3
หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเป็นชุดนอนอลังการดุจเจ้าหญิงแล้ว ริศาก็ลงมานั่งตบยุงรอจิรฉัตรที่หน้าบันไดห้องโถง รอแล้ว รอเล่า เขาก็ยังไม่มา กระทั่งเที่ยงคืน
รถสปอร์ตสีดำคันเดียวกับช่วงเช้าจอดสนิทที่หน้าประตูคฤหาสน์ เป้และวิทย์ออกไปต้อนรับนายท่านด้วยความแข็งขัน โดยวิทย์ขับรถของจิรฉัตรไปไว้ที่โรงจอดรถให้ดังเช่นทุกครั้ง เมื่อชายหนุ่มก้าวเข้ามาในบ้านก็พ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายทันทีที่เห็นว่าใครรออยู่
คนตัวสูงเลี่ยงการปะทะโดยการจะเดินขึ้นบันไดอีกฝั่งหนึ่ง แต่อีกคนกลับวิ่งมาขวางเขาไว้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“มีอะไร” จิรฉัตรถามเสียงเรียบ
“ฉันเตรียมนมอุ่นๆ กับคุกกี้ไว้ให้คุณค่ะ ลองแวะไปชิมหน่อยได้ไหมคะ”
“ผมไม่ชอบของหวาน คุณก็รู้”
จิรฉัตรกล่าวขณะเดินผ่านร่างบางขึ้นบันไดไป นึกในใจว่าเธอคงยั่วโมโหเขาอีกเช่นเคย ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาไม่ชอบของหวานก็ยังจะเตรียมไว้ให้อีก
“งั้นพรุ่งนี้ฉันจะทำสูตรน้ำตาลน้อยให้นะคะ”
ริศาเดินตามหลังมาติดๆ ส่งผลให้จิรฉัตรหมดความอดทนเป็นครั้งที่สองของวัน เขาหมุนตัวมาประชันหน้ากับเธอตรงๆ การที่เขาหยุดเดินกะทันหันทำให้หญิงสาวชนเข้ากับแผ่นหลังของเขาอย่างจังจนเซถอยหลังไปสองสามก้าว ดีที่ทรงตัวอยู่
“คุณต้องการอะไรจากผมกันแน่รสา”
ริศานิ่งไปครู่หนึ่ง แอบกลัวสายตาดุดันของเขา
“ฉันบอกแล้วไงว่าอยากเริ่มต้นใหม่กับคุณ” เธอบอกเสียงอ่อย
“คุณกลัวว่าจะไม่ได้เงินเลยสักบาทถ้าหย่ากับผมไปใช่ไหม”
เป็นอีกครั้งที่หญิงสาวไม่กล้าตอบ เรื่องเงินเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เธอต้องมาสวมรอยเป็นพี่สาวอยู่ตรงนี้ สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของเธอชัดเจนจนอีกฝ่ายรับรู้ได้ เขากระตุกยิ้มมุมปาก สายตาดูถูกดูแคลนยามจ้องมองทำให้เธออยากแทรกแผ่นดินหนี
“ก็ว่าอยู่ คนอย่างคุณจะมีเรื่องอะไรนอกจากเงิน”
ริศายืนนิ่งอยู่ตรงหัวบันไดหลังจากที่จิรฉัตรเดินเข้าห้องไปสักพักแล้ว หัวใจดวงน้อยเจ็บปวดแทนพี่สาวยามนึกว่าอีกฝ่ายต้องโดนดูถูกเหยียดหยามอย่างนี้เสมอ อีกใจหนึ่งก็สงสารคนใจแคบอย่างจิรฉัตร เขาเองก็คงพบเจอเรื่องเลวร้ายมามากจนหัวใจตายด้านเช่นนี้
นึกได้อย่างนั้น ริศาจึงเดินไปเคาะประตูห้องของเขา คนอย่างเธอง้อเก่ง และจะง้อจนกว่าคนถูกง้อจะหายโกรธ ตัวอย่างก็มีมาให้เห็นนักต่อนักแล้ว โดยเฉพาะพ่อกับแม่
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
ประตูถูกแง้มออกโดยจิรฉัตร เขานึกว่าเป็นแม่บ้านเตรียมน้ำอุ่นแช่เท้ามาให้ แต่กลับกลายเป็นผู้หญิงที่เขาไม่อยากเห็นหน้าแทนเสียอย่างนั้น เขาจึงทำท่าจะปิดประตูใส่หน้าอีกฝ่าย แต่หญิงสาวก็ดันบานประตูเอาไว้ด้วยเรี่ยวแรงอันน้อยนิด
“ปล่อย” น้ำเสียงนั้นราบเรียบแต่ทรงอำนาจ
“ไม่ค่ะ เราต้องคุยกันก่อน”
ริศายังคงยื้อประตูไว้ แม้อีกฝ่ายจะพยายามดึงกลับ
“ผมไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ”
ริศาพ่นลมหายใจ ไม่รู้ทำไมฉากนี้มันช่างดูเหมือนเธอเป็นพระเอกมาตามง้อนางเอกขี้งอนยังไงไม่รู้ เธอใช้แรงทั้งหมดที่มีกระชากประตูออกจนเปิดกว้าง เจ้าของห้องยืนกอดอกมองด้วยสายตาเกรี้ยวกราด แต่ป้าบัวก็เดินมาขัดจังหวะสงครามประสาทนี้พอดี
“น้ำอุ่นค่ะนายท่าน”
“โอ๊ะ! ขอบคุณนะป้า”
ริศาแย่งกะละมังน้ำอุ่นมาถือไว้ทันที ชายหนุ่มเห็นอย่างนั้นเลยเตรียมปิดประตูไม่คิดต้อนรับ แต่ริศาไวกว่า เธอแทรกตัวเข้าไปในห้องของเขาได้อย่างง่ายดาย
“รสา ออกไป” จิรฉัตรกัดฟันกรอด
“ไม่ค่ะ ฉันจะนวดให้คุณเอง”
“ไม่ต้อง ผมบอกให้ออกไป”
“เมื่อคืนคุณพูดว่าจะให้โอกาสฉัน แล้วไหนล่ะคะโอกาสที่คุณให้ ฉันเห็นคุณมีแต่จะขับไสไล่ส่งฉันท่าเดียว”
เธอบ่นอุบ ขาเรียวยาวก้าวไปยังเตียงนอนขนาดคิงไซซ์ของอีกฝ่าย ก่อนวางกะละมังน้ำอุ่นลงบนพื้น เธอช้อนสายตามองเขาด้วยความน้อยใจ
“มานั่งสิคะ ฉันจะนวดให้”
จิรฉัตรถอนหายใจเฮือกใหญ่เป็นครั้งที่เท่าไหร่ของวันแล้วก็ไม่อาจทราบได้ เขาย้ายตัวเองมานั่งบนเตียงตามที่ภรรยาตัวดีบอก
เอาวะ ยอมให้จบๆ ไปดีกว่าโดนตื๊อทั้งคืนจนไม่ได้นอน
“ขอเท้าด้วยค่ะ”
จิรฉัตรยกเท้าขึ้นส่งให้ในระดับเดียวกับใบหน้าของอีกฝ่าย ทำเอาคนอยู่บนพื้นชะงักเพราะตกใจ ก่อนจะส่งค้อนขวับมาให้
“สูงไปค่ะ กะละมังอยู่บนพื้นนะ”
“อ้าวเหรอ เห็นบานๆ กลมๆ เหมือนกัน”
“นี่คุณ!”
ชายหนุ่มไม่สนใจหน้ามุ่ยของริศา ยังคงทำลอยหน้าลอยตาอยู่เหมือนเดิม ปลายเท้าก็กระดิกไปมากวนอารมณ์คนตัวเล็ก
ริศาจับเท้าของจิรฉัตรให้อยู่นิ่งๆ ก่อนจะดันลงไปแช่น้ำในกะละมัง ปากสีชมพูอ่อนเม้มสนิทไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับเขาอีก กลัวว่าจะโดนเสยปลายคางหากพูดไม่เข้าหูเจ้าพ่อมาเฟียเข้า
คนอะไรไม่รู้ยกฝ่าเท้าขึ้นมาจ่อหน้าผู้หญิง ฮึ!
เมื่อภายในห้องนอนเงียบสงบ เจ้าของห้องก็ก้มมองคนเข้ามาป่วนด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย มือเล็กบางคู่นั้นบีบนวดเท้าของเขาเบาๆ พอให้ผ่อนคลายขึ้น สัญญาข้อที่หนึ่งหลังจากแต่งงานกับรสาคือจะไม่มีการแตะเนื้อต้องตัวกันและกันนอกจากเวลาออกงานสังคม
ตลอดสองปีที่ผ่านมาทั้งจิรฉัตรและรสาเองก็รักษาระยะห่างมาตลอด เมื่อภรรยาไม่ยินยอมเรื่องบนเตียงเขาจึงต้องหาผู้หญิงจากข้างนอกมานอนเพื่อระบายกามารมณ์ด้วย รสาไม่เคยต่อว่าเขาเพราะถือว่าเขาไม่ได้ผิดสัญญาข้อไหน
แต่ดูตอนนี้สิ เจ้าของสัญญาที่ว่ากำลังจับจุดที่สกปรกบนร่างกายโดยไม่มีท่าทีรังเกียจ
หรืออาจจะรังเกียจแต่ไม่พูด
เรื่องเงินสามารถทำให้พญาหงส์เปลี่ยนเป็นเจ้าเหมียวช่างขู่ ช่างอ้อนได้เชียวหรือ
หากเป็นคนหัวโบราณหน่อยคงคิดว่าภรรยาโดนผีสิงเป็นแน่ อืม...ผีสิงงั้นหรือ จิรฉัตรหันซ้ายแลขวา ก่อนจะเอี้ยวตัวไปคว้าอะไรบางอย่างตรงโต๊ะหัวเตียงขึ้นมาชูตรงหน้าหญิงสาว
“รสา”
“หืม”
ริศาขานรับ แล้วค่อยๆ ละสายตาจากเท้าชายหนุ่ม เงยหน้าขึ้นมามองเจ้าของเสียงเรียก คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นว่าเขาชูหลวงปู่ทวดให้เธอดู เธอจึงปล่อยมือเปียกน้ำออกจากเท้าของเขาแล้วยกขึ้นประนม
“สาธุค่ะ”
ไม่รู้อะไร แต่ไหว้ไว้ก่อนดีกว่า
จิรฉัตรขมวดคิ้ว เก็บหลวงปู่ทวดมาดูใกล้ๆ ไม่แน่ใจว่าของแท้หรือเปล่า เพราะหญิงสาวไม่มีอาการอะไร จากนั้นเขาก็แขวนสร้อยหลวงปู่ทวดเข้าที่คอของเธอ ริศามองเขาตาแป๋ว
“ร้อนไหม”
“คุณฉัตร...คุณคิดว่าฉันโดนผีเข้าเหรอคะ”
จิรฉัตรส่ายหน้า “เปล่า แต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร เพราะงั้นอะไรพอทำได้ก็จะทำ”
ริศานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆ หัวเราะออกมาเบาๆ แล้วเพิ่มระดับเสียงลั่นห้อง จนอีกฝ่ายได้สติถึงได้รู้ว่าตัวเองทำเรื่องบ้าบอที่สุดในชีวิตลงไป มือหนากำผ้าปูที่นอนแน่น
“ฉันไม่ได้โดนผีเข้า ฉันบอกแล้วไงว่าอยากเริ่มต้นใหม่กับคุณ นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันเปลี่ยนไป”
ริศาพูดไปหัวเราะไป พยายามเรียบเรียงประโยคให้ดูน่าเชื่อถือที่สุด
“พอๆ ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ออกไปได้แล้ว”
จิรฉัตรโบกมือไล่ พร้อมกับยกเท้าขึ้นจากกะละมัง ถึงแม้ว่าจะรู้สึกผ่อนคลายขึ้น แต่ก็ยังไม่อยากฟังคำโป้ปดของคนตัวเล็กอยู่ดี เขาฟังมามากพอแล้วในชีวิตนี้ มากจนอยากจะตัดหูทิ้งที่ชอบได้ยินเรื่องไม่เป็นเรื่องเป็นประจำ
ริศาเช็ดเท้าให้ชายหนุ่มจนแห้งสนิท เธอเปลี่ยนจากหัวเราะเพราะขบขันเป็นยิ้มหวานอารมณ์ดีให้เขาแทน ตระหนักได้ว่าลึกๆ แล้วจิรฉัตรเป็นคนดี เพียงแค่บาดแผลในใจของเขามันเยอะเสียจนต้องสร้างกำแพงสูงป้องกันไว้
“หายโกรธฉันเถอะนะคะ”
เธอพูด น้ำเสียงออดอ้อนบวกกับสายตาอ้อนวอน ทำเอาหัวใจชายหนุ่มกระตุกวูบ
“ให้โอกาสริ...รสาได้ดูแลคุณบ้าง แล้วถ้าคุณไม่พอใจจริงๆ เราค่อยมาคุยเรื่องหย่ากันอีกที”
จิรฉัตรนิ่งคิดอย่างหนักหน่วง ลึกๆ แล้วเขาเองก็อยากให้ความสัมพันธ์ของเขากับรสาไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่ที่ผ่านมาหญิงสาวทำลายความเชื่อใจของเขาจนหมดสิ้น การที่อยู่ๆ จะให้นำเศษหัวใจที่แตกสลายไปแล้วขึ้นมาประกอบเป็นรูปร่างอีกครั้งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เขามีลางสังหรณ์ว่านี่อาจเป็นแผนการของเธอ แต่ไม่รู้ว่าจุดประสงค์ของแผนการนี้คืออะไรกันแน่
คิดดูดีๆ แล้ว หากเป็นเรื่องเงินจริง เขาจะทำลายผู้หญิงหิวเงินสองใจคนนี้ได้ง่ายขึ้นหากเก็บเธอไว้ใกล้ตัว
“ตกลง ผมให้โอกาสคุณเปลี่ยนแปลงตัวเองสามเดือน ระหว่างนี้คุณต้องไม่มีเรื่องชู้เข้ามาเกี่ยวข้อง”
ยามที่พูดถึง ‘ชู้’ ดูเขาจะเน้นคำมากเป็นพิเศษ
ริศาฉีกยิ้มกว้างเมื่อเขายอมเปิดโอกาสให้เธอได้ทำดีเพื่อเปลี่ยนใจเรื่องเซ็นใบหย่า แต่แล้วก็หุบยิ้มลงช้าๆ เมื่อเห็นสายตาเจ้าเล่ห์หื่นกระหายของเขาที่กำลังสำรวจเรือนร่างของเธอ สองมือกอดตัวเองอย่างระแวดระวัง
“ตลอดสามเดือนสัญญาระหว่างเราต้องเป็นโมฆะ ตกลงไหม”
สัญญา
สัญญาอะไรเอ่ย
ความซวยมาเยือนริศาเข้าเต็มๆ เพราะเธอไม่รู้ว่าสัญญาระหว่างจิรฉัตรกับพี่สาวของเธอคืออะไร มีกฎอะไรบ้าง หรือตกลงกันยังไง ยามสบดวงตาเจ้าเล่ห์ก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่าเขาต้องการฉีกสัญญานั่นเต็มที
แต่ว่ามันคือสัญญาเรื่องอะไรบ้างล่ะ
“จะเอายังไง ตกลงไหม”
จิรฉัตรเค้นเสียงถาม ยิ่งเห็นคนตัวเล็กมีท่าทีลังเลก็ยิ่งมั่นใจว่าที่เธอมาทำดีด้วยเป็นแผนการที่สร้างขึ้นมาอย่างแน่นอน หากคิดอยากเริ่มต้นความสัมพันธ์ใหม่จริง มีหรือจะต้องลังเลกับเรื่องนี้
คิดลองดีกับเขายังเร็วไปร้อยปี
“โอเค งั้นพรุ่งนี้เราไปหย่ากัน”
“ตะ...ตกลง!”
ริศาตอบตกลงทันทีที่เห็นว่าจิรฉัตรเริ่มเปลี่ยนใจ เธอไม่รู้เลยว่านับตั้งแต่ที่โพล่งคำว่าตกลงออกไปนั้น เท่ากับว่าเธอได้เข้าไปอยู่ในสนามรบที่พี่เขยสร้างไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ความคิดเห็น |
---|