7
จิรฉัตรยืนมองคนตัวเล็กเดินขึ้นบันไดอย่างทุลักทุเล มือหนึ่งจับราวบันไดแน่น อีกมือยกกระโปรงขึ้นเหนือพื้น เดินขากะเผลกตั้งแต่ที่โรงแรมจนถึงคฤหาสน์ เขาสั่งไว้ว่าห้ามถอดรองเท้าออกเด็ดขาด ถือเป็นการทำโทษที่บังอาจทำให้เขาเจ็บตัว
“ใครช่วยประคองฉันจะจับตัดนิ้วให้หมด”
นายท่านประจำคฤหาสน์ประกาศกร้าว ทำเอาบรรดาแม่บ้าน พ่อบ้านทั้งหลายพากันแยกย้ายกลับไปทำงานของตนด้วยความหวาดกลัว
ริศาหันกลับมามองเจ้าของประโยคสั่งห้าม แล้วเม้มปากกัดฟันกรอด ทั้งๆ ที่เธอลำบากจนจะตกบันไดคอหักตายแล้ว เขาก็ยังไม่หายโกรธและไม่คิดจะยื่นมือเข้ามาช่วยอีก รู้บ้างหรือเปล่าว่าเธอข้อเท้าพลิกเพราะงานสมาคมเฮงซวยนี่กี่ครั้งแล้ว
แถมซ้อมแทบตายสุดท้ายก็ไม่ได้เดินแบบเองด้วย!
“มองแบบนั้นหมายความว่ายังไง”
หมายความว่าโกรธไงเล่า!
หญิงสาวสะบัดหน้าหนี ก่อนก้าวฉับๆ ขึ้นบันไดไป จนกระทั่งเลี้ยวหายกลับเข้าห้องนอน จิรฉัตรผู้สังเกตการณ์ทั้งหมดอยู่ข้างล่างรู้สึกว่าทุกอย่างเริ่มไม่ชอบมาพากล ตอนแรกเขาคิดว่าที่ภรรยาเปลี่ยนไปมากมายขนาดนี้หลังจากประสบอุบัติเหตุเป็นเพราะสมองอาจกระทบกระเทือน แต่พอวันนี้หญิงสาวกลับมานิสัยเหมือนเมื่อก่อนไปชั่วขณะหนึ่ง ทำให้เขาคิดว่าอาจจะใกล้มีรอบเดือน
หรือแท้จริงแล้วเธอเป็นโรคสองบุคลิก
จิรฉัตรส่ายหัวเลิกคาดเดามั่วซั่ว สำหรับเขาแล้วจิตใจผู้หญิงนั้นยากเกินกว่าจะศึกษาจนช่ำชองได้ในชาตินี้ เผลอๆ ชาติหน้าก็อาจจะยังไม่สามารถเข้าใจได้ทั้งหมดอยู่ดี
ตกดึกคืนนั้น จิรฉัตรอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนเข้าเซตสีเทาเข้ม แล้วมานั่งเท้าค้างที่โต๊ะทำงานภายในห้อง นึกย้อนภาพของภรรยาคนสวยตลอดทั้งหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา
นิสัยของเธอหรือ...ช่างอ้อน ช่างเอาใจ ช่างขี้งอนเหมือนเด็กๆ
ฝีมือทำอาหารที่เขาไม่เคยได้กินมาตลอดสองปี ก็อร่อยเสียจนแปลกใจว่าทำไมเพิ่งมาทำกินเองเอาป่านนี้ จะทนฝืนกินอาหารฝีมือป้าบัวมาตลอดสองปีเพื่ออะไร
หรือเธออยากเป็นโรคไต
มาเฟียหนุ่มเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ พร้อมกับยกขาทั้งสองข้างขึ้นพาดบนโต๊ะไม้แกะสลัก มือประสานอยู่ที่หน้าท้อง นึกถึงเรื่องที่เป้รายงานให้ฟังว่ารสาฝึกซ้อมเดินแบบ แถมยังนอนพักผ่อนไม่เพียงพอติดต่อกันร่วมสัปดาห์ เขาว่าตรงนี้แหละที่แปลกมาก ทั้งหมดนี้มันไม่ใช่นิสัยเธอเลยสักนิด
และเป็นนิสัยที่ไม่น่าเปลี่ยนกันได้ง่ายๆ ภายในเดือนเดียวด้วย
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
ริศาเด้งตัวลุกขึ้นนั่งทันที หลังจากเพิ่งล้มตัวลงนอนหัวถึงหมอนไม่ถึงห้าวินาที ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ขาเล็กเรียวก้าวลงจากเตียงแล้วเดินไปเปิดประตูต้อนรับแขก
แขกที่ว่าคือจิรฉัตรนั่นเอง
“มีอะไรเหรอคะ”
“ผัวมาหาเมียตอนดึกต้องมีธุระด้วยหรือไง” ชายหนุ่มตอบหน้าตาย ส่วนคนถามยังคงยืนกะพริบตาปริบๆ ประมวลผลประโยคที่ได้ยินเมื่อครู่อยู่
ริศาไม่กล้าถามว่าตกลงแล้วเขาโกรธเธอหรือรสาตัวจริงเรื่องอะไรกันแน่ ทำไมจนถึงป่านนี้น้ำเสียงและแววตาของเขาถึงยังแข็งกระด้างอยู่ แถมวางอำนาจสมกับเป็นมาเฟียเสียด้วย
“มันแปลกเพราะห้องเราอยู่ห่างกันตั้งไกลค่ะ” เธอท้วงเสียงสั่น เมื่อร่างสูงย่างสามขุมเข้ามาใกล้เธอเรื่อยๆ จนต้องถอยหลังหนี กระทั่งเขาเข้ามาอยู่ในห้องของเธอจนได้
จิรฉัตรล็อกกลอนแน่นโดยไม่หันไปมองประตูด้วยซ้ำ เจ้าของห้องกลืนน้ำลายเอื๊อก กอดตัวเองแน่นระแวดระวังตัวมากเป็นพิเศษ แอบมองประตูห้องน้ำที่อยู่อีกฝั่ง กะว่าถ้าเขาคิดจะทำอะไรแปลกๆ จะได้วิ่งไปหลบในห้องน้ำซึ่งคิดว่าน่าจะปลอดภัยที่สุด
เขาคงไม่มีกุญแจห้องน้ำหรอกมั้ง...
“ผมมีกุญแจห้องน้ำนะ ถ้าคุณคิดหนี”
ริศาหันขวับ มองจิรฉัตรด้วยสายตาตื่นตระหนก เขาเป็นพวกมีสัมผัสพิเศษสามารถอ่านใจคนออกได้หรือเปล่า ถึงได้พูดดักความคิดของเธอได้แบบนี้
“คุณเมาหรือเปล่าคะ”
จิรฉัตรส่ายหน้าแทนคำตอบ ยิ่งเขาเข้าใกล้คนตรงหน้ามากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งถอยหนี เขากลัวว่าเธอจะวิ่งเข้าไปหลบในห้องแต่งตัว จึงรีบชิงรั้งเอวบางเข้ามาแนบอกเสียก่อน
“คุณฉัตร ปล่อยฉันค่ะ!”
ริศาตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ กำปั้นน้อยๆ พยายามดันคนตัวโตออกห่าง แต่ยิ่งผลัก แขนแข็งแกร่งยิ่งกอดเธอแน่นมากขึ้น ตอนนี้เธอและเขาแนบกันสนิทจนไม่เหลือช่องว่าง ใบหน้าก็ห่างกันไม่ถึงคืบ เธอจนปัญญาที่จะหนีเสียแล้ว
“คุณจำคืนเข้าหอของเราได้ไหมรสา”
จิรฉัตรกระซิบเบาๆ ที่หูเธอ ลมหายใจอุ่นๆ ของเขาทำให้ร่างบางในอ้อมแขนขนลุกซู่
ริศาหดคอเพราะขนลุก เธอไม่กล้ามองหน้าจิรฉัตรด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าคืนนี้เขาเกิดนึกพิศวาสอะไรขึ้นมาอีก แต่เธอไม่ใช่ภรรยาของเขานะ!!
“ผมถามว่าจำได้ไหม ทำไมคุณถึงไม่ตอบล่ะ”
ไม่พูดเปล่า จิรฉัตรยังกดหญิงสาวให้นั่งลงบนเตียง มือหนาทั้งสองข้างจับไหล่บางไว้เบาๆ
“คืนนั้น คุณทำกับผมแบบนี้...”
ริศากลั้นลมหายใจโดยอัตโนมัติ เมื่อใบหน้าหล่อเหลาของคนตัวสูงโน้มลงมาใกล้จนหน้าผากแทบชนกัน เธอหลับตาปี๋ลุ้นจนตัวเกร็งไปหมด
นี่เขาจะจูบเธอเหรอ!!
และทันทีที่ปลายจมูกโด่งของทั้งคู่สัมผัสกัน หญิงสาวก็ถอยหนีในทันใด คนตัวสูงไม่ปล่อยให้เหยื่อหนีได้ง่ายๆ เขาตามไปคร่อมริศาไว้ ล็อกข้อมือทั้งสองข้างของเธอไว้ด้านข้าง น้ำหนักตัวส่วนล่างกดขาเรียวไว้ไม่ให้ขยับได้
หัวใจของริศาเต้นแรงและเร็ว จนคนด้านบนได้ยินอย่างชัดเจน ถึงกระนั้นเขาก็ยังไปต่อไม่ให้หัวใจของเธอได้พักเหนื่อย
“ผมจะทำกับคุณแบบที่คุณทำกับผม”
จิรฉัตรพูดด้วยเสียงที่เซ็กซี่ที่สุดในชีวิตนี้ เขาโน้มตัวลงมาหาคนใต้ร่างอีกครั้ง คราวนี้เธอกลัวจริงจนถึงขั้นร้องลั่น
“อย่าปล้ำฉันนะคะคุณฉัตร!!”
โป๊ก!
ความเจ็บปวดที่หน้าผากทำเอาริศาถึงกับพูดไม่ออก จิรฉัตรลุกออกจากเตียงไปแล้ว แต่เธอยังนอนแผ่บนเตียงเหมือนเดิม มือขวายกขึ้นจับหน้าผาก ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง มองคนที่ทำร้ายตัวเอง ทำแก้มป่องเป็นลูกกลมๆ สองลูก ทั้งโมโหทั้ง...นึกเสียดาย
“คืนนั้นคุณไม่ได้ปล้ำผมซะหน่อย คุณเอาหน้าผากมาโขกผมต่างหาก”
ริศาขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าพี่สาวฝาแฝดของเธอทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร นั่นมันคืนเข้าหอไม่ใช่เหรอ คู่บ่าวสาวควรจะสวีตกันด้วยความรักไม่ใช่หรือไง แม้ว่ารสาจะแต่งงานเพราะเงิน แต่จะไม่ยอมขึ้นเตียงกับจิรฉัตรเลยเชียวหรือ...
“ตกลงคุณเข้ามาทำไมเนี่ย” ริศาถามเสียงแข็ง
“แค่เข้ามาทบทวนความทรงจำ”
ดวงตาคมกริบจ้องมองไปยังรอยแดงบนหน้าผากของคนตัวเล็ก ความหงุดหงิดปนกับความขบขันตีกันอยู่ในหัว เขาไม่บอกราตรีสวัสดิ์ริศา เพียงแค่เปิดประตูแล้วก้าวออกไปเสียดื้อๆ คนเจ็บตัวก็ได้แต่มองตามหลังด้วยความงุนงง
เช้าวันต่อมาริศาตื่นมาทำอาหารเช้าให้สามีปลอมๆ อีกเช่นเคย เมนูวันนี้คิดจากวัตถุดิบที่ยังพอเหลืออยู่ในตู้เย็น ได้แก่ สลัดอะโวคาโด และกุ้งแช่น้ำปลา เธอกะว่าจะออกไปเดินห้างสรรพสินค้าเสียหน่อยตอนเที่ยงๆ เพื่อซื้อของมาตุนไว้ทำอาหารมื้อถัดไป
ร่างสูงก้าวเข้ามาในครัว ไม่ละสายตาจากแม่ครัวสาวแม้แต่วินาทีเดียว จนเจ้าตัวสัมผัสได้ แม้แต่ป้าบัวก็ยังสัมผัสได้...
“คุณมองฉันทำไมคะ”
ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า แต่เขาดูแปลกๆ ตั้งแต่เมื่อคืน
“ไม่ได้มองคุณ ผมมองอะโวคาโด”
ริศาเลิกคิ้วสูง อะโวคาโดวางอยู่บนโต๊ะ แต่เขามองหน้าเธอแล้วบอกว่ามองอะโวคาโด...แบบนี้มันหมายความว่ายังไง
“แล้วคุณมองอะโวคาโดทำไมคะ”
“ผมแพ้ คุณก็รู้”
ริศาเบิกตากว้าง ตกใจและงุนงงกับสิ่งที่ได้ยิน เมื่อหลายวันก่อนจิรฉัตรยังรับประทานสลัดอะโวคาโดที่เธอทำจนหมดจานอยู่เลย แล้วอยู่ๆ เขาจะมาบอกว่าแพ้ได้อย่างไร
“แต่ครั้งที่แล้วคุณทานจนหมดเลยนะคะ”
“ผมเห็นคุณตั้งใจทำเลยฝืนกิน”
เขาขยับเข้าไปใกล้แม่ตัวดีมากขึ้น จนใกล้พอที่จะคว้าตัวเธอไว้ได้ แต่เขาก็ไม่ทำ เพียงแค่เอามือเท้าโต๊ะและยิ้มเจ้าเล่ห์ให้เท่านั้น
“คุณแพ้อะโวคาโดจริงๆ เหรอคะ” ริศาถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ไม่จริง ผมไม่ได้แพ้” เขายักไหล่
ริศางงหนักกว่าเดิม เขาเป็นอะไรของเขาเนี่ย
“ตกลงคุณแพ้หรือไม่แพ้คะ”
“ไม่แพ้”
พูดจบ จิรฉัตรก็หมุนตัว ก้าวขากำลังจะพ้นจากห้องครัว หญิงสาวก็ตะโกนไล่ตามหลังมาเสียงดัง
“วันนี้ไม่ทานมื้อเช้าเหรอคะ”
“ไม่ละ ผมแพ้อะโวคาโด”
ริศาหันมองป้าบัวคล้ายต้องการคำตอบในเรื่องนี้ ตกลงจิรฉัตรแพ้อะโวคาโดหรือไม่แพ้กันแน่ ทำไมเขาถึงต้องทำให้เธอปวดไมเกรนตั้งแต่เมื่อคืน หนำซ้ำเช้านี้ก็ยังมิวายจะป่วนเธออีก แต่ทั้งหมดนี้ยังไม่น่าหวั่นใจเท่ากับตาขวาของเธอที่กำลังกระตุกถี่ๆ
ปอร์เช่สีแดงแสบตาไม่ได้มุ่งหน้าตรงไปยังบริษัทเหมือนเช่นทุกวัน จิรฉัตรสั่งให้มือขวาขับไปส่งเขาที่โรงแรม J Park ก่อนไปทำงาน ระหว่างนั่งอยู่ในรถมาเฟียหนุ่มมีความคิดถาโถมอยู่ในหัวมากมาย ครั้นรู้สึกว่าลูกน้องมองอยู่ ก็หันไปชวนคุยตรงๆ
“วิทย์ ฉันแพ้อะโวคาโดหรือเปล่า”
“ไม่นี่ครับ”
วิทย์ตอบเร็วยิ่งกว่าคณิตคิดเร็ว ทำเอาคนถามทำหน้าหนักใจกว่าเดิม
“เฮ้อ เขารู้กันทั้งคฤหาสน์ แต่ทำไมเมียฉันถึงไม่รู้”
จิรฉัตรบ่น ตลอดสองปีที่ผ่านมารสาจำเรื่องที่เกี่ยวกับเขาได้ขึ้นใจเกือบทั้งหมด ทั้งอาหารที่ชอบ งานอดิเรก แม้กระทั่งก้าวขาไหนออกจากบ้านเป็นข้างแรกเธอก็ยังรู้ แม้จะแสดงออกว่าไม่สนใจก็ตาม แต่แล้วทำไมตอนนี้ถึงจำอะไรไม่ได้เลย หรือว่าเป็นเขาเสียเองที่ไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับเธอกันแน่
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไหว้ทำความเคารพจิรฉัตรครั้งแล้วครั้งเล่าทันทีที่เขาก้าวลงมาจากรถ ร่างสูงเพียงพยักหน้ารับไหว้ แล้วตรงไปยังลิฟต์โดยมีวิทย์เดินตามไม่ห่าง
ประตูลิฟต์เปิดออกที่ชั้นสิบเจ็ด ซึ่งเป็นชั้นของห้องปฏิบัติการรักษาความปลอดภัย ผู้จัดการโรงแรมวัยสี่สิบปียืนรอต้อนรับเขาอยู่ ดูท่าว่าเจ้าของโรงแรมจะมาเช้าไปจนคนรอต้อนรับไม่ทันได้เตรียมตัว รีบร้อนออกมาดูแลจนลืมเลือกรองเท้าดีๆ ให้เข้ากับชุดสูทเรียบหรู ขณะนี้ถึงได้ใส่แตะหูหนีบช้างดาว
ผมยังเปียกอยู่ด้วย สงสัยเพิ่งอาบน้ำเสร็จ...
“นายท่านรีบร้อนแต่เช้าเลย มีอะไรให้ผมรับใช้เหรอครับ”
“ฉันต้องการดูกล้องวงจรปิดทั้งโรงแรม ตั้งแต่ตอนงานเลี้ยงสมาคมเริ่มจนถึงตอนเลิกงาน”
ความคิดเห็น |
---|