2
เช้าวันใหม่ริศาตื่นแต่เช้าตรู่ ตอนอยู่ที่เชียงใหม่เธอมักตื่นก่อนไก่ขันเป็นประจำ เพื่อจัดข้าวของสำหรับเปิดร้าน แต่เมื่อย้ายมาอยู่ที่กรุงเทพฯ เหตุผลเดียวที่ทำให้ตื่นไวคือนอนไม่หลับ
เพราะความแปลกถิ่น หวาดกลัว ตื่นเต้น หรืออะไรก็แล้วแต่ ทำให้หญิงสาวไม่อาจข่มตาหลับลงได้ตลอดทั้งคืน นั่งๆ นอนๆ อยู่ในห้อง รู้ตัวอีกทีก็หกโมงเช้าแล้ว
วันนี้ริศาอยู่ในชุดมินิเดรสสั้นตัวจิ๋วสีดำ เปิดให้เห็นหัวไหล่โค้งมน เธอเรียนรู้ที่จะใช้เครื่องสำอางและสกินแคร์ตามวิดีโอในยูทิวบ์ตลอดทั้งคืน เช้านี้ใบหน้าของเธอจึงไม่ซีดเซียวเท่าเมื่อวาน แต่ก็ไม่ได้จัดจ้านเท่ารสาตัวจริง เธอไม่ชอบลิปสติกสีแดงแบบที่พี่สาวชอบใช้ จึงใช้สีชมพูอ่อนให้ความเป็นธรรมชาติแทน
และแม้ว่าริศาจะไม่ได้สวมรองเท้าส้นสูง แต่สวมสลิปเปอร์สีขาวมีหูกระต่ายแทน ก็ไม่ได้ทำให้ความเพรียวของเธอน้อยลงเลย ขาของเธอยังเรียวยาวน่ามองเหมือนเดิม
ริศาก้าวเข้ามาในห้องครัว ขณะที่แม่บ้านอาวุโสกำลังจัดเตรียมมื้อเช้าอยู่เพียงลำพัง ครั้นเมื่อเห็นว่าใครเข้ามาก็ตกใจจนทำชามซีเรียลหล่นแตกเสียงดัง
เพล้ง!
“ว้าย! แม่ร่วง!”
ไม่ใช่แม่ แต่เป็นชามซีเรียลต่างหากที่ร่วง
“ขอโทษค่ะ ตกใจขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
ริศายกมือขอโทษโดยอัตโนมัติ ก่อนก้มลงช่วยเก็บชามที่หล่นแตกบนพื้น หญิงสาวหน้ามุ่ยเล็กน้อย ไม่คิดว่าการที่เธออยากมาช่วยงานในครัวจะทำให้เกิดเรื่องขึ้น
ไม่รู้ว่าชามใบนี้ราคาเท่าไหร่เสียด้วย
“นายหญิงไม่ต้องเก็บค่ะ! เดี๋ยวจะโดนเศษกระเบื้องบาดเอา” ป้าแม่บ้านสั่งห้าม พร้อมกับละล่ำละลักพูด มือปากสั่นไปหมด
ริศาจึงได้แต่ยืนมองป้าแม่บ้านเก็บชามที่แตกไปทิ้ง ถูพื้นจนสะอาดเอี่ยม และเตรียมเทซีเรียลกับนมใส่ชามใบใหม่
“เดี๋ยวก่อน!”
ป้าแม่บ้านสะดุ้งโหยงจนเกือบทำชามแตกอีกใบ ไม่กล้าสบตาคนที่เรียก “นายหญิงมีอะไรเหรอคะ”
“ซีเรียลกับนมนี่ของใครเหรอคะ” หญิงสาวถาม พร้อมกับเดินเข้าไปดูใกล้ๆ
“ของนายท่านค่ะ”
“ทำไมไม่ทำข้าวต้มหรือโจ๊กแทนล่ะคะ”
ไม่รู้จะกินซีเรียลทำไม นี่มันอาหารเด็กฉบับสิ้นคิดชัดๆ
“นายท่านไม่ชอบฝีมือป้าค่ะ”
ริศาสงสารป้าแม่บ้านใจจะขาด เธอสัมผัสได้ถึงความเสียใจและรู้สึกผิดของอีกฝ่าย
ไม่เป็นไรป้าไม่ผิด ลิ้นคนเรารับรสชาติได้ไม่เหมือนกันค่ะ!
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวริ...เอ๊ย...ฉันทำเอง” ริศาชะงักฝีปากไว้ทัน เธอเกือบหลุดเรียกชื่อตัวเองต่อหน้าคนอื่น ในใจของเธอตอนนี้แทบอยากกัดลิ้นตาย ขนาดแค่วันที่สองก็เกือบทำพลาดเสียแล้ว
หญิงสาวเรียกสติตัวเองด้วยการไม่พูดอะไรอีกเลย ขณะเปิดตู้เย็นควานหาวัตถุดิบมาทำอาหาร เปิดเตาแก๊ส ตั้งหม้อ และเริ่มหั่นหมู หั่นผัก ป้าแม่บ้านยืนมองอยู่ห่างๆ ด้วยสายตาสับสนงุนงง ไม่เข้าใจว่าอะไรดลใจให้นายหญิงตื่นแต่เช้ามาทำอาหารให้นายท่าน ทั้งที่ปกติตื่นบ่ายโมงนู่น
แถมยังพูดเพราะ มี ‘ค่ะ’ ลงท้ายประโยคเสียด้วย
ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว ครั้นจะให้ถามก็กลัวอีโต้ในมือจะลอยมาปักบนหน้าผากตัวเอง สุดท้ายจึงได้แต่ยืนมองความกระฉับกระเฉงในการทำอาหารที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นในชาตินี้อย่างเงียบๆ
“หอมไหมคะ” ริศาถามเสียงหวาน ขณะคนข้าวต้มในหม้อไปเรื่อยๆ กลิ่นหอมอ่อนๆ พร้อมกับควันกรุ่นๆ อบอวลอยู่ภายในห้องครัว
แม่บ้านสูงวัยสูดดมกลิ่นข้าวต้มหมูเข้าเต็มปอด ก่อนพยักหน้าถี่ “หอมมากเลยค่ะนายหญิง น่าทานมากเลยค่ะ”
น่าเสียดายที่ฝีมือเยี่ยม แต่ดันขี้เกียจสันหลังยาว ตื่นสายโด่งแถมชอบจิกหัวใช้คนอื่นไปทั่ว
“ริ...เอ๊ย ฉันทำไว้เยอะเลย ยังไงก็มาตักแบ่งไปทานได้นะคะ”
เป็นอีกครั้งที่ริศาอยากตบปากตัวเองแรงๆ สักที ทำไมถึงได้ชอบลืมตัวเรียกชื่อตัวเองจนเกือบทำความลับแตกอยู่เรื่อยเลยนะ
มือบางตักข้าวต้มร้อนๆ ใส่ชาม ก่อนโรยผักชีเพิ่มความสวยงามยิ่งขึ้น ป้าแม่บ้านเข้าช่วยเหลือโดยการนำใส่ถาดแล้วนำไปเสิร์ฟรอจิรฉัตรที่โต๊ะอาหารให้ เพราะกลัวว่าริศาจะทำหก แม่ครัวคนใหม่เดินตามหลังไปติดๆ เป็นจังหวะเดียวกันกับเจ้าของบ้านที่เดินลงบันไดมาพอดี
จิรฉัตรอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวปลดกระดุมบนสองเม็ดกับกางเกงขายาวสีดำ เนกไทยังไม่ได้ผูก และสูทสีเดียวกับกางเกงยังพาดอยู่บนแขนแข็งแรง ตอนที่เดินเลี้ยวเข้ามาในครัว เขาชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าภรรยายืนอยู่ข้างป้าบัว แถมยังส่งยิ้มหวานมาให้อีก ต่อจากนั้นอาการชะงักก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งเมื่อพบว่าอาหารเช้าไม่ใช่ซีเรียลกับนมเหมือนเช่นทุกวัน
“บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าทำอาหารให้ฉันกินอีก”
สีหน้าและน้ำเสียงที่ราบเรียบนั้นแฝงความไม่พอใจเล็กน้อย เขานึกตำหนิป้าบัวที่ไม่เชื่อฟัง นี่ป้าจำไม่ได้หรือไงว่าตัวเองติดรสเค็มมากขนาดไหน เวลาทำอาหารมาเสิร์ฟมักจะให้ความรู้สึกเหมือนกรอกน้ำปลาเข้าปากอยู่เสมอ
จะไล่ออกก็ไม่ได้ เพราะเลี้ยงเขามาตั้งแต่ยังเด็ก
“อย่าว่าป้าแกเลยนะคะ” ริศาท้วง เธอกลัวว่าจิรฉัตรจะลงไม้ลงมือกับป้าแม่บ้าน “ฉันเป็นคนทำข้าวต้มเอง ไม่ใช่คุณป้า”
“คุณป้า” จิรฉัตรทวนคำอีกรอบ คาดว่าตัวเองคงหูไม่ค่อยดีถึงได้ได้ยินอะไรที่เพี้ยนๆ แบบนั้น
ริศาอึกอัก ก่อนจะทำเป็นนิ่งๆ เลียนแบบรสา
“ตกลงคุณจะทานหรือไม่ทาน”
จิรฉัตรไม่ตอบคำถามนั้น แต่เดินไปนั่งตรงที่ข้าวต้มถูกวางไว้ ดวงตาสีดำขลับจับจ้องข้าวต้มอย่างพินิจ หน้าตาและกลิ่นหอมยั่วยวนของอาหารตรงหน้าดูยังไงก็ไม่ใช่ฝีมือของภรรยาของเขาแน่นอน แต่เมื่อเหลือบมองอีกฝ่าย ก็เห็นว่ายืนทำหน้าลุ้นให้เขาลองชิมอยู่
หรือว่าเธอวางยาพิษเขา
“คุณน่ะ กล้ากินให้ผมดูไหม”
หญิงสาวหมดคำจะพูด ไม่คิดว่าจิรฉัตรจะระแวงเธอมากขนาดนี้ จึงก้าวฉับๆ ไปตักข้าวต้มในชามเขาเข้าปากคำโต แล้วกลืนลงคอ พร้อมกับอ้าปากให้ดูว่ากลืนไปแล้วจริงๆ
“ในนี้ไม่มียาพิษหรอกค่ะ สิ่งเดียวที่มีในข้าวต้มชามนี้คืออะไรรู้ไหมคะ”
จิรฉัตรเลิกคิ้วสูง สงสัยในตัวภรรยาเป็นอย่างมาก อยู่ๆ เธอก็ทำน้ำเสียงออดอ้อนอีกแล้ว สรุปว่าเธอเพี้ยนเพราะอุบัติเหตุไปแล้วหรือ
“ไหน ใส่อะไรลงไป”
“ความใส่ใจไงคะ”
ริศาทำตาแป๋ว ทำเอาคนฟังหน้าเหยเก ไม่ว่าจะเป็นจิรฉัตรหรือป้าบัว แต่คนแรกดูท่าจะหนักกว่า เพราะจากใบหน้าเรียบเฉยแปรเปลี่ยนเป็นบึ้งตึง
“ผมไม่รู้นะว่าคุณเล่นละครอะไรอยู่ แต่ถ้ามาทำเป็นบอกรักหรือดูแลผมด้วยความเสแสร้งละก็ เชิญไปทำกับชู้รักเถอะ”
ริศาหน้าบิดเบี้ยวเมื่อมือหนาบีบแขนของเธอเข้าเต็มแรง จิรฉัตรโกรธเธอจนเส้นเลือดขึ้นหน้าและคอ น้ำเสียงของเขาเหี้ยมเกรียมจนน่ากลัว นี่สินะมาเฟียของจริง
จิรฉัตรเดินออกจากห้องครัวไปโดยมีป้าบัวเดินตาม
“นายท่าน แล้วข้าวต้มล่ะคะ”
“เทให้หมากินนู่น!”
ริศายืนมองรถสปอร์ตคันหรูที่เคลื่อนออกจากคฤหาสน์ด้วยความไวแสง มือเล็กจับรอยช้ำที่ชายหนุ่มฝากไว้ น่าแปลกที่เธอไม่นึกโกรธเคืองเขาเลยแม้แต่น้อย แถมยังรู้สึกสงสารมากกว่า ตลอดสองปีที่แต่งงานกับรสา จิรฉัตรคงเจ็บปวดมาก ดูเหมือนเขารู้มาตลอดว่าพี่สาวของเธอมีผู้ชายคนอื่น เขาคงทนมานาน...นานจนฟางเส้นสุดท้ายขาดสะบั้นลง
แต่ถึงอย่างไรเธอก็ไม่ชอบที่เขาทำร้ายร่างกายผู้หญิงอยู่ดี หากเป็นไปได้เธอคงต้องทำข้อตกลงกับเขาใหม่
ทางด้านจิรฉัตรนั้นกำลังขับรถฝ่าท้องถนนอย่างฉวัดเฉวียน ชนิดที่ไม่กลัวตายโดยไม่เรียกมือขวาหรือมือซ้ายมาด้วย หลายครั้งเขาคิดว่าตายไปเสียยังดีกว่า จะได้ไม่ต้องรับรู้เรื่องราวที่ทำให้เจ็บใจอยู่อย่างนี้
ภาพเหตุการณ์ในคฤหาสน์ติดอยู่ในหัว สีหน้าตกใจปนหวาดกลัวของริศาทำให้เขาอยากจะตัดมือตัวเองทิ้งที่ทำให้เธอเจ็บ มือหนาจับพวงมาลัยแน่นขึ้น ก่อนหักมันเบี่ยงเข้าข้างทาง แล้วจอดรถนิ่งสนิท
ทันใดนั้น ภาพซ้อนของภรรยาที่นอนกอดกับชู้ก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง และเป็นอีกครั้งที่อาการปวดหัวอย่างหนักของจิรฉัตรกำเริบ
คืนนั้นริศานอนไม่หลับเป็นคืนที่สอง หญิงสาวเตรียมนมอุ่นและคุกกี้ที่อบไว้เมื่อกลางวันรอจิรฉัตรกลับมาจากบริษัท ข้างกายมีเป้ มือซ้ายของคนที่เธอรอยืนอยู่ด้วย บอดีการ์ดหนุ่มแปลกใจที่เห็นนายหญิงทำขนมและนั่งรอนายท่านกลับมาจากที่ทำงาน
ปกติรสาและจิรฉัตรต่างคนต่างอยู่ รับประทานข้าวก็ไม่พร้อมหน้ากันเพราะตื่นคนละเวลา ความสัมพันธ์ทางกายก็ห่างเหิน เพราะรสามีชายอื่น และจิรฉัตรเองก็หิ้วสาวกลับมาที่บ้านเกือบทุกคืน คนงานในบ้านไม่เคยพูดอะไรเพราะเกรงกลัวความโหดของนายท่านและนายหญิงบ้านนี้ แต่รู้ๆ กันอยู่ถึงความสัมพันธ์ของทั้งสอง
“คุณฉัตรจะกลับมากี่ทุ่มเหรอ”
คนตัวเล็กถาม หลังจากนั่งรออยู่ในครัวมาเป็นชั่วโมงแล้ว แต่ไม่มีทีท่าว่าอีกฝ่ายจะกลับมาเสียที
“อย่ารอเลยครับนายหญิง บางคืนนายท่านก็กลับมาเที่ยงคืน ตีหนึ่งนู่น” เป้กล่าว
ริศาหันมองนาฬิกาที่บ่งบอกเวลาสามทุ่ม แล้วตัดสินใจลุกจากเก้าอี้ ตั้งใจว่าจะขึ้นไปอาบน้ำให้สบายตัวก่อนแล้วค่อยลงมารออีกครั้ง ตอนนี้เธอตาสว่างมากกว่าคนดื่มกาแฟเสียอีก อย่างน้อยๆ การรอเพื่อง้อจิรฉัตรก็ทำให้เธอมีอะไรทำ
ขาเรียวยาวก้าวขึ้นบันไดอย่างช้าๆ มือจับราวบันไดแน่นเพราะหน้ามืดเล็กน้อย คงเป็นเพราะเมื่อคืนเธอไม่ได้นอน แถมยังใช้พลังงานทำนู่นทำนี่ทั้งวัน จึงส่งผลเสียต่อร่างกาย ริศาส่ายหน้าเบาๆ แล้วฝืนเดินต่อไปจนถึงห้อง
ระหว่างนั้นเป้ลอบมองดูหญิงสาวอยู่ห่างๆ ช่างน่าแปลกที่ตอนนี้นายหญิงของคฤหาสน์ดูบอบบาง น่าทะนุถนอมกว่าเมื่อก่อนมาก หรืออาการของเธอจะยังไม่หายดี
เขาคงต้องรายงานเรื่องนี้ให้นายท่านฟังเสียแล้ว
ความคิดเห็น |
---|