๑๐
ตีตราจอง
“นี่ถึงขนาดพกติดตัว คุณเป็นคนประเภทไหนกัน!”
เจ้าของผ้าชิ้นน้อยหน้าแดงสลับเขียวแทบจะมีควันพวยพุ่งออกมาจากจมูกและหู ความรู้สึกผิดที่แบกไว้เต็มบ่าถูกผ้าชิ้นน้อยตรงหน้าเหวี่ยงทิ้งไม่เหลือซาก เสียแต่ว่าเธอดึงมือกลับมาไม่ได้ ไม่งั้นได้สะบัดใส่คนโรคจิตที่พกกางเกงชั้นในผู้หญิงในกระเป๋า ให้หันซ้ายหันขวาสักห้าหกที
“ถ้าดิ้นอีกที จูบ!” ไหนๆ ก็เสียไปหมดแล้ว นาทีนี้ยังจะทำอะไรได้อีกนอกจากตีมึน
เกล้าเศียรปั้นหน้านิ่ง คลายมือที่ยังพันผ้าชิ้นน้อยไม่เสร็จออกจากการกอบกุมแน่นๆ แล้วดึงผ้านุ่มนิ่มที่เจ้าของแสนจะหวงยัดกลับลงไปในกระเป๋า ล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาพันมันเร็วๆ ในแบบที่เจ้าของมือชักสีหน้าบึ้งตึงแล้วบึ้งตึงอีก แทบจะกัดเขาแล้วกลืนลงท้อง
หวงอะไรหนักหนานะกับแค่ผ้าชิ้นเดียว!
เธอไม่รู้บ้างหรือไรว่าเขาหมายปองเธอทั้งตัวและใจ ไม่แบ่งให้ใครอื่นสักเศษเสี้ยว เธอไม่เคยรับรู้อะไรบ้างเลยหรือ
“ยะ…อย่ามามองฉันแบบนั้นนะ” ความโรคจิตของเขาชักจะทำเธอกลัวเสียแล้ว กานมณีเบือนหน้าหนี สั่นไปหมดทั้งใจและกาย
รักหรอกจึงมอง…
เกล้าเศียรยิ้มทั้งที่เจ็บชะมัด และก่อนที่เขาจะไม่เหลือแรงให้พอยกแขนทำสิ่งใดได้ สองมือประคองพวงแก้มให้เจ้าของดวงตาคู่งามหันหน้ากลับมา…
“ไม่เป็นไรใช่ไหม นอกจากมือ เจ็บตรงไหนอีกหรือเปล่า”
“คะ…คุณจะมาไม้ไหนอีก” จู่ๆ ก็มาทำดีด้วย หลังจากแสดงความโรคจิตให้เธอเห็นกระจ่างแจ้งถึงแก่นแท้ ไม่น่าไว้วางใจอย่างยิ่ง
“ไม่มีไม้ไหนทั้งนั้น กานมณีฟังผมให้ดีนะ ผมจะพูดแค่ครั้งเดียวเท่านั้น…”
นั่นเพราะครั้งหน้า เขาอาจไม่มีความกล้าเช่นนี้อีก ความกล้าที่ได้มาจากเหตุการณ์ที่คิดว่าเธอจะเป็นอันตราย ความกล้าจากอาการคลั่งจนแทบบ้า ความกล้าจากการไม่อยากสูญเสียเธอ และจากนี้เขาจะไม่ยอมให้เธอห่างกายอีกแล้ว
“เรื่องอะไรของคุณ” เมื่อเกิดความหวาดระแวง ย่อมหวั่นวิตกเกินเหตุ ยิ่งเขาจริงจัง เธอยิ่งอยู่ไม่สุข
“ผมจะลืมเรื่องทุกอย่างที่เคยผ่านมาทั้งหมด นับจากวันนี้ผมจะก้าวเข้ามาในชีวิตคุณในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง ก้าวเข้ามาอย่างจริงจัง ชีวิต หัวใจ ทุกอย่างที่เป็นคุณ ผมขอตีตราจอง”
ไม่เพียงแค่ตีตราเพียงน้ำเสียงที่หนักแน่น แต่ริมฝีปากซึ่งสั่นระริกจนได้ยินเสียงฟันกระทบกันก็ถูกตีตราจองด้วยริมฝีปากร้อนรุ่มของเขาในทันที
เกล้าเศียรไม่ให้โอกาสเธอได้ปฏิเสธ แค่เผยอปากจะส่งเสียง ลิ้นร้อนก็ช่วงชิงจังหวะสั้นๆ นั้นบุกทะลวงเข้าไปฉกชิมความหวานล้ำ และเพราะเรี่ยวแรงที่ใกล้หมด ความหวาดกลัวว่าจะสูญเสียจึงทำให้เขาตักตวงความหวานล้ำนั้นหนักหน่วงมากขึ้น บดขยี้จูบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่เว้นแม้ช่วงสั้นๆ ให้เธอได้หายใจ เพียงไม่กี่นาทีร่างเล็กก็ถูกหลอมละลายจนอ่อนปวกเปียกและเป็นฝ่ายยกมือขึ้นโอบรอบลำคอแกร่งเพื่อใช้เป็นหลักยึดกันทรุดลงกับพื้น
“คุณเป็นของผมแล้ว อย่าได้ลืม”
ใช่เพียงเธอที่ถูกหลอมละลาย เกล้าเศียรค่อยๆ ปล่อยมือจากแก้มนวลและทิ้งร่างลงกับพื้น
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก กว่ากานมณีจะตั้งสติได้ แพทย์หนุ่มที่จูบจนเธอแทบขาดใจตายก็หมดสติกองอยู่แทบเท้าเธอไปแล้ว หากมีคนมาพบเพียงช่วงเวลาตอนจูบ คงจะตีความไปได้แค่อย่างเดียวเท่านั้น…
เธอจูบผู้ชายจนตาย!
“กาน...กาน...”
เสียงแหบแห้งที่ดังขึ้นจากเตียงผู้ป่วย ทำให้พยาบาลสาวผู้รับหน้าที่ดูแลผู้บาดเจ็บทั้งหมดภายในกระโจมพักวิกฤติผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ รีบเร่งเข้าไปซักถามอาการ
“หมอคะ หมอเกล้า หมอได้ยินฉันแล้วใช่ไหมคะ”
จามิกรส่งเสียงเรียกคนเจ็บอย่างตื่นเต้น เมื่อผู้ป่วยที่อาการไม่นับว่าสาหัสมาก เพราะกระสุนไม่ได้ถูกอวัยวะสำคัญและระยะเวลานับจากประสบเหตุจนถึงเข้ารับการรักษาก็ไม่นานนัก แต่กลับใช้เวลาฟื้นตัวนานกว่าปกติ เนื่องจากโชคร้ายเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ติดเชื้อจากการผ่าตัด ทำให้สลบไปนานถึงสามวันเต็มๆ กว่าจะรู้สึกตัวในวันนี้
“กาน...กานมณีล่ะ” ลำคอแห้งผากเสียจนรู้สึกว่าร่างกายแหลกละเอียดกลายเป็นผุยผงไปหมดแล้ว เกล้าเศียรต้องพยายามเค้นเสียงเรียกหาคนที่คะนึงถึงทุกวินาทีในห้วงฝันอันดำมืด
“พี่กาน...” จามิกรเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง ไม่กล้าเอ่ยความจริงกับแพทย์หนุ่ม เพราะรับปากพยาบาลรุ่นพี่ไว้ว่าจะไม่เอ่ยเรื่องราวใดๆ เกี่ยวกับเธอให้เขาทราบก่อนที่เขาจะหายดี
เพราะอะไร
เธอเองก็เคยถาม แต่พยาบาลรุ่นพี่ไม่ได้ให้คำตอบ มากไปกว่า…
‘ไม่ต้องบอกอะไรก็แล้วกัน’
แล้วเธอยังจะกล้าบอกอะไรได้
“บอกผมมา กานมณีไปไหน เธอเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมถึงไม่มาเฝ้าผม” พูดไปชัดเจนขนาดนั้น แถมยังตีตราจองเธอไว้แล้ว เขาคิดว่าคนแรกที่จะได้พบหน้าตอนฟื้นขึ้นมาจะต้องเป็นเธออย่างแน่นอนเสียอีก
นอกเสียจากว่า…
“ว่ายังไง กานอยู่ไหน” น้ำเสียงเขาร้อนรนขึ้น
“พี่กาน...พี่กานยังไม่ว่างค่ะ” พยาบาลสาวตัดสินใจบอกความจริงครึ่งหนึ่ง ก่อนที่แพทย์หนุ่มจะเค้นเสียงจนระคายคอมากไปกว่านี้ เขาเพิ่งฟื้นยังไม่ควรฝืนทำอะไรมากเกินไป ทว่าเธอก็ต้องถามเสียงหลง เมื่อเขาพยายามลุกขึ้นและจะลงจากเตียง “หมอจะไปไหนคะ ยังไปไม่ได้นะคะ”
“ถ้าคุณยังไม่รู้ว่าชานนท์อยู่ที่ไหน เป็นยังไงบ้าง ทั้งที่เสี่ยงตายมาด้วยกัน คุณจะทำยังไง”
เกล้าเศียรถามเสียงเย็น แววตาทวงถามคำตอบแบบเจาะลึกเข้าไปถึงกระดูกดำ เขาไม่รู้ว่าทำไมภรรยาของชานนท์เช่นหญิงสาวตรงหน้าถึงได้ทิ้งลูกทิ้งสามีมาอยู่ที่นี่ แต่จากที่เห็น เธอก็ไม่ต่างจากเขา...ห่วงใยคนที่ทำให้เรารู้สึกไม่ดีด้วยหมดหัวใจ
“หมอกับพี่กาน...”
จามิกรไม่กล้าถามต่อ เธอละความหมายนั้นไว้ให้แพทย์หนุ่มเติมคำในช่องว่าง เพราะนั่นคือเรื่องส่วนตัวของเขาที่เธอรู้เพียงผิวเผินจากการเป็นแพทย์คนใหม่ของโรงพยาบาลประจำอำเภอที่เธอทำงานอยู่เมื่อหลายปีก่อน เขาเป็นคนที่เธอเคยกรี๊ดกร๊าดกับพยาบาลห้องตรวจเด็กอย่างปลิวลม ต่อมาจึงรู้จากชานนท์ผู้เป็นสามีว่า แพทย์หนุ่มก็เป็นหนึ่งในชายหนุ่มผู้ตกบ่วงหญิงสาวผู้งดงามเช่นแก้วกินรี ผู้เป็นรักแท้และรักเดียวของสามีเธอจวบจนวันนี้ ส่วนพยาบาลรุ่นพี่อย่างกานมณี เธอเพิ่งรู้จักอีกฝ่ายที่นี่ และรู้เพียงว่าเป็นพยาบาลที่เก่งและกล้าหาญยิ่งกว่าใครๆ ไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังว่าเคยเป็นใคร ทำงานที่ไหน และรู้จักใครบ้าง
“ผมปล่อยให้เธอเป็นอะไรไปไม่ได้ ผมไม่ยอมให้เกิดอะไรขึ้นกับเธอ ผมจำเป็นต้องเห็นเธอด้วยตาตัวเองถึงจะวางใจได้”
“แต่อาการของหมอ...” จามิกรไม่ใช่หญิงสาวไร้เดียงสาเช่นสี่ปีก่อนอีกแล้ว จึงเข้าใจความหมายของถ้อยคำเหล่านั้นชัดเจน สำหรับแพทย์หนุ่ม กานมณีสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด และยังสำคัญยิ่งกว่าชีวิตในประโยคต่อมา...
“ขอแค่เห็นว่าเธอปลอดภัย ผมไม่เป็นไร” เกล้าเศียรลงจากเตียงได้สำเร็จ แต่ก็ต้องสูดปากกับความเจ็บปวดที่ไม่ปรานี เสมือนมีดเล่มยาวที่เสียดแทงจากปลายเท้าขึ้นมาจดศีรษะ “ผมรบกวนขอเสื้อผ้าชุดใหม่หน่อยได้ไหมครับ”
เขาจะออกจากกระโจมไปทั้งชุดผู้ป่วยไม่ได้!
“จ๋าต้องให้คนไปเอาที่กระโจม หมอรอสักครู่นะคะ”
เพื่อให้สะดวกต่อการดูแลผู้บาดเจ็บได้อย่างทั่วถึง ผู้บาดเจ็บทุกคนจึงถูกจัดให้นอนรวมกันในกระโจมหลังใหญ่สองหลัง ไม่แบ่งแยกชายหญิง แบ่งเพียงผู้บาดเจ็บวิกฤติกับผู้บาดเจ็บหนัก ส่วนผู้บาดเจ็บเล็กน้อยถึงปานกลางปล่อยให้กลับค่ายไปหมดแล้ว
“ผมกลับไปเปลี่ยนเสื้อที่กระโจมดีกว่า” ถึงจะเจ็บปวด แต่ถ้าเขาอยากคล่องตัวไวๆ เขาก็ต้องเดินให้มากๆ เกล้าเศียรเปลี่ยนใจปุบปับและค่อยๆ ก้าวออกไป แต่ก่อนจะพ้นปากกระโจม ร่างสูงก็ผินหน้ากลับมา...
“ผมลืมบอกคุณไปอย่าง ชานนท์เขาตามหาตัวคุณให้ควั่ก ตั้งแต่วันที่คุณหายไปจนถึงตอนนี้ เขาก็ยังตามหาคุณไม่เคยหยุด ผมไม่รู้ว่าคุณจะรู้บ้างหรือไม่ แต่หมอนั่นแทบเป็นบ้า แทบไม่เป็นผู้เป็นคน และลูกสาวของคุณก็น่ารักมากๆ”
เขาเองก็ไม่รู้เรื่องราวชีวิตครอบครัวของชานนท์มากนัก เพราะคู่แข่งที่ไม่ชอบขี้หน้ากันแต่แรกพบอย่างพวกเขาไม่ได้คบหาสมาคมกันเป็นเพื่อน หลังจากที่ชวดจากแก้วกินรีด้วยกันทั้งคู่ เขาเจออีกฝ่ายหลังจากย้ายกลับมากรุงเทพฯ เพียงสองครั้ง นั่นคือวันงานแต่งงานของแก้วกินรีกับปราณกันต์ และวันคลอดลูกคนที่สามของเธอ วันนั้นหมอนั่นมาเยี่ยมพร้อมกับเด็กหญิงตัวเล็กๆ ถ้าเขาจำไม่ผิด มีชื่อเล่นว่าน้องหนู เป็นเด็กหญิงที่น่ารักมากๆ ปากนิดจมูกหน่อยเหมือนมารดาที่หายตัวไปตั้งแต่คลอดได้ไม่กี่วัน แตกต่างจากบิดาที่ผิวเข้ม ตัวโต ราวกับฆาตกรและตัวประกันไม่มีผิด
วันนั้นเขาจึงได้รู้เรื่องของอีกฝ่ายผ่านแก้วกินรี ว่าหลังจากเขาย้ายกลับกรุงเทพฯ ได้ไม่กี่วัน นายอำเภอก็จัดงานวิวาห์ให้ลูกชายกับหลานห่างๆ อย่างยิ่งใหญ่ ไม่ใช่การบังคับ แต่เป็นความเต็มใจของทั้งคู่ที่พร้อมใจกันยินยอมทั้งสองฝ่าย พวกเขาใช้ชีวิตปกติเช่นสามีภรรยาคู่อื่นๆ แต่แล้วหลังจากคลอดลูกเธอก็หายตัวไป
ชานนท์เพิ่งมารู้ทีหลังว่าภรรยาของเขารู้ความลับทุกอย่างที่เขาพยายามเก็บไว้ และที่เธอยินดีแต่งงานใช้ชีวิตกับเขาตลอดจนมีทายาทให้เขาสมใจ ก็เพราะอยากทดแทนบุญคุณที่เขาเคยช่วยชีวิตเธอไว้
“มะ...หมอเกล้าจะไม่บอกเขาใช่ไหมคะว่าจ๋าอยู่ที่นี่”
ที่ผ่านมาเธอพยายามตัดขาดจากพวกเขามาตลอด พยายามทั้งๆ ที่เจ็บปวดในทุกๆ วันและทุกๆ ค่ำคืน พยายามทั้งๆ ที่รู้ว่านั่นคือการเอาหัวใจตัวเองขึ้นเขียงและสับจนแหลกละเอียดนับครั้งไม่ถ้วน ไม่มีใครรู้หรอกว่าภายใต้สีหน้าสงบนิ่งของเธอ เก็บซ่อนความคิดถึงเจ้าน้องหนูนุ่มนิ่มเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองเพียงใด เก็บซ่อนความถวิลหาอย่างโง่งมให้สามีที่ไม่มีวันมีเงาของเธอในหัวใจแค่ไหน
“เพราะอะไรผมต้องทำแบบนั้น คุณไม่คิดถึงพวกเขาเหรอ ไม่สงสารพวกเขาเลยเหรอ ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างคุณกับชานนท์ ไม่รู้ว่ามันร้ายแรงขนาดไหนถึงทำให้คุณหนีมาแบบนี้ แต่ถ้าผมเป็นคุณ ผมจะไม่ปล่อยให้น้องหนูเอาแต่ร้องหาแม่ไปวันๆ แบบนี้ น้องหนูต้องการคุณนะ เธอต้องการคุณมากๆ”
วันอื่นๆ เขาอาจได้ยินเรื่องราวความโหยหามารดาของน้องหนูจากปากแก้วกินรีกับปราณกันต์ แต่วันคลอดลูกคนที่สามของแก้วกินรีที่เขาได้เจอเด็กหญิงด้วยตัวเอง แววตาตอนที่เด็กหญิงมองแก้วกินรีโอบอุ้มลูกๆ ไว้ในอ้อมแขน เต็มไปด้วยความถวิลหาที่เก็บซ่อนไม่เป็นของเด็กน้อย และเด็กวัยแค่นั้นจะต้องโหยหามารดาขนาดไหนถึงจะแสดงออกมาทางสีหน้าได้ขนาดนั้น
“จ๋าขอร้อง อย่าบอกเขานะคะ ให้จ๋าตายไปจากพวกเขาแบบนี้คือทางออกที่ดีที่สุดแล้ว” ไม่ใช่ว่าเธอไม่รัก ไม่สงสารลูก ไม่ใช่ว่าเธอไม่รู้สึกดีๆ อะไรกับพ่อของลูกเลย แต่ในเมื่อเธอกับเขาไม่อาจเป็นสามีภรรยากันได้ชั่วนิรันดร์ ลูกก็ไม่ควรมีความผูกพันกับมารดาที่สักวันก็ต้องจากไป ควรให้แกได้เก็บหัวใจดวงนั้นเอาไว้บรรจุมารดาคนใหม่
ความคิดนี้อาจเห็นแก่ตัวไปบ้าง แต่เธอไม่สามารถอดทนอยู่ภายใต้เงาของใครไปได้ตลอดชีวิต ยิ่งเธอรักเขามากเท่าไร เธอก็ยิ่งทนไม่ไหวมากเท่านั้น
ผิดก็แต่...น้องหนูที่น่าสงสารของเธอ ทำไมไม่ลืมแม่คนนี้ไปเสีย!
“ผมคงรับปากอะไรคุณไม่ได้ เพราะผมไม่เห็นด้วยกับการที่คุณสร้างบาดแผลไว้ในใจของน้องหนูแบบนั้น คุณคงไม่รู้ว่าเด็กที่มีบาดแผลในใจ อาจจะทำให้เขาเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่บิดเบี้ยวและทำลายเขาทั้งชีวิต”
เช่นเดียวกับสิ่งที่กานมณีต้องเผชิญมาตลอดชีวิต!
เกล้าเศียรก้าวจากไปทันทีที่พูดจบ ไม่รอฟังคำตอบที่กลายเป็นเสียงร่ำไห้แทบขาดใจของมารดาคนหนึ่ง ที่เดินหน้าก็เจ็บ ถอยหลังก็เจ็บ อยู่กับที่ยิ่งเจ็บเสียดหัวใจ
ความคิดเห็น |
---|