สนใจการปฏิเสธแบบขวานผ่าซากนั่น ยังไงเธอก็ต้องหวั่นไหวบ้างละน่า
การลงไปป่วนมารดาในอนาคตที่เบื้องล่างมาสร้างความสุขให้เทพธิดาน้อยจนเกิดเสียงหัวเราะคิกคักดังไปทั่วสวนทิพย์ ยิ่งเมื่อเทวดาน้อยยกนิ้วให้และบอกว่าต่อไปตัวเองก็จะลงไปป่วนแม่รักบ้าง เทพธิดาน้อยก็ยิ่งสนุกครึกครื้น
“อย่าเพิ่งเริงร่ากันไปเลยเจ้าจอมดื้อทั้งสอง ความรักของพ่อพวกเจ้ามันยังไม่ราบรื่นง่ายๆ หรอก จะยังมีอุปสรรคอยู่”
สองเทพน้อยพากันชะงักเมื่อได้ยินเสียงของเทพชราที่ดังลอยมา ก่อนหันไปถามอย่างข้องใจ
“หมายความว่ายังไงคะคุณตา ป้าคนนั้นจะมาก่อกวนแม่หนู ทำให้พ่อหนูมีอุปสรรคเหรอคะ”
“ไม่ใช่แค่พ่อเทพธิดาน้อยหรอกที่จะมีอุปสรรค พ่อของเทวดาน้อยก็ด้วย ทั้งคู่จะยังมีคนมาเกี่ยวพันชีวิตรักให้ต้องจัดการก่อน ปลายทางถึงจะมีความสุข”
ได้รับฟังแล้ว เทพธิดาน้อยก็ทำหน้าตื่น หันไปหาคู่ซี้ “เทวดาน้อย เราต้องช่วยพ่อเรานะ”
“ใช่ๆ เราต้องช่วย ป๋มจะขัดขวางตาลุงทุกคนที่มาจีบแม่รัก จะแกล้งให้หน้าหงายเลย”
“เราด้วย ถ้าป้าคนนั้นมาทำอะไรแม่เรา เราจะป่วนให้หนักเลย”
สองเทพพยักหน้าแรงๆ สบตากันอย่างแน่วแน่ และแปะมือรวมพลังกันอย่างมุ่งมั่น ประสานเสียงพร้อมกันด้วยว่า “เราต้องช่วยพ่อเรา พ่อเราต้องสมหวัง ทำให้แม่เราโดนพ่อปล้ำให้ได้!”
คำพูดเรตสิบแปดบวกท้ายประโยคนั่นทำเทพชราส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ รู้ซึ้งด้วยว่าห้ามไปก็เท่านั้น งั้นก็เอาเลย อยากทำอะไรก็ทำ จะดุพอเป็นพิธีก็แล้วกัน