8

8

8

 

ภาพจากกล้องวงจรปิดฉายภาพผู้หญิงรูปร่างสูงเพรียว สวมเสื้อสีดำแขนยาวกับกางเกงยีน สวมมาสก์ปกปิดใบหน้าเดินเข้ามาภายในโรงแรมโดยใช้ทางลับที่รู้กันเฉพาะพนักงานของโรงแรม J Park เท่านั้น

จิรฉัตรขอดูภาพตรงหน้าห้องพักพนักงานหลังจากที่เขาเดินไปส่งภรรยาให้เข้าไปเตรียมตัวในห้องนั้น ประมาณสิบนาทีหลังจากเขาเดินออกมา ผู้หญิงเสื้อดำคนเดิมก็เข้าไปในห้องนั้นก่อนที่รสาจะเดินออกมาแล้วตรงไปยังเวที

พอรสาวิ่งกลับเข้าไปในห้องนั้นหลังจากมีปากเสียงกับเขา ผู้หญิงคนเดิมก็รีบเดินออกมาหลังจากผ่านไปประมาณยี่สิบนาทีได้

“หยุดภาพแล้วซูมหน่อย”

จิรฉัตรสั่งให้เจ้าหน้าที่หยุดภาพจังหวะที่หญิงสาวเสื้อดำเปิดประตูก่อนออกจากห้องพักพนักงาน ช่วงเวลาไม่ถึงสามวินาทีนั้นชายหนุ่มเห็นภรรยาตนเองยืนอยู่ภายในห้องข้างหลังผู้หญิงคนนี้ ยิ่งซูมก็ยิ่งเห็นชัดว่าเขาจำไม่ผิด

วิทย์ลอบมองท่าทีของนายท่านด้วยความเป็นห่วง ไม่รู้ว่าตอนนี้เจ้าตัวคิดอะไรอยู่ และไม่รู้ว่าเรื่องแปลกๆ นี้คืออะไรกันแน่

หลังจากดูภาพจากกล้องวงจรปิดเสร็จ จิรฉัตรก็ออกมาจากตัวอาคารโรงแรมเพื่อสำรวจเส้นทางลับเฉพาะพนักงาน เส้นทางนี้เขาออกแบบมาเพื่อไว้ต้อนรับเจ้าพ่อมาเฟียตระกูลอื่นเวลาที่แวะเข้ามาพักในโรงแรม เพื่อไม่ให้นักข่าวและเจ้าหน้าที่ตำรวจจับได้

แล้วผู้หญิงคนนั้นรู้เส้นทางนี้ได้ยังไงกัน

เธอต้องรู้จักกับภรรยาของเขาแน่ และที่สำคัญ...ต้องเป็นคนในเท่านั้น

จิรฉัตรเข้าบริษัทช้ากว่าทุกวันเพราะมัวแต่จัดการเรื่องส่วนตัวอยู่ที่โรงแรม J Park ภายในห้องทำงานของประธานหนุ่มล้อมรอบด้วยรัศมีความอึมครึม นิ้วเรียวเคาะโต๊ะเบาๆ ระหว่างปะติดปะต่อเรื่องราวแปลกๆ เกี่ยวกับภรรยาที่บ้าน

ควรเช็กดูก่อนดีไหมว่าหญิงสาวทำอะไรอยู่

จิรฉัตรล้วงโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วกดเบอร์ของเป้ มือซ้ายคนสนิท รอสายเพียงแค่สองวินาทีอีกฝ่ายก็กดรับเหมือนตั้งใจรอให้เขาโทร. ไปหาอยู่แล้ว

“ครับนายท่าน”

“รสาอยู่ที่บ้านไหม” เขาถาม พร้อมกับหมุนเก้าอี้หนังไปมา

“เพิ่งออกไปข้างนอกเมื่อครู่เองครับ”

“ไปข้างนอก ฉันเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าให้จับตาดูเธอไว้อย่าให้คลาดสายตา” เสียงทุ้มต่ำแฝงความไม่พอใจ

“ขอโทษครับนายท่าน พอดีว่าผมท้องเสียกะทันหัน นายหญิงเลยออกไปซื้อวัตถุดิบทำอาหารที่ห้างคนเดียวครับ”

“ท้องเสีย”

“ครับ ไม่รู้ว่าทานอะไรเข้าไป”

“โอเคๆ ยังไงถ้ารสากลับถึงคฤหาสน์ให้รายงานฉันด้วย”

“ครับนายท่าน”

จิรฉัตรหมุนเก้าอี้กลับมาที่โต๊ะทำงานอีกครั้งหลังจากวางสาย เริ่มสงสัยในตัวภรรยามากยิ่งขึ้น พักหลังมานี้หน้าที่ทำอาหารกลายเป็นของเธอหลังจากเสนอตัวเองขึ้นมา แล้วเป็นไปได้หรือไม่ว่าเธออาจวางยาให้มือซ้ายของเขากิน เพื่อที่ตัวเองจะได้ออกไปข้างนอกคนเดียว ไม่มีการ์ดตามไปด้วย

หรือรสาจะไปหาชู้รัก

มือหนากำหมัดแน่นเมื่อนึกถึงนายแบบหน้าฝรั่งที่เคยเป็นชู้กับภรรยาของเขา ทั้งที่เธอสัญญาดิบดีแล้วแท้ๆ ว่าจะเลิกคบหากับเบญจามิน แต่ดูท่าว่าสันดานเก่าคงเปลี่ยนไม่ได้อย่างที่พ่อเขาเคยบอกไว้

จิรฉัตรรู้ดีว่ารังรักของสองคนนั้นอยู่ที่ไหน

 

เพนต์เฮาส์ราคาหลายร้อยล้านจากโครงการคอนโดมิเนียมเจซี ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ของราล์ฟ ลอเรน ตั้งอยู่ในจุดที่สามารถชมทิวทัศน์ริมแม่น้ำได้ชัดเจน ณ ชั้นบนสุดของตึกสูงตระหง่านตึกนี้ร่างบางของรสากำลังง่วนอยู่กับการเก็บเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้ราคาแพงของเธอเข้ากระเป๋าเดินทางใบใหญ่จำนวนสามสี่ใบ

ยิ่งมองยิ่งเสียดาย...ต่อไปนี้ที่นี่จะไม่ใช่ของเธออีกต่อไปแล้ว

แต่เธอได้เลือกแล้ว ว่าจะกลับไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เชียงใหม่ แม้ว่าพ่อกับแม่จะไม่ต้อนรับเธอก็ตาม แม้จะรู้สึกน้อยใจที่ไม่ใช่ลูกรักเช่นริศา แต่เธอไม่เคยอ้อนวอนขอความรักจากคนที่ไม่เคยให้มันแก่เธอตั้งแต่แรกเลยสักครั้ง

ชีวิตคนเราจะมาสนใจเรื่องไร้สาระนี่ทำไม ต้องทำงานสู้ชีวิตเพื่อเงินต่างหากถึงจะถูกต้อง

ระหว่างที่เก็บสัมภาระอย่างเร่งรีบอยู่ รสาก็ได้ยินเสียงประตูห้องถูกเปิดออก เธอไม่ใช่คนโง่ที่จะคิดว่าตัวเองหูฝาด ยังไงซะก็ต้องมีคนมาที่นี่ในเวลานี้แน่นอน และคนเดียวที่มีคีย์การ์ดห้องของเธอคงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเจ้าของโครงการอย่างจิรฉัตร

หญิงสาวรีบยัดกระเป๋าเดินทางทุกใบเข้าไปในตู้เสื้อผ้าเพื่อซ่อนทันที โชคดีที่เธอเปลี่ยนชุดเป็นของเธอเองไม่ใช่ของริศา ไม่อย่างนั้นคงถูกจับผิดอีกแน่ การที่จิรฉัตรมาที่นี่คงไม่พ้นสงสัยว่าเธอมาแอบนัดพบกับเบญจามินอีกสิท่า

และแสดงว่าน้องสาวของเธอไม่ได้อยู่ที่คฤหาสน์...

“ว่าแล้วเชียวว่าต้องแอบมาพบชู้ที่นี่”

เสียงของจิรฉัตรดังกังวานมาถึงก่อนตัวจะปรากฏ ร่างสูงในชุดสูทสีเข้มก้าวขาเพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงตัวเธอ มือหนาดึงข้อมือบางเข้าหาตัว เขาบีบมันแรงจนหญิงสาวต้องกัดฟันแน่น

“ไหน ไอ้เวรนั่นมันซ่อนอยู่ที่ไหน!”

มาเฟียหนุ่มตะโกนลั่น สอดส่ายสายตาทั่วห้อง พอไม่เห็นใครอื่นนอกจากคนตัวเล็กตรงหน้าก็หันกลับมาสบตาเธอเขม็ง

“ปล่อย!” รสาพยายามสะบัดข้อมือออก แต่เขาจับไว้แน่น ยิ่งพยายามดึงออกเธอก็ยิ่งเจ็บ “ฉันแค่แวะมาเก็บของกลับบ้าน!”

จิรฉัตรเลิกคิ้ว “เป้บอกว่าคุณออกมาซื้อวัตถุดิบทำอาหารที่ห้าง”

รสาเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วฉวยจังหวะที่เขาคลายแรงลงดึงมือตัวเองออกมา รอยแดงปรากฏชัดรอบข้อมือบาง

“ฉันเปลี่ยนใจแวะมาที่นี่ก่อน” เธอว่า

จิรฉัตรยังไม่ปักใจเชื่อคำพูดของคนตัวเล็ก เขาเดินสำรวจทุกห้องภายในเพนต์เฮาส์ ทั้งชั้นล่างและชั้นบน ไม่เว้นแม้แต่ห้องน้ำและหลังตู้โชว์ที่วางเรียงราย เมื่อเห็นว่าไม่มีใครหลบซ่อนตัวอยู่จริงๆ จึงเดินกลับมาหาภรรยาที่นั่งไขว่ห้างกอดอกอยู่บนโซฟาห้องโถง ใบหน้าหวานบึ้งตึง

ทุกครั้งที่คิดจะทำอะไรพ่อมาเฟียตัวดีนี่ต้องมาขัดจังหวะอยู่ร่ำไป!

“คุณมาเก็บอะไร”

จิรฉัตรถามเสียงแข็ง

รสาไม่ตอบ เธอปรายตาไปยังขวดน้ำหอมแบรนด์เนมหลายสิบขวดบนโต๊ะกระจกเพื่อซ่อนพิรุธ เธอวิ่งไปโกยน้ำหอมเหล่านี้มาจากห้องแต่งตัวระหว่างที่ชายหนุ่มง่วนอยู่กับการตามหาเบญจามินเมื่อครู่

“ผมซื้อให้ใหม่เป็นพันขวดก็ได้ไม่เห็นต้องมาถึงที่นี่เลย คุณก็รู้ว่าผมไม่ชอบ”

“นี่ก็ห้องฉัน ทำไมฉันจะมาไม่ได้” รสาช้อนสายตามองอีกคน

จิรฉัตรไม่ตอบ ทั้งเขาและเธอต่างรู้อยู่แก่ใจในเรื่องนี้ หากพูดถึงอีกคงมีแต่ทะเลาะกันเป็นเรื่องราวใหญ่โต มาเฟียหนุ่มตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องคุย

“จะเที่ยงแล้ว ทานข้าวกันดีกว่า”

ตอนนี้เนี่ยนะ!

รสาหันขวับ หัวใจเต้นแรงขึ้นเพราะหงุดหงิด เธอยิ่งรีบๆ อยู่ยังจะมาชวนกินข้าวอีก ไอ้บ้าเอ๊ย!

ถึงจะก่นด่าอีกฝ่ายในใจ แต่รสาก็ไม่ปฏิเสธเขา เธอพอเดาได้ว่าหากเป็นริศาคงไม่กล้าขัดใจจิรฉัตรแน่ ดังนั้นเธอจะพยายามทำตัวให้คล้ายน้องสาวมากที่สุด

ชีวิตเธอมาถึงจุดที่ต้องสวมรอยเป็นคนอื่นที่สวมรอยเป็นตัวเธอเองอีกทีหนึ่งแล้วหรือนี่

ไม่ถึงสิบนาทีหลังจากจิรฉัตรโทร. บอกรูมเซอร์วิซว่าให้เอาอาหารขึ้นมาเสิร์ฟ พนักงานสาวก็ปรี่ขึ้นมายืนรออยู่หน้าห้องด้วยใบหน้าแดงก่ำ รสากลอกตามองบนเมื่อเห็นว่าสามีของตัวเองเสน่ห์แรงต่อเพศตรงข้ามทุกวัย ทุกช่วงอายุ ใครเห็นเป็นต้องตกหลุมรัก แต่ยกเว้นเธอไว้คนหนึ่งแล้วกัน

พนักงานสาวจัดโต๊ะด้วยอาหารมากหน้าหลายตาทั้งข้าวผัดแฮม แซนด์วิช แอปเปิล พายองุ่น ไอศกรีมมะม่วง และไวน์ชั้นเลิศอย่างละสองที่ ก่อนออกจากห้องไปก็ยังมิวายเหลือบมองเจ้าของโครงการคอนโดไม่ละสายตา ครั้นพอเห็นภรรยาของเขามองตาเขียวปั้ดใส่ก็รีบวิ่งออกไป

“คุณควรจะทานเยอะๆ หน่อยนะ ผมว่าคุณผอมลงไปมาก”

จิรฉัตรพูดไปพลาง มือก็รินไวน์ใส่แก้วภรรยาและแก้วของตัวเองไปพลาง

ดวงตาสีไข่มุกเข้มสั่นไหววูบหนึ่ง คล้ายกับเดจาวู รสาเห็นภาพซ้อนช่วงเวลานี้กับตอนที่เธอแต่งงานกับชายตรงหน้าใหม่ๆ เขาดูแลเธอดีมาก เพียงแค่คิดว่าเขาคงดูแลน้องสาวเธอดีไม่แพ้กันเธอก็รู้สึกแปลกๆ

จะว่าไปใครๆ ก็รักริศาทั้งนั้น

“รสา”

เสียงเรียกของจิรฉัตรทำให้หญิงสาวหลุดจากภวังค์ เธอมองหน้าเขาที่เลื่อนมาอยู่ใกล้จนรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ตรงปลายจมูก

“ไม่สบายหรือเปล่า ผมเรียกคุณตั้งหลายครั้ง”

มือหนายกขึ้นอังหน้าผากมนเพื่อวัดอุณหภูมิร่างกาย เมื่อเห็นว่าปกติดีเขาก็กลับไปนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเธอตามเดิม

“เรียกฉันทำไมล่ะ”

รสาเปลี่ยนอารมณ์ด้วยการจิบไวน์ในแก้วด้วยมาดนางพญา

“สงสัยว่าทำไมถึงไม่ยอมกินข้าวสักที”

“ไม่ค่อยหิว” รสาว่า ก่อนจะตักข้าวผัดคำเล็กเข้าปาก แล้วดื่มน้ำตาม

“รสา”

“อะไรอีก!” หญิงสาวชักรำคาญ

“คุณปิดบังอะไรผมอยู่หรือเปล่า”

คนตัวเล็กชะงักกึก วางช้อนส้อมลงแล้วหยิบทิชชูขึ้นมาเช็ดปาก สบตาคนถามด้วยแววตาที่พยายามทำให้จริงใจที่สุด ก่อนตอบเสียงเรียบ

“ไม่มี”

จิรฉัตรไม่ซักไซ้อะไรต่อ เพราะรู้ว่าคงไม่ได้คำตอบที่ต้องการ หากคิดจะต้อนเธอให้จนมุมคงมีแต่ต้องจับให้ได้คาหนังคาเขาพร้อมกับหลักฐานมัดตัวอย่างแน่นหนาเท่านั้น

มื้อกลางวันในเพนต์เฮาส์จึงผ่านพ้นไปได้ด้วยดี แม้วันนี้ภรรยาแสนสวยจะไม่ชวนคุยเหมือนทุกวัน แต่จิรฉัตรกลับรู้สึกสบายใจ และสงบกว่าทุกครั้ง นั่งเอื่อยไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีก็ผ่านไปชั่วโมงกว่าแล้ว เขามองนาฬิกาที่บอกเวลาบ่ายโมงสิบห้านาที

“ให้ผมไปส่งที่ห้างไหม”

รสาส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก นี่มันเวลางานของคุณนะ กลับบริษัทไปเถอะ”

น่าแปลกที่รสาไม่ได้อ่อนหวานเท่าเมื่อวาน แต่เย็นลงกว่าเมื่อก่อน มาเฟียหนุ่มจ้องภรรยาด้วยความชื่นชม เธออยู่ในลุคมินิมัลด้วยเดรสยาวสีขาวเพิ่มกิมมิกด้วยลายฉลุช่วงอก ดูเรียบร้อยแต่ไม่น่าเบื่อ ทรงผมเปียข้างเดียวหลวมๆ ยิ่งขับให้เธอดูดีมากขึ้น

มันช่างน่าจับฟัดนัก

สิ้นสุดความคิดจิรฉัตรก็โผเข้ากอดหมับภรรยาทันที มือน้อยๆ พยายามผลักเขาออกแต่สู้แรงไม่ไหว จึงได้แต่อยู่นิ่งๆ ให้เขากอดแน่นจนแทบจะจมหายไปกับแผงอกแกร่ง ร่างสูงสูดดมกลิ่นแชมพูและน้ำหอมกลิ่นหวานช่วงลำคอระหง ผ่านมาเนิ่นนานแล้วที่เขาไม่ได้กลิ่นนี้

“มันเจ็บปวดที่ต้องพูดเรื่องหย่า เพราะฉะนั้นได้โปรดอย่าพูดถึงมันอีกเลย”

เขากระซิบข้างหูเธอ

รสาไม่รู้เลยว่าหากเป็นริศาที่กำลังพยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อยื้อการหย่าของเธอกับจิรฉัตรไว้จะกอดเขาตอบและยิ้มอย่างมีความสุขหรือไม่ มือบางค่อยๆ ยกขึ้นอย่างช้าๆ แต่ก่อนที่จะได้สัมผัสกับแผ่นหลังกว้างของอีกคน มันกลับชะงักกลางอากาศและเลือกที่จะเก็บลงข้างตัวดังเดิม

จงอย่าไขว้เขวเด็ดขาดรสา...

จิรฉัตรคลายอ้อมกอดหลังจากกอดผู้หญิงตรงหน้าจนพอใจแล้ว เขาเชยคางเธอขึ้นเพื่อให้สบตาคู่สวยได้ชัดๆ ก่อนโน้มใบหน้าลงหาดวงหน้าหวาน เป้าหมายของสายตาเจ้าเล่ห์คือริมฝีปากสีกุหลาบน่าสัมผัส

รสาเอียงหน้าหนีทันทีที่ปลายจมูกโด่งของเขาแตะกับปลายจมูกของเธอ เป้าหมายของเขาจึงคลาดเคลื่อนกลายเป็นแก้มนวลเนียนของเธอแทน มาเฟียหนุ่มผละออกช้าๆ อย่างอ้อยอิ่ง นึกเสียดายแต่ไม่ได้ต่อว่าหรือใช้กำลังบังคับเธอ สองมือหนาล้วงกระเป๋ากางเกงดูภูมิฐาน พลางส่งยิ้มบางให้

“มาเก็บจานค่ะ”

พนักงานรูมเซอร์วิซคนเดิมพูดอย่างกล้าๆ กลัวๆ ผ่านลำโพงเล็กๆ หน้าประตู รสาอาสาเดินไปเปิดประตูเอง พยักหน้าอนุญาตให้เธอเข้ามาทำหน้าที่ได้ แล้วแอบกระซิบให้ได้ยินเพียงสองคน

“เดี๋ยวให้คนขึ้นมายกกระเป๋าฉันที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าลงไปที่ลานจอดรถให้หมดนะ”

“ค่ะ” พนักงานรับคำ แล้วรีบเดินไปเก็บจานและเศษอาหารบนโต๊ะ แล้วจึงลงลิฟต์ไป

 

 

จิรฉัตรก้าวออกจากห้องบ้าง ระหว่างรอลิฟต์ร่างบางก็ออกมายืนรอเป็นเพื่อน ครั้นพอลิฟต์ขึ้นมา เขาก็ก้าวเข้าไปข้างใน กดชั้นใต้ดิน มองตาคู่สวยล้ำลึกขณะประตูค่อยๆ เลื่อนปิด

“โชคดีนะ นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่คุณจะได้เห็นฉันที่นี่”

มาเฟียหนุ่มค่อยๆ เบิกตากว้าง มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้หูฝาด เขาพยายามกดเปิดประตูลิฟต์แต่ไม่ทัน ใช้เวลาสักพักจากชั้นสามสิบเก้ามาจนถึงชั้นสิบห้าประตูลิฟต์ก็เปิดออก เพราะสามีภรรยาคู่หนึ่งกดเรียก จิรฉัตรวิ่งออกมาข้างนอกทันที หันมองลิฟต์ตัวข้างๆ ต้องการกลับขึ้นไปหารสา แต่ทุกตัวกำลังลงชั้นล่างหมด ขายาวแข็งแรงเลือกที่จะสับขาขึ้นบันไดหนีไฟแบบไม่คิดชีวิต

หัวใจของชายหนุ่มกระตุกวูบ สั่นไหวปานแผ่นดินถล่ม ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขาถึงได้ใจหายขนาดนี้ เมื่อครู่รสาเหมือนบอกลาเขา...บอกลาเป็นครั้งสุดท้าย

จิรฉัตรวิ่งขึ้นไปจนถึงชั้นสามสิบเก้าด้วยอาการเหนื่อยหอบ ตัวเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เข้าไปในห้องที่เขาซื้อให้หญิงสาวแต่ไม่พบใคร ขวดน้ำหอมมากมายที่เคยตั้งอยู่บนโต๊ะก็หายไปด้วย คิดในแง่ดีรสาคงกำลังกลับบ้าน เขาจึงลงลิฟต์มายังชั้นใต้ดินซึ่งเป็นลานจอดรถ

ชายหนุ่มออกรถไปติดไฟแดงห่างจากคอนโดไม่ไกลมาก พลันสายตาคมกริบเหลือบเห็นภรรยาสุดที่รักขนกระเป๋าเดินทางหลายใบยัดใส่ท้ายรถแกร็บคันหรู เป็นอีกครั้งที่เขาใจหาย กดกระจกรถให้เลื่อนลงกำลังจะอ้าปากตะโกนเรียกเธอ แต่ไฟจราจรก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวเสียก่อน จึงจำใจเคลื่อนรถหลังจากโดนบีบแตรไล่อยู่หลายที

จิรฉัตรกดไอคอนรูปโทรศัพท์สีเขียวเบอร์รสาทันที นานหลายสายกว่าเธอจะกดรับ

“คุณกำลังจะไปไหน!” เขาตะเบ็งเสียงราวขาดสติ

“ฮัลโหล...คุณฉัตร...”

“รสา คุณอยู่ไหน”

“บนรถค่ะ ไม่ค่อยมีสัญญาณเลย ฮัลโหล!”

“รสา คุณเก็บเสื้อผ้าไปไหน!”

“...ไป...”

โธ่โว้ย!

จิรฉัตรโมโหแทบเขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้ง เหยียบคันเร่งเต็มสปีดฝ่าไฟแดงทุกแยก ไม่ไปมันแล้วบริษัท เขาจะกลับไปดักรอภรรยาที่คฤหาสน์ ถ้าเธอคิดทิ้งเขาเธอตายแน่

“ผมไม่ปล่อยคุณแน่รสา!”

 

รถคันหรูจอดที่หน้าประตูคฤหาสน์ขนาดโอฬาร เจ้าของรถก้าวลงมาแล้วเร่งฝีเท้าเข้ามาในตัวคฤหาสน์ เห็นคนที่ทำให้เขาฉุนเฉียวสะดุ้งโหยงยามเอี้ยวตัวมามองเขา เธอยืนงง สีหน้าเป็นกังวล

“คุณฉัตร เกิดอะไรขึ้นคะ ฉันนึกว่าคุณเป็นอะไรเลยรีบกลับมา”

จิรฉัตรไม่ตอบคำถามไหนทั้งสิ้น อันที่จริงเขาไม่ได้ยินเสียงเธอเลยด้วยซ้ำ หูมันอื้ออึงไปหมด สิ่งที่เขาทำในตอนนี้คือวิ่งเข้าไปคว้าร่างของเธอมากอดไว้แน่น 

ริศารู้สึกเหมือนกำลังโดนงูเหลือมรัด ทั้งอึดอัด หายใจไม่ออก และจุกไปหมด เธอพอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น มือเล็กยกขึ้นกอดแผ่นหลังเขาตอบโดยอัตโนมัติ โทรศัพท์ในมือซ้ายปรากฏหน้าจอสิ้นสุดการสนทนากับรายชื่อที่เธอบันทึกไว้ว่า ‘น้องสาว’

แม้ว่าความจริงจะเป็นพี่สาวก็เถอะ

“ทำไมคุณถึงพูดว่าจะไม่ได้เจอกันอีก”

จิรฉัตรพูดเสียงอู้อี้ ปลายจมูกฝังลงที่ต้นคอของคนตัวเล็กในอ้อมกอด

“ฉันแค่...จะย้ายออกจากเพนต์เฮาส์น่ะค่ะ...”

ร่างสูงไม่ถามอะไรต่อ เพียงแค่กอดริศาไว้อย่างนั้นเป็นเวลาเนิ่นนาน หญิงสาวกลัวจะถูกจับได้จนตัวสั่น เธอตอบคำถามจิรฉัตรตามที่พี่สาวฝาแฝดโทร. มาบอกก่อนหน้า ตอนที่เขาโทร. มาหาเธอ เธอกำลังรีบเปลี่ยนชุดเป็นชุดที่คล้ายๆ กับที่รสาใส่ที่เพนต์เฮาส์อยู่ และถักเปียคล้ายๆ กับพี่สาว แต่หลุดลุ่ยหมดแล้วเพราะรีบร้อนเกินขนาด

เธอได้แต่หวังว่าเขาจะจับไม่ได้

จิรฉัตรคลายอ้อมกอดออก ไม่ปริปากพูดอะไร เพียงแค่เดินขึ้นบันไดกลับไปที่ห้องอย่างช้าๆ ครั้นลงกลอนประตูเสร็จก็ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง แน่ใจในสัญชาตญาณของตัวเองแล้วว่ามีคนกำลังเล่นตลกกับเขาอยู่แน่นอน

รูปร่างหน้าตาและเสื้อผ้าอาจจะเหมือนกันได้

แต่กลิ่นที่ต่างกันมันซ่อนไม่ได้!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น