9

9

9

 

เอกสารหลายฉบับวางกองอยู่บนโต๊ะทำงานของประธานหนุ่ม เบื้องหน้าเขาทั้งหมดนี้ไม่ใช่เอกสารที่เกี่ยวข้องกับงานของบริษัท แต่เป็นข้อมูลส่วนตัวของ รสา จินดามหาศักดิ์ ภรรยาที่เขาแต่งงานด้วยมาเป็นเวลาสองปีเศษ

ที่ผ่านมาจิรฉัตรไม่เคยสนใจประวัติครอบครัวของเธอเลยแม้แต่นิดเดียว เพียงแค่คลับคล้ายคลับคลาว่าครอบครัวของเธอล้มละลายและติดหนี้นอกระบบจำนวนสิบห้าล้าน ในวันที่เขาไปพูดคุยเพื่อสู่ขอรสา จึงมีข้อตกลงใช้หนี้ให้แทนการจัดงานเลี้ยงใหญ่โต

นับแต่นั้นมารสาก็ไม่เคยพูดถึงครอบครัวของเธออีกเลย

ชายหนุ่มไม่อยากเซ้าซี้ถามเรื่องส่วนตัวมากนัก เพราะเธอดูไม่ชอบใจเท่าไรเวลาที่พูดถึงครอบครัว คาดว่าคงมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยสวย

มือหนาหยิบรูปถ่ายใบหนึ่งขึ้นมาพินิจใกล้ๆ รูปของเด็กผู้หญิงสองคนนั่งใกล้กันบนม้านั่งหินอ่อน เด็กทั้งสองมีใบหน้าที่เหมือนกันชนิดที่ว่าแยกไม่ออก แต่บุคลิกก็แตกต่างกันมากเช่นกัน คนหนึ่งยิ้มร่าเริง อีกคนเพียงมองกล้องด้วยใบหน้าสงบนิ่ง

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนไหนคือภรรยาของเขา

เมื่อพลิกด้านหลังของรูปจะเห็นตัวหนังสือเล็กๆ ที่เขียนไว้ด้วยปากกาหมึกสีดำว่า ‘รสา+ริศา’

ริศา...

มาเฟียหนุ่มนึกถึงช่วงแรกๆ ที่ภรรยาของเขากลับมาอยู่ที่คฤหาสน์หลังจากประสบอุบัติเหตุ เธอมักเผลอเรียกชื่อตัวเองเป็นริอะไรสักอย่างเสมอ

คงจะหมายถึงริศานั่นเอง

ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าคนที่อยู่กับเขาที่คฤหาสน์ทุกวันนี้ไม่ใช่ภรรยาตัวจริง แต่เป็นพี่น้องฝาแฝดของเธอ ส่วนคนที่เดินแบบในงานเลี้ยงสมาคมและคนที่เขาเจอที่เพนต์เฮาส์เมื่อวานคือรสาตัวจริง

จิรฉัตรลูบคางเบาๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว ไม่เข้าใจเหตุผลที่สองฝาแฝดต้องสลับตัวกันไปมาแล้วปั่นหัวเขาอย่างนี้ เหตุผลที่แท้จริงคืออะไรกันแน่

แต่ถ้าพวกเธอต้องการเล่นเกม เขาก็ยินดีร่วมสนุกด้วย

“นายท่านคะ ท่านเรืองศักดิ์มาค่ะ”

เสียงเรียกของเลขานุการสาวดึงสติของจิรฉัตรให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ถึงนาทีร่างท้วมของพ่อก็ก้าวเข้ามาภายในห้อง หน้าตาดุเป็นทุนเดิมปรากฏความหงุดหงิดทวีคูณ

“มีอะไรครับพ่อ”

ท่านเรืองศักดิ์ไม่ได้ตอบคำถามในทันที เดินมาที่โซฟารับแขกมุมห้อง ทำให้จิรฉัตรต้องเดินไปนั่งตรงนั้นด้วย ชายชราถอนหายใจพยายามผ่อนคลายความกังวล

“ตระกูลชาญณรงค์ลาออกจากสมาคมเมื่อเช้านี้”

ชายหนุ่มย่นคิ้ว นึกถึงตระกูลชาญณรงค์ที่พ่อกล่าวถึง ตระกูลของชัชวาลซึ่งเป็นรองประธานของสมาคมมาเฟีย ไม่น่าเชื่อว่าตระกูลที่ช่วยค้ำจุนสมาคมมาตลอดหลายสิบปีจะถอนตัวออกจากสมาคม

“หรือเป็นเพราะผมได้ตำแหน่งประธานสมาคมคนใหม่ ทางนั้นอยากให้ชัชเป็นนี่”

ผู้เป็นพ่อส่ายหัว

“ท่านดิลกเสียชีวิตเพราะโรคหัวใจกำเริบเมื่อคืน เดิมทีฉันก็รู้อยู่ว่าชัชวาลไม่ได้ภักดีกับสมาคม เด็กนั่นแค่ทำตามคำสั่งพ่อ แต่ตอนนี้ไม่มีใครบังคับเขาแล้ว เขาเลยออกไปใช้ชีวิตของตัวเอง”

จิรฉัตรรับรู้ได้ถึงความกังวลของผู้เป็นพ่อ ท่านเรืองศักดิ์รักสมาคมมาเฟียมากเพราะเป็นผู้ก่อตั้งสมาคมมาด้วยกันกับท่านดิลก พ่อของชัชวาล เมื่อประมาณสามสิบปีที่แล้ว การสูญเสียเพื่อนรักไปคงทำใจได้ยาก และยิ่งตระกูลชาญณรงค์ขอแยกตัวออกไปแบบนี้อาจเกิดเหตุจลาจลภายในสมาคมขึ้นได้

เพราะตระกูลที่อยู่ฝ่ายเดียวกับตระกูลชาญณรงค์มีจำนวนไม่น้อย หากพวกเขาขอแยกตัวออกไปด้วย สมาคมคงสั่นคลอน

ไม่มีพ่อคอยบงการชีวิตแบบนี้ ชัชวาลคงผันตัวไปทำธุรกิจมืดจริงๆ

“ตอนนี้พ่อกังวลเรื่องอะไรมากที่สุดครับ”

จิรฉัตรถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง สุขภาพของผู้เป็นพ่อก็ไม่ได้ดีไปกว่าเพื่อนรักที่จากไปเท่าไร สมัยหนุ่มๆ ท่านเรืองศักดิ์กินเหล้า สูบบุหรี่จนติด และใช้ชีวิตแบบสุดโต่ง เมื่ออายุเพิ่มขึ้นโรคภัยจึงตามมาเล่นงาน

“ชัชวาลเป็นคนเก่งพอๆ กับแกเลย”

ท่านเรืองศักดิ์พึมพำในลำคอ แววตาฉายความเสียดาย

“ถ้าวันหนึ่งต้องกลายมาเป็นศัตรูกับสมาคมเราคงลำบากน่าดู”

 

เย็นวันนั้นจิรฉัตรขับรถกลับมาที่คฤหาสน์ ใบหน้าหล่อเหลาเหนื่อยล้าจนคนมองสัมผัสได้ สาวใช้วิ่งไปรับสูทจากมือของนายท่าน อีกคนก็วิ่งไปรินน้ำเย็นๆ มาให้ แต่ชายหนุ่มยกมือปฏิเสธ ตอนนี้เขาแค่อยากล้มตัวลงนอนพักผ่อนแค่นั้น

“คุณฉัตร!”

เสียงหวานดังขึ้นจากห้องนอนอีกฝั่งหนึ่งของราวบันได ริศาอยู่ในชุดเดรสยาวทรงหางปลาสีครีมเรียบหรูของพี่สาวเธอ จิรฉัตรจำได้ว่าเขาเป็นคนซื้อให้รสา แต่ไม่ว่าจะอยู่บนตัวใครก็คงไม่ต่างกัน

แม้เขาจะโกรธที่พี่น้องบ้านรัตนกิจรวมหัวกันหลอกลวง แต่อีกใจก็นึกสงสารน้องเมียที่ต้องย้ายมาอยู่ต่างถิ่นคนเดียว ท่ามกลางคนแปลกหน้า เขาจึงไม่โวยวายหรือเกรี้ยวกราดใส่เธอ

“ผมว่าจะนอนพักสักงีบเดี๋ยวตอนค่ำต้องไปงานศพอีก คุณทานมื้อเย็นคนเดียวนะ”

คนตัวเล็กไม่รับปาก เธอก้าวเท้าฉับๆ ตรงมาหาเขา จ้องหน้าครู่หนึ่งแล้วถามคำถามที่ไม่เคยมีใครถามเขานานแล้ว

“เหนื่อยไหมคะ”

จิรฉัตรหลบสายตาสุกสกาวคู่นั้นด้วยการมองลูกบิดประตูห้อง

ทำไมคนที่ถามถึงไม่ใช่รสากันนะ...

“อืม เหนื่อย” เขาตอบเสียงเนือย

ริศาเอื้อมมือไปจับข้อมือหนาเบาๆ แล้วกุมไว้เพื่อส่งพลังงานบวกให้อีกฝ่าย เขาหันกลับมาสบตาเธออีกครั้ง คราวนี้เธอไม่รู้เลยว่าชายหนุ่มตรงหน้ากำลังคิดอะไรอยู่ เธอแค่อยากส่งยิ้มให้เขาก็แค่นั้น

“เดี๋ยวฉันจะมาปลุกคุณอาบน้ำตอนหกโมงนะคะ”

จิรฉัตรพยักหน้า ก่อนจะแกะมือของอีกฝ่ายออกจากมือของตัวเอง ครั้นพอเข้ามาอยู่ในห้องก็ทิ้งตัวลงบนโซฟา แล้วผล็อยหลับไปทั้งอย่างนั้น

เปลือกตาคู่สวยเปิดขึ้นอย่างช้าๆ อีกครั้ง หลังจากได้ยินเสียงเคาะเรียกเบาๆ ที่หน้าประตู ป่านนี้คงหกโมงแล้วริศาถึงได้มาปลุกตามที่บอก ร่างสูงลุกขึ้นไปเปิดประตูแล้วก็พบกับคนที่เขาคาดเดาไว้ เธอส่งยิ้มสดใสมาให้อีกเช่นเคย

“ไปงานศพตอนที่เศร้า วิญญาณจะตามกลับมาที่บ้านนะคะ”

จิรฉัตรกระตุกยิ้ม

“ไร้สาระ โตแล้วยังเชื่อเรื่องอย่างนี้อีกเหรอ”

“ก็จริงนี่คะ เวลาที่เศร้าจิตเราจะอ่อนแอค่ะ”

“แต่ถ้าเรายิ้มร่าเริงในงานศพอาจจะโดนบาทาจากเจ้าภาพได้นะ”

ริศานิ่งคิดไป คล้ายเริ่มเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาพูด

จิรฉัตรยกมือขึ้นลูบหัวหญิงสาวเบาๆ ด้วยความเอ็นดู ถึงเธอจะไม่ใช่รสา แต่ก็เป็นฝาแฝดของภรรยาเขา มันทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองมีน้องสาวไปด้วย

“คุณก็ต้องไปอาบน้ำเหมือนกันนะ งานนี้คุณต้องไปกับผมด้วย”

อย่างน้อยๆ ริศานี่แหละ ที่จะสามารถลบภาพลักษณ์แย่ๆ ของรสาในสายตาของคนอื่นได้ ชายหนุ่มไม่ได้คิดจะหลอกใช้แม่สาวน้อยคนนี้ แค่คิดว่าเธอเองก็มีประโยชน์สำหรับเขา เหมือนที่เขาก็คงมีประโยชน์กับเธอเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่มาร่วมขบวนการสวมรอยเป็นคนอื่นแบบนี้แน่

“ฉันต้องไปด้วยเหรอคะ”

ริศาชี้นิ้วมาที่ตัวเอง แปลกใจนิดหน่อยที่เขาชวนเธอไปร่วมงานด้วย

“งานศพใครเหรอคะ”

“ลุงดิลก รองประธานสมาคมน่ะ”

“อ๋อ”

ริศาพยักหน้ารับ แต่ที่จริงแล้วเธอไม่เคยเห็นหน้าเจ้าของชื่อดิลกหรอก เพียงแค่ได้ยินตำแหน่งในวงการมาเฟียแล้วรู้สึกว่าต้องเป็นคนใหญ่คนโตแน่ๆ

“อีกสี่สิบนาทีเจอกันข้างล่างนะ”

จิรฉัตรพูด จากนั้นทั้งสองจึงแยกย้ายกันไปทำภารกิจส่วนตัว ก่อนจะลงไปเจอกันที่ห้องโถงในชุดสีดำสุภาพ จิรฉัตรอดคิดไม่ได้ว่าริศาช่างเหมือนภรรยาของเขาเสียจนน่าทึ่ง หากไม่รู้จักกันคงไม่มีทางแยกออก ยิ่งพักหลังมานี้รสาตัวจริงดูอ่อนข้อลงไปเยอะยิ่งแล้วใหญ่

 

ภายในวัดเต็มไปด้วยแขกผู้มีเกียรติมากมายสวมชุดสีดำไว้ทุกข์แก่ท่านดิลก ชาญณรงค์ ผู้มีอิทธิพลจากทั่วประเทศเดินทางมาร่วมงานและถือโอกาสพบปะพูดคุยกัน เนื่องจากน้อยนักที่จะได้ออกมารวมตัวกันแบบนี้ การ์ดชุดดำเกือบร้อยชีวิตยืนตรวจตราความปลอดภัยทั่วอาณาเขตวัด

เฟอร์รารีสีฟ้าล้อมหน้าล้อมหลังด้วยรถเก๋งสีดำจำนวนหกคันจอดนิ่งที่ลานกว้างข้างวัด จิรฉัตรและริศาก้าวลงจากรถพร้อมกันคนละฝั่ง จากนั้นเป้กับวิทย์จึงตามมาเดินระวังภัยให้ทางด้านหลังของทั้งคู่ ระหว่างเดินเข้าไปทำความเคารพศพก็ได้ยินบทสนทนาจากแขกคนอื่นลอยมาเข้าหู

“งานศพพ่อมันยังไม่มาร่วมงานเลย ใจดำจริงๆ”

“ฉันว่าชัชวาลบินไปเมืองนอกแล้ว”

“เขาไม่ยอมรับมรดกที่ท่านดิลกมอบให้ด้วยซ้ำ”

มาเฟียหนุ่มหูผึ่งเมื่อได้ยินเรื่องราวเหล่านั้น ครั้นเดินมาเจอท่านเรืองศักดิ์นั่งอยู่ในงานก็เข้าไปนั่งใกล้ๆ ริศายกมือไหว้พ่อสามีของพี่สาวอีกครั้ง คราวนี้ความกลัวลดน้อยลงเมื่อได้เห็นว่ามาเฟียผู้ทรงอำนาจดูซูบผอมลงไปจากครั้งที่แล้วที่ได้พบกัน

“ผมได้ยินคนข้างนอกคุยกันเรื่องชัชวาล” จิรฉัตรกระซิบกับพ่อเบาๆ

ชายชราพยักหน้าเป็นเชิงว่าสิ่งที่เขาได้ยินมาทั้งหมดเป็นความจริง ชายหนุ่มจึงไม่ถามอะไรอีก นั่งหลังตรงพนมมือไหว้ขณะที่พระสวดตั้งแต่ต้นจนจบพิธี

แขกคนอื่นๆ ทยอยกลับไปที่รถ จิรฉัตรจึงรอให้พวกเขาออกไปจากงานให้หมดก่อนเพราะไม่อยากเผชิญกับรถติดตรงทางออก กะว่าจะพาริศาไปนั่งรถเล่นกินลมชมวิวคลายเครียดก่อนกลับคฤหาสน์ ทว่าท่านเรืองศักดิ์กลับเรียกเขาไว้ก่อน

“ไปทานมื้อค่ำที่บ้านฉันสิ”

จิรฉัตรหันมาสบตากับหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ ตอนแรกเธอกล้าๆ กลัวๆ นึกในใจว่าท่านเรืองศักดิ์คงไม่ต้อนรับเธอ ทว่าท่านพูดขึ้นมาอีกว่า

“หล่อนด้วย”

ทั้งสองจึงตกลงเดินทางไปที่คฤหาสน์ของท่านเรืองศักดิ์ ซึ่งตั้งอยู่แถบชานเมือง ระหว่างที่อยู่บนรถ ริศาลอบมองมาเฟียอาวุโสอยู่บ่อยครั้ง นึกสงสารและเป็นห่วงที่ท่านดูไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง อาการคล้ายกำลังตรอมใจ ตัวเธอซึ่งเคยดูแลพ่อช่วงที่ป่วยหนักจึงไม่อาจอยู่เฉยได้ นึกหาวิธีที่จะช่วยให้ท่านกลับมามีสภาพจิตใจที่ดีขึ้น

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น